บทที่ ๑๑

ภาพต่อไปจากนี้เป็นภาพที่ไม่ค่อยแจ่มชัดและความคิดก็สับสน เพราะเริ่มมีเหตุการณ์ที่ฉอ้อนไม่ค่อยจะเข้าใจมากขึ้น ที่ว่าไม่เข้าใจนั้นอาจเป็นเพราะฉอ้อนไม่อยากเข้าใจก็ได้ หรือไม่ยอมรับสภาวะบางอย่างของชีวิต หรืออาจเป็นความกลัวว่าจะมีบางเรื่องบางสิ่งเกิดขึ้น ซึ่งฉอ้อนไม่อยากให้เกิด อย่างไรก็ตามภาพที่ปรากฏก็ค่อนข้างจะรางเลือน และลำดับการก็ออกจะไขว้เขว แต่ภาพเหล่านี้ก็ผุดขึ้นมาในมโนจนได้

ภาพของเฌอกับภาพของคุณเกรินมักแข่งกันปรากฏ เฌอน้องที่รัก ฉอ้อนไม่เคยมีความรักอันใดยืนยงเหมือนความรักที่ให้แก่เฌอ บางคราวฉอ้อนถามตัวเองว่า เป็นไปได้ไหมว่าหล่อนรักน้องยิ่งกว่าสามีเสียอีก แต่แล้วคำตอบก็เป็นคำปฏิเสธ ถ้าหากมีกรณีหนึ่งที่ฉอ้อนจะต้องเลือกสละเฌอหรือสละสามี แน่นอนฉอ้อนต้องสละเฌอ และถ้าหากมีกรณีให้เลือกว่าถ้าหากฉอ้อนพลีชีวิตสามีจะคงอยู่ในโลกต่อไป ฉอ้อนเชื่อแน่เหลือเกินว่าหล่อนอาจพลีได้ แต่ทำไม ทุกคราวที่หล่อนพบเฌอหล่อนจึงมีความรู้สึกว่าโลกนี้มีความมั่นคง ทำให้หล่อนมีความราบรื่นเกิดในจิตใจ และเวลาที่หล่อนพบอาผ่องก็มีความรู้สึกคล้ายๆ กัน และยังมีความรู้สึกว่า เฌอกับอาผ่องมีอะไรในตัวที่ประสานกันได้สนิทสนม ทำให้ฉอ้อนเกิดความรู้สึกสบายเหมือนๆ กันในเมื่อพบอาผ่องหรือพบเฌอ แต่ในเวลาพบเฌอมีความดูดดื่มอยู่ด้วย แต่อาผ่องทำให้เกิดความราบรื่นอย่างเดียว

ก็ไม่แปลกอะไร เพราะอาผ่องเป็นคนที่น่านับถือคนหนึ่ง แต่เฌอเป็นน้องชายที่หล่อนได้ทะนุถนอมสั่งสอนอบรม และแลกเปลี่ยนความนึกคิดใกล้ชิดมาตลอดเวลา

ความนึกคิดของเฌอ จริงแหละ แปลก เฌอมีความนึกคิดแปลกๆ มาให้พี่สาวขบคิดตั้งแต่เขายังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ ระหว่างที่คุณวิทูรไปต่างประเทศเฌอก็ได้เข้าเป็นนิสิตในคณะวิทยาศาสตร์ เรียนวิชาสำหรับเตรียมเป็นนักเรียนแพทย์ต่อไป เฌอได้เข้าไปอยู่ในหอพักนิสิตของมหาวิทยาลัยตามคำแนะนำของวิทูร โดยอาผ่องเห็นด้วย เมื่อได้รับคำชี้แจงว่า การเรียนของเฌอย่อมหนักขึ้นมาก และการที่ต้องข้ามแม่น้ำทุกวัน และไปมาด้วยรถประจำทาง ทำให้เสียเวลาที่อาจใช้ในเรื่องการเรียนไปมาก

อีกคนหนึ่ง คุณเกริน วิทูรได้ฝากฝังเขาพาฉอ้อนกลับไปบ้านเดิมที่เพชรบุรี เมื่อตัวเขาไปเรียนต่อ ณ ต่างประเทศ คุณเกรินทำให้ฉอ้อนมีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน เขาดูแลฉอ้อนและลูกๆ อย่างรอบคอบ แนะนำอย่างละเอียดลออจนถึงวิธีการที่จะขนย้ายสิ่งของที่จะใช้ หรือที่จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก การตระเตรียมพาเด็กเล็กๆ สองคนที่กำลังซุกซนอย่างยิ่งเดินทางไปกับสิ่งของหลายอย่าง เป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อย เกรินเป็นห่วงใยลูกของฉอ้อนและตัวของฉอ้อน ไม่ประสงค์ให้มีสิ่งใดระคายกายระคายใจ เขาเหมือนพี่ชายที่รักน้องสาวอย่าง อย่างอะไร หล่อนเคยเหลือบมองดูเขาโดยไม่รู้สึกตัวครั้งหนึ่งระหว่างที่นั่งบนรถไฟอยู่ด้วยกัน ที่ไหนได้ ตาของหล่อนสบตาที่เขากำลังมองดูหล่อนโดยที่เขานึกว่าหล่อนไม่รู้ตัวเหมือนกัน สายตาเขาทำไมเป็นเช่นนั้น เขามองดูหล่อนเหมือนอย่างจะจำทุกส่วนของร่างเอาไว้ ทุกเส้นผมมีความหมายสำหรับเขา แววตานั้นเศร้า สายตานั้นโศก ฉอ้อนไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย แต่พอขณะนั้นผ่านไป เขาก็กลับร่าเริง เขาเล่นกับลูกของหล่อนสองคนอย่างสนุกสนาน ฉอ้อนลอบสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ เขาชอบพิจารณาลูกของหล่อนอย่างละเอียดลออ และฉอเลาะนั้นเขาชอบอุ้มชอบเคล้าเคลียเป็นพิเศษ ฉอเลาะก็ชอบคลอเคลียลุงเกรินยิ่งกว่าพ่อของแม่หนูเอง

