บทที่ ๑๓

เมื่อสงครามญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า สงครามมหาเอเซียบูรพาเกิดขึ้น ฉอ้อนกับสามียังอยู่ที่ลำปาง หน่วยทหารที่นั่นได้ค่อยๆ ขยายขึ้นเรื่อยๆ ฉอ้อนแลเห็นได้ง่ายว่า สามีได้รับความไว้วางใจ และความรับผิดชอบมากขึ้นเป็นลำดับ ในวันที่ศัตรูเข้าบุกรุกประเทศ วิทูรก็เหมือนกับชายหนุ่มทั่วๆ ไป ที่มีความเจ็บแค้นและเสียดายเอกราชของชาติ จนกระทั่ง ในเวลากลางดึกก็ลุกขึ้นนั่งคำรามในคอเหมือนคนที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น ฟังเสียงเป็นครึ่งมนุษย์และอมนุษย์ ฉอ้อนรู้สึกเห็นใจและสงสาร หล่อนต้องเข้าไปกอดเอวเขาไว้ และปลอบให้ลงนอนเหมือนเขาเป็นลูกคนหนึ่ง ขณะนั้นฉอ้อนก็มีครรภ์อยู่ด้วย ความกังวลใจว่าประเทศชาติจะต้องภัยสงคราม และครอบครัวจะกระจัดกระจายก็มีอยู่มากในใจ แต่ก็ไม่เป็นอารมณ์รุนแรงเหมือนของสามี แต่วันคืนค่อยผ่านไป ความรู้สึกของวิทูรดูค่อยคลายความรุนแรง และในไม่ช้า เขากลับมีความหวัง เขาบอกแก่ฉอ้อนเมื่อญี่ปุ่นตีได้สิงคโปร์อย่างง่ายดายว่า ถึงหากญี่ปุ่นจะไม่เป็นมหามิตรที่แท้จริงตามที่โฆษณา การตัดสินใจของรัฐบาลที่ให้ญี่ปุ่นผ่านประเทศโดยไม่ต่อสู้ต่อไป เป็นการตัดสินที่ถูกต้องสำหรับประโยชน์ของประเทศ ฉอ้อนไม่สามารถจะโต้แย้งกับเขาได้ในเรื่องเช่นนี้ หล่อนได้แต่ยินดีที่เหตุการณ์ไม่ร้ายแรงเท่าที่หวาดหวั่น และยินดีมากที่เด็กในครรภ์ดูจะโตวันโตคืน แข็งแรงเหมือนลูกคนที่แล้วๆ มา แล้วฉอ้อนก็คลอดลูกหญิงคนเล็กซึ่งต่อมาเรียกกันว่าเป๊าะ และมีชื่อเป็นทางการว่า เชิญสวัสดิ์

ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นปีที่มีอะไรประหลาดๆ เกิดขึ้นในประเทศหลายอย่าง แต่ฉอ้อนจำสภาพของบ้านเมืองในปีนั้นได้โดยสัมพันธ์กับความเจริญเติบโตของหนูเป๊าะทั้งนั้น ก่อนอื่นพอคลอดหนูเป๊าะ และมีปัญหาว่าควรจะตั้งชื่อว่าอย่างไร ฉอ้อนก็ระลึกถึงคุณเกริน ลูกชายคนที่คุณเกรินให้ชื่อว่า ไชยเภรี นั้นเป็นเด็กน่ารักมากในสายตาของฉอ้อนและของฉอเลาะพี่สาว แต่วิทูรไม่ค่อยจะนิยมลูกคนนี้นัก เด็กคนนี้เป็นเด็กใจอ่อนไม่สมชื่อ วิทูรเคยตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหากได้ชื่ออย่างที่เขาตั้งใจไว้ อาจมีลักษณะเข้มแข็งกว่าที่มีอยู่ เมื่อฉอ้อนรู้สึกว่าพ่อไม่ค่อยรักลูกชายคนเล็กเท่าลูกคนโต ฉอ้อนก็ยิ่งเอ็นดูลูกคนเล็กเพิ่มขึ้น ชื่อเรียกเล่นของเขาคือ กลอง ซึ่งเขาเรียกได้ชัดถ้อยชัดคำทั้งที่เขาพูดภาษาของถิ่นเหนืออยู่ตลอดเวลา ทำให้ฉอ้อนรำลึกถึงคนที่ตั้งชื่อเขาบ่อยๆ แต่เมื่อลูกสาวคนเล็กเกิดมาหล่อนยิ่งระลึกถึงเขามากขึ้น

เมื่อหล่อนถามสามีถึงคุณเกริน เขาก็เล่าให้หล่อนฟังอย่างภูมิใจในเพื่อนของเขา “ฉันอิจฉาเกรินจนแทบจะหายใจไม่ออก เขาได้สู้กับญี่ปุ่นอย่างเต็มฝีมือ เวลานี้เขาอยู่กรุงเทพฯ มีลูกปืนอยู่ในตัวเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เขาต้องค่อยๆ ผ่าออกทีละสองสามลูก ขืนผ่าออกหมดคงหมดแรงตายกันตรงผ่า ทำไมหมอนี่ถึงโชคดีอย่างนั้นก็ไม่รู้”

“คงจะได้ยศได้ตำแหน่งใหญ่ๆ ละซีนะทีนี้” ฉอ้อนแสดงความหวังโดยไม่อิจฉาเลย “เออ ลูกเมียเขาเป็นยังไงเป็นใครที่ไหน”

“ไม่รู้ ไม่เห็นใครเล่าเรื่องเมียเกรินว่าเป็นยังไง”

ฉอ้อนอยากได้ข่าวเพื่อนเก่าของสามีมากกว่านั้น แต่ในสมัยสงครามไม่มีทางจะติดต่อกันได้ง่ายๆ ข่าวคราวจากคุณแจ๋วไม่มีเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ลำปาง ฉอ้อนไม่มีโอกาสถามถึงคุณแจ๋วจากผู้ใด และฉอ้อนก็มีภาระของภรรยานายทหารผู้ใหญ่เพิ่มขึ้น ลูกก็เพิ่มภาระให้ฉอ้อน แม้แต่คุณพ่อและแม่ ฉอ้อนก็ส่งข่าวอย่างไม่สม่ำเสมอและท่านก็ส่งข่าวให้ฉอ้อนอย่างไม่สม่ำเสมอเช่นกัน ครั้งหนึ่งได้ยินว่า มีเครื่องบินของฝรั่งมาทิ้งระเบิดที่เพชรบุรี ฉอ้อนตกใจรีบเขียนจดหมายไปถามข่าวคุณพ่อและแม่ เขียนไปถึงหลวงกล้าฯ ด้วย เผื่อว่าจดหมายจะไปไม่ถึงบิดามารดาหล่อน และยังถามไปทางกรุงเทพฯ อีกด้วย แต่ปรากฏว่าข่าวที่ได้รับคลาดเคลื่อน ยังไม่มีศัตรูมารบกวนภาคใต้ของประเทศไทยเลย

ศัตรู ฉอ้อนอดที่จะรำคาญคำนี้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าหล่อนจะยอมรับว่าหล่อนไม่มีความรู้พอ ที่จะวินิจฉัยเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ในตอนแรกคำว่า ศัตรู หมายถึง ญี่ปุ่น แต่ต่อมา ศัตรู หมายถึงฝรั่งอังกฤษและอเมริกัน ฉอ้อนคิดว่าฝรั่งเป็นศัตรูของญี่ปุ่นต่างหาก ไม่ใช่ศัตรูของไทยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งอเมริกาแล้ว ฉอ้อนเชื่อไม่ได้เสียเลยว่าเป็นศัตรูของไทย แต่วิทูรได้ทำให้หล่อนเข้าใจว่าในยามคับขันของประเทศชาติ ความรู้สึกส่วนตัวทั้งมวลจะนำมาปะปนเหตุผลทางการเมืองไม่ได้ ที่จริงนั้น วิทูรเชื่อมาตั้งแต่เริ่มสงครามในยุโรปว่าฝ่ายอักษะต้องชนะแน่ แต่เมื่อญี่ปุ่นเข้ามาย่ำยีไทย เขาเองก็ลืมเหตุผลเสียชั่วคราวมีแต่ความคุมแค้น แต่แล้วเขาก็บอกแก่ภรรยาว่า เขาก็หักห้ามอารมณ์ได้ และฟังแต่เหตุผล ในเมื่อไทยจำเป็นต้องร่วมมือกับญี่ปุ่น เขาก็จะพยายามทำตนให้สอดคล้องกับความจำเป็น และคำว่า ศัตรู จะต้องคิดว่าคือ ฝรั่ง โดยเฉพาะอังกฤษ ส่วนอเมริกาซึ่งเขาก็เคยนิยมอยู่มากนั้นก็จะลืมเสียชั่วคราว เพราะการยุทธ ได้แสดงให้เห็นว่าอเมริกามีความสามารถทางอื่น แต่ในการรบยังหาความสามารถไม่ได้

ฉอ้อนทำตามคำของสามีได้ง่าย เพราะสภาพแวดล้อมช่วยให้ทำเช่นนั้น ในภาคเหนือ ไทยจำต้องทำตัวเป็นศัตรูแก่อังกฤษเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปยึดดินเดนของอังกฤษโดยเฉพาะดินแดนพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ ซึ่งถูกอังกฤษกดขี่เอาเป็นเมืองขึ้นมาเป็นเวลานาน เมื่อฉอ้อนคลอดลูกคนสุดท้องแล้ว การตระเตรียมของทหารไทยที่จะไปทำการยุทธในดินแดนของศัตรูก็ขึงขันขึ้น

ระหว่างที่ทางทหารตระเตรียม พิจารณาตัวบุคคลว่านายทหารผู้ใดจะนำกำลังเคลื่อนย้ายเข้าไปในดินแดนของพี่น้องไทยใหญ่ วิทูรก็ได้รับข่าวว่าขุนเทพศาสตร์บิดาป่วยหนัก เขาได้หารือกับผู้บังคับบัญชาว่าเขาจะทิ้งราชการระหว่างความคับขันไปดูแลผู้มีพระคุณ หรือจะอยู่ทำหน้าที่ผู้บังคับบัญชาซึ่งก็เป็นที่เข้าใจกันอยู่ว่า มักจะฟังเสียงวิทูรอยู่มาก ก็อนุญาตให้ตัดสินใจเอง เมื่อปรึกษากับผู้ร่วมใจสองสามคน มีพันตรี ธราคนหนึ่ง วิทูรก็มาบอกแก่ภรรยาว่าจะไปกรุงเทพฯ นอกจากจะได้เยี่ยมบิดาและช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ ก็มีราชการที่จะต้องปรึกษากับผู้บังคับบัญชาการที่สูงขึ้นไปในพระนครด้วย

