บทที่ ๑๙

ท่านผู้หญิงฉอ้อนยืนอยู่ใกล้กอไม้ดอกในแปลงที่ปลูกไว้ระหว่างเรือนครัวและตึกใหญ่ ฟังลูกสาวนัดแนะกับแม่ครัว ถึงการซื้อสิ่งของที่จะมาประกอบอาหารสำหรับที่จะเลี้ยงเพื่อนในวันรุ่งขึ้น ฟังพลางก็เกิดถามในใจว่า เหตุใดตนเองจึงไม่มีสิทธิจะนัดเพื่อนที่อยากพบจริงๆ มากินเลี้ยงกันเล่นบ้าง เช่นในวันเสาร์นี้ที่ลูกจะมีการเลี้ยงเพื่อนของลูก ฉอ้อนก็จะเชิญเพื่อนของตนมากินร่วมกับเพื่อนฝูงของลูกจะไม่ได้หรือ ครั้นแล้วก็รำลึกขึ้นว่า ในวันรุ่งขึ้นนั้น หล่อนจะต้องหาเวลาสังเกตฉอเลาะว่ามีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มคนใดสนิทที่สุด หล่อนแน่ใจว่าคนหนึ่งในจำนวนสามคนที่ฉอเลาะออกชื่อนั้น เป็นคนที่ฉอเลาะได้เอาหัวใจมอบให้ไว้แล้ว หรือว่าอย่างน้อยก็ใคร่จะทำเช่นนั้น ถ้าหากชายผู้นั้นให้โอกาส การที่มารดาจะเชิญเพื่อนของตนมาร่วมด้วย ความเอาใจใส่ในอิริยาบถของลูกและปฏิกิริยาของชายทั้งสามก็ย่อมจะหย่อนไป คงจะไม่สามารถสังเกตเห็นสิ่งที่ตัวมารดานั่นแหละใคร่จะได้เห็น

คิดมาถึงตอนนี้ ฉอ้อนก็เข้าไปในห้องรับแขกเล็กที่อยู่ติดกับห้องอาหารซึ่งเป็นที่สนทนากับลูกในวันก่อน ขณะนั้นเป็นเวลาสายมากแล้วแต่ยังไม่มีอาสาสมัครรับใช้คนใดเข้ามาเป็น ผู้แปลก ในบ้าน คงจะเป็นเพราะรอโอกาสที่จะรับใช้ในเวลาบ่ายหรือเย็น เก็งเวลาที่แม่ครัวจะซื้อวัตถุดิบแล้ว หรือมิฉะนั้นก็คงจะวุ่นอยู่ที่บ้านของตนประกอบอาหารอีกหลายชนิดที่จะมาช่วยงน ทำให้เจ้าของบ้านต้องคิดตระเตรียมภาชนะโดยเดาเอาไว้รับของที่อาสาสมัครนั้นจะนำมาช่วย ฉอ้อนรู้สึกเบาใจที่ได้นั่งอยู่คนเดียวจริงๆ สักครู่หนึ่ง กลับคิดถึงเรื่องการที่ตนเองจะนัดหมายเพื่อนมาพบปะบ้างอีก คิดถึงเฌอว่าเขาได้ไปพบกับคุณแจ๋วแล้วตามที่หล่อนวานให้ไปสืบถามที่ร้านแจ่มแจ๋ว และได้รับคำตอบจากคุณแจ๋วมาว่า ขออย่าให้ท่านผู้หญิงไปที่ร้าน เพราะจะเป็น “ข่าว” เกินไป และเมื่อคุณแจ๋วสัญญาว่าจะหาโอกาสมาพบให้จงได้ เมื่อคิดถึงคุณแจ๋วแล้วก็คิดถึงคุณเกริน เลยพยายามเรียกรำลึกออกมาว่า ถ้าไม่นับการพบที่งานบ้านเจ้าพระยาสุเรนทรฯ ฉอ้อนได้พบคุณเกรินครั้งสุดท้ายเมื่อใด พบกันฐานะที่ไม่เป็นอย่างเดี๋ยวนี้ โดยคุณเกรินยังมีทีท่าเปรียบได้กับพี่ชายของฉอ้อนเละไม่ใช่ด้วยทีท่าที่พบเมื่อวันงานฉลองยศ ฉอ้อนนึกขึ้นมาได้แต่ว่า ได้รับทราบว่าคุณเกร็นมีส่วนในการยุทธ์ต่อต้านญี่ปุ่น แล้วได้มารักษาตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ระหว่างสงคราม ต่อจากนั้นก็ไม่ได้ข่าว เมื่อเลิกสงครามแล้วก็นึกไม่ออกว่าได้ข่าวคุณเกรินอย่างใด มาได้ข่าวหลังจากรัฐประหารที่สามีของหล่อนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ว่าคุณเกรินได้มีโอกาสไปต่างประเทศ และเมื่อกลับมาแล้วได้ไปรับราชการที่เชียงราย พอได้ยินอีกครั้งหนึ่งคุณเกรินเข้ามาประจำการที่กระทรวงกลาโหมในกรุงเทพฯ

ภรรยาของคุณเกรินเป็นใครอย่างไร ที่ฉอ้อนเคยได้ยินว่าคุณเกรินหมั้นกับคุณแจ๋วคงจะเป็นข่าวไม่จริง มิฉะนั้นเฌอก็คงจะเล่าให้ฟังบ้าง ฉอ้อนได้รับทราบจากเฌอเมื่อหล่อนวานเขาไปหาคุณแจ๋วว่าเฌอเคยพบคุณแจ๋วที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระหว่างสงครามมหาอาเซียบูรพา

เออ แล้วเฌอเล่า เฌอน้องของหล่อนแท้ๆ นี่ก็อีกคนหนึ่ง เฌอเปลี่ยนจากการเป็นน้องชายที่สนิทสนมกับพี่สาว กลายเป็นน้องที่ไม่ค่อยจะพูด ไม่ค่อยจะมีการแสดงความคิดเห็นอย่างใดให้หล่อนฟังมาตั้งแต่เมื่อใด เริ่มการเปลี่ยนแปลงนี้นับได้แต่วันใดคืนใด เดี๋ยวนี้เขาเป็นญาติและมิตรที่ดีที่สุดของฉอ้อน ไม่มีปัญหา หล่อนแน่ใจว่าหล่อนอาจจะฝากชีวิตแก่เขาได้ แต่ชีวิตของคนที่หล่อนรักเล่า ชีวิตของสามีของหล่อน ของลูกๆ หล่อน ไว้ใจเขาได้แค่ไหน เฌอเป็นอย่างไร ฉอ้อนรู้แต่ว่าเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เหมือนกับผู้ที่หล่อนรักอย่างสุดซึ้งอีกคนหนึ่งคือ สามี แต่เขาเปลี่ยนเพราะเหตุใด ตั้งต้นเมื่อใด

