บทที่ ๒๑

ในคืนเดียวกันกับที่เกรินมาหาญาติหญิง คู่หมั้นในอดีต ท่านผู้หญิงฉอ้อน ผู้ได้ต้อนรับเขาฐานมิตรเก่า ตื่นขึ้นในเวลาดึก ความคิดแล่นกลับไปยังการต้อนรับแขกเมื่อตอนหัวค่ำ คิดถึงลูกชายลูกหญิง คิดถึงตากลองด้วย ความรู้สึกอยากให้กลับมาอยู่ใกล้ ตาฤทธิ์ไม่แสดงว่ายินดีที่ได้พบคุณลุงเกรินกี่มากน้อย แต่ก็ยังอุตส่าห์สุภาพพอที่จะทำกิริยารับแขกตามใจแม่ ส่วนฉอเลาะนั้นดีใจจริง ๆ และมีอาการกิริยาสนิทสนมเช่นเมื่อยังเด็กๆ แต่ตัวคุณเกรินเล่า เขาพูดคุยอย่างไม่เก้อเขิน แต่เขาเปลี่ยนคำพูด เขาใช้คำว่า ผม และ ท่าน กับหล่อนจนฉอ้อนทนไม่ได้ รอหาโอกาสอยู่กันสองต่อสองได้ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปรับประทานข้าว ต้องกระซิบตัดพ้อกันอย่างจริงจัง “ถ้าคุณเกรินพูดกับฉอ้อนอย่างนี้ ฉอ้อนจะไม่ถือว่าคุณเกรินเป็นคุณเกรินคนเก่า จะถือว่าเป็นเหมือนคนอื่นที่ไม่ใช่มิตรจริง เป็นแต่หลอกกัน” คุณเกรินหัวเราะหึๆ มองดูหล่อนด้วยสายตาที่ยากจะพรรณนา เป็นสายตาแสดงความขบขันและเอ็นดู และมีแววเศร้าฯ ปนอยู่เหมือนเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้วที่หล่อนเคยสังเกต ต่อจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไม่ใช้คำ ท่าน แต่ยังใช้คำ ผม ในเมื่อจำเป็นต้องพูดถึงตนเอง แต่เขาคุยเล่าเรื่องอะไรต่ออะไรอย่างสนุก โดยเฉพาะทุกครั้งที่พูดถึงภรรยา เขาจะต้องเล่าอย่างขบขัน ถึงความไม่เข้าใจว่าพิธีรีตองของสังคมเป็นอย่างไร และไม่เกรงกลัวใครในอันที่จะขัดขืนกฎเกณฑ์ซึ่งสังคมกำหนดขึ้นมา เมื่อคิดรวมๆ กันก็เรียกว่าเขายังเป็นเพื่อนสนิทพอใช้ ถึงหากว่าจะไม่เหมือนแต่เก่าก่อนทีเดียว แต่ก็ทำให้หล่อนอุ่นใจ ว่าเห็นจะมีเพื่อนแท้คนหนึ่ง ที่หล่อนจะไม่ต้องพะวงสงสัยว่าจะเปลี่ยนแปลงไป หากสามีจะหมดบุญวาสนา หรือหากว่าจะเกิดความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ยิ่งเมื่อเหลืออยู่ด้วยกันสามคน ฉอ้อน เฌอ และคุณเกริน การสนทนาเกือบเหมือนกับเมื่อครั้งเขายังเป็นนายร้อย หล่อนยังเป็น “นางฉอ้อน” ในกองพันทหารที่เพชรบุรี และเฌอยังเป็นพ่อเฌอ

ฉอ้อนคิดถึงอดีตต่อไปอีกเล็กน้อย คิดถึงสามีเมื่อเขาเริ่มมีอำนาจ เมื่อใครๆ เริ่มจะเกรงกลัวเขาอย่างออกหน้า อย่างถือว่าเป็นมรรยาทอันควรทำ และใครๆ เริ่มทำเกรงกลัวยกย่องหล่อนในฐานะที่เป็นภรรยาของเขา ฉอ้อนพยายามคิดทบทวนดูว่า เขาเคยแสดงความพอใจหรือไม่อย่างไร ดูเหมือนเขาจะรับเอาอย่างดี ท่าทางภาคภูมิใจของเขา รูปสมบัติอันเข้ากันดีกับท่าทางดังกล่าวทำให้เขาน่าเกรงขาม แทนที่จะดูน่าเกลียด เพื่อนๆ ของเขาที่เคยมียศเท่าๆ กัน เคยเกรงเขาและกลัวเขามานานแล้ว พอเขาอยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชา เพื่อนๆ เหล่านั้นก็ไม่ต้องแอบซ่อนความรู้สึก กลัวได้อย่างเปิดเผย และทั้งสามีหล่อนและเพื่อนๆ ของเขา มีความสบายใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ในการที่เขาได้ตำแหน่งที่เพื่อนๆ จะต้องเกรงกลัว พลโท ธรา ผู้ซึ่งได้ติดตามเป็นผู้ช่วยหรือเป็นนายทหารรองจากเขา นับดั้งแต่กรณีพิพาทอินโดจีนจนกระทั่งได้ทำรัฐประหารร่วมกัน เคยพูดแก่ฉอ้อนว่า “ท่าน เป็นคนมีอำนาจโดยธรรมชาติ เป็น ผู้นำ โดยที่ไม่ต้องพยายาม คนเรียกร้องให้เป็นกันไปเอง ยิ่งอยู่ในที่สูง ยิ่งทำให้คนอุ่นใจ” สามีของหล่อนไว้วางใจพลโท ธรา เกือบจะเท่าที่เขาไว้ใจตัวของเขาเองก็ว่าได้ เคยกล่าวแก่หล่อนในโอกาสหนึ่งว่า “ธรา เป็นคนฉลาดอย่างที่จะหาอีกเกือบไม่ได้ ดูคนไม่ค่อยจะผิด และรู้ดีว่า ใครควรเป็นคนนำใครควรเป็นคนตาม” โอกาสที่ฉอ้อนชวนเกรินมากินข้าวที่บ้านวันนี้ หล่อนอยากจะเห็นว่า เพื่อนเก่าสองคนคือสามีของหล่อนและคุณเกรินมิตรรัก จะแสดงต่อกันอย่างไร แต่ไม่เป็นไปตามหวัง พอเวลาประมาณสัก ๑๗ นาฬิกา สามีก็โทรศัพท์มาบอก “น้อง” ถ้าเวลาเขาจะเอาใจหล่อนเขามักเรียกเช่นนี้ แต่หล่อนได้เลิกเรียกเขา พี่ มาหลายปี “น้อง ขอให้ยกโทษให้พี่ด้วยเถอะนะ กลับบ้านไม่ได้จริงๆ มีงานสำคัญต้องไปนอกกรุงเทพฯ สักหน่อย บอกเกรินว่าเสียใจ คิดถึงเขาเหมือนกัน” พูดจบเขาก็วางโทรศัพท์ทันที เขาทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เขาบอกว่าจะไม่กลับบ้าน เป็นการไม่ให้โอกาสที่จะซักถามอะไรต่อไป ฉอ้อนเข้าใจความประสงค์ของเขา จึงไม่ถามจุกจิกดังที่ฉอเลาะสังเกตและออกปากชมแม่เมื่อวันก่อน