วิทูรไปกรุงเทพฯ ประมาณสองสัปดาห์กว่าๆ การเดินทางไม่สะดวกทำให้เขากลับขึ้นไปลำปางช้ากว่าที่เคยในยามปรกติ เมื่อเขากลับไปถึงค่ายทหารที่ลำปาง เขาได้นำเงินจำนวน ๑,๘๐๐ บาทขึ้นไปยื่นให้แก่ภรรยา

“พี่วงศ์ฝากมาให้ฉอ้อน” เขาบอกเมื่อได้รับขวัญกันอย่างแช่มชื่น “เงินนี้เป็นของฉันหรอก แต่พี่วงศ์เป็นคนเก็บรวบรวมให้ ฉันอนุญาตให้พี่วงศ์เก็บผลประโยชน์จากที่สวนของฉันที่คุณพ่อให้ คือหมายถึงเผื่อท่านเป็นอะไรไประหว่างที่ฉันจะขึ้นไปเชียงตุง เงินนี้ขอให้น้องทำอย่างนี้นะ อย่าลืมเป็นอันขาด คือเอาไปให้นายโกที่ในตลาดสัก ๑,๘๐๐ ให้เขาซื้อทองให้ พี่วงศ์บอกว่าระหว่างสงครามนี้ คนที่ไม่ค่อยซื้อทองขายทอง จะไม่มีอะไรติดตัวเพราะราคาของขึ้นไปๆ ทุกวัน ฉันเป็นทหาร ไม่ค่อยเข้าใจอะไร แต่ขอให้ฉอ้อนเชื่อพี่วงศ์ พี่วงศ์น่ะชำนาญเรื่องตลาดมาตั้งแต่เป็นเด็กสาว ๆ รุ่นๆ ทีนี้นายโกนี่ ฉันเคยมีบุญคุณแก่เขา ไว้ใจได้เต็มที่ เอาเงินไปให้บอกว่าฉันสั่งให้คอยซื้อทองขายทองแทนฉอ้อน เมื่อมีกำไร ให้เอาเงินมาให้ใช้บ้าง เพราะเงินเดือนชักจะไม่พอกินเข้าทุกทีๆ แล้ว นายโกแกจะติดต่อกับลูกน้องของแกทางกรุงเทพฯ ให้ฉอ้อนเอง ลูกน้องของนายโกรู้จักกับพี่วงศ์เป็นอย่างดีเหมือนกัน เข้าใจไหมนี่”

ฉอ้อนไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็ไม่ขัดขืนสามี เงินของเขา เขาอุตส่าห์เป็นห่วงลูกเมียถึงเพียงนี้ หน้าที่ของหล่อน มีอยู่เพียงดูแลลูกให้ดีที่สุด ขยันและประหยัดอย่างที่สุด ส่วนนายโกซึ่งฉอ้อนก็เคยรู้จักแล้ว เขาจะซื่อสัตย์สุจริตอย่างที่สามีไว้ใจหรือไม่ ฉอ้อนจะมีทางรู้ได้อย่างไร เงินจำนวนนี้เป็นของวิทูร เมื่อเขาเต็มใจมอบให้แก่คนที่เขาเชื่อถือ ฉอ้อนก็ทำตาม

ฉอ้อนไม่แปลกใจนัก และไม่ผิดหวังในการทำธุรกิจกับนายโก ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น โกวิท ตามรัฐนิยม นายโก ทำตนสมแก่ความไว้วางใจทุกประการ ภายในเวลาไม่เกินสองเดือน เขาจะมีเงินมาให้ฉอ้อนสองร้อยบาทบ้าง สามร้อยบาทบ้าง ซึ่งเขาบอกว่าเป็นผลกำไรการซื้อขายทองคำในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และลำปาง ฉอ้อนได้มีเงินจับจ่ายใช้สอย โดยไม่ต้องคับอกคับใจตลอดเวลาที่สามีจากไปราชการในเขตไทยใหญ่ หรือที่มีชื่อเรียกในตอนหลังว่าสหรัฐไทยเดิม มีอยู่คราวหนึ่งที่ฉอ้อนรู้สึกตะขิดตะขวงใจเกี่ยวกับนายโก คือครั้งหนึ่งฉอ้อนเข้าไปในตลาดของจังหวัดลำปาง หล่อนมีธุระเดินผ่านร้านขายทองนายโก ไปโดยไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเขา หล่อนเห็นสุภาณีเดินเข้าไปในร้าน ด้วยท่าทีของคนที่คุ้นกับสถานที่แต่ฉอ้อนก็อธิบายแก่ตนเองได้ง่ายๆ ว่าใครๆ ก็ย่อมจะติดต่อกับนายโกในระยะนี้ หรือหากว่านายโกจะค้าของหนีภาษีร่วมกับสุภาณี ก็ไม่น่าประหลาดใจอะไรนัก คนในภาคเหนือถือว่าการเสี่ยงทำธุรกิจเช่นนั้น ไม่ได้ทำความเสียหายให้แก่ใคร เป็นการเสี่ยงกับอาญาบ้านเมืองของตนเองเท่านั้น

เงินที่ฉอ้อนได้รับจากนายโก นอกจากจะได้ช่วยครอบครัวของหล่อนเองแล้ว ยังได้ช่วยครอบครัวของเพื่อนนายทหารอื่นๆ ด้วย ถ้ามีโอกาส ผู้ใดต้องการเงินใช้ด่วน ด้วยความเจ็บป่วยคับแค้นในเรื่องใด ฉอ้อนจะรีบจ่ายเงินให้ยืมบ้างให้เปล่าบ้างด้วยความเต็มใจ

