บทที่ ๒๓
คุณแจ๋วกลับมาถึงร้าน พบความอากูลวุ่นวายจนเอาส่ำไม่ได้ คนสามคนวิ่งออกมารับเมื่อคุณแจ๋วก้าวเท้าจากรถที่คุณเกรินให้มาส่ง ภายหลังจากที่ได้ไปส่งคุณเกรินที่กระทรวงแล้ว ทุกคนร้องขอให้คุณแจ๋วแก้ปัญหา คนหนึ่งร้องว่าจีนที่เคยส่งข้าวสารนำข้าวมาส่งไม่ถูกต้องตามสัญญา คนหนึ่งรายงานว่ามีคนมารับประทานอาหารแล้วเอาธนบัตรปลอมจ่ายให้ แล้วก็รีบออกจากร้านไป จะเรียกตัวไว้ก็ไม่ทัน อีกคนหนึ่งร้องว่าตู้เย็นเสีย เรื่องหลังเป็นเรื่องสำคัญกว่าสองเรื่องแรก คุณแจ๋วออกคำสั่งให้สอิ้งไปขออาศัยโทรศัพท์ที่ร้านนายสุน เรียกช่างมาแก้ด่วน อีกสองเรื่องคุณแจ๋วปลอบให้ระงับไว้ก่อน พอทำให้เกิดความเรียบร้อยในเรื่องกิจการของร้านพอสมควรแล้ว คุณแจ๋วก็เดินจะขึ้นไปชั้นบน พอไปถึงประตูระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลังของร้าน ก็มีเสียงเรียก
“น้าแจ๋ว คุณน้า”
คุณแจ๋วเหลียวซ้ายแลขวา มองไปทางห้องอาหารเล็กที่เคยพาลูกค้าที่ชอบความสงบเข้าไปรับประทานอาหารก็พบลำไยยืนอยู่ที่ประตู กวักมือเรียกคุณแจ๋ว และทำปากให้เข้าไปหา คุณแจ๋วถอยหลังจากที่ยืนอยู่ หันกลับไปทางห้องเล็กนั้น พอเข้าไปใกล้ ลำไยก็ยื่นมือมาดึงแขนคุณแจ๋วให้เข้าไปห้อง รูดม่านปิดช่องประตู แล้วดึงต่อไปให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ตัวเองก็ลงนั่งเก้าอี้ถัดไป แล้วก็ยกมือขึ้นปิดหน้า บอกแก่คุณแจ๋วพลางสะอื้น
“เขาตายแล้วละคุณน้า เขาตายก่อนไปถึงโรงพยาบาลอีก” แล้วสะอื้นต่อไป
“ใคร” คุณแจ๋วเดาไม่ถูกจริงๆ ไม่รู้ว่าลำไยเกี่ยวข้องกับใครที่ไปโรงพยาบาล
“วรชาติไงคุณ คุณน้า ก็เขาไปยิงนายชัยฤทธิ์ แล้วทหารยามที่บ้านเขายิงเอา”
คุณแจ๋วขนลุกซู่ทั้งตัว “วรชาติ ลูกเขยพี่เพ็ญน่ะรึ” คุณแจ๋วถาม “เรื่องราวมันเป็นยังไงกัน”
“เมื่อคืนนี้ เฉิดฉันเขาไปนั่งรถเที่ยวกับชัยฤทธิ์ วรชาติเขารออยู่ที่บ้านจนดึกมากถึงได้กลับมาส่งเฉิดฉันที่ประตู ไม่เข้าบ้าน วรชาติก็เผ่นขึ้นรถอีกคันหนึ่ง ขับตามไปทันกันที่ประตูบ้านเขา ควักปืนออกมาก็ยิงเลย”
“แล้วเฉิดฉันเป็นยังไงบ้างนี่” คุณแจ๋วถาม
“หนูไม่ได้ดูว่าเขาเป็นยังไง” ลำไยตอบแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น “หนูไม่ควรเลย ไม่งั้นวรชาติก็จะไม่ตาย หนูไม่ควรท้าวรชาติ ถ้าหนูไม่งอน วรชาติกับหนูก็จะได้แต่งงานกันไปแล้ว คงไม่ได้แต่งกับเฉิดฉัน เฉิดฉันเขาแต่งกับวรชาติเพราะเขารู้ว่าหนูท้าวรชาติให้ไปแต่งงานกับเขา เพราะหนูแท้ ๆ วรชาติถึงเป็นอย่างงี้”
คุณแจ๋วยังไม่รู้เรื่องอะไรดีนัก แต่รู้ว่าลำไยต้องการคนปลอบโยน และกำลังโศกเศร้าอย่างลึกซึ้ง คุณแจ๋วเอาแขนโอบหลังหลานห่างๆ ซึ่งทำตัวสนิทกับคุณแจ๋วตลอดมา กอดไว้แนบกับตัวคุณแจ๋ว แต่ไม่รู้จะปลอบว่าอย่างไร ลำไยได้รับความเห็นใจก็รำพันต่อไป
“แรกทีเดียวน่ะ หนกับวรชาติชอบกัน ชอบคุยกัน ล้อเล่น ไปดูหนังด้วยกัน แล้วก็ผู้ใหญ่เรานี่แหละคุณน้า ก็ทำทีท่าไม่พอใจ เพราะวรชาติเขาจน พ่อเขาลาออกจากราชการเมื่อคราวมีการกบฏอะไร หรือที่ใครถูกจับอะไรหนูก็จำไม่ได้ วรชาตินี่น่าสงสารมาก แม่เขาตายแต่เล็กๆ พ่อแต่งงานใหม่ แม่เลี้ยงก็เจ้ายศ เห่อราวกับอะไรดี เวลาเขามาหาคุณตาทีหนึ่ง เขาทำตัวเป็นหลานสนิททั้งทางคุณยายคุณตา คุณน้าก็เคยรู้จักไม่ใช่เรอะ หนูเคยถูกบอกให้เรียกเขาป้าผกา ชื่อเต็มเขาชื่อผกากรอง”
คุณแจ๋วพยายามระลึก แต่นึกไม่ออก ญาติทางบิดาและมารดาของคุณแจ๋วมีหลายกลุ่มหลายพวก หลายตระกูล คุณแจ๋วเป็นคนจำเรื่องราวที่น่าคิดของมนุษย์ได้ดี แต่จำชื่อคนหน้าคนไม่ค่อยเก่ง แต่เพื่อจะไม่ให้ลำไยรู้สึกว่าคุณแจ๋วไม่สนใจ คุณแจ๋วจึงพยักหน้า และกล่าว “เล่าไปอีกซิ ลำไย”