ตั้งแต่เขา “มีบุญ” ขึ้นมา การไม่กลับมาบ้านตามเวลาที่เคยกลับ เป็นเรื่องธรรมดา หล่อนไม่เคยแสดงความไม่ไว้วางใจ นานก่อนที่เขาจะ “มีบุญ” ฉอ้อนได้เคยได้ยินได้ฟังเรื่องที่ชายในตำแหน่งสูงนอกใจภรรยา ท่านเหล่านั้นพิสูจน์แก่ตนเองว่าเป็นผู้มีความสำเร็จในชีวิตด้วยการมีภรรยาน้อย เข้าทำนองขุนนางผู้ใหญ่ในสมัยก่อน แต่เปลี่ยนวิธีการบางอย่าง เช่นไม่นำมาไว้ในบ้านเดียวกับภรรยาหลวง ฉอ้อนเคยเห็นและรู้ว่า ความหึงของภรรยาไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรต่อผู้ใด ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ อยู่ทุกวันก็คือ คุณหญิงสุรพล เมื่อเพื่อนๆ ของสามีพูดถึงสตรีผู้อับโชคผู้นี้ ก็พูดถึงด้วยความขบขันและมีความเวทนาระคนปนกันไป และทุกครั้งที่เพื่อนๆ ผู้ชายของ “ท่านวิทูร” คุยกัน หรือภรรยาผู้ร่วมงานของ “ท่านวิทูร” ร่วมวงสนทนากัน มักมีคนกล่าวถึงคุณหญิงสุรพล และในขณะเดียวกันก็จะมีคนชายตามาทางฉอ้อนเพื่อจะดูปฏิกิริยา ฉอ้อนระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ให้ผู้ใดจับความรู้สึกของหล่อนได้ และตัวหล่อนเองไม่เพียงแต่ปิดตาปิดใจในเรื่องว่าสามีจะนอกใจหรือไม่ หล่อนปิดในเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่นเวลาที่สามีนำเครื่องเพชรมีค่ามาให้ชิ้นหนึ่งๆ หล่อนไม่ถามว่าเขาไปทำเงินมาแต่ไหน บางทีเขาก็บอกเองว่า ดอกเบี้ยค้างแรมปีมาจากนายโก หรือนายอื่นๆ ซึ่งเขาบอกว่าเขาได้รวบรวมเอาเงินไปฝากให้ช่วยลงทุนหากำไร บางครั้งเขาก็มีเงินมาจำนวนหนึ่ง และบอกให้หล่อนไปส่งให้พ่อค้าคนใดคนหนึ่งเป็นการลงทุน ซึ่งฉอ้อนก็ทำตาม และยังมีธนาคารบางแห่งแจ้งมาให้หล่อนทราบว่า “ท่านรอง” ได้ซื้อหุ้นบริษัทนั้นนี้ไว้ในนามของหล่อน และได้สั่งให้ส่งเงินที่เป็นกำไรหรือเงินปันผลมายังหล่อน ฉอ้อนไม่ซักไซ้เลย เพราะรู้ว่าเป็นการเปล่าประโยชน์ ในตอนแรกๆ ของชีวิตสมรส ก่อนที่เขาจะมีอำนาจวาสนาแค่นี้ หล่อนถามถึงเรื่องเช่นนี้ เขาก็ปรามหล่อนด้วยคำพูดว่า “อย่าซักให้มันยุ่งเปล่าๆ” หรือ “ที่ถามนี่หมายความว่าไม่อยากได้รึ” น้ำเสียงและสายตาของเขาทำให้ฉอ้อนขยาดไม่กล้าจะถาม “จุกจิก” ต่อไป

