บทที่ ๗
รุ่งขึ้นเช้า ก่อนที่จะออกไปซื้อของตามกำหนดเกรินและวิทูรก็มาถึงบ้านที่ฉอ้อนพักอยู่ ฉอ้อนแปลกใจที่คุณแจ๋วและคุณแต๋วไม่เรียกคุณเกรินว่า พี่ หรือ น้อง หรืออะไรที่แสดงเป็นญาติ และคุณเกรินก็เรียกคุณแจ๋วคุณแต๋วในทำนองเดียวกัน ช่างผิดกับประเพณีที่เพชรบุรีจริงๆ ที่นั่น เมื่อนับถือกัน แม้ว่าจะไม่ใช่ญาติโดยสายโลหิต ก็เรียกกัน น้า ป้า อา ลุง ส่วนที่บ้านนี้ สอิ้งผู้เป็นหลานตามที่คุณแป๋วแนะนำ ก็ไม่เรียกคุณแป๋วว่าคุณน้า และยิ่งกว่านั้น เมื่อฉอ้อนจะพูดถึงพี่อ้นของคุณแจ๋ว คุณแจ๋วก็รีบทำให้ฉอ้อนเข้าใจว่า ฉอ้อนควรเรียกว่า คุณอ้น ก่อนที่ฉอ้อนจะทำผิดประเพณีของบ้านของคุณแป๋ว
พี่อ้น หรือคุณอ้น หรือคุณอนธกาล ได้พบกับฉอ้อนตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ ฉอ้อนตื่นก่อนคุณแป๋ว พอตื่นก็ฉวยขันล้างหน้าซึ่งฉอ้อนนำมาจากบ้าน เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรร่วมกับผู้ใดตามความนิยมของชาวเพชรบุรีที่ฉอ้อนรู้จัก หยิบผ้าเช็ดตัวมาห่มรอบบ่า แล้วก็เปิดประตูเดินไปที่ห้องน้ำ คุณอ้นเดินมาถึงประตูห้องน้ำจากอีกด้านหนึ่งของเรือน พบกับฉอ้อนที่หน้าห้องน้ำพอดี เขาจ้องดูหล่อนประเดี๋ยวหนึ่ง ยิ้มนิดหนึ่ง แล้วก็ทำท่าระลึกได้ว่าหล่อนเป็นใคร แล้วก็ถอยหลังพลางตาก็มองดูหล่อน แล้วจึงเลี้ยวกลับทางที่เขามา
ฉอ้อนเข้าห้องน้ำ อาบน้ำทำความสดชื่นให้แก่ร่างกาย แล้วก็กลับไปห้อง
คุณแจ๋วนอนลืมตาอยู่บนเตียง เมื่อเห็นฉอ้อนก็ยิ้มไม่กล่าวว่าอะไร ฉอ้อนจึงเป็นคนพูด
“แหม จะเข้าห้องน้ำไปพบกับ เอ้อ พี่อ้นของคุณแจ๋ว”
“คุณอ้นเขาชอบตื่นและอาบน้ำแต่เช้า” คุณแจ๋วว่า “เขาพูดว่าอะไรบ้าง”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้พูดอะไร” ฉอ้อนตอบ “ทีแรกดูเหมือนจะจำฉอ้อนไม่ได้”
“ฉอ้อน” คุณแจ๋วเรียกขึ้นเหมือนนึกอะไรออก “เมื่อคืนที่เราคุยกันอย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ ปะเหมาะเคราะห์ร้ายจะไม่ดี”
“ไม่เล่าแน่เทียว เรื่องอย่างนี้คุณแจ๋วไม่ต้องห่วง” ฉอ้อนรับคำอย่างแน่ใจ
ทั้งคุณแจ๋ว และฉอ้อนลงมือแต่งตัวสำหรับจะออกไปนอกบ้าน ฉอ้อนมองดูคุณแจ๋วด้วยความนิยม ทุกอย่างที่ทำดูกระฉับกระเฉงและรวดเร็ว ใช้เวลาครึ่งหนึ่งของที่ฉอ้อนใช้เป็นธรรมดา แต่คุณแจ๋วก็ไม่เร่งฉอ้อนและแล้วก็พากันลงไปที่ห้องอาหารด้วยกัน
ที่ห้องอาหาร เจ้าคุณ คุณหญิง และคุณอ้นก็อยู่ในนั้นพร้อมกัน คุณแจ๋วพาฉอ้อนเข้าไปกราบคุณพ่อและฉอ้อนเลยไหว้คุณน้าด้วย แต่คุณแจ๋วไม่ไหว้ เดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง และเรียกฉอ้อนให้ลงนั่งใกล้ตัว ระหว่างการรับประทานอาหาร เจ้าคุณกับคุณอ้นก็คุยกันเรื่องที่ฉอ้อนไม่เข้าใจ แต่ฉอ้อนรู้ว่าเป็นเรื่องราชการเพราะหล่อนเคยฟังพวกข้าราชการคุยกันที่บ้าน “ท่าน” ที่เพชรบุรีบ่อยๆ ระหว่างการสนทนาชื่อของคุณจำลองก็เข้ามา
