บทที่ ๑
ฉอ้อน ศิลปชาญ วรุตมภาพ หรือนับตั้งแต่สามชั่วโมงมานี้ ท่านผู้หญิงฉอ้อน วิทูรเทพศาสตร์ หยิบสร้อยคอจากหีบกำมะหยี่สีแดงเข้มด้วยมือขวาเอาวางกลางมือซ้าย พิจารณาอาภรณ์ชิ้นนั้นอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก่อนที่จะยกขึ้นทาบหน้าอก แล้วเขยิบขึ้นใกล้กับคออันขาวกลม ญาติหรือมิตรคนหนึ่งในห้องแต่งตัวของท่านผู้หญิง รีบเข้ามารับเอาสร้อยคอ ไปสอดสปริงไว้ด้วยกันให้แน่นหนา แล้วท่านผู้หญิงก็มองฉายาของตนเองในเงากระจก
สร้อยคอนั้นเป็นสร้อยชนิดสามสายควบ สายบนสุดสั้นกว่าสองสายล่าง สายนี้ประกอบด้วยทับทิมขนาดประมาณเม็ดถั่วทอง เม็ดกลางใหญ่ที่สุดแล้วเม็ดต่อๆ ไปค่อยๆ มีขนาดเล็กลงไปทางปลายสาย มีเพชรทั้งลูกขนาดเมล็ดถั่วเขียวคั่น สายกลางยาวกว่าสายบนเล็กน้อย ประกอบด้วยเพชรทั้งลูกน้ำแวววับมีขนาดโตกว่าทับทิมของสายบน เรียงสลับด้วยทับทิมซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเพชรได้สัดส่วนทำให้ดูงาม ส่วนสายล่างยาวที่สุด ประกอบด้วยทับทิมเรียงกันขนาดใหญ่เล็กไล่กันจากตอนกลางไปสู่ปลายสายสร้อยเช่นเดียวกับเส้นบนทั้งสองสาย ทับทิมเม็ดกลางมีขนาดเทียบได้กับเล็บหัวแม่มือของผู้สวม และเม็ดต่อๆ ไปมีขนาดเล็กลงเป็นเถากันไป มีเพชรลูกขนาดเท่ากับเล็บนิ้วก้อยคั่นทับทิมเม็ดใหญ่และทับทิมอันแดงสดทั้งสามสาย มีลวดลายใบไม้ก้านไม้ฝังเพชรไข่กุ้งโยงสร้อยสามสายไว้ด้วยกัน ทำให้สร้อยคอของท่านผู้หญิงเป็นศิลปกรรมที่มีคุณค่า นอกเหนือขึ้นไปจากที่เป็นอาภรณ์มีราคา เมื่อสร้อยคอนั้นสวมอยู่เรียบร้อยและทิ้งตัวบนทรวงอกตอนบนและต่ำจากคอของผู้สวมได้ระยะกันดีแล้ว ก็มีเสียงสตรีประมาณสามสี่เสียงเปล่งเป็นวาจาพร้อมกันว่า “ส ว ย” ด้วยเสียงลากยาวเต็มไปด้วยความรู้สึกนานา ความชื่นชมระคนกับความอิจฉา ความอิจฉาระคนกับความเกรงกลัว ความเกรงกลัวและความประจบ ความประจบและความชื่นชม
ฉอ้อน หรือท่านผู้หญิงฉอ้อนมองดูเงาของตนเองในกระจกอีกครั้งหนึ่ง หล่อนเห็นร่างของหล่อนเต็มตัว เป็นร่างค่อนข้างเล็ก สัดส่วนยังอยู่ในเกณฑ์ดีสำหรับวัยหล่อนเป็นคนโชคดีจริงๆ ในเรื่องนี้ ผิวของหล่อนไม่ถึงกับขาว แต่ละเอียด รูปหน้าและเครื่องหน้าอยู่ในเกณฑ์สวย ตลอดชีวิตของหล่อน หล่อนได้รับคำชมว่าเป็นผู้หญิงสวย แม้ก่อนที่สามีจะมีตำแหน่งในราชการ จนคำว่า “สวย” เป็นคำที่คนกล่าวเพื่อประจบเอาใจเขา
ฉอ้อนอยากคิดอะไรอีกหลายเรื่องอยู่ที่หน้ากระจกนั้น แต่ไม่มีเวลา “ท่าน” หรือ ท่านรอง คือสามีของหล่อนคอยอยู่ข้างล่างแล้ว หล่อนมองดูตนเองอีกเล็กน้อย ผ้านุ่งยกทองสีชมพู และเสื้อแขนจรดข้อศอกสีเดียวกัน ซึ่งเป็นแบบที่หล่อนชอบด้วยใจจริงของหล่อนเอง ถึงแม้จะไม่ใช่แบบนำสมัย ขับผิวของหล่อนให้ดูชมพูเรื่อๆ เข้ากับสีของเสื้อผ้า หล่อนหยิบแหวนทับทิมสวมนิ้วกลางข้างขวา และมองดูแหวนเพชรเม็ดเดียวที่สวมเป็นประจำอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้าย มองดูนาฬิกาประดับเพชรที่ข้อมือซ้าย ขยับมือดูว่าแหวนและนาฬิกาอยู่กับที่เหมาะ แล้วก็มีคนเข้ามาหยิบกระเป๋าถือสีชมพู ปักลูกปัดทองและแก้วมีแสงระยิบระยับ และผ้าห่มยกทองสีเดียวกันไปถือไว้ เตรียมพร้อมที่จะตามหล่อนลงไปข้างล่าง แต่ฉอ้อนยังไม่อยากไปจากกระจกนั้น หล่อนยังเหลือบดูรองเท้าสีชมพูซึ่งแนบเท้าขนาดเล็กของหล่อนอีกหน่อย การนุ่งกรอมเท้าตกมสมัยนิยมในขณะนั้นทำให้หล่อนมองดูสูงขึ้น แต่ไม่มีโอกาสอวดขาอันเรียวได้ส่วน และทำให้ดูเป็นคนอยู่ในวัยสูงไปเล็กน้อย แต่แล้วหล่อนก็ผละออกจากกระจก เดินออกจากห้องแต่งตัว ลงบันไดไปชั้นล่าง ติดตามด้วยสตรีที่เป็นลูกคนหนึ่ง น้องคนหนึ่ง และมิตรอีกสองหรือสามคน ซึ่งฉอ้อนยังไม่เข้าใจว่า เขาเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในห้องแต่งกายส่วนตัวของหล่อนได้อย่างไรและเพื่ออะไร