คุณเกรินไปส่งฉอ้อนและลูกๆ คราวนั้น เขาไปค้างกับเพื่อนที่ในโรงทหาร ถึงแม้แม่จะขอต้อนรับเขาที่เรือนเก็บเครื่องมือพิณพาทย์ซึ่งกว้างขวางสบาย เขาก็ขอตัวอย่างสุภาพ บ้านของ “ท่าน” คุณหลวงกล้าฯ เป็นผู้ซื้อจากทายาท โดยทำความเข้าใจกันว่า ถ้าคุณหลวงกล้าฯ อยากจะขายต่อไป ขอให้บอกกล่าวคนในสกุลของท่านให้ทราบเสียก่อน ถ้าหากไม่มีลูกหลานในสกุลโกศลทัตหรือเหมเสนาคนใดมีกำลังจะรับซื้อ คุณหลวงกล้าฯ จึงจะขายให้คนอื่น ระหว่างที่ฉอ้อนอยู่ที่เพชรบุรี ฉอ้อนได้ไปหาคุณหลวงกล้าฯ หลายครั้ง คุณเกรินได้ไปเยี่ยมฉอ้อนระหว่างที่คุณวิทูรอยู่ต่างประเทศสองสามครั้ง และทุกครั้งที่เขาไปเพชรบุรี เขาก็ไม่ขาดเยี่ยมคุณหลวงกล้าฯ

คุณเกรินกับเฌอ เป็นอย่างไรหนอ ทำไมหน้าของสองคนชอบปรากฏเป็นภาพซ้อนกัน มีอะไรที่เขาทำร่วมกันหรือขัดกัน หรือทำอะไรพร้อมๆ กัน หรือว่าเขาพูดอะไรกระทบใจฉอ้อนในระยะใกล้ๆ กัน แล้วจดหมายของเฌอฉบับหนึ่งก็ผุดขึ้นในความทรงจำ มีข้อความคล้ายคลึงกับต่อไปนี้

“พี่จ๊ะ

ฉันไม่ได้ขียนจดหมายมาถึงพี่เสียนาน ไม่ได้เขียนถึงคุณพ่อและแม่ด้วย คุณพ่อบ่นใหญ่ไหมพี่ มันมีหนังสือท่อง มีรีปอร์ต มีอะไรร้อยแปด และก็เล่นกีฬาและก็เที่ยวนิดหน่อย แต่พี่อย่าเป็นห่วง ฉันไม่เที่ยวเหลวไหลหรอกพี่ ฉันรู้ว่าสตางค์เราไม่ค่อยมี เงินที่คุณจำลองว่าจะใส่แบงค์ให้น่ะ ไม่มีแล้วละพี่ พี่สำรวยบอก ที่พี่วิทูรเขาห้ามว่าอย่าให้ไปหาบ่อยๆ น่ะ ฉันก็ระวังเหมือนกัน แต่โดยมากอาผ่องมักใช้ให้เอาไอ้โน่นไอ้นี่ไปให้คุณๆ เล็กๆ ลูกคุณจำลองบ้าง หรือให้เจ้าคุณกับคุณหญิงบ้าง เรื่องเงินนี่นะจ๊ะพี่สำรวยเขาว่าคุณจำแลงเอาไปไช้หมด เพราะต้องใช้ทนายความต่อสู้คดี แต่ว่าไม่ต้องติดคุกเหมือนคุณจำลอง พี่จ๊ะ ฉันอยู่หอได้ยินอะไรหลายอย่างพี่ เพื่อนๆ มันพูดกัน บางคนเขาก็เข้ากับรัฐบาล เขาว่าพวกเจ้าไม่ดียังงั้นยังงี้ แต่บางคนมันก็กระซิบพูดกัน ว่ารัฐบาลไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เขาบอกว่ามีคนในพวกรัฐบาลค้าฝิ่นด้วยพี่ แล้วฝรั่งมันจะปรับ แล้วก็เอาเงินของราษฎรไปให้มันปรับ ฉันทึ่งจังพี่ แตไม่รู้จะปรึกษาใคร พี่วิทูรน่ะเขาพวกรัฐบาลร้อยเปอร์เซนต์ใช่ไหมพี่ ถ้าถามเขาก็คงด่าพวกเจ้าให้เราฟัง แล้วคุณเกรินล่ะพี่ คุณเกรินก็เป็นพวกเจ้าซินะ จะหาใครเป็นกลางยุติธรรมพูดความจริงให้เรารู้ได้นะพี่ พี่ลองถามคุณเกรินดูถี่นะ ถึงยังไงฟังไว้บ้างก็ยังดี

พี่บอกคุณพ่อกับแม่ว่าฉันคิดถึง แล้วฉันจะเขียนจดหมายถึงนะพี่ คิดถึงหลานๆ ด้วย

จากน้องที่รักของพี่

เฌอ ศิลปชาญ”

ฉอ้อนเอาจดหมายของเฌอประทับไว้กับอกโดยไม่รู้ตัว เฌอของพี่ เฌอของพี่ ทำไม ฉอ้อนหวาดอะไร หวาดทำไม วิทูรได้พูดว่า เรื่องราวต่างๆ ซึ่งคนเริ่มเรียกว่าการเมือง ไม่เกี่ยวกับฉอ้อนเพราะเป็นผู้หญิง แต่มันก็จะเกี่ยวกับทุกๆ คนเป็นส่วนรวม แต่เฌอเป็นผู้ชาย มันจะต้องเกี่ยวกับเฌอใช่ไหม ฉอ้อนก็เกิดอยากรู้อยากเข้าใจขึ้นมาอย่างมาก แต่หล่อนจะพูดกับใคร จะถามใครฉอ้อนเดาได้ว่า ถ้าหล่อนถามคุณหลวงกล้าฯ คุณหลวงคงพูดว่า “เป็นผู้หญิงอย่าไปเอาใจใส่เลย” แต่ก็ความเป็นผู้หญิงนี่ก็คือการเป็นเมีย เป็นพี่ เป็นแม่ผู้ชายไม่ใช่รึ แล้วในเมื่อผู้ชายยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จะไม่ให้ผู้หญิงยุ่งเกี่ยวอย่างไร ดูแต่คุณวนิดา ภรรยาคุณประมาณซิ ปุบปับสามีก็ถูกจับไป แล้วก็ติดคุก เคราะห์ดีไม่ถูกยิงเป้า คุณวนิดาก็บอกว่าไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่รู้เรื่องเลย และยังรำพันว่าถ้ารู้เรื่องบ้างก็ยังดี นี่มืดแปดด้าน วันหนึ่งฉอ้อนจะได้รับโชคร้ายเหมือนคุณวนิดาไหม โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว คุณวิทูรก็ถูกจับ ฉอ้อนไม่รู้มูลเหตุหรือสาเหตุ