“จำลองเขาจะไปเป็นผู้พิพากษาที่สงขลา เขายินดีหรือเสียใจ” เจ้าคุณถามลูกชาย “แกได้พบกับเขาหรือเปล่าเมื่อวาน ไปเยี่ยมบ้านซังฮี้แล้วเลยไปฝั่งขะโน้นรีเปล่า”
“ไปครับ แต่ไม่พบจำลอง พบแต่ลูกๆ มันน่าเอ็นดูจัง ฉลาดๆ ทั้งนั้น คุณปู่คุณย่าหลงราวกับอะไร”
ฉอ้อนฟังอย่างเกือบจะเรียกได้ว่าอย่างเบิกหู ถ้าสามารถจะทำเช่นนั้นได้
“นั้นน่ะ ขนาดไม่ใช่หลานในใส้” คุณหญิงว่า “ถ้าเป็นลูกแท้ๆ ของพ่อจำลองจะเป็นยังไง”
“เรื่องคนรักเด็กนี่ไม่จำเป็นหลานแท้ ๆ หรือไม่แท้” เจ้าคุณว่า “ถ้าเด็กอยู่ด้วยทุกเมื่อเชื่อวัน มักรักได้อย่างหลงทั้งนั้น ตอนเด็กโตถึงจะรู้กันว่ารักจริงหรือไม่จริง ถ้ารักตลอดไปได้นั่นแหละถึงจะว่าได้ว่ารักแท้”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉอ้อนจะไม่ถามคุณแจ๋วทันทีออกมาจากห้องอาหาร ว่าเมื่อไหร่หล่อนจะได้ไปเยี่ยมสำรวย ซึ่งฉอ้อนเรียกว่า พี่สำรวย ตามประเพณีเพชรบุรี ระหว่างที่ยืนปรึกษากันที่ระเบียงหน้าห้องนั้น ซึ่งผู้ยืนมองเห็นประตูบ้าน วิทูรและเกรินก็เดินเข้ามา พอสองชายนายทหารเดินเข้ามาใกล้ที่ฉอ้อนและคุณแจ๋วยืนอยู่ คุณอ้นก็ปรากฏตัวที่ข้างหลังฉอ้อน
คุณแจ๋วเดินไปรับญาติ และคู่หมั้นของเพื่อนที่บันไดหน้าตึก แล้วก็เดินพาเข้ามาใกล้ตัวฉอ้อนและพี่อ้นพอได้ระยะคุณแจ๋วก็แนะนำ “พี่อ้นคะ นี่คุณวิทูร คู่หมั้นฉอ้อน”
คุณอ้นทำหน้าพิศวงจนฉอ้อนจ้องคุณอ้นด้วยความพิศวงเท่ากัน และฉอ้อนก็สังเกตเห็นหน้าของคู่หมั้นแดงขึ้นทันทีและแววตาก็เป็นประกายกล้า ฉอ้อนไม่เข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น เพราะคุณเกรินก็ทำหน้าตื่นเช่นเดียวกัน แต่ไม่ตื่นจนเห็นชัด
“พี่อ้นประหลาดใจ” คุณแจ๋วพูดขึ้นแล้วหัวเราะกิ๊กใหญ่ “พี่อ้นคิดว่าฉอ้อนเป็นเด็กเล็กๆ เพราะถูกบอกว่าเป็นเพื่อนยายแจ๋ว เห็นไหมคะ พี่อ้น แจ๋วก็ควรจะมีคู่หมั้นได้แล้วละ ฉอ้อนอ่อนกว่าแจ๋วเกือบสองปี”
“แจ๋ว” เสียงคุณหญิงดุมาข้างหลังอย่างเด็ดขาด “แหม เด็กคนนี้ฉันไม่รู้จะทำยังไง พูดอะไรที่ไม่มีลูกผู้หญิงคนไหนเขาจะพูดกันน่ะแหละ แม่แจ๋วแกต้องพูดไอ้อย่างนั้นละ”
หน้าคุณเกรินหายตื่น และมีเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ พี่อ้นหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ แต่หน้าของคุณวิทูรยังไม่เปลี่ยนเข้าสู่ปกติ ฉอ้อนรู้สึกใจคอไม่สบาย พอดีเจ้าคุณโผล่ออกมา และคุณแจ๋วก็ได้แนะนำอีกเป็นคำรบสอง
เจ้าคุณทราบเรื่องที่ฉอ้อนมาพักที่บ้านกับลูกสาวท่านอยู่แล้ว จึงทักผิดไปจากวิธีของลูกชายท่าน
“หนุ่มน้อยโสภายาใจ” ท่านว่า “เชิญ เชิญ คุณเอ้า ตาเกริน มาอีกแล้วรึ ทำไมไม่มากินเสียให้ครบมื้อ กลางวันนี่ว่ายังไง”
“ยังไม่ได้นัดกันแน่เลยค่ะ” คุณแจ๋วว่า “แต่ถ้าจะไปซื้อของ อย่านัดกลับมากินกลางวันที่บ้านดีกว่า ว่าแต่สองท่านผู้ชายนี่ทำท่าว่าจะไปกับเราด้วย แน่ใจนะว่าทนได้และต้องไม่เร่งเป็นอันขาด”