“คนพวกเราถูกออกจากราชการจะรู้จักไปทำอะไรนะ คุณน้า” ลำไยรำพันต่อไป “คุณพ่อวรชาติไปทำค้าขายอะไรก็ถูกโกงบ้างอะไรบ้าง บำเหน็จบำนาญก็นิดเดียว ลงท้ายรับจ้างบริษัทจีนๆ อะไรที่เขาสงสาร เขาก็อุตส่าห์ให้ลูกเขาเรียนจนจบจุฬา แม่เลี้ยงวรชาติกับพ่อน่ะ เขาเลิกกันไปตอนไหนหนูก็จำไม่ได้แน่ แต่ตั้งแต่เลิกกับแม่เลี้ยงแล้ว พ่อของเขาก็ค่อยเอาใจใส่กับเขา เขาก็อยู่กันพ่อๆ ลูกๆ ทีนี้พอหนูพามารู้จักพวกพี่ป้าน้าอากลับถูกดูถูกอีก มันแปลว่าอะไรกัน เดี๋ยวก็ถือตระกูล ถือพวก แต่ที่จริงก็ถือเงินนั่นเอง”
“หนูอย่าไปคิดให้ขมขื่นเลย ลำไยจ๋า” คุณแจ๋วคิดหาคำปลอบ “คนเราเหมือนๆ กันทั้งนั้น รักลูกหลานก็อยากจะให้ดีที่สุด อย่างหนูเป็นหลานของคุณตา เป็นธรรมดาคุณแม่ คุณป้า คุณน้า ก็อยากให้ได้สามีทั้งรวยทั้งมีตระกูลทั้งมีดีกรีอะไรต่ออะไร เรื่องที่แล้วมาแล้วหนูอย่าเอาไปเป็นเครื่องทรมานหัวใจเลย เล่าให้น้าฟังว่าตอนนี้ วรชาติเขาตายแล้ว ทำศพทำเมรุกันยังไง น้าจะช่วยอะไรหนูได้บ้าง”
“เขาไปตั้งศพที่วัดอะไรห่างกันลิบลับ หนูไม่รู้จะไปกับใคร” ลำไยสะอื้นพลางตอบ “แต่เวลานี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ หนูไปแล้ว แต่พบเฉิดฉันหนูก็เลยกลับมา ประเดี๋ยวเขาจะยกศพไปวัด หนูอยากให้คุณน้าพาหนูไป”
คุณแจ๋วถอนใจยาวแต่เบาๆ “เอาละ หนูพักผ่อนเสียที่นี่หรือจะกลับบ้าน ขึ้นไปข้างบนกับน้าไม่ดีหรือ น้ายังไม่ได้อาบน้ำ น้าไปเยี่ยมท่านผู้หญิงฉอ้อนเขามา”
ลำไยสะอื้นถี่ขึ้นอีก “เขาเลี้ยงลูกเขายังไง ไหนใครๆ ชมว่าเลี้ยงลูกดีนักดีหนา ทำไมถึงเที่ยวกวนชาวบ้านเขาได้ยังงี้”
“แต่เขาก็ใช้เวรเขาแล้วละ หลานเอ๋ย” คุณแจ๋วพยายามหาทางให้ลำไยรับเอาสถานการณ์เท่าที่เป็น “เขาก็เห็นจะไม่รอดเหมือนกัน และแม่เขาก็เสียลูกคนหนึ่ง เรื่องพรรณอย่างนี้เราตัดสินไม่ได้ว่าใครบาปมากบาปน้อย คนเรามันก็ทำอะไรผิดๆ กันทุกคน แต่หนูไม่ต้องโทษตัวหนูเองว่าทำให้วรชาติตาย หนูเชื่อบุญเชื่อกรรมไหม น้าเชื่อ วรชาติกับเฉิดฉันเขาคงมีเวรมีกรรมกันมา หนูไม่ได้ทำผิดร้าย เป็นแต่ผิดพลาด อย่าไปเศร้าโศกเรื่องนั้น ถ้าหนูจะเสียดายวรชาติ หรือสงสาร อย่างนั้นก็เป็นธรรมดาของคนใจกุศล” คุณแจ๋วพูดแล้วก็หยิบกระดาษนุ่มออกจากกระเป๋า ช่วยเช็ดน้ำตาให้ลำไย เมื่อเห็นว่าหน้าหมดจดพอสมควรแล้ว จึงนำตัวขึ้นไปชั้นบน
คุณแจ๋วคิดถึงคุณเกริน เขาจะรู้หรือยังว่าคนที่ฆ่าลูกของฉอ้อนคือลูกเขยของญาติสนิทของเขา แต่คุณแจ๋วมีอะไรต้องทำอีกมาก ครั้นแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าได้ออกปากบอกฉอเลาะไว้ว่าจะไปอยู่เป็นเพื่อน คุณแจ๋วจำเป็นสำหรับใครมากกว่ากัน ลำไยหรือฉอเลาะ อย่างไรก็ตามคุณแจ๋วก็จำเป็นต้องให้ฉอเลาะรู้ว่า คุณแจ๋วเกิดมีภาระเพิ่มขึ้นเสียแล้ว
คุณแจ๋วต้องไปอาศัยนายสุนอีก ขอโทรศัพท์ไปถึงคุณเกริน เคราะห็ดีที่ต่อได้ง่าย และเรียกญาติมาพูดได้โดยไม่เสียเวลามากนัก คุณแจ๋วแจ้งเรื่องที่ทราบจากลำไยแล้ว ระหว่างที่พูดอยู่นั้น คุณแจ๋วก็ตัดสินใจว่า ถึงอย่างไรคุณแจ๋วก็ต้องไปแสดงความเสียใจแก่ญาติ คือแม่ยายของวรชาติก่อน
“คุณเกรินบอกฉอเลาะด้วยว่า ที่ป้าแจ๋วจะไปนอนเป็นเพื่อนจะเอาแน่ไม่ได้เสียแล้ว เพราะการที่จะเข้าออกบ้านฉอเลาะเห็นจะลำบากในเวลาค่ำคืน คุณเกรินไปดูแลฉอ้อนก็แล้วกัน เพราะคุณเกรินดูเหมือนจะเข้าออกได้ง่าย คืนนี้ยังไม่ต้องไปศพลูกเขยพี่เพ็ญก็ได้ เพราะก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเป็นประจำอยู่ ถ้ามีใครถามถึง แจ๋วจะใช้ปฏิภาณว่าไปพอเอาตัวรอด”
