บทที่ ๒๐

เสียงกริ่งที่แสดงว่า มีคนขอให้เปิดประตูรับดังขึ้น คุณแจ๋วขณะนั้นนอนตัวขดอยู่บนที่นอน ตามองไปทางจอโทรทัศน์ขนาดเล็ก คอยฟังข่าว ซีบีเอส อยู่ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูอย่างแปลกใจ แล้วก็ตะโกนเรียกสอิ้งให้ไปดูว่าใครมาที่ประตู

สอิ้งออกไปได้สักครู่ก็กลับขึ้นมาบอกว่า “คุณแจ๋วคะ คุณเกรินมาหา อิฉันให้รออยู่ข้างล่าง”

“เอ๊ะ” คุณแจ๋วอุทาน ดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้งหนึ่ง “มาทำไมกันป่านนี้” แต่ลงจากเตียงอย่างที่ภาษากวีใช้ว่า “ระวาดระไว” ไปหวีผมที่หน้าเครื่องแป้ง ผัดหน้าพอให้หายมัน แล้วก็ลงไปข้างล่างอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งไม่แปลกตาแปลกใจแก่ใคร เพราะคุณแจ๋วเป็นคนเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นปรกติ

“ว่าไงนี่พี่ชายฉัน ไปไหนมาถึงได้แวะมาป่านนี้ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

ลงไปชั้นล่าง เห็นญาติยืนหันไปหันมาอยู่กลางห้องที่คุณแจ๋วใช้เป็นห้องอาหารสำหรับลูกค้า ทำความเคารพแล้ว คุณแจ๋วก็ทักว่า

“อยากคุยจนระงับไม่ไหว” ญาติชายตอบ “คิดว่าคงยังไม่นอน และหวังว่าคงจะอยากพบแฟนเก่าบ้าง”

“หมั่นไส้จะตาย” คุณแจ๋วว่า “ขึ้นไปข้างบนเถอะค่ะ ห้องที่มีเครื่องเย็นคุยกันสบายดี”

ผู้เป็นแขก ออกเดินตามเจ้าของบ้านอย่างว่าง่าย เขารู้จักห้องนั้นดีอยู่แล้ว เป็นห้องที่เขาได้คุยกับญาติของเขาในวันก่อนที่เขามาหา เมื่อแขกเข้าไปในห้องแล้วคุณแจ๋วก็เลื่อนโต๊ะเก้าอี้ให้สบายขึ้น ตะโกนเรียกสอิ้งให้ยกถาดเครื่องกาแฟลงมา เมื่อเสร็จจากภาระการต้อนรับแล้ว คุณแจ๋วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ตัวที่ต่ำและแขนรองรับอย่างสบาย ที่เกรินนั่งอยู่ และพูด

“เอ้า คุยไป”

“กลับมาจากบ้านท่านผู้หญิงคนรอง” เกรินบอกข่าว “เขารำพันเสียดายว่าคุณแจ๋วไม่ไปตลอดเวลาจนออกอิจฉา”

“โธ่ แจ๋วก็เสียใจ หวังว่าเขาจะเชื่อ ไม่คิดว่าเราหลีกเลี่ยง ตอนนี้ไปไหนไม่ได้จริงๆ นี่ดูนี่ซิ” คุณแจ๋วส่งแขนให้ญาติดูรอยแดงๆ นูนๆ ยาวๆ ตลอดแขน “บางเวลาก็คัน บางเวลาก็ไม่คัน ต้องคอยทายาอยู่เรื่อย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร”

“เขาคงเชื่อ” ญาติชายของคุณแจ๋วกล่าว “เพราะตาเฌอแกเป็นหมอ แกอธิบายว่าเป็นอาการแพ้อะไรชนิดหนึ่ง หมอโบราณเขาเรียกลมเพลมพัด คุณแม่ฉันเคยเป็น”

“แล้วมีใครไปบ้าง” คุณแจ๋วถาม “คุณเกรินไปคนเดียวเรอะ ไม่พาลูกพาเมียไป”

“ที่จริงท่านผู้หญิงเขาจะให้ไปก่อนเจ้าไกรไปเมืองนอก แต่บังเอิญท่านสามีของเขาน่ะแหละ ใช้เราออกหัวเมืองเรื่อย เจ้าไกรเขาไปรู้จักชอบพอกับคุณฉอเลาะที่บ้านยายอร เขาเป็นนักแบดมินตัน ไปเล่นแบดมินตันกับยายอรกับนายพิสุทธิ์ แล้วเลยถูกคุณฉอเลาะชวนไปบ้าน”

“แหมช่างไม่ตกปากตกคำมั่งเชียวนะ คุณฉอเลาะ ท่านผู้หญิง โอ ฉอเลาะเราก็อุ้มมาตั้งแต่แบเบาะ” คุณแจ๋วทำตาค่อนขอด แต่ริมฝีปากยิ้ม

“อ้าว ต้องหัดให้เคยปาก แล้วกัน” ญาติชายแก้ “ไม่งั้นประเดี๋ยวไปเผลอเข้าที่ไหน จะได้โดน”

“โดนอะไร” คราวนี้ทั้งน้ำเสียงและสายตาขุ่น

“โดนคนเขม่น โดนคนประจบ โดนคนซักถามประวัติการรู้จักกับท่านรอง” เกรินตอบ หน้าเฉยแต่นัยน์ตาค่อนไปข้างขบขัน

“โธ่ แจ๋วว่าคนเป็นใหญ่เป็นโตนี่มีเวรมีกรรมเอามากๆ ใครจะเป็นเพื่อนฝูงกันไม่ได้เชียวรึ อยากรู้ว่าบ้านเมืองอื่นมันเป็นกันหรือเปล่า”

“มันก็คงเป็นแต่เราไม่รู้มัน” เกรินออกความเห็น “ที่อเมริกาก็เห็นมันมีปฏิกิริยากันต่างๆ กับประธานาธิบดี เช่นใครมาจากเมืองที่ประธานาธิบดีเกิด บางคนก็ระวังไม่เอ่ย กลัวเพื่อนฝูงจะว่าคุยโม้ บางคนก็เอ่ยไม่ได้หยุด เขางามันโม้แล้วบางทีธนาคารธนาเคิรก็ชักจะใจอ่อนเชื่อถือไปก็มี”