การที่เขาปรามหล่อนเช่นนี้ ฉอ้อนมารู้สึกแจ่มแจ้งในคืนนี้ ว่าเป็นความปรารถนาดีของเขาที่จะแยกชีวิตของเขาให้ห่างไปจากจิตใจของหล่อน ความห่างเหินทางใจที่เขาปรารถนานี้ ค่อยซึมเข้าไปในจิตใจของฉอ้อน จนสายตาของเพื่อนภรรยานายทหาร หรือภรรยาผู้มีตำแหน่งสูงในราชการที่ฉอ้อนสมาคมอยู่ด้วย หรือคำถามที่หลุดปากคนบางคน ในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตสมรสของหล่อนไม่ทำให้หล่อนสั่นสะเทือนมากนักเหมือนเจ้าไข้ที่พยาบาลคนไข้ผู้เป็นที่รักมานาน และค่อยๆ รับรู้ว่าคนไข้นั้นจะตายไม่มีทางเยียวยา ความรู้สึกไม่เป็นความรู้สึกเจ็บปวดเป็นแต่ปราศจากเสียซึ่งความชื่นฉ่ำ ดื่มด่ำ อย่างที่เคยมีเมื่อแรกสมรส เมื่อครั้งเป็นภรรยาสาวน่ารักของนายร้อยโทวิทูร มีคุณเกรินเป็นเพื่อนสนิท มี “ท่าน” เป็นที่พึ่ง

ฟังคุณเกรินพูดถึงภรรยาของเขา เหมือนเขาพูดถึงเด็กที่ไร้เดียงสา มีความเมตตากรุณา แต่ก็ไม่มีความนับถือ ผู้ชายเขาชอบมีเมียชนิดนี้กันอย่างนั้นหรือ เขาชอบไม่ให้ภรรยาโต้เถียงในข้อใด เช่นเดียวกับที่เขาไม่ชอบให้ผู้อยู่ในบังคับบัญชาโต้เถียง นอกจากผู้ที่เขารับว่ามีปัญญาจริงๆ หล่อนเคยได้ยินพลโท ธรา โต้เถียงกับสามีหล่อนบ่อยๆ แต่จบลงด้วยสามีหล่อนเป็นผู้มีเหตุผลดีกว่าทุกคราวไป ผู้ชายเขาเบื่อที่จะโต้เถียงกับภรรยาเพราะเขาย่อมชนะทุกที จึงเป็นการทำให้เขาเสียเวลาเปล่าที่เป็นเช่นนี้ เป็นเฉพาะคนที่มีภรรยาอย่างฉอ้อน และอย่าง “แม่อุไร” ของคุณเกริน หรือว่าเป็นทั่วไป คุณเกรินไม่แต่งงานกับคุณแจ๋ว เพราะเขาจะทำกับคุณแจ๋วไม่ได้อย่างที่เขาทำกับภรรยาของเขา เขาจะไม่มีโอกาสสงสารคุณแจ๋ว คุณแจ๋วเคยแลบลิ้นหลอกเขา ฉอ้อนเคยเห็นแก่ตา ทำไมหนอ ฉอ้อนจึงห่างจากคุณแจ๋วไปนานปีเช่นนี้ หล่อนมัวทำอะไร คุณแจ๋วไปมัวทำอะไร ทำไมหล่อนไม่ได้ถามเฌอ หล่อนไม่มีเวลา หล่อนเอาเวลาไปทำอะไร

คำพูดของตาฤทธิ์เมื่อสองสามวันมานี้เป็นคำตอบ หล่อนต้องสระผม เป่าผม เซ็ทผม และหล่อนก็ระลึกถึงเวลาที่ต้องเลือกแบบเสื้อ วัดตัว ลองเสื้อ รับรองอาคันตุกะต่างประเทศ ไปงานสถานทูตนั้น สถานทูตนี้ ไปเปิดตึก ไปประชุมกรรมการ ไปแจกประกาศนียบัตร ฯลฯ ทุกครั้งก็มีการ สระผม เป่าผม เซ็ทผม เลือกแบบ ลองเสื้อ กิจการเหล่านี้กินเวลาในชีวิตของฉอ้อนไปถึงเพียงนี้เชียวหรือ จนกระทั่งไม่มีเวลาสืบหาคุณแจ๋ว ทั้งที่ระลึกถึงเกือบทุกวัน คุณเกรินกับเฌอคุยกันถึงคุณแจ๋วนิดหน่อย เขาพูดกันถึงคุณแจ๋วว่าไปมีชีวติอยู่ต่างจังหวัดหลายจังหวัดแล้วเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ปีกว่าแล้ว มาพยาบาลคุณพ่อจนท่านสิ้นชีวิต แล้วก็เปิดร้านขายอาหาร ทำไมช่างไม่มีใครบอกฉอ้อน เฌอมัวทำอะไรเสียเล่า

เมื่อนึกถามแล้ว ก็ได้คำตอบอีก ในระหว่างสองสามปีที่แล้วมานี้ เฌอเปิดร้านใหม่ เขาไม่อยากพึ่งพี่สาว พี่เขย เขาไปกู้เงินเพื่อนมาเสียค่า “เซ้ง” ห้อง ต้องกังวลเรื่องดอกเบี้ย เรื่องรักษาคนไข้ให้คุ้มกับทุนที่ลงไป เพราะเขาไม่ยอมร่วมมือกับพี่เขย ยังดีที่เขาไม่แยกตัวไปเลย ฝ่ายฉอ้อนต้องมีภาระหลายอย่างโดยไม่รู้ตัว หล่อนต้องระวังไม่ทำให้สามีขุนใจในเรื่องนั้นๆ เพราะกลัวว่าเขาจะเกิดความเกลียดชังน้องๆ ในเรื่องโน้นๆ หล่อนต้องระวังหนูเป๊าะในเรื่องนี้ และต้องระวังไม่ให้เฌอต้องกระทบกระเทือนใจในเรื่องนั้นๆ ต่อไปอีก หล่อนต้องระวังไม่ให้คนเกลียดชังหล่อน เพราะต้องการให้เขารักสามี หล่อนต้องเอาใจคนที่อยู่เหนือสามี เพื่อจะรักษาสันติในบ้านเมือง หล่อนรู้ว่าสามีหล่อนจะไม่ยอมให้ใครใช้ โดยผู้นั้นไม่คอยทำให้เขาเห็นว่าเขามีความสำคัญอย่างยิ่ง