เมื่อเกิดสงครามอาเซีย เฌอยังเป็นนักเรียนแพทย์ปีรองสุดท้าย และได้ออกจากมหาวิทยาลัยไปรับราชการในปีต่อมา หล่อนไม่ได้ติดต่อกับเขาตลอดสงครามเพราะเขาไปรับราชการที่จังหวัดสงขลา ห่างไกลกันมากและได้พบกันเมื่อสงครามเลิกแล้วที่บ้านเดิมที่เพชรบุรีเมื่อชะเอมแต่งงาน ก่อนที่จะเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษาจบ เมื่อสามีของฉอ้อนย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพฯ แล้ว เฌอก็ไปรับราชการที่จังหวัดพังงา และถูกย้ายไปจังหวัดอื่นอีกในภาคใต้ ครั้นเกิดรัฐประหาร เฌอก็ได้ย้ายเข้ามากรุงเทพฯ ในตอนนั้นเองเฌอก็ยังสนิทสนมกับพี่สาวเกือบไม่แปลกไปจากที่เคยเป็นตั้งแต่เด็กๆ ฉอ้อนคิดได้แล้ว วันหนึ่งเฌอก็มาบอกว่าจะลาออกจากราชการ ในวันนั้น เขาเกือบเป็นปากเป็นเสียงกับพี่เขย หล่อนและเฌอและสามีนั่งอยู่ด้วยกันในห้องนี้เอง ในตอนแรกพูดกันถึงเรื่องอะไรฉอ้อนจำไม่ได้ มารำลึกได้แต่ว่า เมื่อกล่าวขึ้นระหว่างการสนทนานั้น

“เออ พี่ครับ ผมว่าผมลาออกจากราชการดีกว่านะครับ”

คุณวิทูร ขณะนั้นยังเป็นพลตรี แต่ก็เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า พลโท พลเอก ในกองทัพใดก็ไม่ค่อยจะขัดใจ พลตรีวิทูรวางหนังสือพิมพ์ที่กำลังกางอ่านลง และถามว่า “อี๊ ว่าอะไรนะเฌอ”

“ผมว่าผมลาออกจากราชการดีกว่าครับ” เฌอตอบโดยไม่ดูหน้าทั้งพี่สาวและพี่เขยในคราวนี้ แต่เสไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาพลิกดู

“ใช่ เฌอ เฌอนึกว่าที่เฌอได้กลับเข้ากรุงเทพฯ น่ะ เป็นการบังเอิญเขาเรียกกลับมางั้นเรอะ” พี่เขยถาม

“ผมไม่ทราบว่าบังเอิญหรือไม่บังเอิญครับ แต่ตอนนี้ เขาจะให้ผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ผมไม่อยากเป็น”

“แล้วก็การเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ก็บังเอิญเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกันซี” เสียงของพี่เขยเต็มไปด้วยอารมณ์ไม่พึงใจ นัยน์ตาของเขาเป็นประกาย ในระยะนี้ ถ้ามีใครทำให้เขาขัดเคือง นัยน์ตาของเขาจะเป็นประกายเปรียบได้กับมรกตเช่นนี้บ่อยๆ

เฌอหลบสายตาพี่เขยผู้ทรงอำนาจ “ผมไม่มีนิสัยครับ ที่จริงเป็นเกียรติแก่ผม และ และ ท่านผู้ใหญ่ท่านก็กรุณากันทั้งนั้น ผมทราบและผมขอบคุณครับ แต่ว่าผมน่ะเป็นไม่ได้แน่ครับ” เขากล่าวเสียงเรียบๆ แต่ฉอ้อนเห็นว่าแสงในดวงตาของเขาก็เป็นแสงกล้าไม่น้อยเหมือนกัน ทำให้หล่อนเริ่มใจเต้นนิดหน่อย กลัวจะเกิดปากเสียงกันระหว่างคนที่หล่อนรักที่สุดสองคน

“ที่ได้ยินมีแต่คนชมว่าคุณหมอเฌอน่ะ เอาใจใส่กับคนไข้ ช่างพูดช่างติดต่อ” เสียงพี่เขยเหมือนเสียงเย้ย “แล้วทำไมถึงจะเป็นผู้อำนวยการไม่ได้”

“ผมดีแต่ติดต่อกับคนไข้ครับ” เฌอพยายามพูดให้เรียบร้อยขึ้น วางหนังสือลงและมองตาพี่เขยอย่างสำรวม “หน้าที่ผู้อำนวยการต้องติดต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ต้องเอาใจคนที่ คนที่เขามีทรัพย์ ที่เขาจะช่วยผุดงฐานะโรงพยาบาลและอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง”

ฉอ้อนกล่าวขึ้นบ้าง “เอ พี่ก็เห็นว่าเฌอน่ะเอาใจผู้ใหญ่ก็เก่ง คนไข้แก่ๆ ก็ออกชอบเฌอ ต้องเป็นได้ซิทำไมจะไปลาออกเสีย”

“ที่จริงผมพูดภาษาไทยไม่ค่อยดี” เฌอกล่าว “มันคงผิดไวยากรณ์อะไร ผมส่งใบลาไปแล้วละครับ อย่าเสียดายเลยพี่ ผมอยากหากินส่วนตัว รู้สึกว่าจะสบายกว่าและอาจรวยกว่าด้วย” พูดจบเขาก้มลงเก็บหนังสือพิมพ์แผ่นหนึ่งที่ปลิวตกลงไปยังพื้นด้วยแรงพัดลม ฉอ้อนกำลังจะพูดโต้ตอบต่อไปก็ได้ยินสามีพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้รู้แน่ว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง

“จริง พูดไม่รู้เรื่องจริง ลาออกแล้วมาพูดเหมือนปรึกษาทำไม ทำไมไม่พูดเสียให้เข้าใจแต่แรก” น้ำเสียงอันแสดงลักษณะผู้มีอำนาจของนายวิทูรนั้น มักจะทำให้คนที่ได้ยินนิ่งงันเสมอ คราวนี้สองพี่น้องก็เป็นเช่นนั้น ฉอ้อนสังเกตว่าพี่เขยไม่พอใจน้องเมียมาก จนถึงไม่ยอมนั่งอยู่ด้วยอีกต่อไป เขาทำอ่านหนังสือพิมพ์ต่ออยู่อีกสองสามนาที แล้วเขาก็ลุกไปจากที่นั้น เดินออกไปเรียกรถยืนรอจนรถมาถึงหน้าตึก ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้ซ่อมสร้างให้งดงามเหมือนปัจจุบันนี้ แล้วเขาก็ขึ้นรถออกจากบ้านไป

เมื่อสามีไปแล้ว ฉอ้อนหันมาทางน้องชาย เห็นผิวหน้าของเขาแดงเหมือนไปตากแตดมา ซึ่งมักเป็นในเวลาที่เฌอต้องบังคับตนอย่างเต็มกำลังใจที่จะบังคับได้ ฉอ้อนเคยเห็นสองสามครั้งในชีวิตของเฌอเท่านั้น หล่อนพูดเสียงอ่อนๆ เพื่อปลอบเขาและด้วยความอยากรู้

“เฌอ มีเรื่องอะไรรึ มันไม่ใช่นิสัยเฌอนี่เรื่องอยากรวยเรื่องอะไรนี่ ทำไมไปยื่นใบลาออกโดยไม่ปรึกษาพี่เขา เวลานี้ มีอะไรจะให้เขาช่วยเขาคงช่วยได้”