ฉอ้อนลงมาถึงบันไดขั้นล่างสุด นอกห้องรับแขกใหญ่ด้านหน้าบ้านซึ่งไม่ใช่ของหล่อนโดยกรรมสิทธิ์ แต่เป็นบ้านสำหรับตำแหน่งสามีของหล่อน เขาเห็นหล่อนลงมาแล้ว เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ในห้อง เขาออกปากชมหล่อน “ส ว ย” พร้อมกับเสียงคนอื่นๆ ประสานกับเสียงของเขา เปรียบได้กับเสียงระนาดเอกและคนอื่นๆ ในห้องนั้นเป็นนักดนตรีร่วมวงดีดสีตีเป่า หล่อนยิ้มรับยิ้มของเขา วันนี้ ยิ้มของเขาให้ความมั่นใจแก่หล่อน หล่อนแน่ใจว่าในค่ำวันนี้ เขาพอใจในรูปลักษณะของหล่อนโดยจริงใจ
หล่อนเดินเข้าไปในห้องรับแขก เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าเก้าอี้ตัวหนึ่ง พอเขาเห็นหล่อนเดินเข้ามาใกล้ เขาก็ยกมือไหว้หล่อนและกล่าวว่า “ผมมาแสดงความยินดีที่พี่ได้รับสายสะพาย” เขาอ้ำอึ้งอยู่นิดหน่อย มีหล่อนคนเดียวรู้ว่าเขาอ้ำอึ้ง เพราะเขาหยุดไปขณะเดียวแล้วเขาก็ต่อ “เป็น เป็นท่านผู้หญิง”
“พี่ก็ขอบใจเฌอมาก” ท่านผู้หญิงฉอ้อนตอบ พลางในใจก็คิดว่าสำหรับเฌอ สำหรับน้องชายคนเดียวของหล่อน น้องชายที่รักของหล่อน หล่อนต้องการให้วันนี้เป็นวันสำคัญ เป็นวันที่เขาควรภาคภูมิใจได้ หล่อนจ้องตาเขาและยิ้มให้เขาเห็นว่าหล่อนมีความปลาบปลื้มในเกียรติยศของหล่อนในวันนี้
เขามองตาหล่อนด้วยสีหน้าสงบ แล้วน้องสาวของหล่อน ชะเอม เอ่ยขึ้น “พี่สวยเหลือเกินใช่ไหมวันนี้ ชมให้พี่ชื่นใจซิ ใครๆ ชมพี่ก็ไม่ชื่นใจเหมือนที่เฌอชม”
ฉอ้อนมองดูหน้าน้องชายอย่างมีความหมายอย่างขอร้อง “ก็ท่านชมมิดีกว่าพี่ชมรึ” เขาพูดแกพี่สาวของเขา “แต่ว่า สวยจริงๆ วันนี้ สวยทุกอย่าง” พูดจบสายตาของผู้พูดก็ไปจับที่สร้อยคอทับทิมบนทรวงของพี่สาว
“สวยจริงๆ สวยอย่างสาวรุ่นๆ ทำอะไรไม่ได้” ผู้พูดเป็นน้องเขยของหล่อน สามีของชะเอม เขาเป็นข้าราชการตำแหน่งรองอธิบดี เขาแต่งกายสำหรับราตรีสโมสร พร้อมที่จะไปร่วมในงานที่ท่านผู้หญิงและท่านสามีของท่านจะไป ฉอ้อนรู้ว่าน้องเขยพูดเพื่อเอาใจหล่อนแต่ก็อดยินดีไม่ได้ แต่น้องเขยคงจะนึกขึ้นมาได้ว่าภรรยาของเขาก็คงรอคำชมอยู่ จึงหันไปมองหน้าน้องชายของท่านผู้หญิงอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก พลางปากก็กล่าวว่า “ของผมก็ไม่แพ้กันมากนักหรอกนะ”
ฉอ้อนหันไปยิ้มกับน้องสาว “พูดความจริงก็ได้ค่ะคุณเสริม” หล่อนว่าแก่น้องเขย “ชะเอมเป็นน้องคนสวยของเรา ใครๆ ก็รู้”
ทันใดนั้น หล่อนก็รู้สึกว่ามีมือแข็งแรงมาจับที่ต้นแขนหล่อนอย่างไม่หนักไม่เบา ไม่ทำให้หล่อนเจ็บแต่ว่าหล่อนไม่มีทางที่จะบิดเบี่ยงได้ มือนั้นคือมือของสามีหล่อน หล่อนหันไปดูเขา ดีใจที่เห็นหน้าเขายังยิ้ม
“เอ้า ชมเชยกันพอแล้ว ไปเถอะ” เขาว่าแก่หล่อน เขาฉุดแขนหล่อนให้ตามเขาไป หล่อนก็ตามไปขึ้นรถด้วยความเต็มใจ
ใครคนหนึ่งในจำนวนบุรุษสตรีประมาณ ๑๐ คนที่ยืนอยู่ที่ลานหินหน้าตึกวิ่งไปเปิดประตูรถ สามีของหล่อนก็ขึ้นรถโดยไม่รอหล่อน มีใครอีกคนหนึ่งวิ่งไปเปิดประตูอีกข้างหนึ่ง ท่านผู้หญิงฉอ้อนจึงเดินอ้อมรถยนต์คันมหึมาประจำตำแหน่งสามี และขึ้นไปนั่งเคียงเขาบนที่นั่ง มีคนวิ่งมาปิดประตูรถทั้งสองข้างแล้วรถก็แล่นออกจากบ้านอันกว้างขวางโอ่อ่าสมกับยศอำนาจของบุรุษและสตรีภรรยาของเขา
เห็นสามีนั่งมองออกไปทางหน้าต่างรถด้านที่เขานั่ง ฉอ้อนก็ค่อยๆ เอามือเล็กๆ ของหล่อนยื่นไปจับต้นแขนของเขาอย่างละมุนละม่อม เขาหันหน้ามามองดูหล่อน ยิ้มและกล่าวว่า “วันนี้สวยจริงๆ” พูดจบเขาก็ยื่นมือมาลูบคลำสร้อยคอของหล่อน