วิทูรหน้าตึงขึ้นอีก หลังจากที่ได้ยิ้มแย้มกับคำทักของเจ้าคุณ เกรินกล่าวขึ้น
“คุณแจ๋วนี่เธอน่าจะไปอยู่อิตาลี เพราะที่นั่นเขามีจอม อ้า อ้า ไม่รู้เขาเรียกอะไร คือบงการอะไรได้ เมืองไทยนี่เขาไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
“ไม่รู้ละ” คุณแจ๋วโต้ “ถึงเร่งก็ไม่สำเร็จ นะฉอ้อน อย่าไปทำใจอ่อนนะ ถ้าเรายังไม่ได้ของถูกใจ อย่าไปรีบซื้อนะ โกรธกับฉันจนตายเทียว”
“โอย” คุณหญิงร้อง “เรื่องแม่แจ๋วนี่ ใครอย่าถือเลย พ่อคุณ” หันไปดูตาวิทูร “ต้องปล่อยแกไปตามเรื่อง ถ้าใครคบแม่แจ๋วแล้วจะหวังให้แกทำอะไรถูกๆ พูดอะไรถูกๆ ก็อย่าคบแกละเป็นดี”
คุณแจ๋วไม่แสดงว่าพรั่นพรึงอย่างใดในคำพูดเช่นนี้ ฉอ้อนพยายามจะดูหน้าคุณแจ๋วว่ามีความรู้สึกอย่างใดต่อแม่เลี้ยง แต่ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นนอกไปจากวิ่งตามคุณแจ๋วขึ้นบันได เพราะคุณแจ๋วฉวยข้อมือฉอ้อนแล้วก็จูงอย่างมีกำลังเรี่ยวแรง ออกนำหน้าขึ้นตึกไปยังห้องของตน
อีกประมาณ ๑๐ นาทีต่อมา ฉอ้อน คุณแจ๋ว คุณวิทูรและคุณเกรินก็นั่งอยู่บนรถยนต์ซึ่งเป็นพาหนะสำหรับครอบครัวโกศลทัต รถนั้นเคลื่อนออกจากบ้านโดยคุณแจ๋วโผล่หน้าออกไปตะโกนแก่คุณแต๋วผู้ยืนส่งอยู่ที่บันไดชั้นบนหน้าตึกว่า
“พี่แต๋ว ถ้าลืมของที่พี่แต๋วสั่งซื้อ อย่าโกรธนะ”
รถพาหนุ่มและสาวทั้งสี่ไปยังถนนพาหุรัด คุณแจ๋วพาฉอ้อนไปยังร้านที่ขายผ้าซิ่นต่างๆ ก่อน ได้รับความแปลกใจมากที่วิทูรเข้าช่วยในการเลือกอย่างสนใจ และมีความคิดและข้อแนะนำที่เข้าที จนกระทั่งคุณแจ๋วซึ่งปักใจไปซื้อผ้าซิ่นหรือผ้าม่วงหางกระรอกสีชมพู ยอมเลิกความคิดนั้น และยอมให้ฉอ้อนซื้อผ้าม่วงโคราชสีเกสรชมพู่แทน นอกจากนั้นวิทูรกับเกรินร่วมกัน ยังมีความเห็นเลยไปว่าในการนุ่งผ้าของไทยซึ่งทอด้วยเส้นไหมอย่างหนึ่ง แล้วไปสวมเสื้อแพรซึ่งมาจากต่างประเทศ ซึ่งทำด้วยไหมแปลกไปอีกอย่างหนึ่งนั้น ไม่น่าจะเข้ากัน ควรจะซื้อแพรไทยทอด้วยเส้นไหมอย่างเดียวกับผ้าที่จะนุ่ง จึงจะสมควร แต่ในเรื่องนี้ชายหนุ่มไม่ได้ชัยชนะ เพราะหาผ้าแพรที่ทำด้วยไหมไทยที่บางพอที่จะทำเป็นเสื้อไม่ได้ ชายหนุ่มว่าแพรที่ใช้ทำผ้าซิ่นเชียงใหม่นั่นแหละเหมาะที่จะทำเสื้อ ทำให้หญิงสาวสองคนหัวเราะกันคิกคัก และในที่สุดก็ตกลงไปซื้อแพรสำหรับตัดเสื้อที่ร้านชาวอินเดีย
สำหรับชุดแต่งงานตอนบ่าย หรือตอนรดน้ำ ตกลงฉอ้อนเลือกได้แพรเครย์เดอชีนอย่างดี สีชมพูแกมม่วงเข้ากับผ้านุ่งสีเกสรชมพู่ คุณแจ๋วคอยเตือนว่าไม่ให้เสียดายเงินถ้าของถูกใจราคาแพง เพราะถ้ามีการใช้จ่ายมากคุณป้ากำยานก็จะช่วยเหลือแน่นอน นอกจากชุดรดน้ำ ก็มีชุดใส่บาตร ซึ่งฉอ้อนเลือกเอาสีไข่ไก่ และชุดเลี้ยงอาหารตอนเย็น คุณแจ๋วแนะนำให้ใช้สีส้ม และยังได้ซื้อเสื้อผ้าสำหรับแต่งไปไหว้ผู้มีพระคุณและผู้ที่อยู่ในที่เคารพสูงอีกสองสามชุด ชายหนุ่มทั้งสองไม่แสดงความเบื่อหน่ายเลยตามติดสองสาวอยู่ตลอดเวลา และเข้าร้านทุกร้านที่สองสาวเข้า การซื้อของได้เร็วกว่าที่คิดไว้มาก พอเลยเที่ยงเล็กน้อย ทุกคนก็รู้สึกหิว คุณแจ๋วก็บอกให้คนรถไปส่งที่ราชวงศ์ ซึ่งวิทูรไม่เคยไปในเวลากลางวัน และฉอ้อนไม่เคยไปเลย