ฉอ้อนไม่ได้ตัดสินใจ แต่โดยบังเอิญ คุณเกรินมาเยี่ยมในเวลาบ่ายวันนั้น บอกว่ามีราชการ ผู้บังคับบัญชาอยากจะใช้นายทหารคนใดคนหนึ่งมาเพชรบุรี คุณเกรินรีบเข้าไปรับอาสา เพื่อจะได้มาเยี่ยมเพื่อนฝูงเก่าๆ รวมทั้งฉอ้อนโดยไม่เสียวันราชการและยังประหยัดเงินค่าโดยสารรถไฟอีกด้วย

ฉอ้อนได้ถามขึ้นระหว่างการสนทนากันสองคนโดยเหมือนกับว่าไม่ได้จงใจจะถาม แต่สะกดความอยากรู้ไว้ไม่ได้

“คุณเกรินคะ คุณเกรินอยู่กรุงเทพฯ ได้ยินเรื่องอะไรๆ ไหมคะ”

“เรื่องอะไรน่ะอะไรฉอ้อน” คุณเกรินย้อนถาม

“เฌอเขาเขียนจดหมายมาค่ะ เขาบอกว่าพวกรัฐบาลกับพวกเจ้าไม่ถูกกัน พวกหนึ่งก็ว่าอีกพวกหนึ่งไม่ดี เขาบอกว่า พวกรัฐบาลขายฝิ่นก็มีค่ะ” ฉอ้อนเล่าด้วยความหวาดกลัวในหัวอก

“บอกเฌอ” คุณเกรินว่า “เวลานี้เฌอเป็นนักเรียน ยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไรกับบ้านเมือง ใครเขาเล่าอะไรก็ฟังๆ เอาไว้ ไม่ต้องเชื่อและไม่ต้องไม่เชื่อ ไว้เฌอโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้วจะค่อยๆ รู้ไปเอง”

“แล้วฉอ้อนล่ะ ควรจะฟังอะไรหรือไม่ควรฟังคะ ฉอ้อนรู้สึกหวาดเรื่อยตั้งแต่คุณประมาณถูกจับ เห็นแกมายืนอยู่บนหัวบันไดบ้านวันนี้และมะรืนนี้ถูกจับไปแล้ว”

คุณเกรินหันไปทางอื่น ไม่ดูหน้าฉอ้อน หล่อนเห็นลูกกระเดือกของคุณเกรินขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง แล้วสักประเดี๋ยวเขาก็พูดอย่างเรียบๆ ว่า

“อย่าไปหวาดเลยฉอ้อน มันช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากจะทำให้ใจคอไม่สบาย วิทูรน่ะเขาฉลาดพอที่จะเอาตัวรอด ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก เชื่อฉันเถอะ”

เมื่อฟังคุณเกรินแล้ว ฉอ้อนก็รู้สึกสบายใจขึ้น คุณเกรินเรียกฉอเลาะมาเล่นด้วย และอุ้มชูตาฤทธิ์พอสมควร แล้วก็ลากลับไป

ฉอ้อนยังจำจดหมายของเฌอได้อีกฉบับหนึ่ง เขียนถึงฉอ้อนที่เพชรบุรี เมื่อสงครามเริ่มในยุโรปก่อนที่วิทูรจะกลับประเทศไทย ข้อความใกล้เคียงกับต่อไปนี้

“พี่ที่รัก

ตามเคยฉันเป็นคนไม่ค่อยดีเรื่องส่งข่าวคราว มันมีการเรียนและการเล่นมากเสียจริงๆ แม่ต่อว่าไปว่าไม่คิดบ้างเลยว่าพ่อแม่ใจจดใจจ่ออยู่ที่ลูกเพียงใด พี่ช่วยกราบขอโทษแม่ให้ฉันด้วยเวลาเขียนจดหมายถึงคุณพ่อกับแม่ มันคิดเรื่องไม่ค่อยออกจริงๆ ด้วย และถึงเวลาเขียนถึงพี่ก็ต้องคิดมาก มีเรื่องที่อยากเขียน แล้วก็ต้องคิดใหม่ว่า ไม่ควรเขียน เวลานี้มีสงครามอีกพี่ก็รู้แล้ว ข้าวของที่เพชรบุรีขึ้นราคากันไหมพี่ ที่กรุงเทพฯ นี่ขึ้นกันใหญ่ทีเดียว ของที่ไม่ได้มาจากเมืองนอกก็ขึ้นไปด้วย

