บทที่ ๙

ในวันเสาร์ต่อจากงานฉลองตราของเจ้าพระยาสุเรนทรและเครื่องยศของท่านผู้หญิงฉอ้อน ที่ร้านแจ่มแจ๋ว ถนนสีลม มีคนเข้ามารับประทานอาหารกลางวันอย่างปรกติ ร้านนี้ขายอาหารไทยเป็นจานๆ และเป็นสำรับตามแต่ลูกค้าจะเลือก และมีอาหารฝรั่งและอาหารจีนชนิดที่ราคาไม่สูงนักขายด้วย ร้านอยู่ในตึกสามชั้น เพิ่งสร้างเสร็จเรียบร้อยไม่เกิน ๒ เดือน มีขนาดกว้างสองคูหา และด้านหลังมีเนื้อที่ทอดยาวออกไปประมาณ ๔ เมตร ใช้เป็นที่วางอาหารที่ประกอบเสร็จแล้ว และยกมาจากโรงครัวซึ่งอยู่ในอาคารหลังตึกนั้น มีทางเดินติดต่อถึงที่ที่ใช้เป็นห้องอาหารไม่เกิน ๓ เมตร มีหลังคาปกป้องแดดและฝนสำหรับคนเดินไปมา ยกอาหารบ้าง ไปทำธุระส่วนตัวอย่างอื่นบ้าง ร้านอาหารนี้เริ่มประกอบธุรกิจมาตั้งแต่ได้สร้างตึกเสร็จ แต่ก็มีคนไปอุดหนุนในจำนวนที่น่าพอใจสำหรับเจ้าของร้าน นอกจากขายอาหารตามสั่งของลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารกลางวัน ยังรับทำอาหารไปส่งยังบ้านที่จะมีการเลี้ยงอาหารค่ำหรืออาหารว่างตอนบ่ายหรือตอนกลางคืน และมีขนมไทยบรรจุถุงไว้ขายปลีกอีกด้วย

คุณแจ๋วเจ้าของร้านยืนอยู่ที่กลางห้องรับประทานอาหาร ใช้สายตากวาดไปมา ดูแลว่าลูกค้าคนใดต้องการสิ่งใด และได้รับจากพนักงานเดินโต๊ะครบครันแล้วหรือยัง ระหว่างนั้นก็มีชายในมัชฌิมวัย แต่ยังมองดูสดชื่น สวมกางเกงสีเทาและเสื้อปล่อยเอวแบบฮาวายสีเดียวกัน เดินยิ้มเข้ามาในร้าน

“อุแหม พี่ชาย” คุณแจ๋วยกมือขึ้นไหว้พลางออกปากทักทาย ผู้ที่เข้ามานั้นคือพลตรี เกริน พอเห็นคุณแจ๋ว เขาก็ยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายสุกใส “ดิเปรสชั่นลูกไหนพัดเข้ามาร้านแจ่มแจ๋ว”

“เอ้อ แม่อีวอนหรืออย่างไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว” ฝ่ายชายตอบ “ที่จริงน่ะ ยังไม่ควรต่อว่าอะไร วันนี้เป็นวันเสาร์แรกตั้งแต่พบกันที่บ้านเจ้าพระยา จะมาก่อนนี้ได้อย่างไร”

“ไม่ได้ต่อว่าสักที” ญาติหญิงว่า “แต่เราอยู่คนละเมืองคนละแขวงอุส่าห์มา ไม่ปล่อยไว้จนรอคอย”

“แปลว่าไม่คิดถึงเลยใช่ไหม” ผู้ชายย้อนถาม “ทีเราซิ คิดเรื่อยว่าไปวันนี้เวลานี้จะมากวนเขาไหม เขายุ่งยังไง เขาว่างตอนไหน”