ระหว่างรับประทานอาหาร ฉอ้อนสังเกตว่าคุณแจ๋วทำกิจได้เร็วผิดจากคนอื่นๆ ก็ปรึกษากันว่าบ่ายแล้วควรทำอะไร คุณแจ๋วว่าควรกลับไปเลือกแบบเสื้อสำหรับชุดไปไหว้ที่บ้าน เพราะคงจะต้องใช้เวลามาก เพราะหลายชุดด้วยกัน วิทูรเตือนฉอ้อนถึงเรื่องจะไปดูภาพยนตร์ด้วย คุณแจ๋วขัดข้องว่า ไม่ได้ลาคุณพ่อว่าจะไปสถานที่เช่นนั้น ฉอ้อนหลับตาเห็นเพื่อนบ้านของแม่ และญาติทางเพชรบุรีว่าจะซักถามอย่างไรบ้าง ถ้าฉอ้อนไปดูภาพยนตร์กับคุณวิทูร ถึงแม้ว่าคุณเกรินจะเป็นเพื่อนไปด้วย ก็ไม่ตกลงตามที่วิทูรขอร้อง ได้เห็นสีหน้าขัดเคืองของคู่หมั้นอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ใจคอไม่สบายอีก แล้วฉอ้อนก็ขอร้องให้คุณแจ๋วพาไปเยี่ยมสำรวย คุณเกรินกล่าวทันที
“เออ ดีเหมือนกัน วิทูร คุณยอมตกลงเถอะ บ้านคุณตาใหญ่ของผมน่าดู สวนงามมาก”
วิทูรตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่สายตาฉอ้อนเชิญชวนพลางริมฝีปากก็เผยอยิ้มอย่างอ่อนหวาน คุณแจ๋วพูดขึ้นทันที “แหม คู่หมั้นยิ้มออกหวานแล้ว ยังทำหน้าบึ้งอยู่ได้ ถ้าอยากดูหนัง ไม่ใช่ควงคู่หมั้นอย่างสมัยใหม่ คืนนี้ก็นัดกันอีกได้”
วิทูรหัวเราะออกมาทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจหัวเราะ คุณแจ๋วหันไปกระซิบกับฉอ้อนว่า “เวลาหัวเราะแล้วเก๋มาก” ฉอ้อนเอามือตีขาคุณแจ๋ว ทำให้วิทูรทายได้ว่าฉอ้อนถูกล้ออย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับตัวเขา อารมณ์เขาดีขึ้นมาทันที
ทั้งสี่ให้รถพาไปยังถนนซังฮี้ ผ่านบ้านของเกรินไปลงไปถึงท่าเรือริมแม่น้ำ กำลังเรียกเรือจ้างก็ได้ยินคนเรือลำหนึ่งตะโกน “คุณ คุณ คุณเกริน” หันไปทางเสียงนั้น ปรากฏว่าเรือแจวของบ้านที่จะไปนั่นเอง กำลังแจวเข้ามาเทียบ เกรินไต่ถามคนเรือซึ่งเขาเรียกว่า ตาเพิ่ม ได้ความว่าเอาเรือมารอรับคุณจำลอง แต่มีเวลาพอที่จะพาสี่คนไปยังฟากโน้นได้ก่อน แล้วจึงย้อนมาคอยรับคุณจำลอง
“คุณจำลองเขากลับบ้านกี่โมงตามปรกติ” คุณแจ๋วถาม
“หมู่นี้กลับแต่วัน เธอเตรียมตัวจะไปสงขลา” นายเพิ่มคนเรือชี้แจง
เรือแจวอย่างสบายพาผู้โดยสารทั้งสี่ไปยังท่าเรืออีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ พอเรือเทียบท่าฉอ้อนก็สังเกตเห็นว่า ที่ที่หล่อนมานี้แปลกตากว่าทุกแห่งที่เคยเห็น ริมแม่น้ำมีเขื่อนปูนสร้างอย่างแข็งแรงและเรียบร้อย แต่มีรอยกะเทาะที่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง เห็นได้ว่าใช้หินโบกปูนแทนที่จะใช้อิฐอย่างเขื่อนปูนธรรมดา ฉอ้อนไม่มีความรู้ทางช่างและไม่มีเวลาจะถามใคร