ฉันไม่รู้จะเล่าความในใจของฉันให้ใครฟัง ไมใช่เรื่องรักผู้หญิงหรอกพี่ รับรองฉันจะเรียนแพทย์ให้จบก่อน เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เอาไว้ทีหลัง เวลานี้คบกันเป็นเพื่อนๆ เท่านั้น ฉันไปกลุ้มใจเรื่องการเมืองน่ะพี่ เพื่อนๆ ฉันก็ตามเคย มีคนบางคนเขาก็ว่า ฝรั่งรบกันคราวนี้เป็นการรบระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ พี่คงรู้ว่าเผด็จการคือยังไงจากหนังสือพิมพ์นะพี่นะ พวกหนึ่งเขาก็ว่า ฝ่ายประชาธิปไตยนั้นมักแพ้ตอนต้นๆ แล้วในที่สุดก็ชนะ แต่อีกพวกหนึ่งก็ว่าคราวนี้เยอรมันชนะแน่ ทีนี้มันจะเกี่ยวกับเราอย่างไรหรือเปล่า มีเพื่อนบางคนเขาได้ยินมาจากพ่อแม่พี่น้องของเขา เขาว่าถ้าเผด็จการชนะเมืองไทยก็ไม่มีหวังจะเป็นประชาธิปไตย เสียแรงที่คณะราษฎร์เสี่ยงชีวิตไปเรียกร้องเอาอำนาจจากพระเจ้าแผ่นดินมาให้ประชาชนคนไทย แล้วเสียแรงที่พระเจ้าแผ่นดินท่านอุตส่าห์เสียสละพระราชทานอำนาจไปให้แก่ประชาชน เแต่บัดนี้พวกเผด็จการกำลังจะเฟื่องฟู ถ้าเป็นเผด็จการ ประช่าชนก็ไม่มีปากมีเสียงอะไรเลยละ ที่ว่ากันว่าสมัยก่อนมะพร้าวห้าวยัดปากนั้น เป็นแต่เพียงกล่าวเป็นสำนวนเปรียบเทียบ แต่ถ้ามีเผด็จการมันจะปิดปากด้วยวิธีต่างๆ ยิ่งไปกว่าเอามะพร้าวห้าวยัดปากอีก ส่วนพวกที่นิยมเผด็จการ เขาก็พูดว่าอังกฤษฝรั่งเศสไม่ดีแก่ประเทศไทย ขอให้ฉิบหายวายวอด ที่คุณเกรินเคยว่า เรายังเป็นนักเรียนให้ฟังๆ อยู่ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไวน่ะ มันอดไม่ได้นะพี่ คนเราโตขึ้นมาทุกวัน เป็นลูกผู้ชาย จะไมให้คิดอะไรบ้างเชียวหรือ เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยนี่ ที่ประเทศอื่นๆ เขาก็ไม่ว่าเป็นเด็กๆ การที่เมืองไทยคอยแต่บอกว่าเป็นเด็กๆ อาจเป็นเพราะไม่นิยมประชาธิปไตยจริง อย่างที่พวกหนึ่งเขาว่าก็ได้ ที่จริงเราเรียนแพทย์ถึงยังไงๆ เราก็ต้องรักษาคนเจ็บไม่ว่าจะเป็นพวกไหน แต่จะห้ามไม่ให้คิดอะไรเลยอย่างไรได้เล่าพี่ แต่ก็มีแยะคนที่เขาไม่คิดอะไร เล่นสนุกไปวันหนึ่งๆ และก็เรียนไปตามอาจารย์สอน มันเปนคนๆ ไป แต่ฉันมันอดคิดไม่ได้ กาคิดนั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอะไรหรอก ซึ่งยังไงเราก็ต้องเรียนให้จบก่อนยังอีกตั้งหลายปี แต่ถ้ามีคนที่เราอาจจะคุยด้วยโดยไม่กลัว ไม่ต้องระวังว่าจะกลายเป็นพวกนั้นคนนี้ มันก็คงจะเบาใจขึ้นอีกแยะจริงไหมพี่

หลานๆ มันซนกันใหญ่ไหม ยายฉอเลาะละตัวดีทั้งที่เป็นผู้หญิง ตาฤทธิ์ก็ฤทธิ์มากน่ะแหละสมชื่อมัน ฉันคิดถึงหลานทั้งสองคน และคิดถึงชะเอมด้วย ชะเอมดีเขียนจดหมายบอกข่าวนิดๆ หน่อยมาเสมอ พี่คอยสนับสนุนให้ชะเอมได้เรียนมหาวิทยาลัยนะพี่ สมัยนี้ถ้าใครเรียนได้เขาก็เรียนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

รักและคิดถึงพี่จริงๆ

เฌอ”

จดหมายนี้แสดงถึงความเจริญในทางสมองและจิตใจของเฌอมาก และทำให้ฉอ้อนเริ่มคิดถึงอนาคตของน้องสาวด้วย จริงแหละ ชะเอมจะมีอนาคตเป็นอย่างไร เวลานั้นชะเอมเรียนหนังสือกำลังจะจบชั้นของโรงเรียนที่เพชรบุรีแล้ว ถ้าจะให้ชะเอมเรียนถึงขั้นมหาวิทยาลัย จะให้ไปอยู่กับใคร จะให้ไปอยู่กับอาผ่องอีกหรือ จะให้ข้ามแม่น้ำทุกวันเหมือนเด็กผู้ชาย จะได้หรือ ฉอ้อนตั้งใจว่าเมื่อถึงคราวที่ชะเอมจะต้องเข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ ฉอ้อนจะให้ชะเอมไปอยู่กับคุณแจ๋วให้ได้ โดยไม่ฟังเสียงของวิทูร เด็กผู้หญิงคุณแจ๋วคงไม่รังเกียจแน่ โดยเฉพาะชะเอม

แต่ภายในปีนั้น ระหว่างที่ฉอ้อนเตรียมตัวไปสมทบกับสามีที่อุบลราชธานี ฉอ้อนก็ได้ข่าวว่า คุณแจ๋วผู้ซึ่งได้รับราชการเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในพระนคร ได้ย้ายออกไปรับราชการที่จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมกันนั้นยังได้รับจดหมายจากเฌอ บอกว่าได้ทราบจากสำรวยว่าคุณแจ๋วได้หมั้นกับคุณเกรินแล้ว แต่พอฉอ้อนไปถึงอุบลฯ ก็ได้ทราบว่าคุณเกรินไปรับราชการที่นครศรีธรรมราช ต่อจากนั้น ฉอ้อนกับคุณแจ๋วก็ขาดการติดต่อกันไปหลายปี