คุณแจ๋วถอนใจดัง เฮอ “มนุษย์เรานี่มันบ้าๆ กันแยะนะ แล้วยังไง คุยเรื่องอะไรกันบ้าง แล้วไม่เห็นบอกว่าเอาครอบครัวไปด้วยหรือเปล่า”

“ไปคนเดียว เจ้าลูกคนเล็กมันไปเที่ยวศึกษานอกสถานที่กับโรงเรียนถึงฉะเชิงเทรา กลับมาไม่ทัน ส่วนแม่เขาไม่ไป เขาบอกให้ไปคนเดียว”

“แล้วให้เหตุผลอย่างไรที่ไม่ไป” คุณแจ๋วถามด้วยความอยากรู้จนออกนอกหน้า

“ไม่ต้องให้อะไร เขาบอกว่าเขาไม่ไป ใครจะทำไม” คุณเกรินว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจ “โธ่ คุณแจ๋ว เธอไม่รู้ว่าคนอย่างแม่อุไรแกมีอภิสิทธิ์อย่างไร พอเราบอกว่าท่านผู้หญิงเชิญให้ไปกินข้าวด้วยวันพฤหัสนี้ แกก็ว่า โอ๊ คุณไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่ไปด้วยหรอก มิไยใครจะพูดประชาสัมพันธ์อย่างไร แกก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่าแกไม่ไป”

“แล้วคุณเกรินไปบอกท่านผู้หญิงเขาว่ายังไร”

“ก็บอกว่ายังงี้และ ท่านผู้หญิงทีแรกก็ซักไซ้ไล่เลียง จนตาเฌอว่าผู้หญิงไทยที่เขายังสงวนสิทธิเสรีภาพของเขา ยังมีเหลืออยู่ในเมืองไทยนะพี่ แม่เราก็คนหนึ่งละ แล้วก็คุณแม่คุณวิทูรก็อีกคนหนึ่ง ท่านผู้หญิงโดนตัวอย่างสำคัญเข้าไปเลยนิ่งไปนาน นิ่งไปเหมือนครุ่นคิดอะไรนานทีเดียว” เห็นดวงตาของญาติจับจ้องอยู่ที่หน้าของตนอย่างครุ่นคิดเหมือนกัน นายพลเกรินก็พูดต่อไป “นี่ ท่านผู้หญิงนี่ มีลักษณะเหมือนคนมีอะไรเป็นปัญหาอยู่เต็มสมอง และอยากจะปรึกษาใคร ถามใคร ตอนจะกลับยังกำชับว่า ให้บอกคุณแจ๋วให้ไปหาให้ได้ คราวนี้ให้ไปคนเดียวก็ได้ เวลาไหนก็ได้ที่ว่าง ไม่ต้องรถนัดกินอาหาร แล้วกำชับให้ฉันไปหาบ่อยๆ โดยไม่ต้องรอให้เชิญ ถึงท่านสามีจะไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร”

“เออ วันนี้ท่านสามีเขาอยู่ด้วยหรือเปล่า” คุณแจ๋วถาม

“ไม่อยู่ ทีแรกว่าจะอยู่ แล้วเขาบอกว่าเขาเกิดมีราชการด่วน นี่ คุณแจ๋วไปด้วยกันสักวันน่ะ อยากเข้าใจท่านผู้หญิง แล้วก็นึกสงสาร แกเห็นจะต้องการเพื่อนจริง”

“จริง นี่ขยายอะไร ขยาย ต้องการ หรือ ขยาย เพื่อน”

“โอย จนเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงแล้วยังติดนิสัยครูอีก ขยายต้องการ คือเข้าใจว่าต้องการจริง ต้องการเพื่อน และก็คงต้องการเพื่อนที่ไม่เทียม เพื่อนแท้”

“ชักกลัวเสียแล้วละแจ๋ว การเป็นเพื่อนแท้กับคนใหญ่คนโตนี่มันต้องทำอะไรบ้าง”

“นั่นไหมละ นึกว่าจะเก่ง เมื่อตะกี้ว่าทุเรศอะไรยังไง” เกรินพ้อ

“ไม่ได้ว่าอะไรสักที ฟังด้วยความยุติธรรมบ้างซีคะท่านนายพล” ญาติหญิงพ้อกลับ “จริงๆ นะ คุณเกริน ที่จริงที่แจ๋วเกิดอาการแพ้เป็นผื่นคันนี่มันอาจเป็นความกลัวที่จะต้องไปหาท่านผู้หญิงก็ได้ ตอนพี่แต๋วเขาจะต้องแต่งงานกับพี่จำแลงไง เขาเป็นคล้ายๆ พรรณอย่างนี้ทุกวัน พอตกลงว่าไม่แต่ง ก็หายไปเรื่อยๆ”

เกรินคว้าแขนของญาติหญิงมาลูบคลำไปมา เขาเกิดความรู้สึกเมตตากรุณาขึ้นมาอย่างจับใจ เกิดความอยากจะยกแขนนั้นขึ้นจูบเบาๆ คุณแจ๋วมองดูส่วนบนของศีรษะของเขาซึ่งก้มอยู่ และภาวนาในใจเป็นความปรารถนาตรงกัน แต่การกระทำไม่เกิดขึ้นตรงตามปรารถนานั้น คุณเกรินวางแขนคุณแจ๋วลงเบาๆ แล้วกล่าว

“ไอ้ประเพณีให้แต่งงานกันไปมาอยู่ในพวกในเหล่านี่ พวกเราไปคว้าเอามาจากไหน ชาติไหนเป็นเหมือนพวกเรา คนไทยอื่นๆ ก็ไม่เห็นเขาเป็นกัน”