เรื่องการก่อสร้างเขื่อนจึงไม่ได้สังเกตอะไรไปยิ่งกว่านั้น ท่าน้ำไม่ได้อยู่กลางเขตที่ได้รับการปกป้องจากเขื่อน แต่อยู่เยื้องไปทางด้านใต้ตลอดเขตที่มีเขื่อนมีรั้วทำด้วยไม้ระแนง จากท่าน้ำมีทางดินเข้าสู่เรือนไม้ชั้นเดียวซึ่งมองจากท่าน้ำลอดพันธุ์ไม้ใหญ่นานาชนิดเข้าไปก็เห็นได้ว่าเป็นเรือนที่กว้างใหญ่ สองข้างทางเดินปลูกต้นทับทิมเรียงรายเป็นแถวกำลังมีดอกและผลเล็กๆ ที่ใดเป็นดินไม่มีต้นไม้ขึ้นแทนที่จะเป็นดินโคลนตามปรกติของบ้านสวนธนบุรี ที่นี่ปกคลุมด้วยหญ้าซึ่งตัดขลิบเรียบร้อยดูเขียวรื่น พอใกล้เรือนใหญ่เข้าไป มีดอกไม้แปลกๆ ต่างปลูกเป็นระยะๆ ที่สะดุดตาฉอ้อน และที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อนก็มี ต้นซึ่งหล่อนรู้ทีหลัง เรียกว่าโศกระย้า นอกนั้นไม้ดอกต้นใหญ่ๆ ฉอ้อนรู้จักเป็นส่วนมาก ขณะนั้นไม่ออกดอกมีแต่ใบดกหนาสีเขียว ต้นไม้เหล่านี้ฉอ้อนรู้ว่ามีดอกสวยทั้งนั้น ต้นกุ่มดอกขาวสะพรั่งในราวเดือนสี่หรือห้า ดอกปีบมีดอกตลอดปี แต่ยิ่งมีมากในฤดูหนาว และหอมอบอวล ต้นลำดวนใบเขียวแก่ ต้นสารภีต้นใหญ่กำลังออกดอกเต็มต้นแต่จะมีดกกว่านั้น ในปลายฤดูฝน “เจ้าของบ้านนี้ชอบดอกไม้สีขาว” ฉอ้อนรำพึงในใจ แต่พอมาถึงตัวเรือน เห็นว่ามีระเบียงแล่นรอบตามความนิยมของไทย ใกล้ตัวเรือนมีกุหลาบยกร่องดินซุย มีดอกหลายสี แต่ยิ่งจะงามมากขึ้นอีกในฤดูแล้งอากาศเย็น และยังมีไม้พุ่มแปลกๆ ออกดอกสีม่วง มีร้านดอกไม้ปลูกไม้งามๆ อีกโดยรอบ อัญชันมีสีน้ำเงินสดและยังมีสีขาวและสีม่วงอ่อนอีกด้วย
เกรินและคุณแจ๋วพาวิทูรและฉอ้อนไปขึ้นบันไดใหญ่หน้าเรือน ซึ่งไม่ตรงกับท่าน้ำแต่อยู่ทางด้านซ้ายหน้าเรือน มีสนามหญ้าใหญ่เขียวงามเรียบดังพรมกำมะหยี่ ฉอ้อนไม่เคยเห็นอย่างนี้ที่ไหน ที่บ้านอาจารย์ฝรั่งมีสนามงามแปลกกว่าบ้านอื่นในเมืองเพชรบุรี แต่ไม่ใหญ่ถึงเสี้ยวหนึ่งของสนามนี้ ส่วนข้างบนเรือนเล่า เมื่อขึ้นบันไดประมาณ ๓ ขั้น ก็ถึงชานเรือนหรืออีกนัยหนึ่งส่วนหนึ่งของระเบียงที่สันนิษฐานได้ว่ามีอยู่รอบเรือน ตรงกับบันไดมีห้องค่อนข้างเล็ก มีภาพวาดเป็นรูปขุนนางแต่งตัวเต็มยศติดผนังห้องหันหน้าตรงบันไดขนาดเกือบเท่าตัวมนุษย์ และในห้องนั้นมีโต๊ะเก้าอี้ชุด ทำด้วยไม้มะเกลือประดับมุกแบบจีน ทางด้านขวา หรือด้านตะวันออกมีห้องซึ่งตกแต่งอย่างไทย มีเตียงนอนเล็กและใหญ่ มีตั่งสองสามตัว มีฟูกและเบาะปกคลุม และยังมีเสื่อผืนหนึ่งปูอยู่กับพื้นห้องใกล้ประตู มีหมอนอิงวางอยู่บนเสื่อ มีหนังสือเปิดกางอยู่เล่มหนึ่ง และมีแว่นตาคู่หนึ่งวางทิ้งอยู่ข้างๆ หนังสือ เกรินและคุณแจ๋วเดินเลี้ยวไปทางห้องนี้ ฉอ้อนตามไปแต่มีเวลาพอที่จะเหลียวไปทางซ้ายและมองห็นว่ามีห้องใหญ่ ในห้องนั้นมีโต๊ะตั้งรายรอบด้วยเก้าอี้ประมาณ ๒๐ ตัว ส่วนเครื่องแต่งห้องอื่นๆ นั้นไม่ทันสังเกต
“เอ ไปไหนกันหมดนี่” เกรินพูดกับคุณแจ๋วอย่างหารือ