ชีวิตของหล่อนที่มาเปลี่ยนแปลงก้าวขึ้นเป็นอย่างปัจจุบันนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และความรักระหว่างหล่อนกับสามีได้แปรรูปมาเป็นอย่างปัจจุบันนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ความรักระหว่างเขากับหล่อนในขณะนี้เป็นอย่างไร เขารักหล่อนหรือไม่ หล่อนรักเขาหรือไม่ หล่อนตอบตัวเองได้ว่าหล่อนรักเขาแน่ รักเขาอีกมาก เมือคืนนี้เมื่อหล่อนแต่งตัวเสร็จ สวมอาภรณ์ชิ้นที่มีค่าและเป็นศิลปกรรมล้ำเลิศ ซึ่งเขานำมาให้หล่อนด้วยความภาคภูมิใจฉายเห็นชัดในแววตา หล่อนยินดีที่จะให้เขาชมยิ่งกว่าใครอื่น เกือบจะว่าหล่อนพอใจที่จะแต่งกายเพื่อเขาก็ได้ ถ้าเขาไม่เห็นหล่อนสวย ถ้าเขามิได้นำอาภรณ์ชิ้นนั้นมาให้หล่อนด้วยแววตาเช่นนั้น หล่อนก็คงจะไม่ยินดีเลย

แล้วหล่อนก็อดที่จะคิดทบทวนรำลึกถึงแววตาของเฌอไม่ได้ หล่อนพยายามอ่านสีหน้าของเขาเมื่อคืนนี้และเช้าวันนี้ แต่อ่านไม่ออก นานแล้วที่หล่อนอ่านเฌอไม่ออก ใครเปลี่ยนไปมากกว่าใคร เฌอผู้ที่เคยเล่าให้หล่อนฟังทุกอย่าง เคยอวด เคยปรับทุกข์ต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก เขาได้เลิกให้ความไว้วางใจแก่หล่อนเสียแล้ว มันเปลี่ยนไปแต่เมื่อไหร่ ฝ่ายคุณเกรินกับคุณแจ๋ว เมื่อได้หมั้นกันแล้ว ทำไมจึงไม่แต่งงานกัน เมื่อคืนนี้ยังมีคนแนะนำให้หล่อนรู้จักลูกของคุณเกริน เขาแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่และทำไมฉอ้อนจึงไม่ได้ทราบถึงการแต่งงานของเขาเลย

ฉอ้อนไม่ได้ยินเรื่องราวของใคร ไม่มีใครมาเล่าเรื่องที่หล่อนอยากรู้ให้ฟังมานานแล้ว เรื่องราวต่างๆ นั้นหล่อนได้ยินมาก แต่ไม่ใช่เรื่องที่หล่อนใคร่จะรู้แต่เป็นเรื่องที่คนอื่นเขาใคร่จะให้หล่อนรู้

ส่วนคุณวิทูรเล่า ฉอ้อนไม่ได้จากเขานานเท่าใด แม้ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา หล่อนก็จากเขาเพียงระยะสั้น แต่ทำไมหล่อนจึงมีความรู้สึกในบางครั้ง ว่าเขากับหล่อนในบางโอกาสก็อยู่กันคนละพิภพ

จะว่ามันเริ่มตั้งแต่กรณีพิพาทอินโดจีนจะได้กระมังหรือเริ่มตั้งแต่เขากลับจากต่างประเทศ หรือตั้งแต่เขาไปต่างประเทศ ระหว่างที่เขาไปต่างประเทศ ฉอ้อนนึกขึ้นได้ถึงคำกล่าวของ “ท่าน” เรื่องผู้ชายไม่สนับสนุนให้ผู้หญิงเรียนอะไร แล้วก็บอกว่าไม่ต้องรู้อะไรเพราะไม่ได้เรียน วิทูรกลับจากต่างประเทศ ความรู้ของเขาคงจะห่างจากฉอ้อนไปอีกมาก หล่อนมิได้นิ่งอยู่เฉยระหว่างที่ได้กลับไปอยู่บ้านเดิมที่เพชรบุรี หล่อนได้ไปหาอาจารย์เก่าขอร้องให้สอนภาษาอังกฤษให้เป็นพิเศษ หล่อนไปเรียนกับอาจารย์สัปดาห์ละสามครั้ง เรียนพูด ซึ่งไม่ยากเพราะเคยพูดประโยคง่ายๆ ธรรมดาๆ ตั้งแต่อายุน้อย อาจารย์เก่าได้แนะนำให้อ่านหนังสือ ฉอ้อนยินดีที่สุด หล่อนรับหนังสือมาอ่าน ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ จนยากขึ้น ยาวขึ้น ถึงแม้จะอ่านได้ไม่เข้าใจทะลุปรุโปร่ง แต่ก็เข้าใจส่วนสำคัญ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ฉอ้อนก็พยายามอ่าน ที่ไหนมีข่าวตรงกับภาษาไทย ฉอ้อนอ่านตรงนั้น ช่วยให้เดาเรื่องได้และสังเกตศัพท์หรือคำใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน และแล้วก็ไปถามอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง

ในด้านการเงิน อยู่ในขั้นที่เรียกว่าสมบูรณ์ เงินเดือนของสามีหล่อนได้รับ และมีรายจ่ายน้อยที่สุด อาหารก็รับประทานกับบิดามารดา นานๆ ครั้งก็ซื้อกับข้าวหรือผลไม้มาให้ท่านได้ลิ้มรสแปลกบ้าง ที่หมดเปลืองสักหน่อย ก็คือน้ำนมวัวสำหรับฉอเลาะ ซึ่งฉอ้อนให้รับประทานตามคำแนะนำของอาจารย์แหม่ม ซึ่งไม่ถูกใจแม่ แต่แล้วฉอเลาะก็ตัดสินโดยเลิกรับประทานไปเอง ลูกคนเล็กก็รับน้ำนมของฉอ้อน และเมื่ออดแล้วก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป มาหวนคิดดูแล้ว รายได้เดือนหนึ่งไม่ถึงสองร้อยบาท ทำให้ฉอ้อนสมบูรณ์พูนสุขเสียจริงๆ ฉอ้อนจึงมีเงินไปบูชาครูเพื่อช่วยให้เลี้ยงเด็กกำพร้าเดือนหนึ่ง ๑๕ บาท ถ้าแม่ทราบแม่ก็คงจะบ่นว่าหมดเปลือง แต่ฉอ้อนไม่บอกให้ทราบ และแม่ก็ไม่นึกจะถาม ชะรอยจะเชื่อเอาเองว่าอาจารย์สอนให้เปล่าๆ เหมือนกับคุณพ่อสอนระนาดสอนฆ้อง ลูกศิษย์คนไหนจะนำเงินหรืออย่างอื่นมาให้หรือไม่นำมาเลยก็ได้