“สำหรับพี่ชายคนนี้แจ๋วว่างเสมอ” คุณแจ๋วตอบ “แต่ว่าอย่านั่งที่นี่เลยค่ะ ไปข้างบนดีกว่า ห้องแอร์คอนดิชั่นนะ” ว่าแล้วก็นำหน้าเดินไปทางด้านหลังของร้านและขึ้นบันไดไปชั้นที่สอง

“อ้าว แล้วไม่ดูแลลูกค้ารึ” ฝ่ายที่เป็นแขกถาม

“ไม่เป็นไรค่ะ ยายอิ้งอยู่ วันนี้วันเสาร์แกไม่ไปทำงาน” เจ้าของร้านตอบ “จำยายอิ้งได้ไหม”

“ลูกใครหือ ยายอิ้ง” ญาติชายพยายามรำลึก “เห็นแกวิ่งๆ อยู่ ไม่ได้อยู่บนตึกใช่ไหม”

“แกอยู่ที่เรือนใต้ต้นละมุดกับแม่แก แกเป็นลูกพี่สร้อย ที่จริงหลานของคุณหญิงแท้ๆ จะพูดไป”

“นั่นและนะ” ญาติชายว่า บัดนี้ทั้งสองขึ้นไปถึงชั้นสองแล้ว คุณแจ๋วพาญาติเข้าไปในห้องด้านหลังซึ่งว่างไม่มีใครอยู่ในนั้น มีโต๊ะอาหารมีเก้าอี้ล้อมอยู่ในห้องนั้นชุดหนึ่ง และมีเครื่องเรือนอีกบ้าง ส่วนห้องทางด้านหน้ามีคนนั่งรออาหารอยู่กลุ่มหนึ่ง คุณแจ๋วชำเลืองดู เห็นมีพนักงานเดินโต๊ะอยู่ประจำแล้วจึงให้ญาตินั่งลงและตัวเองก็นั่งบ้างในห้องด้านหลังนั้น

“นั่นและนะว่ายังไง” คุณแจ๋วชวนญาติต่อคำพูดของเขา “พูดอะไรได้ปลอดภัยที่สุด ไม่มีใครได้ยินเลยในนี้”

“จริงรึ” นายพลย้อนถาม “มีด้วยรึที่อย่างนั้นในเมืองไทย”

“อู้ฮู พูดเสียน่ากลัว” คุณแจ๋วว่า “จะขอยืมคิดการปฏิวัติไหมล่ะ”

“อย่าพูดเล่นนะเรื่องพรรณอย่างนี้” เกรินว่า “หน้าสิ่วหน้าขวาน”

“เอาอีกแล้วเหลอ” คุณแจ๋วถาม “โธ่ อย่ามีเลยน่ะ แจ๋วเพิ่งเปิดร้าน ยังชักทุนไม่ขึ้นเลย”

“ฟังๆ ฟังแม่ค้า” เกรินว่า “เอะอะอะไรก็ห่วงธุรกิจของตัวก่อน”

“โธ่ ก็ทำกันมาหลายหนแล้วไม่เห็นอะไรมันจะดีขึ้นนี่นา” คุณแจ๋วทำเสียงรำพัน “ว่าแต่เมื่อกี้พูดเรื่องยายอิ้ง อยากรู้ว่าทำไมถึงพูดว่า นั่นและนะ”

“นั่นและนะ เจ้ายศเจ้าศักดิ์กันไป แล้วเดี๋ยวนี้เป็นยังไง เดี๋ยวนี้ลูกสาวคนเล็กก็มาเป็นแม่ค้าข้าวแกง” ญาติผู้มาเยือนตอบ

“เสียหายยังไงรึ” เสียงของคุณแจ๋วค่อนข้างแข็งขึ้นมาทันที

“เปล่าเลย น่านับถือด้วยซ้ำ นึกนับถือมากกว่าคนคิดทำปฏิวัติอีก” เขาตอบทีเล่นทีจริง นัยน์ตาของเขามีประกายรื่นเริง