กลับคิดถึงคุณเกริน ดูเขามีสง่าราศีกว่าเมื่อหนุ่มๆ เมื่อหนุ่มนั้นเขามีหน้าตาท่าทางไม่สะดุดตาสะดุดใจ เอ๊ ก็ไกรเพื่อนฉอเลาะนั่นเอง เขาเหมือนพ่อแต่ไม่มีอะไรที่น่าสนใจกว่าพ่อเมื่อหนุ่มๆ หรือจะเป็นเพราะฉล้อนคอยที่จะดูให้เป็นเช่นนั้น ฉอเลาะชอบไกรหรือ ชอบมากกว่านนทีหนุ่มรูปทองของเจ้าคุณวิชยนาวิน เป็นไปได้หรือ คุณเกรินนี่จนมากเชียวรึ ฉอเลาะมาตั้งอกตั้งใจถามในวันก่อนว่า ถ้าจะแต่งงานกับคน “จ๊นจน” คุณพ่อจะว่าอย่างไร แล้วคุณเกรินเล่า เขาจะว่าอย่างไร เขาจะดีใจเพราะลูกชายเขาจะได้ลูกสาวท่านรองวิทูร หรือเพราะจะได้ลูกสาวฉอ้อนและวิทูรเพื่อนเก่า และไกรเขารักฉอเลาะแล้วรึยัง ได้รู้จักกันไม่กี่วันก็จากกันไป และ อ้อ และทำไมคุณเกรินเขาถึงไม่อยู่คุยนานกว่าที่เขาอยู่ เวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกา เขาก็บอกว่าดึกแล้วและลาไป ส่วนฉอ้อนก็ให้รู้สึกง่วงกว่าทุกๆ วัน เหมือนกับว่าความยินดีที่ได้พบคุณเกรินทำให้เหน็ดเหนื่อย หรือว่าเหนื่อยมาก่อนแล้วจากงานสโมสรที่ฉอ้อนไม่รู้สึกสนุกในวันก่อนๆ

แล้วนี่ทำไมจึงเกิดตาสว่าง และใคร่จะอยากลุกจากที่นอน อ้อ พระจันทร์ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เรายังไม่มีบุญจริง ถ้ามีบุญจริงควรจะมีปุ่มสวิทช์อะไรอยู่ใกล้มือ พอกดปุ่มม่านหน้าต่างก็รูดปิด บังแสงจันทร์ในเวลาดึกเสียได้ แต่นี่จะต้องลุกไปจากเตียง ถ้าไม่ลุกก็คงนอนไม่หลับ และก็อยากลุกเพราะดูท้องฟ้าน่าชมเสียด้วย

ฉอ้อนลุกจากเตียงไปที่หน้าต่าง ชะโงกหน้าออกข้างนอก เห็นแสงจันทร์ของวันแรมฉายไปทั่วบริเวณสวน ฉายไปยังสนามที่เพื่อนๆ ของฉอเลาะมาสนุกด้วยกันเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน หล่อนรู้สึกอยากดูสวนใต้แสงจันทร์ให้เต็มตา จึงเดินออกไปที่ห้องกลาง คือห้องที่อยู่หน้าบันไดมีระเบียงเล็กๆ ยื่นออกไปด้านสวน ประตูกระจกปิดสนิทลงกลอน ฉอ้อนไปชักกลอนออกก้าวเท้าออกไปที่ระเบียงแลเห็นท้องฟ้าน่าชมจนใจหาย เมฆขาวและน้ำเงินเป็นก้อนๆ ปุยๆ ลอยตามกันอยู่กลางลม ประเดี๋ยวก็บังแสงจันทร์เสียสิ้น ประเดี๋ยวก็ผ่านดวงจันทร์ไป ทำให้แสงนวลสาดไปทั่วบริเวณสวน แลเห็นน้ำพุที่คนใช้ลืมปิดสวิทช์พ่นฝอยฟุ้งขึ้นไปกลางอากาศอันโปร่ง และลมอ่อนพัดพากลิ่นดอกไม้หอมรวยๆ ฉอ้อนคิดทบทวนแล้วจำไม่ได้ว่าวันนี้แรมค่ำเท่าใด จึงคะเนไม่ได้ว่าเป็นเวลากี่ทุ่ม หล่อนเปลี่ยนแปลงไปมากจากที่เคยเป็น เมื่อครั้งอยู่กับแม่ที่เพชรบุรี มีรึที่จะไม่รู้ว่าขึ้นแรมกี่ค่ำในวันหนึ่งวันใด

งามจริงหนอสิ่งที่ฉอ้อนได้เคยเห็นมาในชีวิต ดูพระจันทร์กับฟ้ากับน้ำพุและสุมทุมพุ่มไม้ที่ตกแต่งไว้ดี แต่ก็ยังสู้แอ่งน้ำใต้ต้นจิกไม่ได้ ยิ่งวันที่นายร้อยตรีวิทูรและนายร้อยโทเกรินไปที่บ้าน วันนั้นเป็นวันที่เข้ามาในความจำของฉอ้อนไม่ค่อยจะจางรางเลือนไปเลย แต่ว่า ในยามที่ได้ชมสิ่งที่งดงาม ใครเล่าจะอยากชมคนเดียว สามีของหล่อนเขาไม่ค่อยมีเวลามาชมอะไรสวยๆ งามๆ ด้วยกันมานานหนักหนา และคืนนี้เขาก็ไม่มีเวลาอย่างที่เป็นมาจนฉอ้อนเคยชิน

นั่นเสียงรถยนต์หรืออะไร แล่นเข้ามาในบ้าน เป็นไปได้เชียวรึ จากระเบียงที่หล่อนยืนอยู่ไม่สามารถเห็นแสงไฟของรถหรือตัวรถ แต่มีเสียงเปิดประตูข้างล่าง อ้อ เขากลับมา เขากลับมาในขณะที่ฉอ้อนนึกถึงเขา อยากให้เขามายืนเอาแขนโอบรอบตัวหล่อนและชมจันทร์ยามดึก มีแต่เขากับหล่อน ไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีราชการด่วน ไม่มีการประชุม เขากลับมาพอดีที่หล่อนจะเรียกร้องให้เขาได้ร่วมสุขกับหล่อนได้จังหวะพอดีทีเดียวรึ