คำกล่าวหาใดๆ ว่าพระราชวงศ์ทำให้ราษฎรเดือดร้อนในกาลก่อน จนต้องเปลี่ยนการปกครอง ฉอ้อนย่อมเชื่อไม่ได้ และแปลกใจทุกครั้งที่สามีกล่าวคำใดไปในทำนองนั้น แต่เมื่อผู้กล่าวคือผู้ที่หล่อนรักอย่างยิ่งฉอ้อนก็จำเป็นต้องพยายามเข้าใจ ครั้งหนึ่งหล่อนเคยลองถามคุณหลวงกล้าฯ ในเรื่องนี้ เมื่อได้อ่านพบบทความในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกความเห็นกล่าวร้ายราชวงศ์คุณหลวงกล้าฯ ตอบว่า

“ไอ้พวกที่เขียนลงหนังสือพิมพ์แบบนี้ มีอยู่ ๓ จำพวก พวกหนึ่งรับจ้างเขียน เขาให้เขียนว่ายังไง มันก็เขียนตามนายจ้างบอก อีกพวกหนึ่งมันไม่ได้เรียนพงศาวดาร ไม่รู้ความจริง รู้แต่ที่เขาบอกเล่าให้ฟังอย่างผิวเผิน อีกพวกหนึ่งมันโกรธเคืองกันส่วนตัว เช่นเจ้านายองค์หนึ่งไปทำดูถูกมันหรืออะไรอย่างนั้น มันก็เลยเกลียดทั่วไปหมด” คุณหลวงกล้าจบคำพูดของท่านเหมือนคนที่หล่อนเคยพูดคุยด้วย “เอาใจใส่เหมือนกันหรือเรื่องพรรณนี้ ผู้หญิงยิงเรือไม่น่าจะเอาใจใส่” เป็นเหตุให้ฉอ้อนท้อใจ ไม่กล้าจะซักอะไรอีก

แต่ระหว่างที่เตรียมตัวจะอพยพจากเพชรบุรี ฉอ้อนได้มีโอกาสพบเกรินอีกครั้งหนึ่ง วิทูรมาเยี่ยมภรรยาและบุตรแล้วก็รีบไปราชการ จึงวานเพื่อนให้มาช่วยดูแลครอบครัวของเขาตามที่เคยทำ หล่อนมีโอกาสได้คุยกับเกรินนานพอสมควรที่บ้านของหล่อนเอง หลังจากได้เลี้ยงอาหารเวลาค่ำให้เขาอิ่มหนำสำราญแล้ว

“คุณเกรินคะ คุณวิทูรเขาเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ดิฉันมองๆ ก็ไม่ออกจะว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน” หล่อนปรารภ

คุณเกรินหัวเราะน้อยๆ “ก็แปลว่าไม่เปลี่ยน ถ้าอย่างนั้น” เขาว่า

“แหม ทำไมนะ ผู้ชายจึงดูถูกผู้หญิงเสียจริง” ฉอ้อนพูดอย่างขัดใจนิดหน่อย “หรือเป็นเพราะฉอ้อนไม่ได้เล่าเรียนกี่มากน้อย รู้สึกว่าพูดอะไรขึ้นต้องถูกปิดปากทุกที”

“อ้าว แล้วกัน” เกรินว่า “ไม่ใช่ปิดปาก แต่ว่า” เขานิ่งไปสักครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “คือเขาไม่อยากให้กลุ้มใจ”

“แปลว่า ถ้าพูดให้ฟังก็จะต้องกลุ้มใจ ก็แปลว่ามีอะไรที่ควรให้รู้ แต่ไม่ให้รู้เพราะถือว่ารู้ก็ทำอะไรไม่ได้” น้ำเสียงของฉอ้อนแสดงความไม่พอใจซึ่งหล่อนพยายามไม่ให้ออกมามากเกินไป

คุณเกรินถอนใจใหญ่เบาๆ ขยับจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ฉอ้อนกล่าวขึ้นก่อน

“ถ้าเป็นคุณแจ๋ว คุณเกรินจะพูดไหม”

“เอ ฉอ้อนคำถามนี้ไม่ยุติธรรม ฉอ้อนถามถึงสามีของฉอ้อน ว่าฉันเห็นว่าเปลี่ยนไปหรือไม่เปลี่ยน มันเป็นเรื่องใกล้ชิดมาก แต่คุณแจ๋วเขาไม่มีสามี เขาไม่เคยถามอย่างนี้”

“นั่นซี เรื่องสามีของฉอ้อน ฉอ้อนถามเรื่องสามี แล้วคุณเกรินว่าถ้าพูดก็จะกลุ้มใจ ก็ต้องแปลว่ามีอะไรที่ฉอ้อนจะต้องกลุ้มใจ แต่เป็นเด็กเกินไป หรือโง่เกินไปถึงไม่ให้รู้ ไม่พูดไม่ตอบ”

“อือ” เกรินทำเสียงในลำคอ แต่ในแววตาของเขาดูมีความพอใจมากกว่าไม่พอใจ “ออกจะเสียท่าเอามาก นี่แน่ะ ฉอ้อน ธรรมดาของมนุษย์ทุกคนต้องมีความเปลี่ยนแปลง ถ้าเราอยู่ด้วยทุกวันๆ เราก็ไม่สังเกต ทีนี้ ถ้าเขาจากไปนาน เราก็สังเกต”