คุณเกรินตกลงตามที่คุณแจ๋วเสนอแนะ เมื่อวางโทรศัพท์ลงพร้อมกับถอนใจใหญ่เสียยาวให้สมกับที่อยากระบายความรู้สึกแล้ว คุณแจ๋วก็รีบกลับมาร้าน สั่งงานที่จำเป็นอยู่สักครู่ใหญ่ แล้วจึงผลัดเครื่องแต่งตัวเป็นเครื่องทุกข์ รับประทานอาหารนิดหน่อยพร้อมกับลำไย แล้วก็ขึ้นรถให้ลำไยพาไปโรงพยาบาลตำรวจก่อน
ญาติสองวัยไปถึงโรงพยาบาลที่ไว้ศพวรชาติประสบจังหวะพอดี คือไม่มีญาติอื่นอยู่ที่นั้นเลย นอกจากน้องชายหนุ่มๆ ของวรชาติคนหนึ่ง ซึ่งคุณแจ๋วและลำไยไม่เคยรู้จักมาก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว สตรีทั้งสองจึงเข้าไปที่ห้องไว้ศพ คุณแจ๋วปล่อยให้ลำไยหลั่งน้ำตาไว้อาลัย และพิศเพ่งหน้าของคู่รักในอดีตนานพอเห็นว่าลำไยค่อยเบาความโทมนัสลงแล้ว จึงปลอบและบังคับกลายๆ ให้กลับบ้าน เตือนถึงหน้าที่ที่สำนักที่ลำไยทำงานอยู่ ลำไยบอกว่าจะโทรศัพท์ลาป่วย คุณแจ๋วไม่คัดค้าน แล้วคิดว่าไม่ควรจะปล่อยให้ลำไยขับรถกลับบ้านคนเดียว ในระหว่างที่จิตใจถูกกระทบกระเทือนเช่นนี้ จึงนั่งรถไปถึงบ้านของลำไยคือบ้านเจ้าพระยาสุเรนทร์ฯ ที่ซอยอโศก ถนนสุขุมวิท คุณแจ๋วขอลงที่หน้าบ้านแทนที่จะนั่งรถไปถึงข้างใน เรียกรถยนต์รับจ้างได้คันหนึ่ง แล้วกลับมาที่ร้าน
เรื่องเล็กๆ ของชีวิตในสังคมเริ่มเป็นภาระแก่คุณแจ๋ว คุณแจ๋วคงจะต้องไปงานศพใดงานหนึ่งเกือบทุกวัน ต้องไปหาช่างตัดเสื้อ ขอร้องให้ช่วยซื้อผ้าสำหรับตัดเสื้อดำแบบกลางๆ สัก ๕ ชุด ให้เขาตัดเย็บให้เสร็จเรียบร้อยวันละชุดจนครบ เจรจากันเป็นที่เข้าใจแล้วจึงกลับร้าน เวลาล่วงไปกว่าครึ่งวันแล้ว
เอ้า ต่อจากนี้จะทำอะไร จะไปเยี่ยมพี่เพ็ญกับเฉิดฉันหรือยัง เขาจะรดน้ำศพที่โรงพยาบาลแล้วจึงย้ายศพไปวัดที่ข้างบ้านพี่จำลองนั้นเอง ถ้าไปบ้านพี่จำลองอาจจะได้สำเร็จภารกิจหลายอย่าง ได้เยี่ยมคุณปู่ของพี่จำลอง ซึ่งเป็นตาน้อยของคุณแจ๋ว ได้พบพี่จำลองซึ่งไม่ได้พบมานานแล้ว อยากรู้ว่าพี่จำลองจะมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่ของวันนี้ว่าอย่างไร นึกขึ้นมาได้ถึงเฌอ เฌอจะมีปฏิกิริยาอย่างไร คุณแจ๋วยังไม่ได้พบเฌอ และเฌอยังไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับพี่สาว เรื่องการที่จะซื้อที่ดินของพี่จำลองจะเป็นผลดีผลเสียอย่างไร ในเมื่อท่านรองวิทูรหมดบุญวาสนาไปแล้ว คุณแจ๋วตัดสินใจตามความคิดที่เกิดขึ้นอันแรก คุณแจ๋วไปที่บ้านพี่จำลองเป็นดีที่สุด คอยรับศพอยู่ที่นั่น ได้พักผ่อนบ้างพอสมควรในสวนอันร่มรื่น แตกต่างจากที่อยู่อันจอแจของคุณแจ๋ว ตั้งแต่กลางดึกคุณแจ๋วยังไม่ได้รับความผ่อนคลายอารมณ์บ้างเลย
คุณแจ๋วขึ้นรถยนต์รับจ้างไปยังถนนราชวิถี ไปยังท่าเรือแล้วก็ยืนคอยเรือที่รับคนข้ามฟาก ซึ่งบัดนี้มีไม่กี่ลำไม่เหมือนเมื่อครั้งยังไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำ คุณแจ๋วกำลังคิดรำคาญว่าเหตุใดพี่จำลองจึงไม่ทำทางให้รถเข้าบ้านได้จากถนนใหญ่ที่สร้างเรียบร้อยต่อไปจากเชิงสะพาน ก็เห็นสตรีคนหนึ่งเดินมาถึงที่ตัวคุณแจ๋วยืนอยู่ ผู้ที่เข้ามานั้นคือ คุณหญิงศิริมาพี่สาวของคุณแจ๋ว
คุณหญิงศิริมาเดินพลางบ่นเรื่องที่คุณแจ๋วกำลังคิด “เออ ใครๆ เขาก็อยู่บ้านมีถนนรถเข้าได้เข้าถึง มีพี่จำลองพิสดารข้ามเรืออยู่ได้ทุกวัน ดีที่มีเมียอย่างสำรวย มีเมียอย่างฉันคงเลิกกันเสียนานแล้ว”
อีกสองสามนาทีต่อมา พี่น้องทั้งสองก็นั่งเรือข้ามฟากไปสู่บ้านญาติทางฝั่งธนบุรี คุณแจ๋วคิดหวนไปถึงวันหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อพาฉอ้อนไปเยี่ยมสำรวย แต่พี่สาวไม่ให้โอกาสคุณแจ๋วคิดนาน พอเรือออกมาห่างจากฝั่งพอสมควร คุณหญิงศิริมาก็ถามน้องสาว