วิทูรได้กลับมาเยี่ยมครอบครัวที่ลำปาง เมื่อเขาจากไปได้ประมาณ ๕ เดือน กลับมาคราวนี้ ฉอ้อนรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปอีก แต่ก็อย่างเดิม หล่อนบอกให้แจ้งชัดลงไปไม่ได้ว่าเขาเปลี่ยนในด้านไหนอย่างไร ในการแสดงความรักเขาขาดความอ่อนโยนไปบ้าง แต่ก็แน่ละเขาไปอยู่ในแดนกันดาร และห่างจากครอบครัวเป็นเวลานาน จะหวังให้เขาเป็นคนละมุนละไมเหมือนเมื่อครั้งเป็นร้อยโทหนุ่ม และฉอ้อนเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์อย่างไรได้ นอกจากเรื่องนี้ เขามีอาการของคนที่สติลอยไปบ่อยๆ มีหลายครั้งที่หล่อนพูดกับเขาและเขาไม่ได้ยิน แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาก็มีกังวลมาก เขาบอกแก่ฉอ้อนว่า สงครามกำลังจะเปลี่ยนรูป ฝ่ายอังกฤษ และอเมริกาดูออกจะมีชัยชนะต่อเยอรมันบ่อยขึ้น ทำให้เขาคิดว่า ไทยอาจต้องเตรียมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ แต่ครั้นฉอ้อนซักถามด้วยความห่วงใยในอนาคตของบ้านเมืองต่อไปเขาก็บอกว่าหล่อนไม่ต้องห่วง “ทางฝ่ายผู้ใหญ่ ท่านไม่ปล่อยให้เราตายเปล่าหรอก ท่านต้องหาทางออกได้”

แต่เขามีท่าทีอะไรอีกที่ทำให้หล่อนสังเกตว่า เขาเปลี่ยน ในการพูดจากับนายทหารบางคน เขามีเสียงค่อนไปข้างแข็งกร้าวในบางโอกาส แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาก็มีความรับผิดชอบมาก ย่อมจะคอยอภัยให้แก่ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ค่อยได้ แต่ในบางโอกาสหล่อนก็ได้เห็นเสน่ห์เดิมที่ทำให้หล่อนรักเขาตั้งแต่แรกเห็น เขาจะยิ้มกับคนบางคน อย่างชนะหัวใจได้ง่ายดาย และพูดจาเล่นหัวอย่างน่าฟังน่าดู แต่แล้วก็อีก ในเวลาที่เขาอยู่คนเดียวและไม่สังเกตว่าหล่อนกำลังพินิจดู เขามีอาการเหมือนคนไตร่ตรองและกำลังพยายามตัดสินใจอะไรอย่างหนึ่ง

ในส่วนครอบครัวทั่วไป โดยเฉพาะการเป็นบิดาของฉอเลาะกับตาฤทธิ์เขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขามีความสุขมากเมื่อได้อยู่กับลูกและภรรยา และเขานิยมชมชอบเป็นพิเศษ เมื่อเห็นลูกชายคนใหญ่สำแดงตนว่าเป็นคนเข้มแข็ง เช่นไม่ตามใจพี่เลี้ยง พยายามหาทางให้ได้มาในสิ่งที่ตนปรารถนา และพอใจมากเมื่อเห็นลูกทุกคนมีความจำดี และพูดได้เหมาะแก่อายุของตน ตากลองก็มีอะไรน่ารักขึ้นสำหรับพ่อ กลองชอบยืนฟังพ่อพูดได้นานๆ ดวงตาจ้องจับอย่างสนใจ เมื่อวิทูรหันมาเห็นดวงตาเช่นนั้น เขาจะหัวเราะชอบใจ และสัพยอกลูกด้วยการทำทีท่าเหมือนจะชกหน้าบ้าง และยิงปืนบ้าง ซึ่งกลองก็พอใจ หัวเราะเบาๆ อย่างเด็กมีความสุข

วิทูรมาอยู่ที่ลำปางประมาณ ๑๐ วัน เพื่อติดต่อราชการและเยี่ยมครอบครัว สำหรับฉอ้อนดูราวกับว่าเขาอยู่เพียงสองวันก็ต้องจากไป ก่อนจากไปเขาได้เข้าไปหานายโกที่ตลาดด้วยตนเองสองครั้ง ในวันก่อนที่เขาจะจากไปเขากลับมาพร้อมกับเงินสองพันบาท

ฉอ้อนทำตาโตเมื่อเขายื่นธนบัตรซึ่งโดยมากยับยู่ยี่และมีกลิ่นประหลาดๆ ให้แก่หล่อน เขานับให้หล่อนดูเพื่อให้แน่ใจในจำนวน เมื่อเห็นหล่อนยังคงมองดูเงินด้วยความใคร่รู้ เขาก็หัวเราะ

“เออ ฉอ้อนนี่ช่างไม่รู้จักโลกเลย เห็นเงินเท่านี้ก็ตกใจ ฉันไม่ได้ปล้นเจ้าโกมาหรอก”

“คุณไปขอยืมเขามาหรือเปล่า ไม่เอานะ เรื่องเป็นหนี้ ฉันเป็นคนขี้กลุ้มใจ สู้อดดีกว่าเป็นหนี้”