“แน่ะ พูดปิดปากอีกแล้ว ตอบอย่างนี้คือจะไม่ให้ซักต่อ แต่ว่าวันนี้ฉอ้อนจะไม่กลัวละ จะซักให้ได้ คุณเกรินว่าคนต้องเปลี่ยนทุกคน อย่างฉอ้อนนี้เปลี่ยนไปทางไหน ตั้งแต่คุณเกรินรู้จักมา”

“ฉอ้อน” คุณเกรินพูดพลางมองดูหล่อน แววตาอย่างที่ฉอ้อนเคยแอบเห็นครั้งหนึ่งเกิดขึ้น เป็นแววตาที่หวานซึ้งและเศร้า แต่เป็นอยู่เพียงขณะเดียว คุณเกรินก็กลับเป็นทหารที่เป็นผู้ใหญ่ ที่พูดอะไรคมคาย ที่เป็นห่วงใยครอบครัวของเพื่อนอย่างที่ทุกคนรู้จัก “ฉอ้อนเปลี่ยนจากเป็นเด็กสาวไปเป็นแม่คน เป็นแม่ที่ดี เลี้ยงลูกดี ไม่ตามใจจนเกินไป ไม่ข่มจนเกินไป เด็กที่เป็นลูกของฉอ้อนมีบุญ”

ถึงเวรที่ฉอ้อนจะถอนใจยาว “เอ้า คุณเกรินจะทำสุภาพบุรุษพูดอย่างนั้นก็ได้ ทีนี้คุณวิทูร คุณเกรินก็ไม่ได้เห็นเขามานาน แล้วสังเกตว่าเขาเปลี่ยนไปอย่างไรล่ะ”

อีกครั้งหนึ่งที่คุณเกรินหัวเราะเบาๆ อย่างพอใจในลำคอ “เอ้าเมื่อจะซักกันก็ได้ วิทูร เขามั่นใจตัวเขาขึ้นอีกมาก เขาเป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว เขาเป็นคนฉลาด เมื่อไปเห็นประเทศต่างๆ ตั้งหลายประเทศ เขาก็มีความคิดความเห็นมากขึ้น”

ฉอ้อนจ้องดูคุณเกรินอยู่หลายอึดใจ แล้วถาม “คุณเกรินคะ ทำไม คุณวิทูรนี่ฟังๆ เหมือนเขาไม่ชอบเจ้า แล้ว แล้ว คุณเกรินกับเขาเคยพูดกันเรื่องการเมืองไหม เป็นเพื่อนกันแล้วไว้วางใจกันพูดอะไรๆ กันทุกอย่างไหม”

เกรินมองไปอีกทางหนึ่ง สีหน้าเศร้าปรากฏขึ้นแต่ประเดี๋ยวเดียว เขาก็กลับยิ้มน้อยๆ ตามธรรมดาของเขาอีก “ถ้าพูดไป ฉอ้อนก็จะหาว่าผู้ชายดูถูกผู้หญิง ไม่ยอมพูดอะไรด้วยอีก แต่ที่ตอบนี้ตอบความจริง ตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองมา ฉันก็ทำใจ ในเมื่อเจ้านายท่านไม่หวงอำนาจของท่าน ท่านยกไปให้คนอื่น ท่านตั้งใจจะยกให้ประชาชน แต่มันพลัดไปอยู่ที่คนอื่น ท่านก็หมดความสามารถจะแก้ไขอย่างไร ฉันก็ทำใจว่า เราเป็นทหารเป็นอะไรอย่างอื่นไม่เป็น เพราะไปเรียนไอ้วิชานี้ วิชาอื่นไม่ได้เรียน เราเป็นทหารถ้ามีอะไรทำในหน้าที่ทหารก็จะทำ เรื่องใครควรจะมีอำนาจ มีแล้วจะเป็นอย่างไรดูๆ ไปยังไม่ออก ต้องก้มหน้ารับเงินเดือนทหารไปก่อน ถ้ามีทรัพย์มากกว่านี้ อาจตะเกียกตะกายออกไปทำมาหากินอย่างอื่นก็ได้ แต่ในเมื่อยังเป็นทหารอยู่ ก็ถือวินัยทหาร เขาว่าไม่ให้ยุ่งกับการเมือง หมายความถึงไม่ให้ยุ่ง เรื่องใครมีอำนาจ ใครควรมีแค่ไหน เขาว่านั้นมันธุระของนักการเมือง ฉันก็ทำตามวินัยนั้น เพราะอย่างนั้น ฉันก็ไม่พูดกับวิทูร ไม่ให้โอกาสที่เขาจะพูดอะไร ทำอย่างนี้จะถูกหรือไม่ถูก ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เวลานี้มีความรู้เพียงแค่นี้ ก็ทำอย่างนี้ไปก่อน”

นึกมาถึงคำพูดตอนนี้ ฉอ้อนน้ำตาคลอตาขึ้นมาเฉยๆ รู้สึกสงสารคุณเกรินขึ้นมาจับใจ ทำไม ฉอ้อนไม่เข้าใจตัวเอง จำได้แต่ว่า ตั้งแต่พูดกับเขาวันนั้นแล้ว ฉอ้อนจับได้ว่า เขามีขณะที่เขาเศร้าบ่อยๆ แล้วความเศร้าก็ผ่านไปหรือถูกเขาสลัดออกไปเสีย แล้วเมื่อคืนนี้ที่บ้านพระยาสุเรนทรฯ เมื่อเขาเข้ามาหาหล่อน หล่อนจะอุปาทานหรืออย่างไร หล่อนว่าเขามีแววเศร้าอย่างนั้นในดวงตาอีก แต่แล้วก็หายไปทันที ที่หล่อนเริ่มทักทายปราศรัย แต่เขาไม่ได้เรียกลูกชายของเขาให้เข้ามาหาหล่อน ตามธรรมเนียมของคนที่เคยคุ้นกันมานาน หล่อนรู้ว่าชายหนุ่มสองคนเป็นลูกของคุณเกริน โดยบังเอิญญาติของเขาคนหนึ่งถามถึง ยิ่งกว่านั้นคุณเกรินเข้ามาหาหล่อน ณ ที่นั่งของหล่อนในปะรำ ก็ดูเหมือนเป็นการเข้ามาหาโดยมารยาท ไม่ใช่เข้ามาด้วยความยินดีที่จะได้พบหล่อน