“คนสวยหรือสร้อยคอสวยคะ” ฉอ้อนถามสามี เสียงของหล่อนเบาและเกือบจะเป็นเสียงเครือด้วยความสะเทือนอารมณ์
“คนสวยอยู่แล้ว สายสร้อยทำให้สวยขึ้น” เขาตอบ เขาเอามือลูบไล้แขนที่หล่อนผัดไว้ด้วยแป้งฝุ่นอย่างดี แล้วก็หันกลับไปมองออกไปนอกรถ ทำให้หล่อนเห็นส่วนหลังของเขามากกว่าด้านหน้า
หล่อนมองดูเขาพลางก็นึกชมร่างอันงามสง่าของเขา หล่อนอดนึกภูมิใจในร่างนั้นไม่ได้ “ในบรรดารัฐบุรุษเมืองไทย ไม่มีใครจะมีสง่าและมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเยเนอราลวิทูร” ชาวต่างประเทศหลายคนเคยบอกหล่อนนอกจากมีสง่าสมชายสมทหารแล้ว เขายังมีหน้าตาที่สวยเก๋ไม่สร่าง ยิ่งมีอายุมากขึ้น เขายิ่งน่าดู ผมของเขายังคงดกดำ อายุของเขาก็จวนจะเข้ากึ่งศตวรรษแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้คนอายุปูนเดียวกับเขาเสื่อมความน่าดูน่าชมลงไม่เกิดแก่เขาเลย เขามีแต่ความเจริญตามวัยเกิดขึ้น ความรู้กว้างขวางขึ้น ไหวพริบดีขึ้น รู้เท่าทันคนมากขึ้น
หล่อนมองดูเขาต่อไป ภาพชายงามในมัชฌิมวัยค่อยๆ เลือนหายไป ภาพของนายร้อยหนุ่มเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อนเข้ามาแทนที่ หล่อนได้พบเขาเป็นครั้งแรกที่บ้านของหล่อนเอง ในสภาพที่เขาจะจำอย่างชื่นชมหรือไม่หล่อนไม่เคยถามมานานแล้ว แต่สำหรับหล่อน มันไม่เคยเลือนรางไปเลย
หล่อนอยู่ที่บ้านเกิดของหล่อนที่จังหวัดเพชรบุรี บิดาของหล่อนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดนั้น และแผ่ไปอีกหลายจังหวัด ท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นหมื่นชำนาญศิลป์ ท่านเป็นนายวงปี่พาทย์ เป็นครูของนักดนตรีตลอดทั่วจังหวัดชายทะเลใกล้เคียง ใครจะมีงานมหรสพที่ไหน งานมงคลหรืองานทุกข์ ปี่พาทย์หมื่นชำนาญเป็นเครื่องแสดงว่า เจ้าภาพงานนั้นเป็นผู้มีฐานะอย่างไรในสังคมจังหวัดเหล่านั้น คุณพ่อช่วยงานที่ควรช่วย เรียกค่าจ้างแพงถ้าควรเรียก ในจังหวัดเพชรบุรีและที่ใกล้เคียง คนที่ไม่เคยได้ยินชื่อหมื่นชำนาญ มีแต่คนที่ในปัจจุบันนี้ย่อมนับว่าปัญญาอ่อนเท่านั้น
คุณพ่อมีบ้านอยู่ริมแม่น้ำทางใต้จากสะพานรถไฟลงไปประมาณสามคุ้งน้ำ แม่น้ำเพชรบุรีในฤดูฝน มีน้ำไหลท่วมท้นและใสสะอาด ในฤดูแล้ง น้ำในแม่น้ำก็ลดลงจนคนเดินท่องข้ามได้เป็นห้วงๆ คุณพ่อมีเรือนสองหลังเรือนเก่าหลังใหญ่เป็นเรือนกว้าง ในเวลาที่ฉอ้อนรำลึกถึงนี้ เรือนใหญ่เป็นที่เก็บเครื่องดนตรีและมีห้องนอนสำหรับตัวท่านกับศิษย์ของท่าน ซึ่งมักมีประจำอยู่กับบ้านไม่น้อยกว่าคราวละ ๕ คน มีห้องสำหรับเอาไว้โต๊ะบูชาพระ และพระพุทธรูปที่ท่านเสาะหามาได้ และเก็บไว้ชมไม่ใช่สำหรับบูชาโดยตรง และยังมีห้องสำหรับให้น้องชายของหล่อนนอนด้วย แต่คุณพ่อหาได้นอนที่เรือนใหญ่นั้นไม่ ท่านได้ปลูกเรือนอีกหลังหนึ่งเมื่อฉอ้อนเริ่มจะเป็นเด็กรุ่นสาว เป็นเรือนเตี้ยติดกับพื้นดิน ตัวเรือนประกอบด้วยพื้นที่ยกสูงขึ้นจากดินประมาณสองศอก แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนในกั้นฝาเป็นห้องนอนสำหรับหล่อนและน้องหญิง ด้านนอกเป็นห้องโถง คุณพ่อใช้เป็นที่นอนกับแม่ในเวลากลางคืน และเป็นที่นั่งเล่นในเวลากลางวัน ด้านที่ใกล้แม่น้ำลดพื้นลงจนเกือบติดกับดิน ปูกระดานสำหรับนั่งได้สบายติดต่อกับระเบียงเล็กๆ รายรอบที่ยกพื้นดังกล่าวมาแล้ว ระเบียงเล็กที่กล่าวนี้ไปสิ้นสุดอยู่ที่ครัวซึ่งปลูกที่ด้านหลังสุดของเรือนคือหลังห้องนอน มีชานปูกระดานแคบๆ คั่นระหว่างห้องครัวกับห้องนอนที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ที่ฉอ้อนจำได้แม่นยำกว่าสิ่งอื่นก็คือติดกับเรือนเล็กนี้มีแอ่งน้ำ ซึ่งอาจจะเป็นลำธารสั้นๆ หรือเป็นคลองที่ใครขุดเอาไว้ แอ่งน้ำนี้แยกตัวออกมาจากแม่น้ำยื่นเข้ามาในแผ่นดินประมาณ ๓-๔ วา หรือพูดอย่างสมัยใหม่ประมาณ ๘ เมตร คุณพ่อได้ทำตารางไม้ไปกั้นที่ปากคลองหรือแควนั้น สำหรับไม่ให้สิ่งปฏิกูลเช่นหมาเน่าหรือใบตองใบไม้ล่วงล้ำเข้ามาได้ น้ำในแอ่งนี้ใสอยู่ตลอดปี ถ้าเป็นฤดูน้ำก็เป็นที่ดำผุดดำว่ายของฉอ้อนและน้องๆ ถ้าเป็นฤดูแล้งน้ำก็ขอดลงว่ายไม่ได้ แต่ยังคงมีน้ำพอให้หล่อนและน้องๆ ตักน้ำรดผักซึ่งปลูกเป็นร่องๆ ไว้หลังบ้าน โดยไม่ต้องออกไปถึงแม่น้ำ สองข้างของแอ่งน้ำนั้นมีต้นจิกขึ้นอยู่ข้างละต้นตรงที่ใกล้ครัว ในฤดูฝนนอกจากแอ่งนั้นจะมีน้ำใสไม่สกปรก เป็นที่ว่ายเล่นอย่างสำราญใจ ยังมีดอกจิกย้อยเป็นพวงพู่ยาวจากกิ่งฉายเงาในน้ำใสให้ชมอีกด้วย สำหรับฉอ้อน แม้จะได้ติดตามสามีไปอยู่ ณ ค่ายทหารเกือบทั่วพระราชอาณาจักร ก็ยังไม่เคยพบว่ามีสถานที่ใดเป็นที่รื่นรมย์จับตาจับใจฉอ้อนเหมือนเรือนเล็กและแอ่งน้ำนั้น
ถ้าใครถามฉอ้อนว่าหล่อนเชื่อลางหรือนิมิตต่างๆ หรือไม่ หล่อนจะต้องตอบรับรองอย่างมั่นใจ ในคืนก่อนวันที่หล่อนจะพบนายร้อยตรีหนุ่ม วิทูร วรุตมภาพ ฉอ้อนฝันเห็นงูเลื้อยผ่านหน้าเตียงของหล่อนไป ในตอนแรกงูนั้นเป็นงูธรรมดา หล่อนจำไม่ได้แน่ว่าสีอะไร แต่ในตอนหลังงูนั้นเลื้อยขึ้นมาบนเตียง และได้เปลี่ยนรูปเปลี่ยนขนาดจากงูธรรมดาไปเป็นงูพันธุ์พิเศษ มีสีเหลืองเรืองรองแล้วกลับกลายเป็นสีแดง แล้วหล่อนก็ตกใจตื่น หล่อนไม่ได้เล่าฝันให้ใครฟังเลย เพราะในสมัยนั้นหญิงสาวที่มีการศึกษาพอสมควร คืออ่านออกเขียนได้ เข้าใจตีความนิมิตเช่นนั้นได้ทุกคน ฉอ้อนฝันแล้วก็จดจำไว้ คอยดูว่านิมิตนั้นจะนำหล่อนไปสู่สิ่งใด จะตรงกับที่หล่อนได้เคยได้ยินได้ฟังมาหรือไม่
ในเรื่องการศึกษา ฉอ้อนไม่ได้มีการศึกษาเยี่ยงเด็กผู้หญิงทั้งหลายในจังหวัดนั้น ฉอ้อนเป็นคนมีการศึกษาก้าวหน้ากว่าหญิงรุ่นเดียวกันอย่างเป็นที่สังเกต หล่อนเป็นนักเรียนในโรงเรียนของคณะมิชชั่นคริสเตียนและได้รับการสอนพิเศษจากอาจารย์ใหญ่ซึ่งเป็นหญิงอเมริกัน ทำให้หล่อนผู้ไฝ่ใจในการเล่าเรียนรู้ภาษาอังกฤษพอที่จะอ่านหนังสืออ่านเล่นที่โรงเรียนมีไว้ให้อ่านประมาณ ๑๐ เล่มนั้นได้โดยเข้าใจเรื่องอย่างถูกต้อง หล่อนสอบชั้น ๕ ได้ ถ้าจะเทียบกับชั้นมัธยม ๕ ในสมัยนี้ก็ฟังดูต่ำแต่ในสมัยนั้นในจังหวัดเพชรบุรี ไม่มีผู้หญิงกี่คนที่จะได้เรียนหนังสือจนจบมัธยม ๕ แต่ฉอ้อนเป็นคนสนใจการเรียนหล่อนจึงได้รับสิทธิและความช่วยเหลือพิเศษ เมื่อจบชั้น ๕ แล้วทางโรงเรียนอยากให้หล่อนเรียนให้จบมัธยมหก แต่ผู้ปกครองจะให้ออก ในเมื่อหล่อนมีความรู้สูงกว่านักเรียนหญิงอื่นๆ อีกมาก จึงถูกชักชวนให้เป็นครู หล่อนได้รับเงินเดือนอย่างน่าปลาบปลื้มซึ่งไม่มีใครใฝ่ฝันว่าหล่อนจะได้ คือเดือนละ ๑๕ บาท ยังได้รับอาหารกลางวันของโรงเรียนโดยไม่ถูกหักเงินรายได้ของหล่อนด้วย
ฉอ้อนเข้าใจและจำได้ตลอดชีวิตว่าใครบ้างเป็นผู้มีบุญคุณแก่หล่อน คุณพ่อเรียกว่าเป็นคนมีความรู้กว้างขวาง ได้เห็นโลกมากกว่าคนอื่น ท่านเคยไปกรุงเทพฯ ถึงสามครั้ง แต่ท่านก็ไม่ถึงกับมีความคิดไกลไปให้ฉอ้อนได้เล่าเรียนถึงเพียงนั้น การที่ฉอ้อนได้รับการศึกษาสูงในสมัยของหล่อน จนกระทั่งหล่อนสามารถรู้ทันคนที่หล่อนวิสาสะอยู่ด้วยในยามที่สามีฟูเฟื่อง ไม่ทำให้เขาต้องอืดอัดเหมือนภรรยาผู้มีอำนาจเทียมๆ เขากับอีกหลายคน คนที่สำคัญที่สุดคือบุคคลที่ฉอ้อนยังคงเรียกว่า “ท่าน” ในใจของหล่อน ทุกครั้งที่หล่อนได้ยินคนในบ้านก็ดี นอกบ้านก็ดี พูดถึงสามีของหล่อนว่า ท่าน ฉอ้อนยังคงคิดย้อนไปถึงเมื่อหล่อนยังเป็นเด็ก แล้วก้าวขึ้นเป็นสาวรุ่น “ท่าน” ของฉอ้อนนั้นไม่มีอะไรคล้ายคลึงกับ ท่าน ที่เป็นสามีของหล่อนเลย