มีเสียงเปิดประตูห้องรับแขกใต้ระเบียงที่หล่อนยืน ต้องเป็นเขาคนเดียวที่มาในเวลาวิกาลเช่นนี้ โดยไม่มีเสียงยามประตูซักถาม และยามจะอนุญาตให้ใครเข้ามานอกจากเขา แต่เขาเปิดประตูทางที่จะลงไปในสวนทำไม เขาจะออกไปชมจันทร์บ้างกระมัง ฉอ้อนเริ่มตื่นเต้น ชะโงกหน้าจะเรียกเขาให้รู้ว่าหล่อนกำลังรอเขาอยู่ ก็พอดีเห็นเงาของคนสองคน หล่อนเขยิบเข้าไปจนชิดขอบประตูห้อง ใครมากับเขา แล้วทันทีฉอ้อนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะเป็นกังวาน เสียงหัวเราะทำให้ฉอ้อนใช้จินตนาการวาดภาพว่าหญิงนั้นต้องมีรูปร่างสูงโปร่งมีฟันงาม มีดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความรอบรู้ แล้วหล่อนก็ได้ยินเสียงของสามี

“ว่าไง เห็นแล้วเป็นไงบ้าง” เสียงผู้หญิงพูดเป็นภาษาอังกฤษ แต่สำเนียงเป็นคนทางอาเซียไม่ใช่ฝรั่ง

“งามจริง งามอย่างไม่น่าเชื่อ”

สามีหล่อนพูดภาษาไทยปนคำอังกฤษ “อะไรที่ไม่น่าเชื่อ”

“ไม่นึกว่าจะมีสวนงามๆ เช่นนี้ในบ้านของนายพลผู้มีอำนาจมากที่สุดในกรุงเทพฯ”

“แปลว่านายพลมักมีรสนิยมต่ำๆ” สามีของฉอ้อนพูดเป็นการดักคอ แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ชื่นบาน

“อย่าแปลอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์” หญิงว่า ยังคงพูดอังกฤษ และมีคำไทยปนๆ อยู่ด้วย

“ก็เชิญให้มาบ้านตั้งหลายหนไม่มา ไม่รู้ว่ากลัวอะไร”

“พุทโธ่ ฉันมาไม่ได้ ฉันมองตาภรรยาคุณไม่ได้ เขาไม่มีความผิดสักนิด”

“จ้าว จ้าวนี้ไม่รู้จักเปลี่ยนหัวเลยนะ เป็นความคิดสมัยเก่า หรือ เอ๊ะ สมัยกลางเก่ากลางใหม่ซินะ เจ้าฟ้าท่านก็มีตั้งกี่คน ไม่เห็นจะต้องให้เจ้านางมีความผิด”

“อย่าไปเปรียบกับใครทั้งนั้น คุณวิทูร” หญิงนั้นว่า เสียงที่พูดนั้นเบามาก แต่ฉอ้อนอยู่ในที่ที่อาจได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน ดูเหมือนชายหญิงคู่นั้นจะเป็นคนที่มีน้ำเสียงชนิดที่พูดเบาก็ได้ยินไปไกล หรือเป็นที่สระ พยัญชนะของเขาชัดเจน น้ำเสียงของเขาทั้งคู่เป็นของคนที่มีความมั่นใจในตนอย่างยิ่ง หญิงที่นายพลวิทูรเรียกว่าจ้าวนั้นพูดต่อไป “คุณเป็นคนชอบชัยชนะ คุณถึงสั่งไปถึงบ้านเมืองฉันให้ฉันตามมาหาคุณ ฉันก็ชอบผู้ชายอย่างคุณ ฉันถึงตามลงมา”

ชายและหญิงก้าวเท้าออกไปยังที่มีแสงจันทร์ส่องไปถึง ฉอ้อนไม่กล้าขยับออกไปดูเขาที่ริมระเบียง จึงเห็นร่างของทั้งสองไม่ถนัด แต่ได้ยินหญิงถามว่า “ภรรยาคุณหลับแน่รึ”

“ไม่มีแสงไฟที่ไหนเลย เขาต้องหลับแน่ ก็อย่างจ้าวว่า เขาคนไม่มีความผิด เขานอนหลับด้วยใจคอสบาย”

สองคนเริ่มเดินไปๆ มาๆ อยู่ใกล้ตึก แขนของเขาสอดเข้าไว้ด้วยกัน เห็นพอแล้วหรือยังบ้านของชายที่จ้าวรัก”

“คุณไม่มีบ้าน บ้านนี้เป็นบ้านของภรรยาของคุณ” หญิงว่า

“แล้วกัน จ้าวไม่รู้อะไร ภรรยาผมเขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นบ้านของเขาหรอก เขาคอยพูดว่าบ้านหลวง บ้านหลวง แล้วน้องชายของเขาก็ชอบพูด เป็นการเตือนสติเยเนราลวิทูรว่า วันหนึ่งอาจไปตามทางของคนที่เล่นการเมืองทั้งมวล แต่คนอย่างผมไล่ยาก หรือจ้าวว่าไง”

“ฉันรักคุณ ไม่ว่าคุณจะดีเลวอย่างไร” หญิงตอบ “แต่ว่าไปเถอะ ฉันรู้สึกว่าเราเสี่ยงมากไป”