ฉอ้อนเดาเอาอย่างไกลจากความแน่ใจเป็นอันมากว่าคุณเกรินเกรงตำแหน่งอันสูงส่งของสามีหล่อน ทำไมคุณเกรินจะต้องเกรง จะเอาความคุ้นเคยของคุณเกรินกับฉอ้อนไปเทียบกับมิตรสหายอื่นจะได้หรือ ฉอ้อนได้พบบ่อยๆ ภายในเวลา ๘-๙ ปีมานี้ ที่มีมิตรสหายเข้ามาหามาทัก แล้วก็ทำครึ่งเล่นครึ่งจริงให้เห็นว่าหล่อนอยู่ในตำแหน่งสูง ไม่สมควรที่เขาจะเข้ามาตีตนเสมอ หรือทำเป็นเพื่อนกันอย่างแต่ก่อน ในตอนแรกๆ ฉอ้อนรู้สึกเสียใจและเปลี่ยนมาเป็นรำคาญมาก แล้วเปลี่ยนเป็นรำคาญน้อย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ มีแต่ความสงกา หล่อนรู้สึกสนุกที่จะขบปัญหามนุษย์นี้เป็นบางครั้ง ขัดเคืองเป็นบางคราว และบางครั้งก็นึกเศร้านิดๆ แต่ในรายคุณเกรินนี้หล่อนไม่รู้สึกสนุกเลย รู้สึกกังวลอย่างไรอยู่

แต่หล่อนจำคำพูดอีกตอนหนึ่งของคุณเกรินที่เพชรบุรี ในค่ำวันนั้นไว้ได้ “ฉอ้อน ถ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปในบ้านเมืองอย่างของเรา ต้องอย่าคิดมาก ดูๆ ไป หัดสนุกกับทุกๆ อย่าง มีอะไรพอจะทำได้ก็ทำไป แต่อย่าเอาอะไรมาฝังจิตฝังใจ แม้แต่วิทูรฉอ้อนก็ต้องรู้ว่า เขาอยู่ในสมัยที่บ้านเมืองกำลังเปลี่ยน บางโอกาสเขาก็จะเปลี่ยนไปทันกับบ้านเมืองพอดี บางโอกาสเขาก็ล้ำหน้าบ้านเมืองไป บางโอกาสก็อาจเปลี่ยนไม่ทัน ฉันไม่มีความรู้เรื่องชีวิตจนได้คิดถึงเพียงนี้หรอก คุณลุง เจ้าคุณโกศลราชสภา อ้อ รู้จักซินะ ก็พ่อคุณแจ๋วนั่นเอง ท่านเอาหนังสือฝรั่งมาชี้ให้อ่าน ฝรั่งเขาเคยผ่านเหตุการณ์อย่างบ้านเมืองเรานี้มา เขาเขียนเอาไว้ ฉันว่าใช้ได้ แล้วก็ แล้วก็ วิทูรน่ะ เขาเป็นคนชนิดที่ต้องมีบทมีบาท จะให้เป็นคนดูเหมือนฉันน่ะไม่ได้ คนมีบทก็จะต้องเสี่ยงภัยบ้างทำผิดบ้าง ทำถูกบ้าง ฉอ้อนฟังเท่านี้ไปก่อน ไอ้ที่จะถามฉันจะเอาความรู้อะไรที่แน่นอน ฉันก็ไม่แน่พอที่จะบอก บอกไปแล้วผิดๆ ถูกๆ ก็จะเสียประโยชน์เปล่าๆ”

“แล้วเฌอล่ะคะ” ฉอ้อนถาม “เฌอแกเป็นผู้ชาย แกบอกว่าแกอดคิดอดอยากรู้ความจริงไม่ได้ ได้ยินคนนั้นบอกอย่างนั้น คนนี้บอกอย่างนี้ แกว่าแกเดือดร้อน อยากรู้ความจริงให้แน่ๆ ลงไป”

“เอ้อ ฝรั่งอีกละ” คุณเกรินว่า “ฝรั่งเขาเขียนไว้อีกละ ว่าความจริงเกี่ยวกับบ้านเมือง มักไม่ค่อยมีใครรู้จนกว่าเวลาจะผ่านไปนาน บอกเฌออย่างที่ฉันเคยแนะนำคราวก่อน ถึงรู้ไป ก็ไม่ทำให้เฌอทำอะไรได้ เพราะต้องเรียนให้จบ ฟังเอาไว้ หมายเหตุเอาไว้ พอเรียนจบ เฌอก็จะรู้ความจริงบ้าง และบอกด้วยว่าฉันไม่ติเฌอเลย เด็กอย่างเฌอมีคุณค่าแก่บ้านเมือง เขาจะเป็นคนรู้คิดต่อไปภายหน้า เวลายังเล่าเรียนนี่ อย่าไปกลุ้มใจอะไรเลย ถ้าฉันไปกรุงเทพฯ มีโอกาสก็จะพยายามพบเฌอ”

“ฉอ้อนกราบล่ะค่ะ คุณเกรินพยายามจริงๆ นะคะ เฌอคงจะยินดีมากทีเดียว”

คิดมาถึงตอนนี้ เอาอีกแล้ว ฉอ้อนรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา ซึ่งหล่อนก็ไม่เข้าใจตัวเอง

หลังจากการรบเรียกดินแดนคืน ชีวิตของฉอ้อนเปลี่ยนไปอย่างหนึ่งที่หล่อนสังเกตได้ด้วยตนเอง สามีของหล่อนมีตำแหน่งสูงขึ้น เป็นผู้บังคับกองพันแล้ว แต่ไม่ใช่มีตำแหน่งสูงขึ้นเท่านั้น เขาได้รับความเอาใจ ความสนใจจากบุคคลทั่วไป ทั้งทหารและพลเรือน และฉอ้อนก็ทำความรู้จักกับมิตรสหายใหม่ๆ อีกหลายคนในระยะนั้น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