“ท่าน” ของฉอ้อนเป็นผู้หญิง อายุของท่านไล่เลี่ยกับคุณพ่อ ฉอ้อนได้ยินท่านพูดบ่อยๆ “หมื่นชำนาญกับฉันคนรุ่นเดียวกัน” ท่านเป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งจังหวัดเพชรบุรี ท่านมีบ้านอยู่ริมแม่น้ำตอนเหนือตลาดแต่ท่านปลูกเรือนลึกเข้าไปจากริมฝั่งแม่น้ำ เรือนของท่านก็เหมือนเรือนของคนทั่วๆ ไปในจังหวัดเพชรบุรี คือเป็นเรือนไทย แต่ของท่านเป็นเรือนสองหลังใหญ่มีสะพานติดต่อกัน หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ของท่านและคนรับใช้ใกล้ชิดท่าน มีชานกว้างทางด้านแม่น้ำ อีกหลังหนึ่งเป็นที่อาศัยของญาติที่มาพึ่ง รับอาหารจากท่านและตอบแทนท่านโดยรับใช้เล็กๆ น้อยๆ เรือนนั้นใช้เก็บของด้วย หลังเรือนที่ท่านอยู่เองนั้น ยังมีสะพานต่อไปถึงเรียนเล็กอีกหลังหนึ่ง เรือนนี้มีครัวและที่อยู่ของคนทำครัว มีต้นไม้ใหญ่ๆ ขึ้นอยู่รอบๆ กลุ่มเรือน ต้มชมพู่มะเหมี่ยวแดงแทงทะลุพื้นขึ้นมาทำความร่มรื่นทางมุม ใต้ถุนบ้านท่านแปลกกว่าใต้ถุนบ้านอื่น คือโล่งว่าง มีเตียงตั้งสำหรับคนนั่งเล่นเป็นบางโอกาส ทุกครั้งที่ฉอ้อนไปหาท่านในเวลาบ่ายใต้ถุนนั้นจะต้องมีเปลเด็กไกวอยู่อย่างน้อยหนึ่งเปล ตามปกติก็สองหรือสามเปล เสียงคนกล่อมให้เด็กหลับเป็นเสียงเย็นรื่นหูในเวลาที่อาทิตย์กำลังส่องแสง และลมพัดใบไม้แกร่งกร่างครึกครื้นใจ ทุกครั้งที่ฉอ้อนได้ยินเสียงคนกล่อมเด็ก หล่อนจะต้องย้อนกลับไปเห็นเรือนที่ “ท่าน” อยู่ และแลเห็นภาพใต้ถุนอันเตียนรื่น และเกิดความชุ่มชื่นในใจเหมือนกับว่า หล่อนได้กลับไปเป็นเด็กสาวรุ่นอีกครั้งหนึ่ง
ฉอ้อนรู้จัก “ท่าน” เกือบสองปีจึงได้รู้ว่าท่านชื่ออะไร แต่หล่อนรู้ฐานะของท่านเมื่อได้พบท่านเป็นครั้งที่สาม ท่านเป็นพี่สาวของ “เจ้าคุณเทศาฯ” นอกจากนั้นท่านยังเคยเป็นนางใน เคยรับราชการเป็นเจ้าจอมแล้ว แต่ท่านนิยมความเป็นอยู่อย่างอิสระในต่างจังหวัด จึงกราบถวายบังคมลาออกมาอยู่บ้านเดิมของเจ้าคุณพ่อของท่าน “แปลกจริง” ฉอ้อนลองถามมารดาทั้งที่ไม่ค่อยหวังว่าจะได้รับคำตอบ “เจ้าจอมนี่ก็คือเมียของพระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่รึจ๊ะ ทำไมลาออกกันได้” และแม่ก็ตอบไม่ได้ แต่พ่อของหล่อนตอบแทนว่า “รัชกาลของท่านสิ้นแล้วนี่” แต่ทำไม “ท่าน” จึงไม่ใช้คำว่า เจ้าจอม นำหน้าชื่อท่านท่านบอกให้ใครๆ ที่ท่านรู้จัก ให้เรียกท่านว่า คุณกำยานเหมือนกับที่เขาเรียกน้องๆ ของท่าน คุณอบเชย คุณรำเพย แต่ก็ไม่มีใครในวงคนที่รู้จักคุ้นเคยกับฉอ้อนหรือคุณพ่อหรือแม่เรียกชื่อท่าน เขาพากันเรียกง่ายๆ เป็นที่เข้าใจกันในหมู่เขาเพียงสรรพนามคือ “ท่าน” ทั้งจังหวัดเพชรบุรีและราชบุรี
ท่านเป็นคนสนับสนุนให้คุณพ่อยอมให้ฉอ้อนเรียนหนังสือต่อไปๆ ชั้นหนึ่งแล้วก็อีกชั้นหนึ่ง และท่านยังเป็นผู้มีส่วนทำให้นายร้อยตรีวิทูร ไปพบหล่อนที่บ้านของหล่อน ในวันต่อจากที่หล่อนฝันเห็นงูนั้น
ทุกครั้งที่มโนภาพเกิดขึ้นแก่หล่อน ฉอ้อนยังรู้สึกอายจนตัวชา และหล่อนยังกลัวว่าหน้าหล่อนอาจแดงเรื่อขึ้นเพราะเลือดวิ่งขึ้นไป จึงมักต้องก้มหน้าลงเสียไม่ให้ใครเห็น แม้ใครเอ่ยถึงดอกจิก แล้วมีคนถามขึ้นว่า ดอกจิกเมืองไทยมีจริงหรือไม่ และหล่อนต้องชี้แจงว่ามีจริงและเป็นดอกไม้ที่สวยงามอย่างไร ฉอ้อนก็ยังรู้สึกสะท้านและยังเกิดความขวยเขินเหมือนที่หล่อนรู้สึกในวันนั้น
ก็จะไม่น่าอายอย่างไร หล่อนกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านประมาณบ่ายสี่โมง เมื่อหล่อนมาถึงบ้าน แดดลบ มีแสงอาทิตย์อ่อนๆ จากบ้านหล่อนมองเห็นยอดเขาวังได้ถนัด แสงแดดเริ่มจับยอดเขาดูเป็นรัศมีสีทองระเรื่อ ฉอ้อนรู้สึกร้อนเพราะว่าหล่อนต้องเดินมาระยะทางไกลพอใช้ จากปากทางถนนแล้วเลี้ยวเข้ามาตามทางเกวียนและข้ามทุ่งมาถึงบริเวณบ้านของหล่อน มองเห็นแสงอาทิตย์ส่องผ่านต้นจิกเป็นลำยาวร่มในแอ่งน้ำของหล่อน หล่อนไม่รอช้า ชักผ้าซิ่นขึ้นมากระโจมอก ดึงเสื้อออกจากตัวแล้วก็กระโจนโครมลงไปในน้ำ