เฌอก้มหน้า ดูเหมือนเขาจะกลืนน้ำลายหลายครั้ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นพูด

“มันแล้วไปแล้วละพี่ ขอให้ผมได้เป็นตัวของผมเอง อ้า ผมอยากเป็นหมอเฉยๆ ไม่อยากเป็นอะไรเกินเลยไปจากนั้น”

ดูเหมือนตั้งแต่วันนั้นมา เฌอก็สงวนความรู้สึกนึกคิดเป็นของเขา ไม่นำมาเผื่อแผ่ให้พี่สาวคิดร่วมรู้รวมนอกจากจะเป็นเรื่องที่ใครๆ ทั้งหมดก็รู้กันแล้วพูดกันแล้ว ไม่มีอะไรล้ำลึก ไม่มีอะไรที่เป็นข้อขอดควรไข ข้อขบควรคิด เฌอเป็นสุภาพบุรุษมารยาทดี เกือบจะหาที่ติไม่ได้ ไม่มีครั้งใดที่พี่สาวขอร้องให้เขาทำอะไรที่เขาจะปฏิเสธ เขาไม่เคยขาดงานใดที่เขาควรจะร่วมด้วย เช่นงานวันเกิดพี่สาวหรือพี่เขย หรือแม้แต่วันเกิดของหลานคนใดคนหนึ่งถ้าหากมีคนบอกให้เขาทราบ เขาก็จะมาอวยพรตามเวลาที่ควร พร้อมกับของขวัญที่แสดงถึงการใช้ความพินิจพิเคราะห์เลือกเฟ้น เฌอเป็นพ่อหม้ายตั้งแต่อยู่ปักษ์ใต้ เขามีลูกสาวคนเดียวคือกุสุมา ซึ่งเขาจะพามาให้สนิทสนมกับลูกของป้าพอไม่ให้ห่างเหิน อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ใช่เฌอคนเก่า คนที่มีท่าทางลุกลี้ลุกลนที่สุด ในวันเกิดรัฐประหาร เขาเผอิญเข้ามาราชการอยู่ในพระนคร เขาเข้าไปหาฉอ้อนที่บ้านพักในกรมทหารด้วยความตื่นเต้น ผมที่มักหวีเรียบเกือบจะยุ่งไปทั้งศีรษะ

“บุญจังพี่ ผมพบยามคนที่ผมเคยรักษาที่มันฉีดยาผิด มันจำผมได้มันเลยให้ผมเข้ามา” เฌอบอกพี่สาวทันทีที่เห็นหน้า “พี่วิทูรหายไปนานยังไม่กลับใช่ไหม”

ทำไมจะไม่ใช่ เขาหายไปเกือบ ๔๘ ชั่วโมงแล้ว แต่ฉอ้อนเดาได้ว่าเขาไปทำอะไร หล่อนรู้มานานแล้วว่าเขาครุ่นคิด เขากะแผนงาน เขาคอยเวลาที่เขาและพรรคพวกนายทหารร่วมใจจะเข้ากำจัดคณะรัฐบาลที่เขาถือว่าเป็นศัตรูต่อบ้านเมืองและเป็นศัตรูต่อทหาร ฉอ้อนพิศวงตัวเองมากที่มีใจเย็น หรืออย่างที่เรียกว่า ใจชื้น ให้มีความรู้สึกว่าวิทูรจะปลอดภัยกลับมาหาเมียและลูกพร้อมด้วยความสำเร็จ แต่แม้กระนั้นหล่อนก็ดีใจที่ได้พบน้องชายจนน้ำตาไหล

“เฌอ เฌอ” หล่อนเรียกชื่อเขาพลางก็วิ่งเข้าไปหา “เฌอมากรุงเทพตั้งแต่เมื่อไร” เขารีบเดินขึ้นจากบันไดชั้นล่างขึ้นมาหาหล่อนบนเรือน เขาเห็นหนูเป๊าะวิ่งออกมาหาเขาจากห้อง เขาก็จับตัวหลานสาวขึ้นหมุนบนศีรษะ แล้วก็วางตัวแม่หนูลง ผลักตัวออกไปเบาๆ แล้วก็เข้ามาจูงมือพี่สาวเข้าไปในห้องนอน ซึ่งตามปรกติเขาไม่เคยละลาบละล้วงเข้าไปโดยไม่ได้รับเชิญ

“พี่ คุณวิทูรเขาทำสำเร็จแล้ว เขาเป็นตัวสำคัญคนหนึ่ง สำคัญเกือบที่สุด” เฌอบอกทันทีที่เขาเข้าไปในห้องแล้ว “ทีนี้ต่อจากนี้ พวกเขาจะทำอะไรกัน เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ให้มีการโกงกันอีก ไม่ให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่มีการไปคบกับคนต่างชาติแน่”

เขาอยู่กับพี่สาว ช่วยดูแลหลาน ช่วยคนทำครัวคิดหาอะไรกิน เพราะที่ตลาดหาของซื้อยาก ช่วยปัดกวาดระเบียงเรือน จนกระทั่งเวลาเย็นมาก เขามีนัดกับเพื่อนเดินทางจึงอำลาไป

“พี่ไม่มีอันตรายอะไรหรอก คอยเตรียมตัวช่วยเหลือคุณวิทูร ให้เป็นคนมีอำนาจที่ดีกว่าที่เขาเป็นๆ กันมาแล้ว ผมเชื่อว่าพี่สาวของผมจะทำหน้าที่ภรรยาในอุดมคติได้”

ฉอ้อนสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินคนพูดด้วย เงยหน้าขึ้นดูหน้าคนผู้นั้นก็เห็นว่าคือฉอเลาะ ฉอเลาะต้องการหารือเรื่องการใช้ภาชนะสำหรับของบางอย่าง ซึ่งกินเวลาไม่มากนัก เมื่อมารดาให้คำแนะนำแล้วฉอเลาะก็ลาออกไปจากบ้านด้วยรถยนต์ที่มีไว้สำหรับครอบครัวของ ท่านรอง ใช้ธุระส่วนตัว ฉอ้อนเปลี่ยนจากคิดถึงเฌอไปคิดถึงคุณเกรินใหม่ คิดว่าถ้าจะชวนเขามาที่บ้านในวันเสาร์นี้ เพื่อว่าหล่อนจะได้มีเพื่อนวัยเดียวกันบ้าง เขาจะมาไหม และภรรยาของเขาคือใคร จะรังเกียจหรือยินดีที่สามีเป็นเพื่อนสนิทกับท่านผู้หญิงฉอ้อน แต่ก็ไม่รู้จะไปถามใครที่จะไม่ไปพูดหรือเล่าให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริง ทั้งที่มิได้หมายความว่าหล่อนจะเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เป็นคนในมัชฌิมวัยท่ามกลางคนในปฐมวัย ในงานเลี้ยงเพื่อนของฉอเลาะเพราะจะต้องมีแขกเหรือผู้แปลก ที่หล่อนไม่ได้เชิญมาร่วมงานสองหรือสามคนโดยแน่นอน แล้วหล่อนก็คิดได้ว่าผู้ที่หล่อนควรเรียกมาเป็นเพื่อนใจในโอกาสนี้ ก็เห็นจะต้องเป็นเฌอน้องชาย ผู้ซึ่งถึงแม้เขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ไม่บอกความคิดนึกของเขาให้หล่อนรู้ร่วมด้วย แต่ในกรณีอย่างที่หล่อนจะขอร้องนี้ เขาไม่เคยปฏิเสธ และหล่อนก็มีสิทธิตามสายโลหิตที่จะเรียกร้องให้เขาทำให้หล่อน