“แจ๋ว รู้เรื่องนายวิทูรแล้วใช่ไหม แหม น่าใจหาย เขาว่าหนีรอดไปได้ ทางนายใหญ่เขาตามจับถึงพรมแดนก็ไม่ได้ตัว”
คุณแจ๋วรู้สึกว่าขนลุกชันทั่วตัวจนกลัวว่าพี่สาวจะมองเห็น คิดถึงภาพคุณเกรินยืนโทรศัพท์ในร้านของนายสุน ยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบพี่สาว คุณหญิงศิริมาก็พูดต่อไป “แล้วตาฤทธิ์ก็ตายแล้ว ได้ยินข่าววิทยุตอนสาย นึกไปก็น่าสงสารฉอ้อน แต่จะไปเยี่ยมก็เห็นจะไม่ได้”
คุณแจ๋วนิ่งไม่ต่อคำสนทนา คำพูดของพี่สาวทำให้เกิดหนาวเยือกเย็นขึ้นมาในอก พี่สาวพูดต่อไป “คนมีบุญนี่ออกจะสู้คนกลางๆ อย่างเราไม่ได้นะ เดี๋ยวขึ้นไปปรูดเดี๋ยวลงไปก้นเหว ฉอ้อนนี่แกร่ำรวยสักแค่ไหนก็ไม่รู้ มีเงินอยู่ต่างประเทศสักแค่ไหน เดี๋ยวพ่อสามีเลี้ยงเมียน้อยหมด ไม่ส่งเสีย เมียหลวงท่าจะแย่”
น้องสาวยังไม่ตอบ แต่คุณหญิงไม่ค่อยเอาใจใส่กับผู้ฟังนัก สนใจกับการที่จะพูดมากกว่า “แจ๋วรู้ไหม คุณประพัฒน์เขารู้มาตั้งหลายวันว่าจะเกิดเรื่อง เขามาพูดเปรยๆ พี่ก็ไม่ยักสังเกต แต่เขาบอกมานานแล้วว่า ให้ระวังนายวิทูร ให้ห่างๆ ไว้ ไปได้ไม่นานหรอก มันยโสนัก”
คุณแจ๋วชำเลืองดูคนแจวเรือ แน่ใจว่าไม่ได้ยินคำสนทนา จึงถามพี่สาว “พี่แป๋ว ธรรมดาของคนเขาเล่นการเมือง เขาคงไม่คิดเรื่องยโสหรืออะไรกันมากนัก แต่เขาคงมีเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรืออะไรอย่างนั้น คุณประพัฒน์เขาเคยเล่าบ้างไหมว่านายวิทูรนี่แกร้ายกาจอะไรอีก นอกจากยโส”
คุณหญิงศิริมานิ่งตรองครู่หนึ่ง “ที่จริงนะ คุณประพัฒน์นี่เขาค่อนข้างจะชอบนายวิทูรนะ เขาชมว่าเก่งเรื่องติดต่อกับฝรั่ง แล้วในเรื่องการงานที่ก้าวหน้าต่างๆ วิทูรนี่เป็นคนเข้าใจ และเป็นคนทำให้นายใหญ่เห็นดีเห็นชอบที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง แต่ที่ไม่ถูกกันตอนหลัง หรือว่าแข่งกันตอนหลังนี่ก็เพราะนายวิทูรแกออกจะมีอำนาจของตัวเองขึ้นทุกทีๆ จนแกไม่ต้องพึ่งนายใหญ่แล้ว คุณประพัฒน์บอกว่าอย่างนี้เขาเอาไว้ไม่ได้หรอก ใครจะไวกว่าใครเท่านั้นแหละ แต่วิทูรช้าไป หรือจะว่านายใหญ่เขาไวกว่าก็ได้”
“ในสองคนนี้ นายใหญ่เดี๋ยวนี้กับนายวิทูร ถ้าได้ครองอำนาจสิทธิ์ขาด ใครจะทำให้เมืองไทยดีกว่ากันหรือเลวกว่ากัน” คุณแจ๋วพยายามรวบรวมความคิดและเรียบเรียงถ้อยคำถามพี่สาว
“คุณประพัฒน์ไม่เห็นเขาพูดเรื่องนี้เลย” พี่สาวตอบ “ใครๆ เขาก็ไม่พูดอย่างที่แจ๋วถาม ไม่ใช่สมัยคุณฟอนี่ เดี๋ยวนี้เขาพูดกันแต่ว่า ทำอย่างนี้นายคนไหนจะโกรธไหม จะถูกใจไหม ทำอย่างไรถึงจะรักษาตัวไปตลอดรอดฝั่ง ขืนไปคิดถึงอย่างที่แจ๋วถาม เผลอไปพูดกับใคร จะได้แย่”
คุณแจ๋วพยักหน้า คำตอบของคุณหญิงศิริมาแจ่มชัดดีเหลือเกิน คุณแจ๋วเข้าใจยุคสมัยที่คุณแจ๋วมีชีวิตอยู่อย่างดีทีเดียว และทำให้คุณแจ๋วรู้ หน้าที่ของตนเองดีขึ้นมาก คือคุณแจ๋วก็มีหน้าที่คิดถึงเรื่องร้านอาหาร พี่จำลองก็คิดถึงลูกความ พี่จำแลงก็คิดเรื่องกิจการของนายจ้างชาวต่างประเทศ แล้วคุณเกรินเล่า คุณเกรินก็คงคิดถึงหน้าที่ทหารของคุณเกริน แล้วคุณแจ๋วก็ระลึกถึงพี่ชายใหญ่ คนอย่างพี่อ้นจะทำอย่างไร จะคิดถึงอะไร พี่อ้นไม่รู้จะคิดอะไร จึงคิดจะไปฆ่านายวิทูร แต่บัดนี้นายวิทูรก็ไม่มีจะให้พี่อ้นฆ่า พี่อ้นจะคิดอะไรต่อไป
คุณแจ๋วนั่งใจล่องลอยไปถึงพี่ชายใหญ่ไปหลายวินาที ได้ยินพี่สาวบ่นเรื่องข้าวของแพงขึ้นเรื่อยๆ และบ่นเรื่องช่างเสื้อตัดไม่ถูกใจหรืออะไรทำนองนี้ แล้วเรือก็มาจอดเทียบท่าน้ำบ้านเจ้าคุณตาของคุณแจ๋ว เจ้าคุณปู่ของคุณเกรินและพี่จำลอง บ้านสวนของเจ้าคุณตายังสวยงามอยู่อย่างเดิม เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงสิ่งเดียวในชีวิตของคุณแจ๋ว