เสียงแม่ร้องดังลั่น “ว้ายตาย ใครทำอะไร”
“ฉันเองจ้ะแม่” ฉอ้อนร้องบอกขึ้นไป “ฉันกระโจนน้ำเล่น”
มารดาโผล่หน้าออกมาจากประตูครัวหลังเรือนแลเห็นหล่อนกำลังว่ายน้ำเข้าไปใกล้ที่ท่านนั่งอยู่ก็บ่นว่า “อะไร้ ทำราวกับเด็กๆ เป็นสาวเป็นนางแล้วนะ แม่อ้อนนี่ละ เพราะท่านให้ท้ายอยู่เรื่อย”
ฉอ้อนว่ายน้ำห่างออกจากมารดา ยิ้มอย่างสนุก ฉอ้อนเป็นคนโปรดของ “ท่าน” ใครๆ ก็รู้หมดทั้งเมืองเพชร “หมื่นชำนาญเขามีบุญ เขาคงได้พึ่งลูกคนนี้แน่ ถึงจะไปเรียนหนังสือโรงเรียนฝรั่ง แต่กิริยาพาทีเขาน่ารักน่าชม อ่อนหวานเหมือนแม่เขาน่ะแหละ” คำชมเชยหล่อนในทำนองนี้มีคนได้ยินและนำมาเล่าให้คุณพ่อและแม่ฟังเสมอ ฉอ้อนเป็นเด็กอยู่ในความนิยมของผู้ใหญ่และของเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวกันทั้งบ้านทั้งเมือง
มัวแต่ชื่นชอบอยู่กับความคิดคำนึงเข้าข้างตัว ตายแล้ว เจ้าประคุณ นายทหารสองคนนี้มายืนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเห็นเราตั้งแต่ตอนไหน ตายแล้ว ฉอ้อนหันหนีเพื่อซ่อนความรู้สึกขวยเขิน และเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มเห็นหล่อนเป็นคน “กล้า” ด้วย
“กล้า” นั้นคือ “กล้า” อะไร ก็ต้องกล้าผู้ชายนั้นเอง ในสมัยเมื่อฉอ้อนเป็นสาวรุ่นว่ายน้ำอยู่ใต้ต้นจิกใครถูกเพื่อนเอ่ยว่า “กล้า” ผู้ชาย ก็เท่ากับถูกประจานว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่ควรปรารถนานั่นเอง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงกล้าผู้ชายจะไม่มีเลย ดูแต่สำรวยลูกนายศิริทนายความ เพื่อนรุ่นก่อนฉอ้อนสองชั้นซิ ใครๆ ก็นินทาว่าเขาเป็นผู้หญิงที่ไม่น่านิยม แต่สำรวยเดี๋ยวนี้เขาก็แต่งงานไปแล้วกับคุณจำลอง หลานของ “ท่าน” ลูกของน้องชายท่านคนที่เป็นผู้พิพากษาอยู่ที่เกาะหลัก คุณจำลองมาพักบ้านท่านเมื่อปีกลาย พอกลางปีนี้สำรวยก็หายไปจากบ้าน แต่แล้วทางเมืองเพชรก็ได้ข่าวว่าท่านได้จัดการให้น้องชายของท่านรับรองสำรวยเป็นลูกสะใภ้ เดี๋ยวนี้ใครไปกรุงเทพฯ กลับมาก็มาเล่าว่า สำรวยอยู่บ้านใหญ่ มีบริวารสักสามสิบคน ล้วนเป็นข้าเก่าตั้งแต่ครั้งเจ้าคุณปู่คุณจำลอง คนเหล่านั้นเมื่อพูดถึงสำรวยก็เรียกคุณสำรวย ทำให้ชาวเมืองเพชรคิดกลัวไม่อยากจะไปเยี่ยมเด็กร่วมบ้านเกิดเสียแล้ว ดูราวกับว่าเพื่อนๆ ของสำรวยที่เมืองเพชรนี้เป็นคนละอย่างกับสำรวยไป
ฉอ้อนว่ายน้ำไปมาทำเป็นไม่เห็นชายหนุ่มในเครื่องแบบสองนาย แต่ทำอยู่ไม่ได้นาน เพราะคนหนึ่งเดินเข้ามาถึงขอบแอ่งน้ำที่หล่อนว่ายอยู่แล้วก็พูดเสียงดังให้หล่อนได้ยิน
“นี่บ้านหมื่นชำนาญใช่ไหมจ๊ะ”
ฉอ้อนจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ทันใดหล่อนรู้สึกเหมือนมีสายฟ้ามาต้องตัวทำให้รู้สึกวาบหวิวและเสียวสะท้านไปทั้งตัว นัยน์ตาของเขาคนที่มายืนถามหล่อนนั้น ทั้งคมทั้งหวานดูจะมองทะลุหัวใจหล่อนเข้าไปได้ รูปร่างของเขาก็เป็นสง่า เครื่องแบบก็เรียบเป็นมัน นัยน์ตาของเขาจับอยู่ที่หล่อนไม่ถอนออกไปจากนัยน์ตาหล่อนเมื่อถามคำถามของเขาจบแล้ว
ฉอ้อนไม่ได้ตอบ เพราะเสียงมารดาตะโกนออกมาจากเรือน “ใครมา อ้อน เสียงใครพูด”
เขายังไม่ละไปจากที่ที่เขายืนอยู่ ใกล้ฝั่งน้ำที่หล่อนว่าย ใกล้จนเรียกได้ว่าชิดติดริมน้ำ เขาถามหล่อนซ้ำแทนที่จะเดินไปตามเสียงของแม่ที่ตะโกนมา
“ฉันมาจากบ้านท่านกำยาน” เขาบอก “ท่านให้มาหาหมื่นชำนาญ ไม่มีเรือก็เลยเดินมา จะหลงบ้านไปหรือเปล่าก็ไม่รู้”