ในวันเสาร์ที่ฉอเลาะจะมีการเลี้ยงเพื่อน เฌอก็มาที่บ้านของพี่สาวตามเวลาที่หล่อนขอร้อง เขาพากุสุมาลูกคนเดียวของเขามาด้วย กุสุมาเข้าร่วมการสนทนากินเล่นกับเพื่อนๆ ของลูกพี่ได้เป็นอย่างดี ท่านผู้หญิงและน้องชายจึงมีโอกาสได้นั่งอยู่ด้วยกันตามลำพังมากพอใช้ ตามองดูหญิงสาวชายหนุ่มสนุกสนานกัน ปากกินของขบเคี้ยวซึ่งล้วนเป็นของประณีต และแลกเปลี่ยนความคิดเท่าที่จะทำได้ในโอกาสดังที่เป็นนั้น เฌอไม่เริ่มปัญหาอะไรให้พี่สาวต้องตอบหรือย้อนถาม เขาจะพูดแต่เรื่องธรรมดาๆ รับตั้งแต่เขาตัดสินใจลาออกจากราชการ ฉอ้อนเข้าใจโดยไม่เคยถามถึงเหตุอันแท้จริงที่เขาลาออก คงจะมีเพื่อนฝูงสบประมาทว่าเขาต้องอาศัยบารมีพี่เขย จึงได้ก้าวหน้าในราชการ หรือมิฉะนั้นก็ตัวของเขาเองรู้สึกไม่พอใจที่พี่เขยให้ความช่วยเหลือ เฌอไม่เคยติชมภาวะของบ้านเมือง ซึ่งฉอ้อนรู้ดีว่าเขาถือว่าพี่เขยรับผิดชอบอยู่เป็นส่วนใหญ่ เหตุผลย่อมมีอยู่ทางเดียว คือเขาไม่พอใจภาวะที่เป็นอยู่ และเมื่อเขาไม่ไว้ใจพี่เขย เขาจะติให้ฟังอย่างไรได้และเมื่อติไม่ได้ เขาย่อมชมไม่ได้ สำหรับคนอย่างเฌอเมื่อเขานิ่งไม่พูดอะไรเรื่องใด หรือเรื่องของผู้ใด ไม่ติและไม่ชม มีความหมายอยู่อย่างเดียวคือ เขาไม่พอใจ เขาไม่ไว้ใจ

ฉอ้อนเก็บความรู้สึกเหล่านี้ไว้คนเดียว หล่อนไม่มีใครที่ไหนที่จะนำเรื่องในใจไปเล่าไปบรรยาย หล่อนมีความฉลาดพอที่จะไม่ปล่อยให้พฤติกรรมของน้องชายทำให้หล่อนทุกข์ใจจนเป็นการทรมาน หล่อนทำใจให้มองเห็นความสุขมากกว่าความทุกข์ สามีหล่อนได้บอกแก่หล่อนว่าระยะนี้เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง เขาต้องการให้หล่อนช่วยเหลือเขามากที่สุดที่หล่อนจะทำได้ ฉอ้อนไม่รู้ว่าในประวัติการณ์ของประเทศไทย ได้เคยมีผู้เรียกระยะปีไหนว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อมาแล้วกี่ครั้ง แต่หล่อนรู้ภายในใจของหล่อนว่า หน้าที่ของหล่อนอยู่ที่ต้องช่วยสามีตามที่เขาขอร้อง และหล่อนก็ไม่รู้ว่า ที่เฌอไม่ออกความคิดเห็นอย่างใดกับหล่อน ก็เพราะเขาไม่มีความปรารถนาจะก่อทุกข์ให้หล่อนในสิ่งที่เขามองเห็นแล้วว่าหล่อนจะทำอะไรให้ดีขึ้นไม่ได้

การที่เขาไม่ติไม่ชมอะไรนี้ ทำให้ฉอ้อนมีความตื่นเต้นทุกครั้งที่เฌอออกความคิดเห็นโดยเขาเผลอตัว ทำให้หล่อนรู้ว่า เขากำลังติอะไรหรือชมอะไรอยู่ในใจ เขาเคยชมหล่อนเองมากกว่าหนึ่งครั้ง ชมเรื่องภายนอก มีการแต่งกายเป็นต้น และชมเรื่องภายใน ครั้งหนึ่งเมื่อหล่อนได้รับอุปการะในโรงเรียนในชนบทห่างไกลแห่งหนึ่ง เขาหลุดปากออกมาว่า “ถึงแม้จะเป็นโปรปะกันดาก็เป็นวิธีที่เป็นกุศล” ทำให้ฉอ้อนยิ้มโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันไปหลายวินาที จนสามีล้อว่า “แหม น้องชายชมนี่ช่างปลื้มเสียนี่กระไร” หล่อนจึงรู้ตัวและกลบเกลื่อนว่า “เฌอเป็นคนชมอะไรไม่ค่อยเป็นมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเขาชมอะไรต้องแปลว่าดีจริง” สามีหล่อนยิ้มด้วยริมฝีปากเผยอเพียงข้างเดียว ซึ่งเป็นลักษณะบอกว่าเขาเชื่อหล่อนเพียงครึ่งเดียว

ฉอ้อนไม่ยอมให้น้องชายเป็นคู่แข่งกับสามีในจิตใจของหล่อน ไม่ยอมให้เฌอเป็นผู้วินิจฉัยว่าพี่เขยทำดีหรือไม่ดี ไม่ยอมให้สามีของหล่อนต้องรับผิดชอบต่อน้องในใจของหล่อน ทุกครั้งที่สามีทำอะไรที่ฉอ้อนรู้สึกพิศวงสงสัยว่านี่ถูกหรือผิด ดีชั่วแค่ไหน หล่อนจะรีบขจัดคำถามที่เกิดขึ้นว่า “เฌอเขาจะว่าอย่างไร” ออกไปจากมโนของหล่อน และพยายามขจัดเลยไปถึงคำถามว่า “นี่คุณแจ๋วจะว่าอย่างไร” ด้วย เฌอได้ลาออกจากราชการ เขาปฏิเสธที่จะร่วมมือกับพี่เขยในการบริหารบ้านเมืองของเขา เขาก็เป็นคนอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ใช่คนร่วมใจกับสามีของหล่อน ส่วนคุณแจ๋ว ก็เคยถูกวิทูรถือว่าเป็นพวกขุนนางมาตั้งแต่เริ่มเปลี่ยนการปกครอง คุณแจ๋วก็ไม่ใช่คนพวกเดียวกับสามี แต่ฉอ้อนยังคงรักคุณแจ๋วและเฌออย่างลึกซึ้งในฐานะน้องและเพื่อน ซึ่งหล่อนแยกออกเสียจากความจงรักที่มีต่อสามี หล่อนไม่ยอมให้ความรักสองประเภทนี้มาปะปนกันหรือแม้แต่แข่งขันกัน แต่หล่อนก็ปฏิเสธแก่ตนเองไม่ได้ว่า หล่อนมีความต้องการ มีความปรารถนาที่ดูจะแรงขึ้นทีละน้อย ที่จะมีใครสักคนหนึ่งที่หล่อนจะบรรยายความรู้สึกทั้งหมดนี้ให้ฟังได้