“ความที่เป็นนักเลงโต” คุณแจ๋วว่า “เปิดประตูหมดทุกทิศทุกทาง จะขโมยชามเบญจรงค์ไปสักใบ ประเดี๋ยวเถอะ” คุณแจ๋วมองไปรอบๆ ตัวอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ก็บอกฉอ้อนว่า “ฉอ้อนนั่งก่อนซิ นั่งบนพื้นนั่นแหละ คุณวิทูรกับคุณเกรินนั่งห้อยเท้าที่ประตูแน่ะ จะได้ไม่เมื่อย แจ๋วจะเข้าไปดูซิใครอยู่ใครไม่อยู่” พูดจบแล้วก็เดินข้ามห้องหายตัวเข้าไปทางหลังเรือน
มีเสียงคุณแจ๋วพูดกับใครคนหนึ่ง แล้วประเดี๋ยวหนึ่งต่อมาคุณแจ๋วก็มาบอกว่า “ไปที่เรือนพี่จำลองกันเถอะ คุณตาคุณยายท่านไปวัด ดูเถอะ ลืมแว่นตาไว้” วัดในที่นี้หมายถึงวัดติดกับบ้าน แล้วทั้งสี่คนจึงลงจากเรือนทางบันไดที่ขึ้นไป และเดินอ้อมเรือนหลังใหญ่ไปยังเรือนขนาดย่อม เยื้องไปทางหลังเรือนใหญ่ อยู่ในหมู่ไม้งามเหมือนเรือนใหญ่ แต่เป็นไม้ผลโดยมาก มีลำไย มะม่วง มะปรางปลูกเป็นระยะๆ และที่พื้นระหว่างต้นมีหญ้าขึ้นเขียวและตัดเรียบเหมือนทางหน้าบ้าน ทางเดินนั้นลาดกระเบื้องแผ่นใหญ่สีขาว วางพอเหมาะแก่การก้าวขาของบุรุษ แต่ฉอ้อนผู้มีร่างค่อนข้างเล็กต้องใช้กระโดดบ้างหรือก้าวยาวจนเมื่อยบ้าง และบางทีก็ย่ำลงไปในหญ้าระหว่างแผ่นกระเบื้อง
มาถึงเรือนซึ่งเป็นที่อาศัยของญาติหนุ่มและสะใภ้สาว พบพี่เลี้ยงนั่งเล่นกับลูกคนเล็กของเจ้าของเรือนอยู่ใต้ถุนเรือน คุณแจ๋วก็บอกว่า “อ้อ ชื้น ไปเรียนคุณสำรวยว่าคุณแจ๋วพาแขกมาเยอะแยะ ให้รีบออกมารับ”
คุณแจ๋วพาญาติและมิตรขึ้นไปบนเรือนโดยไม่รอคำเชื้อเชิญ เรือนนั้นปลูกแบบไทยและเทศปนกัน ที่ระเบียงตั้งเก้าอี้ชุดรับแขกอย่างสมัยใหม่ คือมีเก้าอี้ขนาดเตี้ยมีที่วางแขน ตั้งรอบโต๊ะไม้รูปกลม และมีเก้าอี้ตั้งชิดฝาเรือนอีกสองสามตัว ประตูห้องเปิดออกสู่ระเบียง ทำให้เห็นว่าภายในห้องนั้นมีโต๊ะเก็บของน่าดูกระจุกกระจิก และมีโต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่อีกด้านหนึ่ง สี่คนนั่งได้ สักครู่หนึ่ง ก็มีเสียงคนบิดประตูค่อนข้างแรงอยู่ภายในห้อง ต่อจากห้องที่เปิดอยู่ คุณแจ๋วอธิบายทันทีว่า “เจ้าของเรือนท่านออกจากห้องน้ำ อีกสักห้านาทีท่านจะออกมา”
“อย่างนี้นี่เองนะ ที่ใครๆ มาหาสำรวยจากเมืองเพชรไปพูดกันว่าไม่อยากมาหาอีก” ฉอ้อนรำพึง “แต่เวลาเขาไปที่บ้านท่าน ไม่เห็นแปลกอะไร ดูซิ จะมีแปลกสักแค่ไหนที่บ้านนี้”
วิทูรนั่งมองไปทั่วบริเวณบ้านใหญ่ มีสีหน้าตรึกตรอง แล้วเขาพูดขึ้นในทำนองบอกแก่ฉอ้อน “ใกล้ๆ นี้มีสวนของอาฉัน เลยขึ้นไปเห็นจะไม่เท่าไหร่”
“คุณอาของคุณวิทูรชื่ออะไรคะ” คุณแจ๋วถาม
“อาผู้หญิงชื่อผ่องครับ” วิทูรตอบ “อาเขยเขาชื่อขุนวิรุฬห์ เป็นข้าราชการกระทรวงธรรมการ”
“อ๋อ เพื่อนบ้านคุณตาคุณยาย อยู่ติดกันเลยค่ะขึ้นไปทางเหนือน้ำ” คุณแจ๋วบอก