“แล้วไป ประเดี๋ยวจะเลี้ยงข้าวแกงสักจานหนึ่ง” คุณแจ๋วว่า นัยน์ตามีประกายรื่นเริงเช่นเดียวกัน “จำยายบัวได้ไหม ยายบัวเมียตาเพิ่มคนแจวเรือของพี่จำลองเขาน่ะ แกงเนื้อแกงไก่ไม่มีใครสู้ ทั้งแบบแดงแบบเขียว”

“ฮือ เก็บผู้คนข้าเก่าไว้หมดเชียวรึ แล้วก็มาตั้งร้าน ไม่เลว” เขาชมอย่างจริงใจ แต่น้ำเสียงครึ่งเล่น

“เรื่องที่ตั้งร้านนี่ก็เพราะจะหางานให้พวกเหล่านี้ทำนั่นอย่างหนึ่ง แล้วก็หางานให้ตัวทำอีกอย่างหนึ่ง” คุณแจ๋วอธิบายให้ญาติฟัง

“ใครจะเปลี่ยนอาชีพหลายหนกว่ากัน คุณอ้นหรือคุณแจ๋ว” เกรินถาม

“โถ พี่อ้น” คุณแจ๋วพูดเสียงอ่อน “พี่อ้นลำบาก เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไร นิสัยของพี่อ้นทำค้าขายไม่ได้หรอก คนเกิดมาสำหรับทำราชการ พอต้องออกก็หมดท่า แล้วเรื่องเมีย ก็อย่างเดิม ไม่อยู่บ้านเลย”

“เอ้าเล่าไป” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟังเรื่องอยู่ไกลๆ ไม่ค่อยกระจ่าง ต้องมาฟังที่แหล่งเกิดถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง”

“ว่าแต่สั่งอาหารก่อนซิ เอ้า สลัดเนื้อสันก็มี อร่อยนะ ไม่แกล้งคุย เท่าเจ๊กฮวดที่ร้านบางลำภู จำได้ไหม เราชอบไปกินที่นั่นกันเหลือเกิน”

“ตอนนั้นอะไรๆ ร้านไหนมันก็อร่อย” เกรินว่า “เดี๋ยวนี้อะไรๆ มันก็เหนียวไปแข็งไป ตัวหนังสือก็ดูเล็กไป เสียงใครพูดก็ไม่ค่อยชัด”

“อย่ามาแสร้งทำปริเทวนา” คุณแจ๋วขัด “มีอีหนูไว้กี่ตัว ซ่อนไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้”

“จริงนะ มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่เปลี่ยน” เกรินว่า “เห็นสิบสี่กว่าๆ สิบห้าหย่อนๆ ใจมันหายวาบๆ เหมือนครั้งกระโน้นไม่มีผิด”

“แล้วก็ไม่ต้องวาบอยู่นาน ใช่ไหมล่ะ” ฝ่ายหญิงรุก “วาบไม่กี่วันก็สมปรารถนา”

“ไอ้อย่างงั้นมันไม่ใช่อย่างเรา” ญาติชายค้าน “อย่างนั้นมันต้องขนาดมีเมียเป็นท่านผู้หญิง”

“นี่ก็แปลกนะ เดี๋ยวนี้ก้าวหน้ามากเมืองไทย จะรู้ว่าผู้ชายอำนาจวาสนาแค่ไหนที่ภรรยา” คุณแจ๋วว่าแล้วเกิดนึกสนุกจริง ๆ หัวเราะกิ๊กๆ เหมือนเมื่อครั้งรุ่นสาวออกมา

“อือ ก็ไม่เปลี่ยนมากเหมือนกัน ไอ้เสียงนี้” เกรินตั้งข้อสังเกต “ว่ายังไง เล่าต่อไปซิ อ้อ ให้สั่งของกิน ไปสังมาตามใจเจ้าของร้าน แต่อย่าขึ้นราคาตามใจ ไปเอาบัญชีมา ฉันจะคุมไว้ไม่ให้มีการขึ้นราคาเกินควร”