หน้ายิ้มพยักกับลูกคนนั้นหลานคนนี้ มือก็หยิบนั่นส่งนี่ ให้คนใช้ที่รับจ้างบ้าง ให้อาสาสมัครที่เข้ามารับใช้บ้าง ให้เลื่อนจานขนมนั้นไปให้คนโน้น เลื่อนชามโน้นมาให้คนนี้ สายตาก็สอดส่ายสังเกตเพื่อนของลูก กลับไปสังเกตน้องชาย แล้วก็ไปจับดูหน้าลูก วันนี้ชัยฤทธิ์มาร่วมสนุกกับเพื่อนๆ ของพี่สาวซึ่งออกจะผิดไปจากปรกติบ้าง เพราะชัยฤทธิ์ชอบไปตามลำพังตน ไปหาเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งของตนเองมากกว่า ฉอ้อนมองไปยังลูกชายคนแรกของหล่อน เห็นเขายืนอยู่ชิดหญิงสาวผู้หนึ่ง รูปร่างดี หน้าเกลี้ยงเกลา คุยกันอย่างเพลิดเพลิน หล่อนจำไม่ได้ว่าเจ้าหล่อนผู้นั้นเป็นใคร รู้แต่ว่าผู้ที่เป็นแขกของฉอเลาะในวันนี้ ล้วนเป็นหญิงและชายที่หล่อนจะไม่รังเกียจที่จะได้มาเป็นลูกเขยหรือลูกสะใภ้เลยสักคนเดียว แล้วทันทีก็เลยรำลึกถึงชายหนุ่มหน้าใหม่ซึ่งฉอเลาะพาเข้ามาแนะนำให้หล่อนรู้จัก บอกว่าชื่อไกร เขาเป็นคนเดียวที่ท่านผู้หญิงไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นคนที่เรียบที่สุด แต่งกายอย่างเรียบร้อย มารยาทเรียบร้อย สีหน้าเรียบ ทีท่าอาการเรียบ หล่อนนึกขึ้นมาได้ว่าเพราะความเรียบของเขาหล่อนจึงไม่ได้ให้ความสนใจ เกือบไม่ได้ฟังเสียด้วยซ้ำว่าเขาชื่ออะไรระหว่างที่ฉอเลาะพามาแนะนำ เพราะนัยน์ตามัวไปจับที่ชายหนุ่มที่ตามมาข้างหลัง นนที วิชยพาหะ ลูกชายคนเดียวของเจ้าคุณวิชยนาวิน เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าทั้งมีปริญญาสูง ทั้งเป็นทายาทกองมรดกมหาศาล ยังมีรูปสมบัติถึงเพียงนี้อีกเล่า ท่าทางของเขาเป็นอีกแบบหนึ่งจากชัยฤทธิ์ ชัยฤทธิ์มีท่าทางภูมิฐานเป็นทหาร อิริยาบถนุ่มนวล เป็นพลเรือนและเป็นลูกผู้ดี ฉอ้อนนึกถามในใจทันทีว่า ผู้ชายคนนี้คือคนที่ฉอเลาะรัก คุณวิทูรจะตั้งข้อรังเกียจว่าเป็นพวกขุนนางไหม แต่แล้วก็ตอบว่า เจ้าคุณวิชยนาวิน กำลังเป็นประธานกรรมการพิจารณาปรับปรุงการเดินเรือพาณิชย์ เป็นผู้ที่รัฐบาลไว้วางใจและนับถือมากผู้หนึ่ง

แต่ฉอ้อนได้ตั้งใจว่าวันนี้บทบาทของหล่อนคือเป็นคนดู จึงควรดูให้ทั่ว หล่อนกวาดสายตาไปทางซ้ายทางขวา ทางหน้าและทางข้างๆ แล้วหล่อนก็เห็นชายหนุ่มที่มีลักษณะคือความเรียบ เขานั่งฟังหญิงสาวเพื่อนของฉอเลาะสนทนากัน ไม่ไกลไปจากที่นั่งของฉอ้อนนัก เขากำลังฟังอย่างสนใจ ตักขนมเข้าปากและเคี้ยวช้าๆ ฉอ้อนนึกสงสัย เขามีอะไรทำให้หล่อนนึกถึงใครคนหนึ่ง หล่อนนึกไม่ออก แล้วหล่อนก็ถูกนนทีดูดดึงสายตาไปจากเขาอีกเพราะนนทีกำลังเดินเข้ามาหาหล่อนโดยมีฉอเลาะเดินเป็นคู่เคียงมา ในมือของเขาถือไม้ตีแบดมินตัน เขายิ้มอย่างสดใส นัยน์ตาจับอยู่ที่หน้าลูกสาวของฉอ้อน ผู้กำลังชมฝีมือการเล่นของเขา แปลกเสียแล้ว ถ้าฉอเลาะเอาใจใส่กับผู้ชายคนนี้ในทางที่ฉอ้อนสงสัย ฉอเลาะจะชมฝีมือของเขาอย่างออกหน้าออกตาเชียวรึ

หล่อนหันกลับไปดูชายหนุ่มผู้มีความเรียบอีกครั้ง พอดีกับเฌอก็มองไปทางเดียวกัน สักประเดี๋ยวเฌอลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปหากุสมา พูดอะไรกับลูกสาวของเขาอยู่สองสามประโยค แล้วก็กลับมานั่งที่เดิม ฉอ้อนอดถามไม่ได้

“เฌอลุกไปทำไม”

“ผมนึกอะไรไม่ออก และนึกออกตะหงิดๆ พี่เข้าใจไหม” เฌอตอบ “ประเดี๋ยวก็คงรู้ นั้นไง” เขาว่า เมื่อลูกสาวของเขาเดินเข้ามาใกล้ กุสุมาเข้ามาหาบิดาก้มลงพูดเบาๆ

“ผู้ชายคนที่พ่อถาม เขาชื่อ ไกร ไงคะ เขาเป็นญาติของคุณเอมอรแฟนพี่พิสุทธิ์ เขานามสกุล เหมเสนา พ่อของเขาเป็นนายพล”

“คุณเกริน” ฉอ้อนกับเฌอร้องพร้อมกัน “ตาไกรนี่คงลูกคุณเกริน”