“เสี่ยงอะไร” วิทูรถาม

“เสี่ยงความสุขของภรรยาของคุณ ผู้หญิงไทยสมัยนี้ เขาไปเอาความคิดกลางเก่ากลางใหม่อย่างที่คุณว่ามา เขาเสียใจมากถ้าสามีนอกใจเขา เขาไม่หมือนคนสมัยแม่ฉัน และไม่เหมือนคนอย่างเรา อย่างฉัน ฉันรู้ว่าคุณมีผู้หญิงอีกหลายคน แต่ฉันได้รักคุณแล้ว ฉันพอใจ”

“ทำไมผู้หญิงอย่างคุณถึงไม่เป็นเมียหลวง พวกเราผู้ชายจะสบายใจพิลึก” นายพลวิทูรว่า

หญิงรักของวิทูรดึงตัวเขาเข้ามาภายใต้ระเบียงที่ฉอ้อนยืน ทำให้ไม่เห็นตัวแต่ยังได้ยินเสียงพูดชัดเจน “ถ้าผู้ชายมีเมียหลวงอย่างฉัน ผู้ชายก็ไม่สนุก โดยเฉพาะผู้ชายที่ชอบกลอุบายถ่ายเทแล้วก็มีชัยชนะ อย่างคุณ”

มีเสียงตอบจากวิทูร แต่ฉอ้อนไม่ได้ยิน สามีของหล่อนและหญิงที่รักเขา ไม่ว่าเขาจะดีหรือเลว ได้ลับตาและลับหูของภรรยาของเขาไปแล้ว อีกสักครู่ต่อมา ฉอ้อนก็ได้ยินเสียงรถติดเครื่องยนต์ และเคลื่อนออกจากบ้านไป คราวนี้ดูเหมือนยามจะทำวันทยาวุธ ฉอ้อนไม่แน่ใจ หล่อนยืนขาสั่นระริกอยู่ที่ระเบียงอยู่หลายวินาที ไม่สามารถจะขยับเขยื้อนได้ แต่แล้วก็ค่อยๆ บังคับใจบังคับกาย กลับไปขึ้นเตียงนอน นอนตัวสั่นอยู่อีกหลายนาที สอนตัวเองด้วยธรรมะทุกข้อที่ได้เล่าเรียนมาโดยที่มีคนสอนให้บ้าง โดยที่ได้ยินได้ฟังได้เรียนโดยบังเอิญบ้าง จนใจชื้นเหมือนคนได้พบเห็นอมนุษย์ แล้วปลอบตนได้ว่าอมนุษย์นั้นไม่สามารถทำอันตรายแก่ตน จึงค่อยเคลิ้มหลับไป

มีเสียงเคาะประตูอย่างไม่ค่อยดัง แต่ท่านผู้หญิงฉอ้อนก็ได้ยิน สะดุ้งตื่นด้วยใจเต้นริกๆ เหมือนจะเป็นลม เพราะเพิ่งจะหลับไปไม่นาน หล่อนแข็งใจถามออกไป

“ใคร อะไรกัน”

“ท่านครับ ผมเอง พงศ์พันธุ์” เสียงตอบอย่างเบามาจากภายนอกห้องโดยผู้พูดอยู่ชิดประตู “ผู้บัญชาการธรา ต้องการพบท่าน”

ฉอ้อนลุกลงจากเตียงนอน ไปถอดสลักลูกบิดประตู และเปิดออกไปหานายทหารเวรประจำบ้าน ก็พบ พลโท ธรา ซึ่งเป็น ท่านรอง ต่อจากท่านวิทูรเกือบทุกตำแหน่งทางราชการ ยืนอยู่ไม่ห่างจากประตูห้องนอน

“มีเรื่องอะไรหรือคะ คุณธรา” หล่อนถาม พยายามจะไม่ให้เสียงสั่น แต่รู้สึกหนาวสะท้าน ทั้งที่หล่อนเป็นคนชอบอากาศเย็นมากกว่าคนทั่วๆ ไป

“ผมต้องพบท่านรองทันที ท่านผู้หญิงทราบไหมว่าจะไปตามที่ไหน” นายพล ธรา ถาม

“คุณรู้จักบ้านของผู้หญิงที่เป็นจ้าวไหม ไม่ใช่จ้าวของไทยเรา ไม่ใช่พระราชวงศ์ แต่เป็นจ้าวประเทศอื่น ลาวหรือไทยใหญ่”

ธราเกาศีรษะ มองดูฉอ้อนอย่างแปลกใจ

“ทำไม ผู้ชายไม่รู้กันหรือคะ ของอย่างนี้ ผู้หญิงคนนี้ชอบพูดภาษาอังกฤษ” ฉอ้อนบอก ใช้กำลังบังคับใจจนเสียงเป็นปรกติ แต่ขาทั้งสองสั่นจนกลัวจะยืนไม่อยู่

“แล้วท่านทราบไหมว่าบ้านนี้อยู่ไหน” พลโทธรา ย้อนถาม

“ดิฉันไม่ทราบ ถ้าคุณไม่ทราบ ถามเพื่อนๆ สักสองสามคนของคุณคงมีคนทราบ”

“ไม่มีเวลา ผมจะเดาไป แต่ทำไมท่านรู้ว่าท่านรองอยู่ที่นั่น ถ้าไม่พบที่นั่นจะควรไปตามที่ไหน” ธราถามอีก

“ดิฉันเกือบรับรองได้ว่าคุณวิทูรอยู่ที่นั่นคืนนี้” ฉอ้อนบอกด้วยเสียงมั่นคง “ไปเถอะค่ะ ดิฉันไม่ถามละว่าเกิดอะไร”

“อย่าเพ่อตกใจเลยครับ ถ้าตามพบตัว ทุกอย่างอาจเรียบร้อย” สหายของสามีบอกฉอ้อน แล้วเขาก็กลับหลังลงบันไดไปอย่างไม่รีรอ