เมื่อเรือเทียบแล้ว สองพี่น้องก็ขึ้นฝั่ง มีคนใช้นั่งเล่นอยู่ที่ท่าน้ำ ได้รับทราบจากคนใช้ว่าคุณจำลองไม่อยู่ เจ้าคุณและคุณหญิงไปวัด คุณสำรวยอยู่ที่เรือน สองพี่น้องจึงไปที่เรือนของสำรวย เมื่อไปถึงก็พบเจ้าของบ้านนั่งอยู่ที่ระเบียง สำรวยร้องเชิญให้ญาติสองคนขึ้นไปบนเรือน และบอกด้วยว่า ศพยังมาไม่ถึงวัด เพราะได้สั่งให้คนใช้ที่ไปช่วยเจ้าคุณปู่จัดที่ไว้ศพ ให้มาบอกเมื่อศพมาถึงแล้ว
สามคนนั่งคุยปรารภกัน ถึงเรื่องราวของวรชาติ เฉิดฉัน และ ชัยฤทธิ์ คุณแจ๋วเป็นฝ่ายถามให้อีกสองคนเล่า แต่ไม่ได้รับทราบอะไรเพิ่มไปจากที่ลำไยเล่าแล้ว แต่เมื่อได้นั่งอยู่ด้วยกันประมาณครึ่งชั่วโมง จำลองสามีสำรวยก็กลับมา การสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนลักษณะ คุณแจ๋วไม่ได้พบกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้มานาน แต่ได้รับข่าวคราวจากพี่ๆ น้องๆ คนอื่นเกี่ยวกับเขาอยู่เสมอ จึงคุยกันได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไต่ถามทุกข์สุขมากนัก
“พี่จำลองรู้อะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อเช้าบ้าง ลองเล่าให้แจ่วฟังบ้างซิ” คุณแจ๋วถามลูกผู้น้องแต่สูงวัยกว่า
“ไม่ค่อยรู้อะไรมากกว่าที่เขารู้ ๆ กัน แต่เมื่อเช้านี่ไปได้ยินเพิ่มเติมมาจากสำนักงานบ้าง” จำลอง เหมเสนา ผู้เป็นลูกของลุงของเกรินตอบญาติของเขา จำลองเป็นคนมีรูปสมบัติ เป็นที่แปลกใจของวงศ์ญาติทั่วไป ที่จำลองซื่อตรงไม่นอกใจภรรยามาตลอดชีวิตสมรส โดยมีสายสัมพันธ์ที่ไม่น่าจะแน่นหนา คือลูกบุญธรรมสองคน หญิงหนึ่งชายหนึ่ง แต่เด็กนั้นเป็นลูกของญาติภมราภัยที่ขาดแคลนครอบครัวหนึ่ง จำลองได้ขอมาอุปการะตั้งแต่เด็กนั้นอายุ ๑ ขวบคนหนึ่งและ ๒ เดือนอีกคนหนึ่ง เมื่อบิดาของเด็กเป็นวัณโรค คุณแจ๋วมองดูลูกผู้น้องแล้วก็มองดูสะใภ้ นึกในใจว่า สำรวยเป็นหญิงที่มีบุญกว่าฉอ้อนมาก แต่สำรวยจะสำนึกในข้อนั้นหรือไม่ คุณแจ๋วยังไม่มีโอกาสจะไต่ถาม คุณแจ๋วทำหน้าที่ซักจำลอง เรื่องของประเทศเสียก่อน
“รู้เท่าไหร่ก็เล่าไปเท่านั้นก็แล้วกัน มันเกิดอะไรขึ้น”
“ใครๆ เขาก็ทายว่ามันน่าจะเกิดวันหนึ่ง” จำลองตอบอย่างที่คุณแจ๋วเคยได้ยินแล้ว “วิทูรมีอำนาจขึ้นมาทุกวัน ไอ้สิ่งที่เขาให้คนเห็นน่ะมันดี แต่ที่ไอ้คนไม่เห็นมันอาจจะเลวร้าย แต่ใครล่ะจะไปประกาศขึ้นมา เพราะมันทำเหมือนกันหลายคนนี่ มีคนเขาว่าท่านคนใหญ่ไม่ค่อยเอาเข้าพกเข้าห่อเอง ถ้าจะเอาเงินเอาทองจากใครหรือจากแหล่งไหนก็ไม่ควรเอา ก็มักเอาไปเลี้ยงลูกน้อง ตรงนี้แหละที่นายวิทูรอาจแพ้นายใหญ่ เพราะนายวิทูรมันเอาเองแยะ”
“ถ้าจะคิดว่า เขามีทุนมีรอนของเขาบ้างพอสมควร แล้วก็มีอำนาจ จะค้าขายอะไรก็สะดวก ถึงร่ำรวยอย่างนี้จะไม่ได้เหรอ ดูแต่อาเขาข้างบ้านเรา เขาก็มีทรัพย์สมบัติไม่น้อย” คุณแจ๋วลองถาม
“แต่ว่ามันจะถึงกับซื้อสายสร้อยทับทิมของเสด็จให้เมียได้เทียวรึ ราคาเท่าไหร่” จำลองพูดอย่างเรียบๆ ทำนองคนสนทนาถึงเรื่องไกลตัว ไม่มีความรู้สึกรุนแรงแต่อย่างใด “สายสร้อยสายนั้น เมื่อแต่ก่อนก็ราคาหมื่น เดี๋ยวนี้มันเข้าไปกี่แสน เมื่อทายาทของเสด็จท่านขายไปมันก็แสนกว่าไม่ใช้รี แล้วนี่ราคาเงินราคาของมันเปลี่ยนไปเท่าไหร่ แล้วคนเราคงไม่เอาเงินทั้งหมดไปซื้อเครื่องเพชร มันต้องมีมากกว่านั้นอีกมากนัก”
“แจ๋วไม่เข้าใจเลย ทำไมคนที่มีอำนาจหน้าที่อย่างนี้ถึงต้องอวดมั่งมีด้วย ก็มีอำนาจออกมากมายแล้ว” คุณแจ๋วว่า