“นี่เขาคิดจะเลี้ยงคนบ้านนอกสักมื้อนึงเชียวนะ” คุณแจ๋วว่า แล้วก็ลุกขึ้น ไปเรียกพนักงานโต๊ะจากห้องหน้ามาสั่งอาหารสองสามจาน และก็กลับมาเข้าห้องเดิมแล้วพูดต่อ “นี่ห้องส่วนตัว ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นมีม่านนั่นจะรูดไหมล่ะคะ”

“ไม่ต้องหรอกคุณแจ๋ว อยากอวดเขาบ้างซีว่าเป็นแขกเกียรติยศของเจ้าของร้าน” ญาติชายตอบ “เอ้าว่าไง เล่าไป คุณแป๋วไม่ต้องเล่า รู้แล้วว่าเป็นคุณหญิงศิริมา เขาว่าท่านใหญ่โปรดมากนี่สามีน่ะ”

“นั่นซี แจ๋วเดี๋ยวนี้ถึงไม่อยากว่าใครเลย” คุณแจ๋วว่า “พี่สาวเราลูกพ่อเรา แสนจะมีหลักอธิบายอย่างโน้นอย่างนี้ยังเป็นไปได้ สำหรับแจ๋วนะเกลียดไอ้ชื่อที่เสด็จประทานนี่มาตั้งแต่รู้ความ แต่เราก็เปลี่ยนไม่ได้ต้องทนกับมันสำหรับนิติกรรม สำหรับหนังสือสัญญา อะไรร้อยแปด อย่างพี่แป๋ว ชื่อที่ประทานมันก็ไม่เห็นจะพิสดารอะไรเหลือเกิน อุส่าห์ไปขอให้ท่านใหญ่เปลี่ยนให้ได้”

“ไหนชื่ออะไรกันบ้าง” เกรินถาม “ฉันจำไม่ได้เสียแล้ว เล่าไปเลย ไม่ต้องให้ซักทีละอย่างทีละเรื่อง”

“เอ้า คอยฟัง จะเล่าละ” คุณแจ๋วเริ่ม “เรื่องชื่อก็ พี่แต๋ว บุณฑริกมาศ พี่แป๋ว ศิริยาวิลาศ อีกคนหนึ่งช่างเถอะ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้เป็นคุณนายแจ๋วบ้าง คุณนายแจ่มบ้าง ที่ตั้งให้เป็นหม่อมก็มี ไม่รู้ว่าไปปนกับใคร” คุณแจ๋วนิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วเล่าต่อ “ทีนี้พี่อ้น เวลานี้ดูเหมือนจะเก็บค่าเช่ากินเฉยๆ ตึกตรงข้ามนี่ เก้าห้อง คุณพ่อให้พี่อ้น ของท้องเราทางนี้สามคนพี่น้อง ๑๒ ห้อง แบ่งกันคนละ ๔ ห้อง ทีแรกเราว่าไม่ยุติธรรมเลย เดี๋ยวนี้เลยว่าดีแล้ว คุณน้าได้ตึกแถวที่สี่กั๊กพระยาศรี กำลังจะขายสองล้าน ก็แปลกนะ คนอย่างพวกเราจะมีเงินถึงสองล้าน ทีนี้ตัวแม่แจ่มแจ๋ว ก็เอามาทำร้านนี่เสียสองห้องเพราะแป๊ะเจี๊ยะก็ไม่ได้ แล้วคุณพ่อท่านให้นายอึ้งแกสร้าง ท่านก็ไม่เรียกอะไรมากนัก นายอึ้งเขาก็ได้พอสมควร แล้วท่านก็สิ้นไป มีเงินพอดีทำศพทำเมรุเป็นเกียรติยศพอสมควร แล้วนายอึ้งแกก็สปอร์ตพอใช้ พอแจ๋วไปเจรจากับแกว่าจะใช้ห้องสองห้องทำร้านอาหาร แหม แกช่วยเหลือทุกอย่าง เวลานี้ก็เป็นลูกหนี้นายอึ้งอยู่สองสามหมื่น แต่ว่าถ้ามีคนเข้าร้านอย่างที่เป็นมา ๔-๕ เดือนนี้ ก็เห็นจะพอใช้หนี้หมดเร็วๆ นี้”