“เห็นจะเกี่ยวกับความเคยชิน แล้วก็เลยยึดมั่นว่าฉันเป็นพวกอสัญแดหวาหรืออะไรพรรณอย่างนั้น” คุณแจ๋วสันนิษฐาน “แล้วยังไงล่ะ เรื่องท่านผู้หญิง คุยกันว่ายังไงบ้าง”

เกรินหัวเราะหึๆ แล้วนิ่งไป แล้วจึงกล่าว “มันน่าขัน ถึงได้มาเล่าให้ฟัง เผอิญเธอมาพูดถึงพี่แต๋วเข้าอีก เรื่องแรกที่ท่านผู้หญิงถามก็คือ ได้ยินว่าคุณเกรินหมั้นกับคุณแจ๋ว เป็นข่าวเหลวไหลใช่ไหม”

“อ๊อ แล้วฝ่ายชายตอบว่ายังไง” คำถามตามมาเร็วเท่าไฟฟ้า

“แปลกจัง ทุกทีที่มีคนถามเรื่องนี้ เป็นญาติๆ กันหรือเพื่อนสนิทโดยมาก ตอบได้อย่างง่ายๆ บอกว่า เจ้าคุณโกศลเรียกทองหมั้นมากเกินไป ผ่อนไม่หมด บอกว่าผู้หญิงเขาไม่ชอบ ไม่หล่อพอบ้าง หรือไม่ก็กลัวจะหือไม่ขึ้นบ้าง. . .”

“ล้วนแต่เสียหายกับฝ่ายหญิงทั้งนั้น ใช่ไหม” คู่หมั้นเก่าชิงพูดก่อนที่ญาติชายจะจบประโยคได้

“ก็ต้องยังงั้น แต่ว่า อย่าทำให้เสียสมาธิน่ะ พอท่านผู้หญิงถาม เอทำไม เกือบจะตอบไม่ได้เห็นสาวตาแกวิงวอน มองดูเหมือนแกผิดหวัง และขอร้องให้บอกความจริง อย่าพูดเล่น”

“แล้วอะไรคือความจริง จริงนะ คุณเกริน จำได้ไหม แจ๋วไม่เคยถามเลย พอคุณเกรินมาชวนว่า เราอย่าตามใจผู้ใหญ่กันเลย เราบอกว่าเราจะไม่แต่งงานกันเถอะ แจ๋วก็ตกลงทันที เดี๋ยวนี้ก็แก่เฒ่าแล้ว บอกความจริงกันสักทีก็ดี”

“เอ๊อ มาขุดเรื่องเก่าขึ้นมาได้แน่ะ ก็ฉันก็ไปทดลองดูว่าคุณแจ๋วอยากแต่งงานกับฉันหรือเปล่า พอลองก็ได้ดี คุณแจ๋วตกลงเร็วที่สุด” เกรินพูดยิ้มๆ

“คุณเกริน” เสียงคุณแจ๋วร้องอย่างเจ็บปวดจนเกรินสะดุ้งจ้องหน้าญาติด้วยความตกใจ แต่ในขณะเดียวกันนั้น สีหน้าที่ตึงเครียดของคุณแจ๋วก็เปลี่ยนไปเป็นอาการยิ้มอย่างสนุกตามที่คุณแจ๋วชอบทำ และกล่าวว่า “เอ้า แล้วบอกท่านผู้หญิงว่าไงล่ะ”

“ก็บอกความจริงซิ” เกรินตอบ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ก็บอกว่าเกิดรู้สึกว่า ผู้ใหญ่ของเราออกจะเคยตัวกันมากไปเสียแล้ว เห็นลูกพี่ลูกน้องคู่ไหนยังว่างอยู่ เป็นต้องจัดแจงจับหมั้นกันเสีย ก็เลยนัดทำการปฏิวัติกับคุณแจ๋ว เลยไปได้ประโยชน์กับคุณแต๋วกับพี่จำแลงด้วยเยี่ยงนักปฏิวัติทั้งหลาย ย่อมจะทำบุญทำคุณให้คนทั้งชาติ”

“พูดทั้งหมดอย่างงี้จริงๆ หรือ คุณเกริน” คุณแจ๋วถามเสียงอ่อนๆ เกิดคิดถึงเพื่อนเล่นในวัยเด็กและมีความห่วงใยที่อธิบายไม่ถูก

“พูดเกือบเหมือน พอมาถึงเรื่องนักปฏิวัติ ทั้งพี่สาวน้องชายคือ ท่านผู้หญิงกับตาเฌอทำหน้าพิลึกด้วยกันทั้งคู่ เอ้อ ยังไม่ได้บอกว่ากินข้าวด้วยกันกี่คน มีท่านผู้หญิง ตาเฌอ ฉอเลาะ ตาฤทธิ์ ยายเป๊าะ แล้วก็คุณเกรินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีพระเดชพระคุณล้นเกล้า รวมเป็นห้าคน แต่พอกินอิ่มแล้ว มีชายหนุ่มมาหาคุณฉอเลาะ ฉอเลาะไปรับแขกส่วนตัว แล้วตาฤทธิ์ก็ขอตัวว่านัดอะไรไว้กับใคร แล้วยายเป๊าะก็หายไปโดยไม่ต้องบอกว่าอะไร เหลือคุยกันอยู่สามคน การสนทนาก็เป็นการถามถึงเรื่องราวที่เป็นมาแล้ว ที่ไม่ได้รู้เพราะสงครามบ้าง เพราะอยู่ไกลกันบ้าง เออ แล้วก็เพิ่งรู้ว่าคุณแจ๋วสนิทสนมกับตาเฌอมากตอนสงคราม ไปหัดขายข้าวแกงมาตั้งแต่อยู่หาดใหญ่เชียวเรอะเธอน่ะ”