“มนุษย์เรามันมีกิเลสร้อยแปดพันอย่าง” จำลองตอบ “แต่จะเป็นเพราะอคติหรือยังไงก็ไม่รู้ละ ใครเขาว่าฉอ้อนเป็นตัวการหาเงินให้ผัวอะไรอย่างงี้ พี่เชื่อไม่ได้เลย เห็นหน้าแกซื่อเหลือเกิน”
“คนเราทำไมจะเปลี่ยนไม่ได้” คุณหญิงศิริมาออกความเห็น “เมื่อเด็กๆ ก็เป็นไปเหมือนผู้ใหญ่ที่ตัวอยู่ด้วย โตขึ้นอยู่กับคนอีกชนิดหนึ่ง มันก็เป็นไปอีกชนิดหนึ่ง”
ไม่มีใครเถียง แล้วคุณแจ๋วถาม “แล้วเรื่องที่ของคุณตาที่แม่ผ่องเขาซื้อไป พี่จำลองว่าจะทำให้ขอซื้อคืนง่ายขึ้นหรือยากขึ้น”
“ตอนนี้เราไม่อยากรบกวนเขา” จำลองตอบ “เห็นจะต้องรอไว้ก่อน เวลานี้ใจคอเขาคงเป็นทุกข์ ใครจะเชื่อว่าหลานของตัวไม่ดี เท่าที่คบกันมา แม่ผ่องแกก็ดูดี เราก็ยังไม่เคยพูดกับแกตรงๆ เป็นแต่สืบเรื่องราคา ที่แถวนี้มันขึ้นอย่างน่าใจหาย กลัวเขาจะโก่งเอา ก็วิตกไป แล้วเขาก็อยากได้มานาน พอได้แล้วจะขายคืนได้ง่ายๆ ยังไง”
น้ำตาคลอตาคุณแจ๋ว เป็นครั้งแรกที่คุณแจ๋วรู้สึกอิจฉาเพื่อนร่วมเพศในกรณีนี้ คุณแจ๋วรู้สึกอิจฉาสะใภ้สำรวยอย่างเหลือเกิน และยินดีที่มีญาติอย่างจำลอง พอดีคนใช้วิ่งมาบอกว่าศพวรชาติมาถึงวัดแล้ว ทุกคนก็ลุกจากที่ ทำหน้าให้สะอาด แล้วก็ไปยังสถานที่จะบำเพ็ญกุศลแสดงความเสียใจต่อญาติตามธรรมเนียม
กว่าจะเสร็จจากกิจที่เกี่ยวกับการเอาศพเข้าหีบ ช่วยกันตกแต่งสถานที่และสนทนาปราศรัยกับญาติจำนวนเกือบสามสิบคน ก็เป็นเวลาแดดร่ม คุณแจ๋วกลับไปที่ร้านด้วยรถของคุณหญิงศิริมา ลงจากรถที่หน้าร้านพลางก็คิดว่าจะไปขอโทรศัพท์ที่ร้านนายสุนอีก คุณแจ๋วไม่แน่ใจว่าร้านรักษาโรค หรือที่เรียกกันว่าคลีนิค ของเฌอมีโทรศัพท์หรือไม่ แต่ยังไม่ทันจะเดินไป สอิ้งวิ่งเข้ามาบอกว่ามีคนมาหา กำลังจะกลับไปก็พอดีคุณแจ๋วกลับมาถึงร้าน เมื่อคุณแจ๋วตามไปยังด้านหลังของร้านซึ่งคุณแจ๋วใช้รับแขกส่วนตัว ก็พบว่าคนที่มาหาคือเฌอ คุณแจ๋วเหน็ดเหนื่อยมาหลายชั่วโมง พอเห็นหน้าเฌอ คุณแจ๋วก็ปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมาโดยกลั้นไว้ไม่ได้ เข้าไปจูงข้อมือนายแพทย์หนุ่มเข้าไปในห้องอาหารเล็ก พอเฌอนั่งลงพร้อมกับคุณแจ๋วแล้ว คุณแจ๋วก็สะอึกสะอื้นอยู่อีกหลายนาที เฌอไม่ห้ามปราม ปล่อยให้คุณแจ๋วร้องไห้ แต่เขาเอามือของเขาลูบแขนคุณแจ๋วเบาๆ ตลอดเวลา จนคุณแจ๋วหยุดสะอื้นแล้วเขาจึงบอก
“คุณเกรินให้มาส่งข่าวว่าตาฤทธิ์ตายแล้ว และให้บอกว่าพี่ฉอ้อนเข้มแข็งดี แต่ผมยังเข้าไปหาพี่ไม่ได้ ไปพบที่โรงพยาบาล ศพตาฤทธิ์ผมจะเอาไปไว้ที่วัดธาตุทอง ใกล้ร้านผม”
“พี่นี่เลวจริง” คุณแจ๋วประนามตนเอง “พี่ควรจะปลอบเฌอ นี่กลับให้เฌอมาปลอบพี่ ร้องไห้ไปยังงั้นเอง มันมีความรู้สึกหลายอย่าง สงสารคนอยู่มากกว่าคนตาย”
“คุณแจ๋วไม่ต้องห่วงผมหรอก” เฌอปลอบใจผู้อาวุโส “ผมทำใจไว้นานแล้ว รู้มานานว่าวันหนึ่งจะมาถึง จะแบบนี้หรือแบบไหนก็ไม่สำคัญ และพี่ผม เขาก็ดูเหมือนจะรู้ๆ อยู่ ถ้าควรสงสารก็คือเด็กๆ”
“พี่หวังว่าแกจะไม่ได้ยินอะไรที่ไม่ดีๆ สำหรับพ่อแกมากเกินไป” คุณแจ๋วกล่าว “พี่ว่าสำหรับเด็ก ให้คิดว่าพ่อเป็นคนดีที่โชคร้ายดีกว่าที่จะเห็นพ่อเป็นคนไม่ดี”
คุณแจ๋วกับเฌอปรับทุกข์กันอีกต่อไป จนกระทั่งเฌอสังเกตว่าคุณแจ๋วเหนื่อย จึงนัดกันถึงการไปงานศพ เฌออยากจะมารับคุณแจ๋วให้ไปฟังพระสวดหน้าศพชัยฤทธิ์ในเวลาค่ำ แต่คุณแจ๋วรับรองว่าไปเองได้ นัดกับเฌอพลางก็ห่วงไปถึงลำไย ว่าจะขอร้องให้คุณแจ๋วพาไปที่ศพวรชาติเวลาไหน
เมื่อเฌอลาไปแล้ว คุณแจ๋วทำธุระเกี่ยวกับร้านแล้วหาช่องพักผ่อน เคราะห์ดีที่คุณแจ๋วนอนหลับง่ายและไม่ต้องการนอนนาน เมื่อหลับไปได้สักครึ่งชั่วโมงแล้วตื่นขึ้นก็มีความกระปรี้กระเปร่าตามลักษณะของคุณแจ๋ว สั่งงานในร้านได้อีกหน่อยพอดีค่ำ จึงไปโทรศัพท์ถึงลำไย