“โง่แล้วยังทำรู้ดี” เขาทำดุ แต่นัยน์ตายิ้มอย่างเอ็นดู “นายโกมันได้กำไรจากเงินของเราที่ให้มันไปลงทุนมากกว่าที่มันให้ฉอ้อน แต่มันไม่กล้าเอามาให้หมด เพราะมันกลัวว่าปุบปับอาจขาดทุนก็ได้ แต่ตอนนี้มันแน่ใจแล้วว่าไม่ขาดทุนแน่ เพราะนอกจากซื้อขายทองคำ ซึ่งเหมือนกับเล่นการพนันกลายๆ แล้วมันยังซื้อผ้าซื้อไหม ซื้อเกลือซื้อน้ำตาล อะไรต่ออะไรอีกร้อยแปดที่มนุษย์ต้องใช้ไม่ว่าจะมีสงครามหรือไม่มี พี่บอกว่าพี่ไปคราวนี้อาจตายก็ได้ ฝรั่งมันอาจเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกไม่ใช่ฝ่ายถอย ดีมิดีเรากลับตัวไม่ทันก็แย่ มันเลยให้เงินมา แต่มันบอกว่าฉอ้อนจะเอาไปฝากไว้ที่มันเหมือนธนาคารอีกก็ได้ จะเอาไว้กับตัวสักเท่าไหร่”

“นายโกบอกคุณเองทุกอย่างรึ คุณซักด้วยตัวคุณเอง หรือว่ามีใครกระซิบบอก” ฉอ้อนลองเดาถาม

“นี่ ฉอ้อน อย่าทำตัวเป็นทนายซักจำเลยเวลาพี่เอาเงินมาให้ ไม่มีเมียที่ไหนเขาประพฤติอย่างฉอ้อน ถ้าไม่อยากให้ผัวโกหกให้ฟัง หรือไม่ก็เอาไปให้เมียอื่น” วิทูรพูดอย่างต่อว่าหน่อยๆ และสั่งสอนระคนกัน “เอาไว้ที่ตัวมากนักเป็นอันตรายเผื่อจะต้องไปไหนมาไหน พี่เอามาให้รู้ให้ดู ฉอ้อนจะเอาไว้เท่าไหร่ เหลือนั้นให้เจ้าโกไว้ มันจะได้ทำทุนซื้ออื่นต่อไป ฉอ้อนจะไปทำเองไม่ได้ เดี๋ยวเสียรู้คนหมด”

“ไม่ใช่ซักพี่อย่างจำเลยหรอก” ฉอ้อนเห็นความจำเป็นที่จะต้องแก้ตัว “คือ อยากรู้ว่า มีใครที่เขาทำการค้ากันบ้าง คนรู้จักตลาดคงไม่มีนายโกคนเดียว เรารู้ๆ ไว้บ้างก็ดี ใช่ไหมคะ” ถามด้วยนัยน์ตาหวานจับใจเขาเหมือนกัน

“ถ้าจะเอ่ยชื่อ ไม่รู้ว่าฉอ้อนจะพอใจหรือไม่พอใจ” วิทูรทำท่าตรึกตรอง “แต่รู้ไว้ก็ดี ฉอ้อนรู้จักโลกเสียบ้างอย่ามัวแต่ทำเป็นลูกศิษย์แหม่มมิชชันนารีลูกศิษย์คนโบราณอย่างท่านเรื่อยๆ ไป คนที่เขาติดต่อกับนายโกและฉลาดทันนายโก ก็มีคุณสุภาณี ที่แรกฉอ้อนก็นับถือแต่แล้วฉอ้อนก็ทำรังเกียจว่าเขาไม่ค่อยดี ที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายหนักหนา แต่ฉันเห็นฉอ้อนจะหลงผิดก็บอกให้เสียกลายเป็นฉอ้อนไม่ค่อยชอบไป”

“ก็ไม่เคยไปทำอะไรสักทีค่ะ” ฉอ้อนแก้ตัวอีกครั้งหนึ่ง “เคยเห็นเขาเข้าไปในร้านนายโก ทำท่าทางราวกับเดินเข้าบ้าน แต่อย่างคุณว่า เขาก็ไม่ได้ทำผิดคิดร้ายอะไรหนักหนา ฉอ้อนก็ไม่ถึงกับเกลียดชัง”

“เราอาจพึ่งเขาในเรื่องเงินทองได้บ้างนะ อย่าไปทำรังเกียจอะไรเลย” วิทูรพูดอย่างเรียบๆ “เราไม่ใช่ตำรวจ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ใช่ธุระของเรา แต่เขาทำประโยชน์ก็แยะ มีคนไทยค้าขายบ้างมันก็ดีใช่ไหมล่ะ เขาฉลาดทันเจ้าโกทีเดียว เจ้าโกนับถือเทียวผู้หญิงคนนี้ ไม่เหมือนเจ้าผัวหรอก ไปอยู่เชียงตุง เมาทุกวัน ดีแต่ทำท่าจองหอง น่ากลัวต้องจังกันสักวันหนึ่งเร็วๆ นี้”

ฉอ้อน ไม่สนใจความประพฤติของพันตรีประชา สามีสุภาณี หล่อนกังวลอยู่แต่ว่าในวันพรุ่งนี้ สามีก็จะจากไปโดยไม่รู้ว่าเมื่อใดจะกลับมาพบกันอีก หล่อนฟังเรื่องที่สามีพูดตอนหลัง แต่เพียงไม่ให้เขาว่าหล่อนไม่เอาใจใส่ ครั้นเขาหยุดพูด เข้ามารวบตัวหล่อนและประคองไว้ด้วยรักและห่วงไย ฉอ้อนก็ลืมเรื่องอื่นเสียสิ้น