“ทีนี้เหตุผล ทำไมมาตั้งร้านข้าวแกง ก็เพราะขี้เกียจอยู่บ้านกับพี่แต๋วกับคุณน้า แล้วพี่สร้อยแม่ยายอิ้งก็ตาย ไอ้การที่จะอยู่ที่บ้านกันยุ่บๆ อย่างแต่ก่อนมันเป็นไปไม่ได้ ทางหน้าบ้านจะปลูกห้องแถวทำร้านค้าหาผลประโยชน์เขาจะขอรื้อตึก นายอึ้งอีกน่ะแหละ อ้อ เดี๋ยวนี้เขาชื่อ นายอังคาร”

“ทำไมไปเลือกชื่อแปลว่าขี้เถ้าล่ะ พ่ออึ้ง” เกรินขัดขึ้นพลางหัวเราะ

“แหม มาทำเสียหมด แจ๋วเป็นคนคิดให้ ดาวทหารต่างหาก คิดตัว อ อะไรก็สู้ อ อังคารไม่ได้ มาแปลเป็นขี้เถ้า มีอย่างรึ”

“เออ ดาวทหาร ไม่เลว เอ้าเล่าต่อไป” เกรินพูดพลางลงมือรับประทานอาหารที่พนักงานมาวางให้

“พี่อ้น เคราะห์ดีที่ศาลยกฟ้องกรณียักยอกเงิน ใครๆ มาบอกกล่าวคุณพ่อว่าให้ไปวิ่งเต้นกับคนนั้นคนนี้ ท่านปฏิเสธเด็ดขาด ท่านบอกว่าถ้าศาลเป็นเช่นนั้นเสียแล้ว ก็บอกพระอรหังเมืองไทยได้ แปลว่าคนไทยนี่ไม่มีที่พึ่งอะไรเหลืออีกแล้ว ท่านไม่ยอมมีส่วนกับการทำให้ผู้พิพากษาเสียไป ถ้าลูกต้องติดตะรางก็จะส่งเสียมันไปตามเรื่อง พุทโธ่ คนอย่างพี่อ้นโกงเงินหลวง มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าน้องแจ๋วของพี่อ้นละก็มีหวังบ้าง”

“แต่ในที่สุดเขาก็ให้ออก” เกรินพูดเป็นทีถาม

“อ๋อ แน่ แต่เขาอุส่าห์ให้เบี้ยบำนาญ ก็ดีหรอก ยังคิดถึงบุญคุณท่านอยู่” คุณแจ๋วว่า

“ท่านไหน” เกรินถาม

“ท่านทั้งปวงที่มีอำนาจ” คุณแจ๋วตอบ “หมั่นไส้ นึกว่าท่านวิทูรของคุณเกรินรึ”

เกรินมองดูหน้าญาติพลางยิ้ม “ก็เดี๋ยวนี้มีท่านนั่นท่านนี่หลายคน แล้วทำไมมายกให้เป็นท่านวิทูรของคุณเกรินล่ะ”

“จะไปรู้รึ ก็เพื่อนรักเพื่อนเกลอกันไม่ใช่รึ” คุณแจ๋วย้อนถาม

“ที่จริงเขาก็ยังดี พบที่ไหนเขาไม่เปลี่ยนแปลงไปกี่มากน้อย เราเสียอีกเปลี่ยนกับเขา แต่มันก็เปลี่ยนไปตามความจำเป็น ขืนไปทำเป็นเพื่อนกัน ก็อาจแย่”