ลำไยค่อยคลายความโศกเศร้า และไม่ปรารถนารุนแรงที่จะไปเยี่ยมศพวรชาติ บอกว่ายังทนหน้าเฉิดฉันไม่ค่อยได้ คุณแจ๋วค่อยสะดวกใจ จึงบอกแก่ลำไยว่าคุณแจ๋วจะไปงานศพชัยฤทธิ์ ถ้าลำไยไม่ต้องการตัวคุณแจ๋วในค่ำวันนั้น
“เอ หนูไม่ยักรู้ว่าคุณน้าเกี่ยวข้องกับบ้านนั้น ไม่เห็นคุณน้าแป๋วเคยพูดถึงว่าสนิทกันยังไง” ลำไยแสดงความแปลกใจมาทางโทรศัพท์
“น้าแป๋วเขาไม่ค่อยสนิทกันหรอก น้าสนิทกับท่านผู้หญิงมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะอายุไล่เลี่ยกัน” คุณแจ๋วอธิบายให้หมดความข้องใจ
ครั้นถึงเวลาสมควร คุณแจ๋วก็เรียกยานประจำตัวของคุณแจ๋ว คือรถรับจ้างที่วิ่งอยู่ทั่วไปตามถนนหลวงในพระนคร คุณแจ๋วเอาสอิ้งไปเป็นเพื่อนเพื่อความปลอดภัยในเวลาค่ำคืน เมื่อไปวัดและเข้าไปถึงที่ตั้งศพแล้ว คุณแจ๋วก็แอบทอดถอนใจโดยไม่ให้ผู้ใดสังเกต ถ้าหากชัยฤทธิ์ตายก่อนหน้านี้ขึ้นไปสัก ๗ วัน งานศพชัยฤทธิ์จะมีแขกคับคั่งสักเพียงไหน คุณแจ๋วคงจะไม่เป็นคนสำคัญเข้ามานั่งติดอยู่กับท่านผู้หญิงและคุณฉอเลาะเหมือนวันนี้ และคุณเกรินกับเฌอคงจะไม่ต้องเดินไปเดินมา ทำหน้าที่เปรียบได้กับเจ้าภาพ ต้อนรับแขกจำนวนน้อยที่มีแก่ใจมาแสดงความเศร้าโศกร่วมกับท่านผู้หญิง ในบรรดาแขกที่บางตาส่วนใหญ่มีภรรยานายทหารที่รู้จักกับท่านผู้หญิงมานานปีแต่ตัวนายทหารมีน้อย ภรรยานายทหารที่มาเยี่ยมศพมักแจ้งแก่ท่านผู้หญิงอย่างสุภาพว่า สามีติดราชการ เพราะมี “เตรียมพร้อม” มาในงานศพไม่ได้ ขอฝากพวงดอกไม้มาสักการศพแทน และฝากถามข่าวถึงท่านผู้หญิงด้วย ท่านผู้หญิงก็ตอบขอบใจอย่างสุภาพเช่นกัน คุณแจ๋วดูพลางก็คิดในใจ ใครหนอเคยบอกคุณแจ๋วว่า คนศิวิไลส์คือคนที่แสร้งมารยาได้แนบเนียน เดี๋ยวนี้คนไทยเราศิวิไลส์แน่แล้ว คุณแจ๋วสังเกตว่าในบรรดาพี่น้องร่วมท้องของพลเอกวิทูรไม่มีใครขาดไปเลย พี่วงศ์ทำหน้าที่เป็นพี่ใหญ่ดูแลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพตามเคย อาผ่องไม่ได้มาในงานศพ ท่านผู้หญิงบอกว่าอาผ่องได้สั่งลูกชายมาว่า อาผ่องยินดีช่วยเหลือหลานสะใภ้ทุกทางที่จะทำได้ แต่ขออย่าให้ต้องมาจากบ้านเวลาค่ำคืน ที่ต้องขอร้องเช่นนี้ ก็เพราะบ้านอาผ่องได้กลายสภาพเป็นที่พักแรมของญาติพี่น้องที่อยู่ไกลออกไป เช่นคนที่อยู่นนทบุรีและบางซ่อน บิดามารดาของพลเอกวิทูรก็ไม่มาในงานศพเพราะชราแล้ว คนที่ทำให้คุณแจ๋วยินดีที่ได้พบในงานศพชัยฤทธิ์มากสองคน คือสุมาลาเพื่อนนิสิตร่วมชั้นของคุณแจ๋ว และคุณหญิงรัชดาเพื่อนของสุมาลาอีกต่อหนึ่ง
คุณแจ๋วนั่งฟังพระสวดบ้าง สังเกตคนและสังเกตเครื่องประดับศพบ้าง และคิดชมฉอ้อนอยู่ตลอดเวลา ใครบ้างมีส่วนทำให้ฉอ้อนเป็นบุคคลดังที่คุณแจ๋วเห็นอยู่นี้ บิดามารดาผู้เป็นพลเมืองดีแบบไทยของฉอ้อนย่อมจะมีส่วนมากที่สุด ครูอาจารย์ของฉอ้อน และคุณป้ากำยานของคุณแจ๋วคงจะมีส่วนร่วมด้วย ท่านผู้หญิงฉอ้อนไม่มีทีท่าของหญิงที่กระดากกระเดื่องเก้อเขินเลย สีหน้าเศร้าอย่างสงบ เครื่องแต่งกายสีดำขับผิวให้ดูขาวนวล ฉอเลาะก็ดูสวยกว่าทุกๆ คราวที่คุณแจ๋วเคยเห็น สีหน้าของฉอเลาะดูเยือกเย็นไม่แพ้มารดา ใครจะมีส่วนทำให้ฉอ้อนเป็นฉอ้อนในยามนี้ก็ตาม แต่ผู้ที่มีส่วนใหญ่ที่สุดในการทำให้ฉอเลาะเป็นฉอเลาะในเวลานี้ คือท่านผู้หญิงมารดาของฉอเลาะอย่างไม่มีปัญหา คิดแล้วคุณแจ๋วก็เกิดภาคภูมิใจขึ้นมาเฉยๆ ภูมิใจว่าคุณแจ๋วเป็นคนไทย ชาติไทยเรามีผู้หญิงอย่างพี่วงศ์ อย่างท่านผู้หญิงฉอ้อน อย่างสาวน้อยฉอเลาะ พอดีพระสวดขึ้น “กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา . . .” เรียกสติให้คุณแจ๋ว “ออกจะฟุ้งซ่านเกินไปเสียแล้วเรา” ทำไม ก็เห็นจะอยากปลอบใจตัวเอง ให้พอดีกับความเศร้าที่มีอยู่ในใจคุณแจ๋วมาทั้งวัน เศร้ากับบ้านเมืองที่ขาดสรณะอันควรมี เศร้ากับกิเลสต่างๆ ของมนุษย์ ความรุนแรงของคนหนุ่ม ความรู้เท่าไม่ถึงการของผู้ใหญ่เช่นญาติของลำไย ความไม่มีหลักประจำชีวิตของผู้หญิงสาวอย่างเฉิดฉัน พระสวดจบแล้ว ภาระเนื่องกับกุศลกิจหมดแล้ว แขกค่อยๆ ทยอยกันกลับ จนเหลือญาติสนิทไม่กี่คน ฉอ้อนแนะนำให้คุณแจ๋วรู้จักญาติของคุณวิทูรที่คุณแจ๋วยังไม่รู้จัก หรือที่รู้จักแต่ผิวเผินจนลืมกันไปแล้ว ญาติพอใจที่จะนั่งรวมกันอยู่ในหมู่ญาติ คุณแจ๋ว ฉอ้อน คุณเกริน และเฌอ จึงได้มีโอกาสสนทนากัน
“ฉอ้อนจะอยู่ที่บ้านของราชการต่อไปนานไหม” คุณแจ๋วถามอย่างระมัดระวังถ้อยคำ
“พอเขาอนุญาตให้ออกเมื่อไหร่ ก็ออกเมื่อนั้นละค่ะ” ฉอ้อนตอบ “ตอนนี้เขาตรวจตราหลายอย่าง จะออกมางานศพนี่เขาก็ขอตรวจ เขาต้องการเอกสารอะไรบ้างดิฉันไม่ทราบ แต่ออกไปก็ยังไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ยังไม่ได้ปลูกบ้านของตัวเองเลย”
“ผมว่าไปอยู่บ้านอาผ่องเป็นดีที่สุด แล้วเราก็ปลูกบ้าน เสร็จเมื่อไหร่ก็ไปอยู่บ้าน ยังไม่เสร็จก็อยู่บ้านอาผ่อง ที่นั่นละพี่จะสบายที่สุด เพราะเวลาพี่ไม่ค่อยสบายพี่เคยชอบไปพักที่นั่น มันจะได้รู้สึกเหมือนกับว่าไปพักผ่อน” เฌอแนะ “ศพนี่เราจะทำให้ง่ายที่สุดครับคุณแจ๋ว ทำที่บรรจุเสร็จเมื่อไหร่ก็บรรจุวันนั้น” เขาพูดต่อ
ญาติและมิตรสี่คนนั่งปรึกษากันเหมือนกับว่างานศพชัยฤทธิ์ เป็นงานศพธรรมดาของครอบครัวไทยในพระนครครอบครัวหนึ่ง ฉอ้อนไม่ค่อยพูด ฟังคุณเกรินและเฌอ และคล้อยตามเป็นส่วนใหญ่ พูดกันได้ประมาณครึ่งชั่วโมง คุณแจ๋วนึกขึ้นมาถึงเพื่อนเมื่อเวลาที่กลับไปถึงบ้าน เข้าห้องนอนอยู่คนเดียวในยามสงัด ความรู้สึกจะเป็นอย่างไร จะหวาดกลัวเปล่าเปลี่ยวสักเพียงไหน คงจะไม่เต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็นอย่างที่เห็นในดวงหน้าขณะนี้เป็นแน่ ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าตนคิดถูกหรือคิดผิด คุณแจ๋วก็ตัดสินใจอย่างเร็วตามอุปนิสัย
“ฉอ้อนกลับบ้านจะนอนคนเดียว หรือจะนอนกับใคร” คุณแจ๋วถามขึ้น
ฉอ้อนบีบต้นแขนคุณแจ๋วเบาๆ “โถ คุณแจ๋วอุตส่าห์ถาม เห็นจะต้องนอนคนเดียวค่ะ ฉอเลาะจะนอนกับหนูเป๊าะ เพราะแกค่อนข้างจะขี้แย ลูกสุดท้ายมักเสียนิสัยค่ะ ฉอเลาะต้องดูน้อง ต้องเอาใจใส่กับน้อง ก็ดีสำหรับฉอเลาะจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน”
“ถ้าแจ๋วจะอาสาไปอยู่เป็นเพื่อนในคืนนี้ ทางทหารเขาจะอนุญาตไหม แล้วฉอ้อนจะพอใจไหม ขอให้บอกตรงๆ ไม่มีการเกรงใจ ไม่มีการเล่นละคร”
“ฉอ้อนเล่นละครให้คุณแจ๋วดูไม่ได้หรอกค่ะ คุณแจ๋วทายได้หมด” ท่านผู้หญิงกล่าว ยิ้มอย่างเยือกเย็นแววตางามซึ้งอย่างที่คุณแจ๋วไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในผู้หญิงคนไหน “ไปกับฉอ้อนเถอะค่ะ อยากให้คุณแจ๋วได้เห็นบ้านที่ฉอ้อนอยู่มา ๘ ปี มันมีอะไรให้รักมันเหมือนกันนะคะ”
คุณแจ๋วคิดในใจ “โถ ฉอ้อน” แต่พูดออกมาไม่เป็น ได้แต่พยักหน้าตกลง และหันไปถามคุณเกรินถึงวิธีที่จะขออนุญาต คุณเกรินได้ขอไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเอาตัวคุณเกรินเป็นนายประกัน พลโทเฉลิมผู้ได้รับมอบให้เป็นเจ้าหน้าที่สำรวจหลักฐานต่างๆ ในบ้านของพลเอกวิทูร เป็นเพื่อนร่วมรบญี่ปุ่นตั้งแต่อยู่ด้วยกันที่นครศรีธรรมราช เขาผู้นี้ได้เอาตัวเป็นนายประกันต่อ หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์จึงยินยอมอนุญาตตามคำขอร้องของคุณเกริน