คุณแจ๋วไม่ตอบคำถาม กลับถามต่อไป “ทีนี้ ทางท่านผู้หญิงล่ะ คุณเกรินสังเกตว่าแกเป็นยังไงบ้าง จะเป็นไปได้ไหมที่ใครๆ เขาชอบว่ากันว่า คุณวิทูรนี่เมียช่วยให้เสียมาก ชอบทำราวกับสามีเป็นเทพบุตร แล้วก็ใครๆ ก็เข้าไปประจบท่านผู้หญิง ทำให้เสียไปถึงราชการงานเมือง คนนั้นได้สัมปทานนั้น คนโน้นได้ตำแหน่งนี้อะไรๆ อย่างงี้”

“คนมีอำนาจโดนเหมือนกันทุกคน และเราเห็นจะไม่มีทางรู้ความจริง” เกรินพูดอย่างตรึกตรอง “เราก็สันนิษฐานตามที่เรารู้จักมา เรารู้จักท่านผู้หญิงคนนี้มาแต่เด็กแต่เล็ก ใจของเราก็ว่าไม่จริง แต่คนเราจะไปเอาแน่นอนได้อย่างไร แม้แต่ตัวเราเองเรายังรับรองไม่ได้ ได้แต่สวดมนต์ภาวนาว่าอย่าให้ถูกพิสูจน์หรือถูกยั่วอย่างแรงกล้าจนเราทนไม่ได้ คนมีอำนาจโดนหลายอย่าง โดนคนต้มเพราะไม่ค่อยมีใครบอกอะไรจริง โดนคนเอาชื่อไปแอบอ้างใช้โดนคนประจบสอพลอจนเผลอตัว”

“ทำไมพระเจ้าแผ่นดินท่านถึงทนได้ล่ะ ดูรัชกาลที่ห้า ทำไมดูท่านมีสติดี ทุกทีที่อ่านพระราชหัตถเลขา แจ๋วแสนที่จะประหลาดใจว่าทำไมท่านฉลาดอย่างนั้น” คุณแจ๋วลงเสียงคำสุดท้ายเป็นการเน้น

“คนอย่างนั้นศตวรรษหนึ่งจะได้พบสักสองคนกระมังในประเทศหนึ่งๆ” ญาติชายตอบ “นั้นท่านอัจฉริยบุคคล เราดูแต่คุณปู่ฝั่งคะโน้น แล้วก็แค่เจ้าคุณโกศลราชก็พอ ประเดี๋ยวก็นั่งแจงบรรพบุรุษคนบ้านเสียหลายชั่วคนด้วยเรื่องขี้ประติ๋วอะไรก็ไม่รู้ เพราะไม่ถูกอารมณ์ท่าน”

“แต่คุณพ่อคุณเกรินท่านไม่เป็นเหมือนคุณพ่อแจ๋ว ไม่เหมือนคุณปู่นี่ เมื่อวานซืนนี้ คุณน้ามารดาเลี้ยงแจ๋วท่านยังนั่งชมว่าพี่ชายของท่านดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แล้วยังปรารภปรารมภ์ถึงคุณเกรินว่าจะดีเหมือนหรือเปล่า อ้อ แต่บอกว่า คุณพ่อคุณเกรินน่ะ เสียไปหน่อยที่สันโดษเกินไป เลยไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต คุณเกรินเห็นจะกำลังดีถึงได้เป็นนายพล”

“อาจพูดกลับอีกทางก็ได้นะ คือคุณพ่อไม่ใช่คนใหญ่คนโต ถึงได้รักษาความดีความเป็นผู้ดี สุดแล้วแต่จะเรียกไว้ได้ ที่ไม่โมโหโทโส ที่ใช้เหตุใช้ผล อาจเป็นพราะเป็นแค่คุณหลวง แต่จะว่าเพราะสันโดษถึงได้อยู่แค่คุณหลวง ก็อาจว่าได้อีกเหมือนกัน เพราะคุณพ่อดูไม่ตื่นเต้นกับยศกับทรัพย์สักอย่าง ชอบมีพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ฉันก็ออกจะรับมรดกนั้นมา ไปจนกระทั่งเจ้าลูกชายสองคน แต่เจ้าสองคนนั้นอาจรับมาทางแม่ด้วยอีกก็ได้ ส่วนที่ฉันได้เป็นนายพลสมัยนี้ไปเอาอะไรนักหนา มันบังเอิญได้เป็น หรือจะว่าไป อาจเป็นเพราะท่านวิทูรท่านยังคิดถึงความหลัง ก็หาทางช่วยเหลือ คนในกองทัพดูเหมือนเขาจะว่ากันอย่างนั้น เพราะตั้งตำแหน่งขึ้นใหม่ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน”

“รวมแล้วแปลว่า คนที่เป็นนายพลไม่ได้หมายความว่ามีความสามารถอะไร เป็นเรื่องของดวงชาตา”

“อย่าไปเอาดวงชาตาชาเตอมาวุ่นอีกซิ มันจะมากความ สรุปว่าไม่แน่นอน คนที่เขาดีกว่าเราไม่ได้เป็นก็มี คนที่เลวกว่าเราอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าเราก็มี

“ทำไมเป็นอย่างนั้นละคุณเกริน เป็นแต่บ้านเมืองเรา หรือบ้านเมืองอื่นด้วย” คุณแจ๋วทำเสียงเศร้าๆ

“คงเป็นทุกบ้านทุกเมืองกระมั้งในราชการ ตำแหน่งนายพล ตำแหน่งอะไรๆ มันก็จำกัด ชีวิตคนมันครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับโชค ครึ่งหนึ่งขึ้นกับตัว อย่างฉัน ไม่ได้ทำรัฐประหารประเหินกับเขา แต่ถ้าเป็นคนทะเลาะกับนายหรือทำยุ่งเรื่องการเงิน ก็คงไม่ได้เป็นนายพล แต่พอมีโอกาสที่วิทูรเขาจะช่วยได้ แปลว่าเราเชื่อว่าเขาช่วยเรานะ ซึ่งเราก็ไม่รู้จนกว่าเขาจะบอก พอมีโอกาส เราก็อยู่ในที่ที่เขาจะช่วยได้ มันต้องพอดีจังหวะ ซึ่งก็คือโชค”