เฌอลุกขึ้นจากเก้าอี้เข้าไปหาไกร เขาเข้าไปก้มลงพูดกับชายหนุ่มอย่างสุภาพ ไกรเงยหน้าขึ้นยิ้มพูดกับเขาแล้วเฌอก็กลับมายังที่นั่ง

“ลูกคุณเกรินจริงๆ” เขาบอกแก่พี่สาว “แหม นึกแล้วว่ามีอะไรไม่รู้เหมือนใครยังไง แต่ไม่นึกว่าใกล้ๆ แค่นี้เอง”

ฉอ้อนลุกจากที่นั่งบ้าง ใจเต้นตึกตักชอบกล หล่อนเข้าไปที่กลุ่มที่ไกรนั่ง ทุกคนในกลุ่มขยับเขยื้อนกายเป็นการต้อนรับและเคารพในตัว แต่ไกรยืนขึ้นอย่างไม่เก้อเขิน ราวกับเขาเป็นชาวต่างประเทศลุกขึ้นยืนต้อนรับสุภาพสตรี ฉอ้อนมองเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งว่างอยู่ใกล้กลุ่มนั้น หล่อนรีบลงนั่งพลางลากให้ใกล้เข้ามาอีก ไกรอยู่ไกลไปจากที่นั้น เขาไม่สามารถจะช่วยท่านผู้หญิงเจ้าของบ้านได้ คนที่อยู่ใกล้ก็เป็นสตรี จึงได้แต่เข้าไปเอามือแตะๆ อยู่ที่พนักเก้าอี้แล้วก็หัวเราะคิกคัก ท่านผู้หญิงก็หัวเราะคิกคักด้วยเพื่อไม่ให้สาวๆ เก้อเขิน

“คุณไกร” ฉอ้อนรีบเรียกทันทีที่นั่งเรียบร้อย “คุณเป็นลูกคุณเกรินหรือคะ”

“ครับ” เขาตอบเรียบๆ แต่ยิ้มนิดหน่อย

“คุณพ่อคุณรู้หรือเปล่าว่าคุณจะมาบ้านนี้ วันนี้” ท่านผู้หญิงถาม

“ทราบครับ” เขาตอบเรียบๆ อีก

“แล้วพูดว่าอะไรบ้าง” เจ้าของบ้านซัก

ไกรทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แล้วตอบ “คุณพ่อวันนี้ไปราชการต่างจังหวัด เมื่อวานซืนผมบอกท่านว่าคุณฉอเลาะเชิญผมมารับประทานอะไรเล่นวันนี้ ตอนนั้นท่านก็ไม่เห็นว่ายังไง”

ฉอ้อนทำใจให้ราบเรียบให้เข้ากับสีหน้าเรียบของชายหนุ่ม “คือยังงี้นะคะ คุณอาจไม่ทราบก็ได้ว่าคุณพ่อคุณน่ะสนิทกับพ่อของฉอเลาะอย่างไร แล้วก็สนิทกับฉันอย่างไร ถ้าคุณพ่อรู้ว่าคุณจะมาวันนี้แล้วไม่สั่งอะไรมาเลยฉันจะน้อยใจมาก เรียนคุณพ่อนะ อย่าลืม แล้วเรียนด้วยว่า ให้หาเวลาค่ำๆ ว่างๆ ไว้สักสองสามค่ำ แล้วโทรศัพท์มาบอก คุณโทรฯ มาถึงฉอเลาะก็ได้ มัวแต่อยู่กันคนละจังหวัดอยู่เรื่อยไม่ต้องพบต้องปะกันบ้าง ขอนัดให้มารับประทานข้าวที่นี่บ้างทั้งครอบครัว”

เสียงสตรีสาวที่ร่วมกลุ่มหัวเราะคิกคักขึ้นมา ฉอ้อนก็กวาดดูหน้าขาวๆ อ่อนๆ เหล่านั้นด้วยความประหลาดใจ

“คุณไกรเขาจะออกเดินทางสองสามวันนี้ค่ะ เขาได้รับทุนกระทรวงศึกษาฯ เขาจะไปอเมริกา” เพื่อนหญิงของฉอเลาะคนหนึ่งบอกแก่ท่านมารดาของเพื่อน

“อ๊อ แหมดีจริง แสดงความยินดีค่ะ” ฉอ้อนกล่าวด้วยความยินดีจริงๆ และอดนึกในใจไปพลางไม่ได้ว่า ถ้าหล่อนไม่รู้จักกับลูกชายของเขาในวันนี้ เกรินจะพาลูกของเขามาลาไปต่างประเทศไหม แล้วกล่าวต่อไป “ดีซิคะ งั้นต้องหาวันนัดให้ก่อนคุณไป ฉันจะฝากอะไรไปให้ลูกฉันบ้างได้ไหมคะ จะไปเมืองไหน อยู่ภาคไหนคะอเมริกาน่ะ มันออกใหญ่โต”

“ผมจะไปเทกซัสครับ” ชายหนุ่มตอบ “คุณกลองใช่ไหมครับที่อยู่อเมริกา อยู่เมืองไหนครับ”

“อ้อ รู้ด้วยรึคะว่ากลองอยู่อเมริกา คุณพ่อบอกหรือคะ แล้วคุณพ่อเป็นคนตั้งชื่อกลองคุณรู้ไหม” ฉอ้อนรีบบอกด้วยความดีใจ

“เปล่าครับ คุณฉอเลาะพูดเมื่อกี้นี้ แต่เห็นบอกว่าอยู่ไกลกันมาก” ไกรตอบ

“ถึงไกลก็อาจได้พบกัน คุณคงต้องไปวอชิงตันใช่ไหม กลองก็อาจไปเหมือนกัน ต้องให้เขียนอะไรติดมือไป ถึงยังไงก็ขอให้ได้มารับประทานข้าวก่อนคุณไป อย่าลืมบอกคุณพ่อนะคะ” ฉอ้อนรีบบอกเหมือนกับว่า กลัวจะไม่มีเวลาที่จะบอก และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะพูดไม่ทันขาดค่า ชัยฤทธิ์ก็เข้ามาหาและบอกว่า

“คุณแม่ครับ เชิญคุณแม่ไปทางโน้นหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากให้ดูอะไรหน่อย”

“อะไรจ๊ะ” ฉอ้อนลุกขึ้นจากที่นั่ง และเดินตามลูกชายไป เพราะพอชัยฤทธิ์พูดแล้วเขาก็ไม่รอ เขาออกเดินนำหน้ามารดาไปอย่างเร็ว

ชัยฤทธิ์เดินไปถึงมุมสนาม เห็นไกลคนพอสมควรก็หันมาบอกมารดาว่า “คุณพ่อคุณแม่ของนนทีมารับลูกชาย ท่านไม่เข้ามาในบ้าน บอกว่าไม่ได้รับเชิญ คุณแม่จะว่ายังไง”

“ท่านอยู่ที่ไหนจ๊ะ” ฉอ้อนถามลูกชาย “เจ้าคุณวิชยนาวินใช่ไหม”