สามีจากไปแล้ว ฉอ้อนว้าเหว่ เปล่าเปลี่ยวแต่ความต้องทำกิจธุระต่างๆ ในหน้าที่มารดา และยังมีกิจธุระของภรรยานายทหารผู้ใหญ่ ต้องมีแก่ใจเผื่อแผ่ดูแลครอบครัวของทหารชั้นรองลงไปอีก สองอย่างนี้ทำให้ฉอ้อนไม่ค่อยมีเวลาจะโศกเศร้า ฉอ้อนทำตัวให้คุ้นเคยกับสุภาณี ถึงแม้ว่าจะไม่ทำตนสนิทสนมอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ในตอนแรกรู้จัก และคอยภาวนาขอให้บุญกุศลคุ้มครองสามีให้ได้กลับมาร่วมรักกับหล่อน และปกป้องลูกๆ หล่อนเคยได้รับจดหมายจากเขาฉบับหนึ่ง ซึ่งทำให้หล่อนรักเขา สงสารเขา และนับถือเขามากขึ้น

“ยอดที่รักของพี่

เวลานี้เป็นเวลาเย็นจวนจะได้เข้าไต้เข้าไฟ พี่นั่งอยู่ที่ลาด มองเห็นบ้านช่องของราษฎรพวกไทยใหญ่เป็นลดหลั่น น้องเอย เจ้าไม่เคยเห็นพี่ก็เล่าบรรยายไม่ถูก ไม่มีนิสัยนักประพันธ์ มีแต่ดวามคิดถึงลูกๆ และเมียของพี่ น้องรัก พี่ต้องรีบบอกมาให้รู้ ฝ่ายฝรั่งน่ากลัวจะชนะเสียแล้ว อยู่ทางนี้มีคนเขาฟังวิทยุของฝรั่ง และมาบอกให้รู้ แต่เขาว่า ฝรั่งนัดกันไว้ เลิกสงครามแล้วจะไม่เอาเมืองไหนเป็นเมืองขึ้นกันอีก ซึ่งย่อมจะเชื่อไม่ได้ เวลากำลังรบก็ต้องโฆษณาไปอย่างหนึ่ง พอเป็นคนชนะเข้าจริง ก็กลับกลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง เมื่อสงครามคราวก่อนเราก็ได้เห็นฤทธิ์อังกฤษมาแล้ว พี่เคยอ่านประวัติศาสตร์ไว้มากและเคยคุยกับเกริน ตั้งแต่เริ่มหลงรักน้อง เดี๋ยวนี้ก็ยังจำทุกอย่างได้ พี่หมายถึงจำตัวน้อง จำน้องว่ายน้ำในสระใต้ต้นจิกได้นะน้องนะ หลังขาวผ่องแก้มแดงเรื่อ ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางเสียให้ยากเลย

พี่มีอะไรจะเล่าให้ฟังอีกนิดหน่อย จดหมายนี้จะฝากนายประชาไป เขายังไม่ได้เคยกลับไปเยี่ยมบ้านเลย ตอนนี้มีราชการที่ต้องติดต่อนิดหน่อย ก็เลยคิดว่าให้มันไปบ้าง เผื่อมันจะเมาน้อยลง เวลานี้พี่มีครูสอนภาษาอังกฤษ เขาเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พูดอังกฤษปร๋อ พี่คิดว่าถึงใครจะชนะ การที่จะรู้ภาษาอังกฤษไว้ย่อมมีแต่กำไร พี่ขอสารภาพว่าถ้าครูไม่ใช่ผู้หญิงสาวสวย จริตกิริยาน่ามอง น่าชม พี่อาจขี้เกียจเรียนก็ได้ แต่นี่บังเอิญครูชวนเรียนเหลือเกิน เขาเป็นเจ้าหญิงของแคว้นยองห่วย ดูเหมือนจะแปลว่าโพธิทอง ที่บอกมาเพราะกลัวนายประชามาปดให้มันน่าเกลียด ประเดี๋ยวฉอ้อนก็จะระแวง แล้วก็เป็นทุกข์เปล่าๆ เขาแก่กว่าพี่ห้าปี พี่ไม่ชอบหรอก ผู้หญิงแก่กว่าพี่ เคยรู้แล้วใช่ไหม พี่ชอบยิ่งสาวยิ่งดี เอาละ มืดแล้วเขียนไม่สะดวก บอกแล้วว่าที่เขียนก็เพราะคิดถึงเหลือเกิน ขอฝากจูบให้ลูกทุกคน และฝากถึงแม่แสนครั้ง อย่าเป็นทุกข์กังวลนะจ๊ะ ใจพี่มันอย่างไรไม่รู้ พี่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ ไทยเราก็ไม่มีภัยอันตราย และไทยเรายังอยู่ตราบใด พี่ก็ว่าพี่ยังมีวาสนาอยู่ อ้อ หมอดู เมื่อวานซืนนี้เองเป็นพระไทยใหญ่ บอกว่าพี่จะมีบุญใหญ่ อย่ากลัวไปนะจ๊ะ สั่งมาอย่างนั้นเอง ที่จริงดูน้องก็ไม่ค่อยจะตื่นกลัวอะไรเหมือนกัน

ขอฝากทั้งรัก ทั้งจูบ ทั้งน้ำจิตน้ำใจมายังฉอ้อนเมียของพี่

วิทูร”

จดหมายฉบับนี้ ฉอ้อนแน่ใจว่าหล่อนจำไม่ผิดพลาดเลยจนตัวเดียว เพราะเมื่อสองสามวันนี้ หล่อนรื้อของที่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะได้ตู้มาใหม่ ยังหยิบมาอ่านและยังยิ้มกับจดหมายอยู่