สีหน้าของวิทูรออกจะพรรณนายาก ทั้งสามคนที่นั่งอยู่กับเขาเหลือบตาดูด้วยความสนใจ โดยเฉพาะฉอ้อนเกิดความรู้สึกหวั่นไหวชอบกลอยู่ แต่อีกสองสามวันหล่อนก็ได้รับทราบว่า เหตุที่วิทูรทำสีหน้าประหลาดนั้น ก็เพราะอาผู้หญิงต้องขายสวนของบรรพบุรุษไปหลายขนัด ให้แก่ท่านขุนนางใหญ่เพื่อนบ้าน โดยอาผู้หญิงไม่ได้เต็มใจขาย แต่ท่านขุนนาง “เดินแต้ม” ทางอาผู้ชาย
“คุณตาคุณยายท่านชอบบ่นว่า อยากให้ชาวสวนไทยทุกคนรู้จักปรับปรุงบ้านเรือน รู้จักทำนุบำรุงต้นไม้” คุณแจ๋วพูดหลังจากที่เงียบกันไปสักครู่หนึ่ง “ท่านว่าถ้าชาวสวนมีความรู้อีกสักหน่อย จะร่ำรวยกว่านี้มาก เดี๋ยวนี้ฐานะชาวสวนน่ะดีกว่าชาวนาอยู่แล้ว ชาวนาท่านว่าแย่อยู่เป็นส่วนมาก”
ไม่มีใครตอบคุณแจ๋ว สองชายหนุ่มนั่งมองดูบริเวณนั้นต่อไป ฉอ้อนคิดว่าสีหน้าคุณเกรินก็เปลี่ยนไปนิดหน่อยมีอาการยิ้มครึ่งขันครึ่งชวนดูผู้พูดซึ่งฉอ้อนไม่เข้าใจแต่ฉอ้อนไม่มีเวลาสนใจในสีหน้านั้น เพราะเด็กรับใช้ของสำรวยได้นำน้ำใสใส่ในถ้วยแก้วพวงเงินมารับแขก เด็กนั้นเมื่อมาถึงโต๊ะก็ลงคุกเข่าอย่างเรียบร้อย
“อ้อ นี่เด็กสม ยังอยู่สบายรึสม” คุณแจ๋วทัก “นี่คุณสำรวยนึกว่าใครที่ไหนมา แม่ชื้นคงจะไปเสนอเสียตกใจ เรียนคุณสำรวยให้รีบออกมา บอกว่าแขกคือคุณเกริน และเพื่อนเก่าจากเพชรบุรีชื่อฉอ้อน และมีคนสำคัญคนหนึ่งมาด้วยคือ คุณวิทูรคู่หมั้นเพื่อนเก่า”
เด็กสมยิ้มอย่างขบขันสีหน้าและน้ำเสียงของคุณแจ๋ว เดินเข้าไปในเรือน คอยอยู่อีกครู่ใหญ่ สำรวยจึงออกมา
“ต๊าย ตาย อ้อน” เป็นคำทักของสำรวย “นึกว่าใครที่ไหน” เหลือบเห็นวิทูรก็ทำหน้ายิ้มเหยๆ และยิ้มให้คุณเกรินอย่างคนคุ้นเคยพอสมควร แต่ไม่เอ่ยคำทักว่าอย่างไร
“เอ้า เจ้าของบ้านจะไม่นั่งรึ” คุณแจ๋วกล่าว ในเมื่อเห็นสำรวยยืนรีรอไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เพราะเก้าอี้สี่ตัวรอบโต๊ะกลมได้มีคนนั่งหมดแล้ว คุณเกรินลุกขึ้นไปยกเก้าอี้ที่ตั้งชิดฝาเอามาวาง ในระยะที่สมควรที่สำรวยจะลงนั่งร่วมกับอาคันตุกะ
“นี่ไปไหนกันมา แล้วอ้อนมาจากเพชรแต่เมื่อไหร่” สำรวยถามหลังจากที่ความเงียบอยู่จนฉอ้อนชักรู้สึกเก้อ
ฉอ้อนยื่นมือไปจับข้อมือของเพื่อน และจะเป็นด้วยเหตุใดตัวเองก็ไม่เข้าใจ น้ำตาไหลซึมออกมาพลาง หล่อนก็พึมพำว่า “คิดถึงจะตาย ตั้งนานไม่ได้พบพี่สำรวย”
สำรวยยกมือขึ้นตีฉอ้อนเผียะหนึ่งที่แขน “ยายอ้อน แกโตเป็นสาวแล้ว ฮิฮิ จะแต่งงานแล้วเหลอ”
“นี่คุณวิทูรคู่หมั้นฉอ้อน” คุณแจ๋วแนะนำ สีหน้าวิทูรแปลกไปอีกแล้ว เมื่อได้ยินคำที่เจ้าของบ้านทักคู่หมั้น
“ก็รู้จักกันแล้วนี่นา” คุณเกรินกลบเกลื่อน “จำไม่ได้รึ คุณสำรวยเคยไปกับพี่จำลองสโมสรทหาร ไปเล่นบิลเลียดไปคุยกันตั้งนาน”
“ฮึ่ ค่ะ รู้จักแล้ว” สำรวยไม่รู้จะตอบอย่างไรให้ดีกว่านั้น “คูณวิทูรจำฉันไม่ได้เอง”
“อะไรครับ คุณต่างหากจำผมไม่ได้” วิทูรค้าน ฉอ้อนเหลือบไปเห็นแววตาของคุณแจ๋วเต็มไปด้วยความขบขันจนกระทั่งถ้าดวงตาเป็นของเหลวอย่างน้ำ คงจะมีบางส่วนไหลออกมาบ้าง แต่ส่วนที่เป็นน้ำจริงภายในดวงตาของคุณแจ๋ว ไม่ค่อยจะมีใครได้เห็น เห็นแต่แววที่วาวเหมือนน้ำค้างเสียมากกว่า