แม่โผล่ออกมาทางหลังเรือน ยิ่งเป็นเสียงผู้ชายหนุ่มเช่นนั้น แม่จะรอคอยอยู่ในเรือนอย่างไรได้ แม่ถามนายทหารหนุ่ม
“คุณมาหาหมื่นชำนาญหรือคะ เชิญทางนี้ซิคะ”
เขาต้องละหล่อนไปแล้ว แต่เขายังคงชำเลืองมาดูหล่อนอีก เพื่อนของเขาที่ยืนอยู่ไกลที่เล่นน้ำของหล่อนออกไป ตอนนี้ก็เดินตามเขาเข้ามา ผ่านที่หล่อนเล่นน้ำอยู่ เขาผู้นี้มีโอกาสดูหล่อนได้นานและโดยสะดวกกว่าคนที่เข้ามาถามหล่อน แต่เขาชำเลืองดูหล่อนแว็บเดียว แล้วเขาทำประดุจว่าเขาเป็นพระภิกษุกลัวอาบัติ รีบเดินตามเพื่อนไปทางหน้าเรือน แล้วก็หายเงียบขึ้นไปบนเรือนนั้นทั้งสองคน
ฉอ้อนกำลังคิดถามตัวเองว่า จะรีบขึ้นจากน้ำเสียก่อนที่ชายหนุ่มหรือที่ในใจของหล่อนเรียกว่า “ผู้ชาย” เขาจะลงมาจากเรือนดี หรือว่าจะเล่นน้ำต่อไปตามใจสนุกของหล่อนดี ก็เห็นมารดาโผล่ออกจากด้านหลังเรือนมาเรียก
“แม่อ้อน ขึ้นจากน้ำเสียทีซิ แขกเหรื่อเขามาหาคุณพ่อ ทำเป็นเด็กๆ ไปได้”
ฉอ้อนจึงต้องรีบขึ้นจากน้ำอย่างว่องไว น่าเสียดายหลังบ้านของหล่อนนั้นเป็นทุ่งกว้าง มองดูเห็นดวงอาทิตย์กำลังใกล้จะลดถึงขอบฟ้า ฉอ้อนชอบดูอาทิตย์ตกยิ่งนัก แต่ไม่เป็นไร ยังอีกนานหรอกกว่าอาทิตย์จะลับดวง คงมีเวลาให้หล่อนกลับมานั่งดูเล่นได้ หล่อนขึ้นจากน้ำแล้วกระวีกระวาดขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย
ในปีที่ฉอ้อนได้พบเหตุการณ์ที่หล่อนรำลึกถึงนี้การแต่งกายของสตรีเริ่มจะเปลี่ยนจากการนุ่งผ้าซิ่น สั้นเพียงใต้หัวเข่าและสวมเสื้อตัวยาวหลวมๆ และรูปตรงเกือบเป็นทรงกระบอก ไปเป็นการสวมเสื้อที่มีบ่ามีเอวขึ้น และผ้าซิ่นก็ยาวลงมาจนเกือบจะถึงกลางน่องแล้ว ถึงแม้ว่าฉอ้อนจะไม่ได้เคยแต่งกายอย่างถูกสมัยนิยมเต็มที่แต่ก็ไม่เคยมีใครจากกรุงเทพฯ เห็นว่าหล่อนเป็นลูกบ้านนอกแต่งตัวไม่สมสมัย คนที่ฉอ้อนไม่อยากให้ดูหมิ่นติเตียนในเรื่องแต่งตัวก็คือ คุณแจ๋ว คุณแป๋ว คุณแต๋ว หลานของท่าน ทุกคราวที่โรงเรียนหยุด คุณๆ เล็กๆ ตามที่คนในบ้านท่านเรียกกัน ก็จะมาพักอยู่กับท่านอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งของเวลาปิดภาคเรียน เริ่มแต่อายุได้ประมาณ ๘-๙ ขวบ ฉอ้อนก็ได้สนิทสนมกับคุณๆ เหล่านั้น เมื่อยังเด็กๆ อยู่ด้วยกันความสนใจก็มีแต่ในเรื่องการเล่น โดยเฉพาะคุณแจ๋วน้องคนเล็กและอายุเท่าๆ กับฉอ้อน เอาใจฉอ้อนเป็นพิเศษกว่าคนอื่น คุณแจ๋วชอบเล่นเลี้ยงเด็ก และฉอ้อนได้เปรียบคุณแจ๋วในเรื่องการเล่นเช่นนี้ เพราะฉอ้อนมีน้องเล็ก คือ ชะเอม ซึ่งถ้าวันใดฉอ้อนสามารถชวนไปด้วยและแม่อนุญาต ฉอ้อนก็จะนำไปที่บ้านท่านพร้อมกับแม่ แต่เมื่อแม่กลับแล้ว ฉอ้อนกับคุณแจ๋วก็จะวิงวอนให้ชะเอมอยู่ที่บ้านนั้นต่อไป แล้วฉอ้อนกับคุณแจ๋วก็จะสมมุติกันเป็นพ่อหรือแม่ของชะเอม เอาข้าวมาป้อนให้ พาไปอาบน้ำ และกล่อมให้นอน บางคราวชะเอมก็ยอมให้พ่อแม่สมมุติเลี้ยงเป็นอย่างดี แต่บางวันชะเอมก็ไม่ยอมทำอะไรตามวาระที่พ่อและแม่สมมุติใคร่จะให้ทำสักวาระเดียว เช่นเมื่อจะให้รับประทานอาหาร ชะเอมก็ร้องจะลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำ แต่ครั้นจะอาบน้ำให้ ชะเอมก็จะเข้าครัวไปดูคุณแป๋วและคุณแต๋วทำขนม อย่างไรก็ตาม คุณแจ๋วก็ต้องเป็นคนง้อฉอ้อนให้พาตุ๊กตามีชีวิตไปให้เล่นด้วยกัน คุณแจ๋วไม่มีน้องเล็กหรือเด็กเล็กคนใดที่จะเล่นแทนชะเอม
นามจริงของคุณแจ๋วและพี่ ๆ เป็นนามที่เจ้านายพระองค์หนึ่งที่คุณแจ๋วเป็นพระญาติเป็นผู้ประทาน ไม่มีใครใช้นามนั้นเลย และคนโดยมากจำไม่ได้ คุณพ่อหรือแม่ก็จะต้องถามฉอ้อน เพราะฉอ้อนเป็นคนมีความจำดีจำทุกอย่างที่เคยได้ยินได้แม่นยำ คุณแจ๋วนั้นบอกว่าเกลียดชื่อของตัวเองมาก และไม่ยอมให้ใครเรียกชื่อนั้นเลย คุณแจ๋วว่าเป็นชื่อยืดยาวซึ่งไม่มีใครเข้าใจความหมาย ทุกคราวที่คุณแจ๋วพูดเช่นนี้ จะต้องมีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งดุ “แจ๋วนี่พูดจาอะไรไม่น่าฟังเสียเลย ชื่อเจ้านายประทานเป็นมงคล เขาไม่เอามาว่ากันอย่างนั้นหรอก”