“ใช่ซีครับ ท่านอยู่บนรถ ผมไปเชิญก็ไม่เข้ามา” ลูกชายตอบ

ฉอ้อนเดินไปทางประตูบ้านซึ่งเปิดออกสู่ถนนใหญ่ ยามที่ประตูทำความเคารพ และมองดูอย่างสนใจ เมื่อเห็นท่านผู้หญิงทำมือให้ช่วยเปิดประตูบ้าน แล้วตัวท่านผู้หญิงก็เดินเลยออกไปจากเขตบ้าน มีลูกชายติดตามออกไป เหลียวมองไปทางขวาแล้วก็มองทางซ้าย จึงเห็นรถยนต์แบบเก่ามากคันหนึ่งจอดแอบอยู่ริมทาง ฉอ้อนมองเห็นทางด้านหลังของรถว่ามีคนมีอายุนั่งอยู่ในรถสองคน หญิงหนึ่งชายหนึ่ง หล่อนเดาได้ว่าเป็นผู้ใด จึงเดินเข้าไปที่รถ

ท่านผู้หญิงฉอ้อนกับพระยาและคุณหญิงวิชยนาวินไม่เคยมีผู้แนะนำให้รู้จักกัน แต่ฉอ้อนคิดว่าตนทำหน้าที่เจ้าของบ้านผู้มีสัมมาคารวะอย่างถูกต้อง หล่อนเข้าไปทำความเคารพและกล่าวเชิญ

“ใต้เท้าเข้าไปในบ้านก่อนเถิดเจ้าค่ะ คุณนนทีเขา...” หันมาทางลูกชายเพื่อต่อประโยค เพราะหล่อนไม่ทราบว่านนทีกำลังทำอะไร

“นนทีกำลังเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวครับ” ชัยฤทธิ์ช่วยต่อประโยคให้ตามที่มารดาหวัง

“แหม ไม่น่าจะลำบากแก่ท่านผู้หญิงถึงอย่างนี้เลยครับ” ท่านข้าราชการสูงอายุพูดเชิงบ่น “ผมติดรถมารับนนทีเขา บ้านพี่สาวผมอยู่ใกล้ๆ นี่ เขาไม่ค่อยสบาย รู้เข้าก็เลยมา ผมว่าอย่าลำบากเลยครับ แต่งตั้งแต่งตัวก็ไม่ค่อยเรียบร้อย”

“ข้างในก็แต่งกันตามสบายครับ ไม่มีงานอะไร ชวนเพื่อนมาเล่นและกินสนุกๆ เท่านั้นเอง” ชัยฤทธิ์ชี้แจง

“เอ้า ลงไปก็ลงไป” พระยาวิชยนาวินรับคำเชิญ “ลงมาซีเธอ ท่านผู้หญิงท่านถึงกับออกมาเชิญอย่างนี้ ท่านก็ต้องอภัย แม่ประนอมเขาไม่ได้แต่งเนื้อแต่งตัว”

“เชิญให้เขาเอารถเข้าไปซีเจ้าคะ” ฉอ้อนเชื้อเชิญอีกครั้งหนึ่ง แต่ท่านอาวุโสทั้งสองลงจากรถมายืนอยู่ที่ถนนแล้ว ฉอ้อนสังเกตคุณหญิง ก็ไม่เห็นว่าท่านแต่งกายไม่เรียบร้อยอย่างใด ท่านสวมเสื้อผ้าทำด้วยไหมไทยเป็นชุดสีน้ำตาลอ่อน ค่อนไปข้างเก่าแต่ไม่มัวหมองถึงน่ารังเกียจ เจ้าคุณนุ่งกางเกงสีเทาสวมเสื้อเชิ้ตขาว แต่ไม่ได้ผูกผ้าผูกคอและไม่ได้สวมเสื้อชั้นนอก ฉอ้อนนึกฉงนอะไรในใจนิดหน่อย แต่ไม่มีเวลาจะมัวชักช้า รีบนำท่านทั้งสองขึ้นไปที่ห้องรับแขกห้องใหญ่ ซึ่งเป็นห้องนอกสุดของตึก ชัยฤทธิ์วิ่งหายลงไปทางด้านหลังของตึก ซึ่งเป็นที่เล่นแบดมินตันและที่เพื่อนๆ ของฉอเลาะกำลังเลี้ยงกันอยู่ ฉอ้อนเชิญให้แขกนั่งบนเก้าอี้ กดกริ่งเรียกคนใช้ให้นำของขบเคี้ยวและน้ำเย็นมาให้ แต่ถูกแขกปฏิเสธอาหารแข็งขันจึงสั่งให้นำมาแต่น้ำเย็น พอแขกและเจ้าของบ้านลงนั่งเก้าอี้ได้สักประเดี๋ยว ยังไม่ทันจะปฏิสันถารกันต่อไปอีกกี่คำ ชัยฤทธิ์ก็นำฉอเลาะเข้ามาในห้อง

ฉอเลาะเข้ามาทำความเคารพอย่างนอบน้อม คือย่อตัวลงจนหัวเข่าข้างหนึ่งจดพื้น และก้มศีรษะกราบลงกับหัวเข่าอีกข้างหนึ่ง ทีท่าสมเป็นกุลสตรีไทยยิ่งนักในสายตาของมารดา ฉอ้อนเห็นสายตาของคุณหญิงจับอยู่ที่ฉอเลาะอย่างเอาใจใส่ เรียกว่ามองตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงปลายเท้า กำลังคิดถามในใจว่าท่านไม่มีที่อื่นจะดูตัวฉอเลาะหรือนอกจากขอเข้ามาดูในบ้านของฉอเลาะด้วยวิธีมานั่งรอรับลูกชายในรถยนต์ ชัยฤทธิ์ก็พูดขึ้น

“ใครจะให้เป็นความดีความชอบของผมบ้าง ที่ออกไปพบคุณพ่อคุณแม่คอยนนทีอยู่นอกบ้าน ผมออกไปดูรถให้พิสุทธิ์เขา ถ้าผมไม่ออกไป พ่อนนทีก็เล่นสบาย คุณพ่อคุณแม่คงรอแย่”

“ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก เป็นความผิดของคนแก่ที่ขี้เหนียวประหยัดน้ำมันรถ” เจ้าคุณกลบเกลื่อน “ที่จริงจะรอวันอื่นก็ได้ แต่นี่เห็นว่ารถมาทางนี้แล้ว มารอก็ไม่เดือดร้อนอะไร บังเอิญคุณออกไปเห็นเข้า เลยพาให้ร้อนไปถึงคุณแม่”

ฉอ้อนกล่าวคำแสดงความยินดีที่ได้รับแขกอาวุโสทั้งสองตามประเพณี ฉอเลาะบอกว่าจะไปเรียกนนที ชัยฤทธิ์บอกว่าคงจะรู้แล้ว และพยักหน้าให้ฉอเลาะนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อสนทนากับแขกอาวุโสทั้งสอง แต่ฉอเลาะบอกว่ามีธุระอยู่ กล่าวคำขอขมาแล้วก็กลับออกไปทางด้านที่แขกอื่นๆ ของหล่อนยังคงรื่นเริงกัน