“เอ้า กลับไปเรื่องท่านผู้หญิงใหม่ มีอะไรมาเล่าให้ฟังอีกบ้าง” ญาติหญิงเตือน

“เมื่อตะกี้คุณแจ๋วถามว่าแกทำให้สามีเสียหรือเปล่า ฉันไม่เห็นที่เมียจะต้องทำให้เสีย ท่านวิทูรนี่ท่านก็ทำตามแบบฉบับของคนมีอำนาจ ที่ไม่ใช่อัจฉริยบุคคลทุกคนไป ดูไปซี บ้านไหนเมืองไหน คนมีอำนาจทำผิดฉบับไปบ้าง ก็ต้องชอบคนเข้าหา ทำให้รู้สึกว่ามีพวกต้องชอบช่วยเหลือคนที่ทำเป็นพวก เพื่อจะได้ให้เห็นว่าคนที่ทำเป็นพวกฉันได้รับประโยชน์ ต้องชอบคนที่ยกย่องเพราะใครๆ ก็ชอบคนที่ชมตัวไม่ชอบคนติ นี่คุณแจ๋ว ฉันเคยคิดเล่นนะน่าจะมีระบบหรือระเบียบ อย่างเจ้าฝรั่งสมัยโบราณ ต้องเลี้ยงตัวตลกหลวงไว้ให้มันพูดอะไรบ้าๆ ให้ฟัง แต่เติมเข้าไปว่า ทุกวันต้องหาเรื่องไม่ดีมาติคนมีอำนาจให้ได้ ถ้าทำได้อย่างนั้น อาจจะรักษาสติไว้ได้”

“อ้อ แล้วเจ้าตัวตลกหลวงนั้น มันก็ทำเป็นติเรื่องที่ไม่สำคัญ แล้วมันก็แกล้งชมไอ้ที่ดีๆ ยิ่งทำให้ท่านผู้ใหญ่ผู้โตหลงยิ่งขึ้นไปอีก ลงมันจะหลงอำนาจทำอย่างไรๆ มันก็หลง”

“มีอยู่ทางเดียว คือไม่ให้ใครมีอำนาจ หาทางที่จะทำให้อำนาจแยกๆ กันเสีย อย่างที่เขาทำกันในระบอบประชาธิปไตยหรืออะไรอย่างนั้น แม้กระนั้นถ้าคนจะหาวิธีกุมอำนาจ ก็ยังกุมกันได้ เช่นคุมเสียงเลือกตั้งด้วยปืน หรือด้วยฝีมือนักเลง หรือด้วยเงิน อย่างในเมืองเล็กๆ ในอเมริกาก็ยังทำกันอยู่”

“ฟังๆ ดูแล้ว รู้สึกว่าคุณเกรินไม่ค่อยเชื่อน้ำมือหรือน้ำใจหรือน้ำอะไรของมนุษย์เลยนะ”

“มันต้องช่วยกันรั้งๆ ไว้ ไอ้มนุษย์นี่ แต่คนมีอำนาจไม่ค่อยมีใครช่วยรั้ง เพราะไม่ค่อยมีคนรักจริง มีแต่คนจะเอาประโยชน์”

“ก็ทำไมเราไม่รักเพื่อนเรา ไปช่วงรั้งๆ เขาไว้ละ” ญาติหญิงตั้งปัญหา

“ก็คิดว่าจะทำเท่าที่จะทำได้ แต่ว่า เมื่อกี้พูดถึงท่านผู้หญิงอยู่ เมื่อไหร่เธอจะไปหาเขาได้ นั่นก็ต้องการความช่วยเหลือจากคนที่รักจริงเหมือนกัน”

“ดูมันจะเข้าแบบหนูช่วยราชสีห์นะ คุณเกริน” คุณแจ๋วปรารภ “แต่แจ๋วก็ตั้งใจจะไปหาเขาให้ได้เหมือนกัน ทีนี้อยากรู้เรื่องตาฤทธิ์ คุณเกรินลืมเรื่องที่พูดกันคราวก่อนได้หรือเปล่า มีโอกาสได้สังเกตว่าเป็นคนยังไง”

“เออ จะมาเล่าเรื่องนี้เหมือนกัน แล้วถูกเธอทำเขว” เกรินพูดสัพยอกอีกครั้งหนึ่ง “ไม่ได้พูดอะไรกับตาฤทธิ์ แต่ดูทีท่ามันออกจะยโส พ่อเขามีท่าทางอย่างนี้เมื่อหนุ่มๆเหมือนกัน เขาไม่ชอบลงใคร เขาไม่ชอบเจ้านาย ไม่ชอบขุนนางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่สมัยนั้นสำหรับนายทหารผู้น้อย เราดูว่าเป็นคุณสมบัติ คือเห็นเป็นคนที่จะไม่ประจบสอพลอ แต่มาถึงตาฤทธิ์ แกเป็นลูกนายวิทูร แต่มันก็สีเสน่ห์ไม่แพ้พ่อเวลาจะทำน่ารัก มันก็น่ารักไม่น้อยทีเดียวละ เช่นเวลาพูดจาเอาใจแม่ และทำสุภาพกับเรา แต่เห็นได้ว่าเป็นคนไม่เอาใจผู้ใหญ่ กินข้าวอิ่มยังไม่ทันไรก็รีบหาโอกาสไปโทรศัพท์ แล้วประเดี๋ยวก็มาบอกขอตัวอย่างไม่ค่อยจะมีเหตุผลนัก แล้วก็ไป ฉันพิศดูหน้าแม่ รู้สึกว่าไม่ชอบใจแล้วยังพูดออกมาว่า เป็นห่วงลูกคนนี้ อยากให้ได้เพื่อนดีๆ ที่เขาจะเตือนสติ ฟังท่านผู้หญิงก็เหมือนฟังแม่ฟังเมียทั้งหลายในโลกนี้ ก็เป็นห่วงสามี เป็นห่วงลูก ไม่มีอะไรจะแปลกประหลาด ที่เปลี่ยนไปก็มีแต่สิ่งแวดล้อม ที่แปลกใจเราอยู่หน่อยก็คือ คนรับใช้ ทำไมดูมันรู้จักระเบียบแบบแผนราวกับคนในบ้านขุนนางแต่เก่าก่อน แต่ไอ้ที่เราจ้างมาทำไมมันหัดไม่ได้เลย พอพยายามจะหัด มันก็เลยลา หาว่าเราจู้จี้บ้าง อะไรบ้าง ใครเป็นคนคอยหัดพวกนี้ให้เขา”