ฉอ้อนกลับขึ้นไปนอนบนเตียง นึกถึงลูกๆ จะรู้อะไรหรือเปล่า ตกใจหรือเปล่า เออ ตาฤทธิ์กลับบ้านกี่ทุ่ม เข้านอนไปนานแล้วหรือยัง ฉอ้อนสวดมนตร์ ขอให้คุณพระรัตนตรัย เทพยดาอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้คุ้มครองลูกผัวของฉอ้อน “เจ้าประคุณ ตัวเราก็ไม่ได้ทำบาปทำกรรมอะไรนักหนาในชาตินี้ แต่ผัวของเราล่ะ ทำบาปอะไรไว้บ้าง เจ้าประคุณ ขอให้บุญกุศลช่วย หรือบาปชาติก่อนอาจจะตามทัน เอ ทำไมคิดอะไรเลอะเทอะ ยังไม่ทันมีอะไรสักที”

ด้วยเหตุที่พระจันทร์ส่องแสงสว่าง ฉอ้อนไม่อาจคะเนว่าเวลาใกล้รุ่งหรือยังอยู่ในรัตติกาลสักเพียงใด สักประเดี๋ยวหล่อนก็เห็นแสงไฟรถยนต์ซึ่งแล่นมาจากทางด้านสวน ซึ่งเป็นถนนซอยไม่ใช่ถนนใหญ่ รถแล่นตามกันมาสองคัน รถที่แล่นมาถึงบ้านพักของท่านรองวิทูร จะต้องหยุดให้ยามได้ตรวจว่าผู้ใดจะเข้ามาในบ้าน แม้ในเวลากลางวัน ฉอ้อนจึงได้ยินเสียงรถยนต์เบาลง แล้วอีกในวินาทีเดียวกัน ฉอ้อนก็เห็นแสงไฟรถยนต์อีกคันหนึ่งตามมา แล้วในระยะลมหายใจเดียวกันนั้นอีก หล่อนก็ได้ยินเสียงปืนลั่นหลายนัด เป็นเสียงปืนที่ไม่ค่อยดังนัก เมื่อนึกถึงความสงัดของยามวิกาล แต่ฉอ้อนก็ผุดลุกจากเตียงและออกนอกห้อง วิ่งลงบันได พอฉอ้อนลงไปถึงเชิงบันไดก็เห็นทหารยาม ๒ คนปล้ำอยู่กับชายคนหนึ่ง โลหิตไหลนองลานหินอ่อนด้านหน้าของตึก นายร้อยเอกพงศ์พันธุ์ กับใครอีกคนหนึ่ง ช่วยกันยกร่างที่ปราศจากความรู้สึกของชายคนหนึ่งเข้ามาในห้องรับแขก และเอาวางลงบนเก้าอี้ตัวยาว ฉอเลาะลงมายืนอยู่ใกล้ฉอ้อนเมื่อใดหล่อนไม่ทราบ แต่ได้ยินพงศ์พันธุ์บอกแก่ฉอเลาะว่า “ผมว่ายังไม่เป็นไร นายเชียรโทรศัพท์ไปตามหมอแล้ว” ฉอเลาะวิ่งไปที่ร่างนั้น ฉอ้อนจึงรู้ขึ้นมาจะเป็นโดยใครบอกหรือรู้เองก็ไม่แน่ ว่าตาฤทธิ์ถูกยิง และระหว่างชุลมุนนั้นชายที่ทหารยามปล้ำอยู่ก็สลัดหลุด วิ่งเข้ามาที่ร่างของตาฤทธิ์ภายในห้อง เสียงเขาร้องว่า “มันยังไม่ตายรึ ดีแล้วฟังนี่ พ่อมึงเหยียบย่ำพ่อกูมาแล้วยังไม่พอ มึงยังจะมาเหยียบจมูกกูอีก ถ้าปล่อยให้มึงอยู่ต่อไป กูก็ไม่ใช่คน” พูดจบก็ล้มคว่ำอยู่กลางพรมที่ปูเกือบเต็มพื้นห้องรับแขก

ฉอ้อนและฉอเลาะวิ่งเข้าไปที่ร่างของชายหนุ่มทั้งสองซึ่งเป็นร่างวิสัญญีพร้อมกัน ฉอเลาะอุทานทันทีที่เห็นชายที่ล้มอยู่

“วรชาติ”

“ใครไปเรียกหมอ” ท่านผู้หญิงครึ่งถามครึ่งสั่งแต่ไม่ทันมีใครตอบ ก็เกิดสติขึ้นมาเอง “นี่ ใครยืนตรงนั้น ขอผ้าขนหนูสะอาดๆ ในตู้ที่กระไดมีแยะเอามาซับเลือดก่อน”

มีใครวิ่งไปเอาสิ่งที่ต้องการมาให้ฉอ้อน หล่อนส่งให้ฉอเลาะ และสองคนแม่ลูกก็รีบซับเลือดที่ไหลออกจากร่างชายทั้งสองคน ฉอ้อนจัดการกับลูกชาย ฉอเลาะจัดการกับวรชาติ ดูเหมือนจะเป็นร้อยเอกพงศ์พันธ์มีสติเพิ่มขึ้น ไปเรียกเอาน้ำแข็งมาอ่างใหญ่ ทุกคนที่พอจะมีสติช่วยในการปฐมพยาบาล ฉอ้อนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปสักร้อยปี จึงได้ยินเสียงแตรพิเศษของรถโรงพยาบาลเป็นรถของทหารมารับตาฤทธิ์ไปก่อน ส่วนวรชาติต้องรอรถจากโรงพยาบาลตำรวจ ฉอ้อนมีเวลาได้เห็นหน้าของวรชาติเพียงครึ่งเดียว ไม่รู้ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร และในขณะนั้นไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเขา

ฉอเลาะมีความรู้ทางปฐมพยาบาลจากการไปฝึกหัดอาสากาชาด พอเช็ดเลือดให้วรชาติไปได้สักประเดี๋ยวก็หันมาบอกแก่มารดา “ดูเหมือนหมดลมเสียแล้วละจ้ะแม่” ฉอ้อนยืนเหมือนมีอะไรตรึงอยู่กับที่ตรงหน้าเก้าอี้ที่เขาวางตัวตาฤทธิ์ไว้เมื่อกี้ อีกหลายระยะลมหายใจจึงนึกขึ้นได้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป จึงบอกแก่บุตรี

“เราไปแต่งตัวตามตาฤทธิ์ไปโรงพยาบาลเถอะลูก”

ฉอเลาะละจากวรชาติมาประคองมารดาขึ้นบันไดไปห้องแต่งตัวซึ่งอยู่ชั้นบน สาวใช้ก็ตามติดขึ้นไป หยิบเสื้อผ้าออกจากตู้ ฉอ้อนไปล้างหน้าและหวีผมอย่างลวกๆ ขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้าจวนเสร็จก็ได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้าบ้าน ฉอ้อนไม่เอาใจใส่ นึกว่าเป็นรถมารับคนบาดเจ็บจากโรงพยาบาลตำรวจ แต่ภายในวินาทีหนึ่งเห็นจะได้ สามีของหล่อนก็เข้ามาในห้อง เขาตรงไปที่ตู้เซฟในกำแพงที่ซ่อนอยู่ข้างหลังภาพเขียนผู้หญิงงามรูปหนึ่ง เปิดตู้นั้นอย่างรีบร้อน จนไม่เอาใจใส่ว่าภรรยาทำอะไรอยู่บ้าง เมื่อหยิบสิ่งที่ต้องการได้แล้วก็ปิดตู้ และเลื่อนภาพให้เข้าที่เดิม แล้วก็เข้าห้องน้ำ

เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นที่หัวนอนระหว่างเตียงของท่านผู้หญิงและเตียงของท่านสามี ฉอ้อนสะดุ้ง โทรศัพท์อันนี้เป็นเครื่องพิเศษ มีคนรู้เลขที่จะหมุนไม่กี่คน สาวใช้ออกไปนอกห้องด้วยเหตุใดฉอ้อนไม่ทราบ หล่อนรีบไปปิดประตูลงสลักแล้วก็ฉวยหูขึ้นพูด

“ใครคะ”

“ฉอ้อน นี่เกริน จำเสียงได้ไหม เกริน” เสียงมาจากโทรศัพท์

“จำได้ค่ะ” ฉอ้อนตอบ ใจเริ่มเต้นเหมือนจะไม่มีการเบาลงอีกได้จนกว่ามันจะหยุดไปเลย

“วิทูรอยู่ไหน” เสียงถามมาอีก

“อยู่ในห้องน้ำ” ฉอ้อนตอบ

“บอกวิทูรว่าอย่าคิดสู้ ให้รีบหนีเสียก่อน ได้ยินไหม รีบไปเสียก่อน นายใหญ่เขาขายเราแล้ว” พอจบประโยค สามีฉอ้อนก็ออกมาจากห้องน้ำ เขายังกลัดกระดุมกางเกงไม่เรียบร้อย ฉอ้อนรีบส่งหูโทรศัพท์ให้

“เชื่อๆ” เสียงวิทูรตอบ “แกรู้มาแน่นะ สงสัยอยู่แล้ว เฮ่อ เฮ่อ ถ้างั้นต้องไปเดี๋ยวนี้ ฝากฉอ้อนด้วยนะเกริน” เขาวางหูโทรศัพท์ ผิวหน้าของเขาแดง นัยน์ตาเป็นสีมรกต แต่เขาวางหูโทรศัพท์แล้วหมุนตัวอยู่สักอึดใจหนึ่ง แล้วเขาก็เข้ามากอดหล่อนไว้ “น้อง พี่จะไปก่อน คอยฟังข่าวจากเกรินกับเฌอ” เขาจูบแก้มหล่อนซ้ายขวาแล้วก็ผละออกจากหล่อน เปิดประตูห้องลงบันได สักครู่หนึ่งต่อมา ฉอ้อนก็ได้ยินเสียงพาหนะซึ่งมีเครื่องยนต์ที่มีกำลังมหาศาลแล่นออกจากบ้านไป

หล่อนไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับสามียิ่งกว่าไปอำนาจที่เขามีในประเทศกำลังจะสิ้นไปแล้ว เขาอาจได้คืนมา แต่จะได้มาด้วยวิธีใดหล่อนไม่ทราบและหล่อนก็ไม่มีเวลาที่จะคิดถึงเขาต่อไปในขณะนั้น หล่อนออกจากห้อง เรียกหาฉอเลาะ เมื่อเห็นลูกสาวรออยู่ที่เชิงบันได ก็ตามลงไปถึงชั้นล่าง รถที่แม่ลูกใช้เป็นประจำเข้ามาเทียบหน้าตึก ท่านผู้หญิงฉอ้อนก็ขึ้นรถกับบุตรีไปยังโรงพยาบาลของทหารซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพัก ฉอ้อนเตรียมใจไปว่าตาฤทธิ์ตายแล้ว แต่เมื่อไปถึงห้องที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ตาฤทธิ์ได้ทราบว่ายังไม่สิ้นใจ แต่ไม่รู้สึกตัว ขณะนั้นแพทย์ยังทำการรักษาอยู่ในห้องผ่าตัด ฉอ้อนนั่งลงคอยบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องนั้น สมองมึนชา ไม่รู้ว่าโลกหมุนไปทางไหน วิถีชีวิตของใครไปทางใด ไม่มีปฏิกิริยาแม้เมื่อได้ยินฉอเลาะร้องไห้เบาๆ อยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มีกระดาษนุ่มหรือผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยปิดหน้าอยู่ครึ่งหนึ่ง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