“นั้นซี นึกขันว่าเมื่อสมัยก่อน แจ๋วละเป็นคนเกลียดพวกข้าราชการหัวเมือง มานั่งเรี่ยรายอยู่ตามพื้นกระดานตามขั้นบันได เราเชิญให้นั่งบนเก้าอี้ละไม่ค่อยจะนั่งกันเลย แต่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่เปลี่ยนนี่ ไปงานไหนพบคนใหญ่คนโตก็ยังเห็นคนแทบจะหมอบจะคลานเหมือนที่เราต้องทำกับเจ้านายแต่ก่อน แต่เดี๋ยวนี้ เก้อๆ เขินๆ เพราะไม่รู้ว่าทำไปแล้วถูกหรือผิด แจ๋วว่าเมืองไทยเวลานี้เป็นเมืองเก้อ ก็ดีเหมือนกัน ขันดี” เห็นญาติฝ่ายชายนิ่งเหมือนใช้ความคิดคุณแจ๋วก็พูดขึ้น “นี่ ว่าแต่รู้สึกรำคาญที่ยังพูดแจ๋ว แจ๋ว นี่อยู่บ้างหรือเปล่าน่ะ ตัวเองก็รู้เหมือนกันว่าแก่แล้ว ไม่น่าเอ็นดูสักนิด แต่มันติดปากกับคนที่เคยพูดอย่างนั้น”

“ไม่รำคาญหรอก แต่ว่า แต่ก่อนน่ะ เวลาสุภาพก็แจ๋ว แจ๋ว แต่เวลาทะเลาะก็ไม่แจ๋ว” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ

“นั้นซี จะพูด ‘ฉัน’ เดี๋ยวนี้ถึงไม่ค่อยกล้า เพราะมันเคยพูดเวลาทะเลาะกัน แต่พูดแจ๋วนี่ก็เก้อในใจ บอกแล้วไง เมืองไทยนี่มันเก้อ”

เกริน นั่งรับประทานอาหารต่อไปอีกสองสามคำ หมดจานที่หนึ่งคือขนมจีนแกงไก่แล้ว เขาจึงถามขึ้น

“ที่ไม่ออกไปเป็นแขกเมื่อคืนก่อน เพราะขี้เกียจดูอะไรเก้อๆ รึ”

“ถูกแล้ว ขี้เกียจ” คุณแจ๋วตอบ “แล้วก็ แล้วก็สงสารฉอ้อน”

“อี๋ ทำไม สงสาร” เกรินทำสีหน้าประกอบคำพูด

“ก็ถ้าพบเราแกก็ต้องวิ่งมาจับมือถือแขนแน่เทียว” คุณแจ๋วกล่าว “เขากำลังจะใหญ่โต เป็นตัวเอก จะต้องมา คุณแจ๋วขา คุณแจ๋วขา กับยายเจ้าของร้านขายข้าวแกง หมดสง่าราศรี ที่บ้านคุณลุงสุเรนทร น่ะ ไม่มีใครเคยรู้จักท่านวิทูรกับท่านผู้หญิงฉอ้อนมาก่อน รู้จักเมื่อเขาใหญ่โตแล้ว”

“บ้านนั้น บ้านคุณลุงสุเรนทร น่ะ เรียกว่าดีมาก ดีทุกสมัย” เกรินว่า

“จริงนา มีบุญจังเลย เสียแต่ขี้ตืดจัง จะเป็นคุณพี่ใหญ่ตืดหรือคุณลุงตืดเองก็ไม่รู้ คงต้องประกอบกันรู้ไหมไม่ให้อะไรแจ๋วสักสตางค์ เคราะห์ดีเรารู้นิสัยอยู่ กับข้าวเราสั่งที่อื่นหมดเลย ไม่งั้นอาจต้องควักเนื้อก็ได้”