“แจ๋วว่าเห็นจะพอเดาได้” คุณแจ๋วทำฉลาด “เขาคงมีชนิดคุณหญิงศิริมา พี่แป๋วของเราน่ะ เขาเปรียบเหมือนจางวางมหาดเล็กของท่านผู้หญิงคนใหญ่ เขาไปอยู่ที่บ้านนั้นแล้วก็คอยทำท่าทางให้คนใช้ในบ้านนั้นดู คอยตักเตือนสั่งสอน แต่ว่าก็มีเคล็ดสำคัญคือจ้างแพง และมือะไรให้บ่อยๆ เสื้อผ้าแพรพรรณ อาหารการกินสมบูรณ์ขนาดมีโทรทัศน์ให้เครื่องหนึ่งสำหรับคนใช้”

คุณเกรินพยักหน้า “แล้วกับท่านผู้หญิงคนรองนี่ คุณแป๋วของเราเข้าไปช่วยเหลือไหม”

คุณแจ๋วส่ายหน้า “ม่าย พี่แป๋วทนไม่ได้เลย คนที่เคยรู้จักมาที่อยู่ในฐานะต่ำกว่า มากลายเป็นฐานะสูงกว่า พี่แป๋วต้องเอาไว้ในที่เดิม อย่างเด็กๆ ที่บ้านเรา ที่คุณพ่อให้เรียนหนังสือ เขาได้ปริญญากัน แล้วเป็นนายทหารก็หลายคน อย่างนี้พี่แป๋วทนไม่ได้ ถ้าคนไม่รู้จักมาแต่ก่อนเลยถึงจะทนได้ เช่นท่านรองวิทูรนี่ พี่แป๋วไม่ชอบ และคุณประพัฒน์ก็ไม่เข้าหา เคยได้ยินจากที่แป๋ว และได้ยินจากคุณประพัฒน์เองเวลาเผลอตัว เขาบอกว่าท่านคนใหญ่กับท่านวิทูรเริ่มจะแข่งกัน คุณเกรินไม่ได้ยินจากพวกทหารหรือข้าราชการบ้างรึ”

“ขนาดเราระวังตัวไม่พูดไม่จาให้ใครรู้ ดูเหมือนในกองทัพออกจะรู้กันทั่วไปว่าเราเคยเป็นเพื่อนกับวิทูร” คุณเกรินว่า “แล้วเขาก็ต่างคนต่างระวังไม่หลุดปากเรื่องพรรณอย่างนี้ด้วยกันทุกคน แม้กระนั้นก็เห็นจะต้องเชื่อว่าคนทั่วๆ ไปต่างก็คาดหรือหวัง ให้สองคนนี้แข่งกัน แทนที่จะล่มหัวจมท้ายด้วยกัน ก็ตามธรรมดาของความมีอำนาจอีกน่ะแหละคุณแจ๋ว เพราะว่าคนมีอำนาจแตกกัน มันต้องอาศัยลูกน้อง ต้องเอาใจคนตัวเล็กๆ แต่ถ้ารวมใจกันก็มีกำลังอยู่ในตัว อาจเข้มงวดกวดขันกับลูกน้องได้ ถึงไม่แข่งกัน คนมันก็ทำให้ดูแข่งกัน จนไม่ช้าก็เป็นไปจริงๆ เว้นเสียแต่ว่า มีสติดี กุมสติต่างโล่ป้อง ละก็พอรอดตัว แตไอ้ตัวสตินี่มันเหมือนฝรั่งเขาเรียก willo’ the wisp ไทยเราเรียกว่าผีอะไร ฉันนึกไม่ออก ที่มันทำวับๆ แวมๆ แล้วพอเข้าใกล้ก็หายไป จับมันได้แล้วต้องคุมให้ดี เผลอแพล็บเดียวมันไปเลย”

“นี่ทำไมไม่ไปอภิปรายทางโทรทัศน์หรือทางวิทยุพรรณนาธรรมชาติของอำนาจ หรือของผู้มีอำนาจหรืออะไรบ้าง แจ๋วฟังคุณเกรินแล้วเลยภาวนาขออย่าให้คุณเกรินเป็นผู้มีอำนาจขึ้นมา”

“ฮึ เราก็มีพอใช้นะ อย่าทำประมาท” ญาติของคุณแจ๋วทำเสียงเหมือนโกรธ แต่นัยน์ตายิ้ม “เออ จะเป็นเรื่องอำนาจหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยังคับกำลังแล้ว มากลายเป็นครูอาจารย์ และติดต่อฝรั่งมังค่า เกิดอะไรกันจะช่วยใครหรือยกกำลังไปขัดใครก็ไม่ได้ เอ ที่เราถูกย้ายเข้ากรุงเทพฯ นี่ เป็นเพราะอะไรก็ชักไม่แน่ยิ่งขึ้นไปอีกเสียแล้ว”

“เป็นอันว่าดีก็แล้วกัน แจ๋วจะได้พบหน้าบ้าง” คุณแจ๋วตัดสิน “เออ แล้วเรื่องที่มาเล่านั้นละ ไปได้แค่ไหน”

เกรินกำลังยกถ้วยกาแฟซึ่งเจ้าของบ้านชงให้ระหว่างที่คุยกันไปมาขึ้นดื่ม พอได้ยินคำถามนี้ เขาวางถ้วยลงเหมือนกับว่าไปกระทบประสาท เขานิ่งไปหลายอึดใจ แล้วจึงตอบ