แล้วคุณแจ๋วก็กลั้นอารมณ์ขันไว้คนเดียวไม่ได้ ปล่อยให้มีเสียงกิ๊กๆ กิ๊กๆ ออกมา แล้วก็เงียบไป เป็นครั้งแรกที่ฉอ้อนเห็นคุณเกรินมองคุณแจ๋วอย่างรำคาญ ยังผลให้ฉอ้อนรำคาญตัวเอง เพราะไม่เข้าใจว่าคุณแจ๋วขันเรื่องอะไร และคุณเกรินไม่พอใจคุณแจ๋วเรื่องอะไร
แต่ต่อจากนั้นสภาพการณ์ดำเนินไปเป็นที่พอใจแก่ฉอ้อน เพราะสำรวยเริ่มถามถึงเพื่อนคนนั้นคนนี้ แล้วก็เล่าเรื่องที่คุณจำลองกำลังจะย้ายไปรับราชการต่างจังหวัดไกล และพรรณนาความห่วงใยของสำรวยในลูกหญิงลูกชาย ซึ่งฉอ้อนทราบทีหลังว่าเป็นลูกบุญธรรม ส่วนคุณแจ๋วและคุณเกรินก็ไต่ถามถึงทุกข์สุขของญาติอีกสองสามคน สนทนากันอยู่สัก ๑๐ นาที ฉอ้อนและคุณแจ๋วก็สังเกตได้พร้อมกันว่าวิทูรกำลังเบื่อ และสำรวยก็ไม่ค่อยสนใจกับข่าวคราวทางเพชรบุรีมากนัก จึงพยักหน้ากันแล้วก็เริ่มอำลาเจ้าของบ้าน
ค่ำวันนั้น เจ้าคุณบิดาของคุณแจ๋วเชิญคุณวิทูรและคุณเกรินให้มารับประทานอาหารค่ำที่บ้านท่าน และแนะว่ารับประทานแล้ว ให้ไปดูภาพยนตร์ที่ศาลาเฉลิมกรุงซึ่งฉอ้อนยังไม่เคยไป วันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ทุกคนตื่นสายได้ตามสบายของตน คุณแจ๋ว และคุณแต๋วเตือนว่าในวันรุ่งขึ้น ฉอ้อนจำเป็นจะต้องออกไปซื้อของกระจุกกระจิกสำหรับประดับเสื้อมีลูกไม้ลูกกระดุมผ้าสำหรับขลิบ และอะไรอื่นๆ อีกหลายอย่าง คุณแจ๋วกล่าวชมเชยชายหนุ่มที่ร่วมไปในการซื้อของในวันเสาร์นั้นให้คุณแต๋วฟัง ทำให้คุณเกรินหัวเราะหึๆ และวิทูรยิ้มน้อยๆ และจบคำสดุดีด้วยการเชื้อเชิญว่าจะไปด้วยอีกก็ได้ แต่สองชายว่ามีธุระอย่างอื่นที่จะต้องทำ เหตุการณ์วันสุดท้ายของสัปดาห์นั้นเป็นไปตามความพึงใจของฉอ้อนทุกประการ ในตอนบ่ายพอแดดอ่อน วิทูรและคุณเกรินมายังบ้านคุณแจ๋วขอรับฉอ้อนไปทำความเคารพบิดามารดาวิทูร คุณแจ๋วเสนอให้วิทูรเลือกระหว่างตัวคุณแจ๋วเองเป็น “ชาเปอรอน” กับ “คุณเถ้าแก่จ่าง” จากเพชรบุรี “คุม” ฉอ้อนไป
คุณเกรินเป็นคนตอบแทนคุณวิทูรว่า “เลือกเอาโขลนแจ๋ว คุณเถ้าแก่จ่างไม่เอา” แล้วก็ต้องมีการอธิบายให้วิทูรและฉอ้อนเข้าใจว่า “ชาเปอรอน” เป็นภาษาฝรั่งเศสใช้สำหรับหญิงที่ “เป็นเพื่อน” หรือ “คุม” หญิงสาวที่จะต้องไปไหนกับคู่รักหรือคู่หมั้น ส่วน “คุณเถ้าแก่” ใช้สำหรับข้าราชการผู้หญิงผู้มีหน้าที่ตามเสด็จพระราชวงศ์ฝ่ายใน ณ โอกาสที่เสด็จไปในที่ต่างๆ และโขลนนั้น จะเปรียบก็เหมือนพลตำรวจหญิง ที่ทำหน้าที่รักษาความสงบของพระราชฐานชั้นใน
“ตาเกรินแกช่างเรียก” เจ้าคุณว่า “เคยนึกหลายหนว่า ยายแจ๋วนี่ถ้าเป็นผู้ชายน่าจะทำราชการทหารหรือตำรวจ นี่เป็นผู้หญิงเป็นโขลนก็เข้าที”
ฉอ้อนเห็นคุณหญิงค้อนเจ้าคุณอย่างขุ่นเคือง ส่วนคุณแจ๋ววิ่งขึ้นบันไดไปสองสามขั้นแล้วก็หันมาแลบลิ้นให้คุณเกรินแล้วก็วิ่งขึ้นต่อไป