ฉอ้อนยุ่งกับภารกิจทั้งหลาย โดยไม่ทุกข์ยากเรื่องเงินเลย นอกจากนั้นยังได้รับความสุขจากการที่ได้ช่วยเหลือคนหลายคน จากกำลังทรัพย์ของหล่อน หรือจะว่าให้ถูก จากความรอบคอบของสามี จนกระทั่งสงครามยุติลง หล่อนคอยวันที่สามีจะกลับมาอยู่ร่วมบ้านกันในยามสันติ แต่หล่อนจำได้ดีว่า ในวันเขากลับมาถึงลำปาง เขาไม่ได้กลับด้วยความชื่นชมเลย เขากลับมาด้วยความแค้นเคือง มิใช่โกรธอริราชศัตรูที่ไหน แต่ใจของเขาอาฆาตพยาบาทเพื่อนร่วมชาติของเขาเอง

ฉอ้อนไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตอนเลิกสงครามแม้จนกระทั่งในขณะนี้ หล่อนรู้แต่ว่า นายทหารจำนวนมากมีความน้อยใจ รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง ทหารไม่มีรถหรือพาหนะอย่างใดพากลับภูมิลำเนา อาหารก็ไม่มีจะกิน และเงินที่จะซื้ออาหารก็ไม่มี ทหารบางคนก็กระทำตนเป็นโจรคือเข้าปลันชาวบ้านเอาดื้อๆ บางทีก็เลยหยิบฉวยของที่ไม่ใช่อาหารเข้าด้วย รวมความก็คือ ทหารมีความรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง การรบกันหรือการไปยึดครองเขตต่างแดนนั้น ทหารก็ไม่รู้ว่าไปเพราะอะไรเพื่อใคร แต่ก็ได้อดทนสู้ความลำบากยากแค้น แต่ครั้นสงครามเสร็จ บ้านเมืองไม่ต้องการเขาแล้วก็ไม่อาลัยไยดี แม้จะป่วยจะอดตายก็ไม่มีใครเหลียวแล

ฉอ้อนเองไม่รู้ว่าไทยเป็นฝ่ายชนะหรือแพ้สงครามเสียด้วยซ้ำ นายทหารด้วยกันที่ฉอ้อนรู้ว่าได้เล่าเรียนมากกว่าฉอ้อน ก็ดูไม่เข้าใจดีไปกว่าหล่อน อย่างน้อยก็อธิบายไม่ได้ ครั้นเมื่อสามีกลับมา หล่อนคิดว่าเขาจะให้ความสว่างบ้าง แต่ดูเขาไม่เอาใจใส่กับการแพ้หรือชนะสงคราม

ในวันแรกที่เขามาถึง ฉอ้อนพยายามเอาใจเขามากที่สุดที่จะทำได้ หล่อนเตรียมอาหารที่เขาชอบไว้ให้กิน ของภาคกลางที่ไม่ได้ลิ้มมานาน เช่นข้าวคลุกกะปิ มีคนใจดีส่งมาให้นายโก ฉอ้อนทราบเข้าก็ออกปากขอ แล้วก็บรรจงหาเครื่องให้ครบ อย่างที่เขาเคยรับประทานที่บ้าน “ท่าน” ดังที่เขาเคยเล่าให้หล่อนฟังโดยไม่ตั้งใจให้หล่อนจำ แต่ฉอ้อนจำได้ทุกสิ่งอย่างที่เขาบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตเมื่อครั้งอยู่ที่เพชรบุรี ลูกทุกๆ คนฉอ้อนแต่งตัวให้สะอาดสะอ้านและคอยสดับตรับฟังว่า จะไม่รบกวนบิดามากกว่าจำเป็น ตัวหล่อนเองก็สั่งการให้คนใช้ทำอาหารอย่างรวดเร็ว แล้วก็ไปแต่งกายให้สวยงาม บรรจงผัดแป้งร่ำทาน้ำหอมระรื่น แต่วิทูรมองเห็นของเหล่านั้นด้วยดวงตาข้างเดียว อีกข้างหนึ่งเขากวาดมองความทรุดโทรมซึ่งเป็นผลของสงคราม และระหว่างรับประทานอาหารเขาเกือบไม่พูดว่าอะไรเลย การกอดจูบลูบชมลูกๆ ทำเหมือนคนไม่มีสติอยู่กับตัว

พอได้อยู่ด้วยกันสองคนเวลาค่ำ ฉอ้อนก็ปลอบถาม “พี่ พี่มีอะไรเป็นกังวล เป็นห่วงว่าบ้านเมืองจะเป็นยังไงหรือพี่”

“บ้านเมืองเขาว่าจะไม่เป็นยังไง” วิทูรตอบด้วยสีหน้าไม่ยิ้มสมกับที่เป็นวันแรกที่พบกับภรรยา “เขาว่าไม่ถูกเป็นเมืองขึ้นแน่ ถึงอังกฤษจะยังไง อเมริกาก็จะช่วย”

“แล้วทำไมดูหน้าตาคุณเป็นทุกข์ ไม่เห็นดีใจที่พบเมียพบลูกสักกี่มากน้อย” หล่อนพ้ออย่างอ่อนหวาน