“นี่คุณแจ๋ว คนเรานี่มันแปลกนา ฉันมาหาคุณแจ๋วคืนนี้ ก็บอกว่าอยากมาเล่าเรื่องท่านผู้หญิง แต่แท้ที่จริงคงอยากเล่าเรื่องที่คุณแจ๋วถามนี่ ซึ่งฉันพยายามบังคับตัวให้เก็บไว้เป็นความลับเฉพาะคนเดียว แต่ภายในลึกลงไปก็อยากเล่าให้ใครฟังสักคน และคนที่ฉันจะพอไว้ใจได้ก็เห็นจะมีคุณแจ๋วคนเดียว แต่ฉันก็ไม่แน่ใจ คุณแจ๋วไม่รู้อะไรเห็นจะดีกว่ารู้นา”

“ลงถ้าได้ปล่อยออกมาถึงแค่นี้แล้ว จะมาหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองอย่างโน้นอย่างนี้น่ะไม่มีประโยชน์หรอก คุณเกริน” คุณแจ๋วพูด น้ำเสียงเรียบจนเกรินแปลกใจ “คุณเกรินอยากเล่า แต่อยากให้เป็นว่าแจ๋วขอให้เล่าใช่ไหม เอาล่ะ แจ๋วขอให้เล่า เล่าไป”

“อย่างนี้แหละต้องอยู่คนเดียวจนตาย ใครเขาจะแต่งงานด้วย รู้เท่าเสียหมด” เกรินพูดความจริงออกมาโดยไม่รู้ตัว แล้วนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง แล้วจึงพูด “คุณแจ๋ว ฉันถูกขอร้องให้ยิงวิทูรอีกแล้ว แต่คนละคนกับคนก่อน คราวนี้คนใกล้ๆ ทีแรกฉันนึกว่าพูดเล่น แต่พอถึงครั้งสุดท้ายที่พบกัน แต่ยังทำเป็นพูดเล่น นี่ก็ธรรมเนียมอีก การชวนกันให้ทำงานชนิดนี้ เขาจะต้องและเลียมกันให้ดี”

“คนใกล้นี่ใคร บอกมาเถอะ คุณเกริน แจ๋วเก็บความลับได้ ถ้าจะขอพิสูจน์ก็ได้ แจ๋วมีความลับของคนอยู่เป็นเวลายี่สิบกว่าปี จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ให้ใครรู้”

“อือ แปลว่าจะแลกความลับกันหรือ ก็ไม่เป็นความลับน่ะซี” เกรินว่า

“ก็แล้วแต่คุณเกรินเถอะ ถ้าไว้ใจก็เล่าไป ไม่ต้องห่วงเรื่องภัยอันตรายสำหรับแจ๋ว แจ๋วรักษาตัวได้ ไม่เชื่อก็ต้องคอยดู”

“ก็เห็นจะเชื่อได้ทั้งความสามารถที่จะเก็บความลับ และความสามารถที่จะรักษาตัว” เกรินพูดเสียงเนิบๆ “ฉันก็อยากเล่า อกมันจะแตก” เขานิ่งไปอีก ญาติของเขาก็นิ่งคอย ไม่รบเร้า จนเกรินตัดสินใจได้แน่แล้ว เขาพูดช้าๆ “คุณแจ๋ว คนที่ชักชวนให้ฉันยิงวิทูรคราวนี้ คือ พี่อ้น”

คุณแจ๋วอ้าปาก นัยน์ตาที่ค่อนข้างโตของคุณแจ๋วดูเหมือนจะโตขึ้นอีก และมีแสงวาวด้วยความตกใจ “คุณเกริน ทำไมคุณเกรินถึงว่ายังงั้น”

“พี่อ้นไปหาถึงบ้านหลายหน พบบ้างไม่พบบ้าง” เกรินเล่า “ทีแรกฉันก็ว่าพี่อ้นคงเหงา อย่างที่คุณแจ๋วเล่าว่าทำอะไรก็ไม่เจริญ ต้องอยู่เฉยๆ แต่สองครั้งหลังทีท่าพี่อ้นไม่ใช่คนอยู่ลอย ๆ ดูเหมือนจะมีพวกพ้องร่วมใจกัน ฉันจะไม่ออกชื่อใครมากไปกว่านี้ เพราะเท่าที่เล่านี่ก็ไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ฉันมีหวังว่าคุณแจ๋วคงจะหาโอกาสเตือนพี่อ้น ฉันก็ยังไม่รู้หนักเบา เพราะไม่กล้าซัก ยังอยากปล่อยให้เรื่องลอยๆ อยู่ก่อน แต่ว่า เพื่อความปลอดภัยของพี่อ้น จะต้องมีคนเตือนให้เลิกเสีย”

“เอ นายวิทูรนี่มีคนปองร้ายแกหลายพวกหรือพวกเดียวกัน” คุณแจ๋วตั้งคำถาม

“ฉันว่าพวกเดียวกันกับพวกก่อน แต่จะไม่เล่ารายละเอียดละ” เกรินตอบ “แต่ที่อยากให้พี่อ้นเลิกน่ะ เพราะรู้สึกว่าพี่อ้นจะไม่ใช่ชนิดเดียวกับที่ฉันได้ยินมา พี่อ้นออกจะมีความคิดเป็นอุดมคติ ว่าอยากปราบคนที่ทรยศต่อชาติ คนที่ทำให้มีคอรัปชั่น กดขี่คนจนซึ่งไอ้คนที่มันมาชวนฉันคนก่อนๆ มันเป็นพวกเกลียดนายวิทูรแท้ๆ คนสองชนิดนี่จะทำงานร่วมกันไม่ได้ ไอ้คนมีอุดมคติจะต้องตายก่อน และก็จะตายคนเดียว บางทีคนอื่นเขายังไม่ถูกจับ ตัวถูกจับไปคนเดียว คนที่มีอุดมคติ ควรทำตามอุดมคติจริงๆ คือเมื่อมีศีลธรรม ก็ต้องรักษาทั้งศีลทั้งธรรมเอาไว้ การที่จะไปเที่ยวฆ่าแกงใคร เพราะเห็นแก่ความรักชาติ มันเป็นความวิกลจริต เรารักชาติ เราจะฆ่าคนนี่ไม่ได้”