คุณแจ๋วแปลกจากพี่น้องทุกคน “ท่าน” เคยว่าคุณแจ๋ว “แก่น” ซนเหมือนเด็กผู้ชาย ไม่มีลูกหลานคนใดถูกท่านตีเลยนอกจากคุณแจ๋ว แต่ฉอ้อนคิดเอาเองหรือรู้โดยสัญชาตญาณว่า คุณแจ๋วเป็นหลานรักที่สุดของท่าน
ระหว่างที่ฉอ้อนเลือกเสื้อผ้าสำหรับสวมในวันนั้น ใจของฉอ้อนคิดไปถึงคุณแจ๋ว แต่ในขณะเดียวกันหล่อนก็คอยใช้หูเพ่งฟังเสียงคุณพ่อและแขกของท่านพูดกันอยู่ที่ระเบียงหน้าเรือน หล่อนไม่ได้ยินชัดนัก เพราะไอ้ปุยสุนัขของชะเอมเกิดเห่าอะไรสนุกสนาน แต่จับใจความโดยคาดคะเนไว้แล้วด้วยว่า นายทหารหนุ่มนั้นมาหาคุณพ่อเพราะจะหา “พิณพาทย์” ไปเล่นในงานฉลองอะไรอย่างหนึ่งที่ในกองทหาร “ปี่พาทย์” ฉอ้อนแก้ความคิดของตนเอง “คนกรุงเทพฯเขาไม่เรียกพิณพาทย์หรอกนอกจากคนไม่เคยเรียนหนังสือ คนเรียนหนังสือเขาใช้คำปี่พาทย์ มันไม่มีพิณซักคัน เห็นไหม” เป็นคำชี้แจงของ “ท่าน”
ได้ยินเสียงคุณพ่อเรียก “ฉอ้อน ฉอ้อน” แปลกใจจริงๆ ตามปกติ ถ้ามีแขกเป็นชายหนุ่มมาหา คุณพ่อไม่เคยเรียกออกไปเลย นี่เขาเป็นแขกพิเศษอะไร
ฉอ้อนรีบผัดหน้าให้เรียบร้อย แล้วก็โผล่ออกไปที่ประตูห้อง นี่ก็อีก ถ้า “ท่าน” เห็น ท่านจะต้องบ่นว่า “รำคาญจริงๆ ไอ้เรื่องโผล่ๆ ที่ประตู จะออกมาก็ออกมาทั้งตัว จะไม่ออกก็ไม่ออก นี่ทำลับๆ ล่อๆ ดูไม่มียศไม่มีศักดิ์เสียเลย”
ทำอะไรต้องให้ดูเป็นคนมียศมีศักดิ์ ท่านสอนหลานๆ ของท่านอยู่เสมอ ฉอ้อนผู้ไม่ใช่ลูกหลานของท่านก็พลอยได้รับคำสั่งสอนนี้ไปด้วย “ไม่ได้หมายความว่าให้เป็นคนเจ้ายศนะ” ท่านมักชี้แจง “หมายความว่าถ้าอายที่จะทำอะไรก็ไม่ต้องทำ ถ้าทำแล้วก็ไม่ต้องอาย เพราะถ้าต้องอายก็ไม่ทำใช่ไหมล่ะ”
ฉอ้อนไม่เคยคิดจะเถียงท่าน หรือซักถามอะไรให้มากความต่อไปเลย แต่คุณแจ๋วชอบซักให้มากความเสมอ “คุณป้าว่าทำอะไรลับๆ ล่อๆ ไม่มียศมีศักดิ์ แจ๋วไม่เข้าใจมันเกี่ยวกันอย่างไร”
“ฉันหมายถึงว่า ถ้าทำอะไรแล้วเกิดรู้สึกอาย ก็แปลว่ามันคงมีอะไรไม่สู้ดีซิ ใช่ไหมล่ะ” ท่านพยายามชี้แจง “ถ้ารู้สึกอายที่จะทำอะไร อย่าเพ่อทำ ถ้าไม่อายแน่ถึงค่อยทำ”
จริงแหละ นี่ฉอ้อนยังรู้สึกอายนี่ จะออกไปที่หน้าเรือนได้อย่างไร หล่อนจึงกลับเข้าไปในห้อง นั่งพิงตู้คอยฟังว่าคุณพ่อจะว่าอย่างไร
“ฉอ้อน ออกมานี่ทีซิลูก เอาสมุดที่พ่อจดวันงานของพ่อออกมาด้วย”
เสียงคุณพ่อลอดเข้ามาถึงหล่อน
ฉอ้อนจึงต้องหยิบสมุดที่บนโต๊ะเตี้ยข้างประตู แล้วก็คลานออกไป นายทหารนั่งอยู่ริมชานเรือนคนหนึ่งนั่งห้อยเท้าตะแคงตัวผินหน้าไปทางคุณพ่อ ซึ่งนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนยกพื้น นายทหารอีกคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวที่มีอยู่ในบ้าน ซึ่งตั้งอยู่ที่พื้นล่างที่สุด คือติดกับดินเลยทีเดียว ซึ่งเป็นลักษณะแปลกของบ้านนี้ ไม่มีที่ไหนอีกในเมืองเพชร
ฉอ้อนมองไม่เห็นว่าคนไหนนั่งที่ไหน เพราะหล่อนไม่เงยหน้าดูเขาเลย ก้มหน้าส่งสมุดให้คุณพ่อแล้วก็กลับหลังหันเดินเข้าห้องไป
แต่เขาเห็นหล่อนแล้วเต็มตา เห็นในอิริยาบถที่เรียบร้อยและในอิริยาบถที่มีอิสระแก่ตน เขาได้เห็นเนื้อขาวนวลตลอดทรวงของหล่อนจนต่ำสุดที่หญิงจะให้ชายเห็นได้ เขาได้เห็นเนื้อส่วนหลังและคออันขาวผ่องของหล่อน และเขาได้เห็นหล่อนนุ่งผ้าซิ่นยาวคลุมขาและสวมเสื้อชั้นนอกสำหรับอยู่บ้าน เป็นเสื้อผ้าป่านสีนวลเหมาะที่จะสวมเข้าชุดกับผ้าซิ่นสีขมิ้นแก่ เขาได้เห็นหล่อนและเกิดพอใจในความสาวและสวยของหล่อนแล้ว