ฉอ้อนนั่งปฏิสันถารกับเจ้าคุณ และคุณหญิงผู้เป็นแขกต่อไปสองสามนาที นนทีก็เข้ามาพร้อมด้วยฉอเลาะ เขาหวีผมเรียบร้อยและดวงหน้าของเขาสะอาดแจ่มใส แต่ยังคงอยู่ในเครื่องแต่งกายสำหรับเล่นแบดมินตัน มิได้เปลี่ยนเสื้อผ้าดังที่ชัยฤทธิ์บอก ทั้งสองลงนั่งปราศรัยกับท่านผู้หญิง และเจ้าคุณกับคุณหญิง ต่อไปอีกสองสามนาทีแล้ว เจ้าคุณกับคุณหญิงพร้อมด้วยบุตรชายก็ลากลับไป

ต่อจากนั้นแขกของฉอเลาะก็ทยอยกันลากลับ เมื่อไกรเข้ามาลา ฉอ้อนก็กำชับให้บอกคุณพ่อตามที่หล่อนสั่งอีกครั้งหนึ่ง ไกรก็รับคำอย่างเรียบๆ แต่ในตอนปลายของงานวันนั้น มีเหตุการณ์เป็นที่น่าสังเกตเล็กน้อย

ชาญชิต ลูกชายคุณหลวงสุรพล ถือวิสาสะว่าตัวได้คุ้นเคยกับครอบครัวของท่านผู้หญิงมานาน ไม่ลากลับไปพร้อมๆ กับเพื่อนๆ แต่ยังคงนั่งอยู่ที่ระเบียงตึกด้านที่ลงไปสู่สนาม เขานั่งหยอกล้อสุนัขของฉอเลาะอยู่จนกระทั่งเพื่อนลากลับไปหมดแล้วทุกคน ทั้งที่เหงื่อชุ่มตัวจากการเล่นกีฬา ผมก็เปียกด้วยเหงื่อ และหน้าก็มองดูเป็นมัน คนใช้นำวิสกี้โซดามาให้เขาที่ระเบียงนั้น เขาดื่มรวดเดียวหมดถ้วยแก้วแล้วส่งแก้วเหล้าคืนให้คนใช้ และขออีกถ้วยหนึ่ง

ชัยฤทธิ์มองดูกิริยาอาการของชาญชิตตลอดเวลา อย่างไม่ถูกสายตา พอชาญชิตขอเหล้าอีกถ้วยหนึ่งจากคนใช้ เขาก็พูดขึ้น

“ผมว่าคุณน่าจะไปล้างหน้าล้างตา ทำความสะอาดให้แก่ร่างกายเสียก็จะดีนะ คุณชาญชิต”

“อ้อ คุณเห็นผมสกปรกงั้นเหรอ คุณชัยฤทธิ์” ชาญชิตถามลูกชายเจ้าของบ้าน “แต่ก่อนนี้ เมื่อคุณยังไม่กลับมา ผมเข้าออกบ้านคุณอาฉอ้อนทุกวัน ไม่มีใครว่าผมสกปรก”

“ที่จริงผมไม่ได้ว่าคุณสกปรก” ชัยฤทธิ์ว่า “แต่ถ้าคุณจะแปลอย่างนั้นผมก็ไม่ขัดข้อง”

ฉอเลาะยืนอยู่กับมารดาในห้องรับแขกซึ่งเปิดถึงระเบียงที่ชาญชิตนั่งอยู่ ส่วนชัยฤทธิ์ยืนอยู่ตรงประตูห้องนั้น หล่อนได้ยินแต่คำพูดของน้อง น้ำเสียงของเขาไม่ถูกหูของหล่อน เพื่อป้องกันความรุนแรงอันอาจเกิดขึ้นได้ ฉอเลาะรีบออกไปที่ระเบียง ชาญชิตเห็นหล่อนออกมายืนในระยะใกล้พอที่เขาจะเอื้อมมือไปจับต้องได้ เขากำลังนั่งในท่าสบาย ตัวเขาอยู่บนเก้าอี้มีแขน ขาข้างหนี่งวางข้ามแขนเก้าอี้ อีกข้างหนึ่งทอดอยู่ข้างหน้า เขาไม่ขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สำรวมกว่านั้น เอื้อมมือไปดึงแขนซ้ายของฉอเลาะ รั้งตัวเจ้าหล่อนให้เข้ามาใกล้เขา

“อ้อ พี่ฉอเลาะ คุณชาญชิตเขามีสิทธิ์ที่จะเหนี่ยวรั้งพี่อย่างไรก็ได้ยังงี้เชียวรึ” ชัยฤทธิ์ถามพี่สาว เสียงกร้าวและแววตากระด้าง

“ผมไม่มีสิทธิ์หรอก คุณชัยฤทธิ์ แต่คุณฉอเลาะไม่เหมือนคุณ ฉอเลาะเธอเป็นคนเห็นแก่หน้าเพื่อนเก่าอยู่บ้าง” ชาญชิตตอบแทนฉอเลาะ แล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะประหนึ่งขบขันเต็มที

“ถ้าพี่สาวเห็นแก่คนขี้เมามากเกินไป ผมก็เสียใจ” ชัยฤทธิ์ตอบ เขายืนตัวแข็งอยู่ที่เดิมและจ้องตาชาญชิตอย่างไม่เกรงใจ

ฉอ้อนออกไปที่ระเบียงตึก เห็นชายหนุ่มสองคนประจันหน้ากัน หล่อนไม่ได้ยินคำโต้ตอบทั้งหมด ได้ยินแต่คำพูดของชัยฤทธิ์กระท่อนกระเท่น มองหน้าลูกสาวเห็นกำลังยิ้มในหน้า เหมือนคนเป็นต่อในการพนันอะไรอย่างหนึ่ง ทั้งที่มือของชาญชิตกำแขนแน่นอยู่ และน้องชายกับเพื่อนชายกำลังจ้องตากันเขม็งโดยไม่มีลักษณะของมิตรด้วยกันทั้งคู่ ฉอ้อนมองดูหน้าหนุ่มสาวทั้งสามคน ชาญชิตค่อยๆ มีสติขึ้นมา เขาลดขาลงนั่งอย่างเรียบร้อยขึ้นกว่าเดิม ฉอ้อนไม่รู้จะทำอะไรดีกว่าการถามว่า

“อะไรกันจ๊ะ”

“เปล่าจ้ะ” ฉอเลาะตอบ สีหน้ายังคงยิ้มน้อยๆ “คุณชาญชิต จะไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อนไหมคะ จะอยู่รับประทานอาหารกันหรือเปล่า” ตอนหลังหันไปถามชายหนุ่ม

“เห็นจะไม่ละ” ชาญชิตตอบฐานเพื่อนสนิท “ไว้วันหลัง หวังว่าผมคงมาบ้านฉอเลาะต่อไปได้อย่างเคย”

“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยนี่คะ” ฉอเลาะตอบในขณะเดียวกันกับที่ชาญชิตลุกขึ้นยืน เขาส่ายตามองหน้าไม้ตีแบดมินตันของเขา หยิบได้แล้วก็ทำความเคารพท่านผู้หญิง แล้วก็เดินลงจากตึกไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