“ก็เราเห็นว่ามันขายชาติ เราก็กำจัดมัน เราเสียสละชีวิตเราให้ชาติไง คุณเกริน อย่างนี้ไม่ได้เหลอ”

“คือถ้าเราเป็นคนจิตใจค่อนไปข้างบ้าอะไรอย่างนั้นก็คงได้ แต่มันไม่ขบปัญหาของชาติหรอก คุณแจ๋ว เพราะว่าคนที่มีอำนาจ เขาต้องมีพวก เขามีพวกสนับสนุนให้เขาเป็นอย่างนี้ เขาถึงเป็นอยู่ได้ เราจะไปฆ่าคนคนเดียว มันก็จะเกิดคนใหม่ขึ้นมา ถ้าเรามีอำนาจ ฆ่าคนอื่นเสียแย่งอำนาจกัน แล้วเราก็ปกครองบ้านเมืองโดยใช้อำนาจที่เรามี แต่เราใช้อย่างดี อย่างนี้อาจพอไปได้ อย่างที่ในประวัติศาสตร์ก็มีตัวอย่างมากมาย แต่อยู่ๆ เราตัวคนเดียว เป็นสุภาพบุรุษอนธกาล มองเห็นความไม่ดีต่างๆ ของบ้านเมือง เราก็เจาะจงไปว่าไม่ดีเพราะเจ้าคนนี้คนเดียว มันไม่ใช่ยังงั้น คนมันเลวไปคนเดียวไม่ได้ ดีไปคนเดียวก็ไม่ได้ เราเป็นคนมีศีลธรรม แล้วเราจะไปใช้วิธีการของฆาตกร มันไปกันไม่ได้ คุณแจ๋วเข้าใจไหม”

คุณแจ๋วถอนใจยาว “น่าสงสารพี่อ้น เอ ไปได้ใครเป็นลูกยุนะ คุณเกรินว่าถ้าแจ๋วห้าม พี่อ้นจะเชื่อเหลอ”

“ก็ต้องมีใครห้ามสักคน เมื่อไม่เชื่อ ก็เป็นเวรเป็นกรรมของใครต่อใครเองก็ไม่รู้” เกรินพูดเสียงค่อนไปข้างจะรำพัน “เราอยู่หัวเมือง เราเห็นว่ามันมีคนเลวทำอะไรให้บ้านเมืองเสียกันอยู่มาก ครั้นมาเข้ากรุงฟังๆ ดู ออกจะเป็นว่า ศูนย์กลางของความเลวร้ายอยู่ที่เพื่อนเรา เราจะเชื่อทันทีก็เชื่อไม่ได้ ทำไมคนถึงไม่อยากฆ่าท่านคนใหญ่กันบ้าง หรือเขาก็คิดกัน แต่เราไม่รู้ หรือเขามาสอบดูเราจะเป็นพวกใคร ในขณะนี้เรายังไม่แน่ใจทั้งนั้น มีแน่ใจก็อย่างที่ว่าคือ พี่อ้นไม่ควรจะไปยุ่งกับเขา เป็นคนละชนิดกัน”

“คงไอ้ความกลุ้มใจที่ทำอะไรไม่สำเร็จ แล้วก็เหงา เมียก็อย่างที่รู้กันมานานแล้ว พี่น้องก็ไม่เอาธุระ เอ แจ๋วเห็นจะต้องให้เวลาแก่พี่อ้นบ้าง เราก็มัวแต่ทำมาหากิน” แจ๋วปรารภดังๆ บ้าง “มีเท่านั้นเรอะ ควรจะเล่าอะไรไห้ฟังอีกไหม”

เกรินนิ่งตรองไปอีกประเดี๋ยวหนึ่ง “คุณแจ๋วจะพูดกับพี่อ้นละก็ อย่าไปห้ามให้เด็ดขาดนะ พูดปรามๆ ว่า อย่าไปเสียรู้ใคร อย่าให้ใครเขารู้ว่าเราเป็นพวกใคร คือ ฉันอยากให้พี่อ้นไปหาฉันอีก พี่อ้นพูดอะไรอึกๆ อักๆ ที่ฉันอยากเข้าใจ แล้วฉันก็ได้เตือนไปบ้างแล้วเหมือนกันว่าอย่าไปหลงว่าใครเขาเป็นสุภาพบุรุษอังกฤษศตวรรษที่สิบเก้าเหมือนพี่อ้น ควรจะระลึกว่ามันจวนจะกึ่งพระศาสนาใกล้กลียุคมากกว่า” เขาหยุดไปอีกแล้วพูดขึ้นใหม่ว่า “ตายนี่ดึกแค่ไหนแล้วไม่รู้ เห็นจะต้องลาละ แล้วจะมาส่งข่าวอีก ที่จริงคราวนี้อยากฟังข่าวพี่น้อง เลยไม่มีเวลาถามถึงใคร”

“อย่าหายไปนานนักนะ คุณเกริน” ญาติหญิงกำชับ “มีเรื่องจะเล่า เรื่องพี่จำลองก็ยังไม่ได้เล่า มีการให้ภรรยาเข้าหาท่านผู้หญิง จะให้ช่วยเรื่องจะซื้อที่คืนแน่ะ”

เกรินลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปถึงประตู จับลูกบิดจะเปิดออกอยู่แล้ว เขาหยุดครู่หนึ่งและว่า

“เรื่องที่ ถ้าอยากช่วยพี่จำลอง พูดกับตาเฌอดีกว่า อย่าไปกวนท่านผู้หญิงเลย ฉันมีความรู้สึกว่าท่านผู้หญิงเป็นคนที่เราจะต้องช่วยเหลือมากกว่าเขาจะช่วยเหลือเรา คุณแจ๋วไปหาเขาเร็วๆ นะ เดี๋ยวเขาจะน้อยใจว่าฉันไม่ได้บอก”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