เกรินหัวเราะก๊ากออกมาอย่างไม่เกรงใจ “เอ้าเล่าต่อไป พี่อ้นเดี๋ยวนี้ก็เป็นนายทุนเฉยๆ แล้วมีใครอีกล่ะที่เปลี่ยนฐานะไปยังไงบ้าง”

“ก็มีพี่จำลอง ทำไมไม่ได้พบกันหรอกหรือ” คุณแจ๋วถาม

“ไม่ค่อยได้พบใคร พี่น้องยังขี้เกียจไปหาเขา เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้ว”

เกรินตอบ

“โธ่ ไม่น่าจะคิดอย่างโน้นอย่างนี้เลยคุณเกริน” คุณแจ๋วว่า “ภรรยาคุณเกรินน่ะ ไม่เห็นใครว่าน่าเกลียดน่าชังอะไรเลย แล้วลูกชายสองคนวันนั้นน่าเอ็นดู ไม่ทันได้ทักทายกี่มากน้อย คนเขามาเรียกเก็บเงิน . . . เออ แล้วทำไมไปแนะนำอย่างนั้น ว่าคุณอาควรจะเป็นแม่แกพิลึกละ เด็กมันไม่แปลกใจเหลอ”

“มันแปลกซิ มันถาม ก็บอกมัน” เกรินตอบสั้นๆ

“อื๋อ บอกมันว่ายังไง” คุณแจ๋วทำตาโตด้วยความทึ่ง

“ก็บอกมันว่าคู่หมั้นของพ่อ ซึ่งพ่อไปขอเธอว่าขอไม่แต่งงานด้วยเถอะนะ เพราะรักแม่จริงๆ ของลูกเสียแล้ว” ญาติชายตอบพลางหัวเราะในลำคอ แต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เกือบจะสำลักน้ำที่เขายกขึ้นดื่มเมื่อเห็นน้ำคลอตาญาติหญิง

“แหม สับปลับ” คุณแจ๋วรีบทำเหมือนผงอะไรเข้าตา และพูดอย่างสนุก “เด็กแกไม่นับวันนับคืนแล้วจับเท็จคุณพ่อได้รึ”

เกรินเหลือบตาจากจานอาหารขึ้นลอบมองหน้าญาติด้วยความวิตก เป็นครั้งแรกในชีวิตเขาที่ได้เห็นสีหน้าญาติหญิงในอาการเช่นนั้น และแน่ใจว่าญาติกำลังปกปิดไม่อยากให้เขาได้เห็นสิ่งที่เป็นจริงด้วย

“มันไม่กล้าซัก เด็กสองคนนี่มันเกรงใจพ่อมาก เจ้าคนโตน่ะ เขาได้ทุนกระทรวงศึกษาธิการ เขาจะไปเมืองนอกเร็วๆ นี้” เกรินกลบเกลื่อนไปพลาง เพราะเขาเกิดความรู้สึกไม่สบายใจพิกล

“ดูซิ อย่างนี้ไม่ยักเล่า เขาได้ทุนไปเรียนวิชาอะไร”

“ก็วิชา เดี๋ยวนี้เขาเรียกวิชาการศึกษา มันเหมือนกับวิชาครูไหมก็ไม่รู้ ก็เขาเป็นนักเรียนครู ได้ทุนครูมาเรื่อย”

“อ้าว ทำไมให้เป็นครู ไม่เห็นใครเขาสนับสนุนลูกผู้ชายให้เป็นครูกันเลย” คุณแจ๋วว่า

“ก็มันได้ทุน ไม่ต้องเสียสตางค์ อยู่บ้านนอกจะไปให้เรียนอะไร จะส่งมากรุงเทพฯ ก็ไม่อยากให้อยู่กับคนอื่น เห็นฤทธิ์ไอ้เด็กอยู่กับคนอื่น ถ้ามันไม่เด็ดจริงเหมือนอย่างนายเฌอ เป็นเสียคนเสียโดยมาก แล้วแม่เขาก็มีมันสองคนเท่านั้น เขาก็ได้มันเป็นเพื่อน แกเจ็บๆ ไข้ๆ ไม่สมประกอบ แล้วบังเอิญมันก็เต็มใจ ไม่เห็นร่ำร้องจะเข้ากรุงเหมือนลูกคนอื่น ว่าแต่เล่าเรื่องพี่จำลองให้ฟังหน่อยซิ”