เขาเอาแขนโอบหล่อนไว้กับตัวประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็ตอบ “ดีใจ ทำไมจะไม่ดีใจ แต่มันอดคิดไปถึงพลทหารที่มันต้องเดินๆ มา เราเป็นนายขี่รถมาถึงบ้านก่อน แล้วก็ยังมีเงินเดือนกิน พลทหารมันถูกปลดไปแล้ว จะไปเบิกเงินเดือนที่ไหน ใครเขาทำกันอย่างนี้บ้าง จะรบแพ้หรือรบชนะ มันก็เป็นความผิดของพวกเราเมื่อไร”

หล่อนลงนั่งชิดเขาบนขอบเตียง และโอบเอวเขาไว้อย่างละมุนละม่อมเช่นเดียวกับที่เขาทำกับหล่อน “พี่ ฉอ้อนสงสารพี่และก็สงสารทหาร จะช่วยทำอะไรได้บ้างล่ะ พี่เสียเงินเสียทองฉันไม่เสียดายเลยนะพี่ เรามีเงินอยู่ที่นายโกหลายพัน เขามาบอกฉัน เขาขายผ้ากัน แหม น่าดู แล้วนายโกเขาว่าเลิกสงครามนี่เขาก็ไม่กลัว ฝรั่งยังขนอะไรมาขายไม่ได้ แล้วนายโกเขายังว่า มีคนมาขายเงินปอนด์ กับธนบัตร เขาซื้อไว้ เขาว่าเราจะมีเงินอีกเยอะ แปลกจริงๆ เราเอาไปช่วยทหารซิพี่”

หล่อนเห็นเขายิ้มอย่างอ่อนโยนออกมาหน่อยหนึ่งแล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เวลานี้เงินของเรายังทำอะไรไม่ได้ แต่จำไว้ อย่าไปเล่าอะไรให้ใครฟังทั้งนั้นว่านายโกบอกแก่ฉอ้อนว่ายังไงๆ” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วสายตาเขาฉายแสงดุน่ากลัว “วันหนึ่งเถอะมึง ไม่ได้อยู่เป็นทหารต่อไปก็แล้วไป มันต้องแก้เผ็ดกันให้ได้ซิน่า วันหนึ่งจะถึงวันของเรา เราจะไม่ให้ใครมารังแกทหารได้อีกต่อไป”

“ที่คุณพูดนี่ พูดเรื่องใครน่ะ” ฉอ้อนค่อยๆ ถามอย่างกลัวๆ

“มันไม่ใช่ใครคนเดียว” สามีตอบ “มันใครบ้างก็ไม่รู้ แต่มันยังไม่ถึงวันของเราต้องทนไปก่อน จำเป็นประจบก็ประจบ จำเป็นร้ายก็ร้าย จำเป็นดีก็ดี แต่ต้องมีวันของเราแน่ ถ้าเราคอยเป็น คอยดูซิ”

ฉอ้อนพยายามปลอบด้วยกิริยาให้เขาเข้านอน ความอ่อนหวานของหล่อนดูเหมือนจะช่วยจิตใจของเขาบ้าง เขายอมนอนลงอย่างคนอ่อนเพลีย และไม่ช้าก็หลับไปทิ้งให้ฉอ้อนครึ่งฝันครึ่งตื่นอยู่เป็นเวลานาน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉอ้อนรู้โดยไม่ได้บอกแก่ตัวหล่อนเป็นถ้อยคำว่าถ้ามีโอกาสช่วงชิงอำนาจขึ้นในประเทศไทย สามีของหล่อนจะเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนด้วย และการณ์ก็ปรากฏเป็นจริงในเวลาอีกไม่กี่ปี วิทูรคงจะได้ใช้ความพยายามอย่างใดอย่างที่เขาได้กล่าวไว้ เขาได้ถูกเรียกให้มาประจำการที่ลพบุรี และจากลพบุรี เขาได้ย้ายเข้ามาในพระนคร และภายในไม่ถึงปีต่อจากที่เขาย้ายเข้าพระนคร ก็เกิดรัฐประหารและมีการเลือกคณะรัฐบาล ซึ่งทันทีชื่อของพันเอกวิทูรก็เป็นชื่อที่ติดปากคนทุกแห่งทุกหน และต่อมาอีกประมาณสักหนึ่งปี วิทูรกลับจากการประชุมนายหารที่ใดที่หนึ่งซึ่งฉอ้อนไม่อาจทราบ เพราะเขาไม่ชอบให้ถามและไม่ชอบบอก เขาเข้ามาในห้องนอน ขณะที่หล่อนนั่งชุนถุงเท้าของเขาอยู่คนเดียว เขาเข้ามากอดหล่อนอย่างอ่อนโยนซึ่งเขาไม่ได้ทำมาเป็นเวลานาน และกระซิบบอกหล่อน

“ฉอ้อน ต่อจากวันนี้น้องจะต้องทำหน้าที่หลายอย่าง ไอ้ที่น้องเรียนๆ ไว้ ภาษาอังกฤษ การเรือนการครัวจะได้มีความสำคัญกันตอนนี้ แต่เห็นจะไม่ต้องชุนถุงเท้าต่อจากวันนี้ คนไทยจะรู้จักพี่ในนาม ท่านรอง”

“รองอะไรคะ” ฉอ้อนถามมีความรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่เขาประสงค์ให้มี

“รองทุกอย่าง นายใหญ่ของเราได้เป็นใหญ่แล้ว และทุกตำแหน่งที่ท่านเป็น พี่จะเป็นรอง” และเขาก็กอดรัดหล่อนเหมือนหนึ่งว่าหล่อนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาดำเนินอย่างที่ได้เป็นมา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