“ไม่มีอะไรจะเล่า มีแต่ดี ออกจากราชการมาเป็นทนายความ แล้วก็รวยขึ้นเรื่อยไป จนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร เขาพยายามจะซื้อสวนของคุณตาคืน”

“สวนตกไปเป็นของใคร” คุณเกรินถาม

“ก็คุณตาท่านต้องส่งเสียพี่จำลองอยู่สองสามปีที่ติดบางขวาง แล้วต่อมาพี่จำแลงก็โดนถูกจับการเมืองอีก ท่านก็แก่แล้วดูแลสวนไม่ค่อยได้ แล้วเขาว่าถูกขุนวิรุฬห์โกง ท่านเลยต้องขายสวนให้เมียเขา แม่ผ่องน่ะ อาของคุณวิทูรเขาแท้ๆ นะ สวนของเขาติดกับสวนคุณตา” หยุดนิดหนึ่งแล้วต่อ “พี่จำแลงเวลานี้เป็นลูกจ้างฝรั่ง”

เกรินถอนใจใหญ่ค่อนข้างดัง “ฉันนี่ก็เรียกว่าชะตาดี เขาเกิดอะไรกันมันให้เล็ดลอดไปเจ็บเสียบ้าง ไปต่างประเทศบ้าง เออ เรื่องไปต่างประเทศนี่ได้พบท่านวิทูรที่กระทรวง เขาพูดหน้าตาเฉยว่า ที่เราได้ไปก็เพราะเขา ไม่ได้พูดเป็นเชิงลำเลิก พูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาว่าเขาต้องช่วยเรา”

“คงจะจริงกระมัง มีคุณเกรินเป็นพวกก็เป็นของดีแล้วได้ยินพี่อ้นว่าคุณวิทูรนี่มีอำนาจเงียบๆ มานานแล้ว พี่อ้นบอกว่า ทุกทีที่มีเรื่องคนคิดร้ายท่านคนใหญ่ คุณวิทูรต้องมีบทบาทอยู่ใกล้เสมอ แล้วเรื่องพี่อ้นที่ถูกฟ้อง พี่อ้นก็ว่าเพราะท่านวิทูรนี่แหละ ตอนนั้นเขาอยู่ลพบุรีพร้อมๆ กับพี่อ้นไปรักษาการตำแหน่งเจ้าเมือง เขาก็ทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา แล้วก็เขาแหละเป็นคนทำให้เรื่องซาไป แล้วกลับช่วยให้พี่อ้นได้เบี้ยบำนาญ เขาทำเล่นให้คนเห็นอำนาจ”

เกรินก้มหน้าใช้ความคิดอยู่หลายวินาที แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นเขากล่าวแก่ญาติด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อย่างเป็นจริงเป็นจัง “ที่ร้านนี้ มีทางเข้าข้างหลังไหม ถ้าจะมาเรียกให้เปิดประตูรับกลางคืนดึกๆ จะมีหวังได้เข้ามาโดยใครไม่รู้ไหม”

“มี” คุณแจ๋วตอบทันทีตามอุปนิสัย มักตัดสินใจรวดเร็วเสมอ “กินอิ่มแล้วลงไปดูซี กริ่งที่ประตูหลังมันไปดังที่หัวนอนแจ๋วเอง ตอนกลางคืนไม่มีใครได้ยินหรอก จะมีอีกคนก็ยายอิ้ง แต่แกมักขี้เซา นอนหลับเก่งจริง ไม่ค่อยตื่นเสียเลย”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