บทที่ ๒๒

เสียงกริ่งดังขึ้นไปที่ใกล้หัวนอนของคุณแจ๋ว คุณแจ๋วตื่นทันทีแต่ยังงัวเงีย ได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้นอีก มียาวและสั้นแล้วยาวและสั้น ใครมาให้สัญญาณอะไรทำไม ชะเง้อขึ้นดูว่าญาติผู้น้อยที่นอนอยู่อีกห้องหนึ่งติดกันตื่นขึ้นหรือเปล่า เสียงกริ่งดังขึ้นอีก คุณแจ๋วตาสว่างโพลงกระโดดลงจากเตียง วิ่งลงไปข้างล่าง คุณเกรินเพิ่งกลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง นี่ใครมาแกล้งหลอกเล่นหรืออย่างไร ไม่มีทางจะทำอื่น คุณแจ๋วตรงไปที่ประตูด้านหลังร้าน บิดลูกบิดแต่ไม่ยอมเปิด

ประตูออกกว้าง แต่เสียงที่กระซิบลอดช่องเล็กระหว่างบานและกรอบประตูเป็นเสียงคุณเกรินแน่

“เร็วคุณแจ๋ว ไปหาโทรศัพท์แถวนี้ใกล้ๆ ไอ้ที่เราพูดได้โดยไม่มีใครได้ยิน”

คุณแจ๋วเปิดประตูออก เกรินเข้ามาในร้านอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้ามาแล้วเขาพูดซ้ำ “ร้านเจ๊กจีนที่ไหนที่คุณแจ๋วรูจัก ตอนกลางวันวันนั้นเห็นมีร้านขายเครื่องเหล็กไปบอกว่าใครเจ็บไข้ ขอโทรศัพท์ได้ใหม่”

คุณแจ๋วยืนตะลึงอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง แต่มีปฏิภาณสูงทำให้ไม่ชักช้า ไม่โอ้เอ้ไต่ถาม ต้องมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด มิฉะนั้นไหนเลยคุณเกรินจะมาในยามวิกาลเช่นนี้ สังเกตจากท้องฟ้าที่สว่างด้วยแสงจันทร์ไม่ได้ว่าใกล้รุ่งหรือยัง อย่างไรก็ตาม คุณแจ๋วก็ออกจากร้านทางประตูหลัง เดินลัดเลาะบริเวณที่ค่อนข้างสกปรก เต็มไปด้วยถังขยะ กองขยะ และกองไม้ผุ ไปยังร้านขายเครื่องกระป๋องประมาณ ๓ ห้องถัดไป คุณแจ๋วรู้จักกับนายสุนเจ้าของดี ตั้งแต่นายสุนยังเช่าห้องแถวไม้สีไม่เคยทาของเจ้าคุณพ่อ ณ ตำบลเดียวกันนี้

นางจิว มารดานายสุนเป็นหญิงอายุสูง ชอบตื่นขึ้นในยามดึก คุณแจ๋วหวังว่าคืนวันนี้จะไม่เป็นคืนที่นางจิวจะไม่ยอมตื่น คุณแจ๋วเคาะประตูหลังร้านค่อยๆ ก่อน แล้วก็เคาะดังขึ้นๆ พร้อมกับเรียก “ป้า ป้า ป้า”

พยายามอยู่ประมาณ ๕ นาที ไม่กล้าทำเสียงให้ดังจนได้ยินไปถึงเพื่อนบ้าน ในที่สุดก็สมปรารถนานางจิวเปิดประตูพอเป็นช่องนิดหนึ่ง คุณแจ๋วรีบบอก “ฉันเอง ป้าจิว แจ๋ว”

“ตายแล้ว คุณแจ๋ว เป็นอะไรไป” แกถามด้วยสำเนียงจีน คุณแจ๋วกระซิบเข้าไปที่ช่องประตู

“เปิดประตูให้เข้าไปก่อนเถอะ ป้าจิว”

ป้าจิวเปิดประตูอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ยิ่งเมื่อเห็นคุณเกรินยืนอยู่ข้างหลังคุณแจ๋ว แกเกือบจะปิดประตูเสียดังเก่า คุณแจ๋วต้องเอามือสอดเข้าไป และดึงประตูออกด้วยกำลังค่อนข้างแรง แต่แล้วป้าจิวก็ยินยอมให้ญาติทั้งสองเข้าไปในร้าน

“ขอโทรศัพท์หน่อย ป้าจิว มีคนไม่สบาย” คุณแจ๋วบอก และโดยไม่รั้งรอ รีบพาคุณเกรินเดินเข้าไปในด้านหน้าของร้าน เผอิญประตูซึ่งคั่นระหว่างด้านหน้า ซึ่งเป็นที่ขายของกับด้านหลัง ซึ่งเป็นห้องน้ำและครัวไม่ได้ใส่กลอนไว้ ยังโชคดีต่อไปที่ไม่มีตัวนายสุนหรือภรรยาหรือลูกคนใดตื่นขึ้นมา มีแต่ป้าจิวชอบลงมาตั้งน้ำร้อนในยามดึก ด้วยเหตุที่ไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้นในเมื่อนอนไม่หลับอีกแล้ว

คุณเกรินตรงไปที่โทรศัพท์ เขามองไปรอบตัวจนแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอีกในร้าน เขาหมุนเลขโทรศัพท์และวางหูแล้วหมุนอีก และวางแล้วหมุนอีก สักประเดี๋ยว คุณแจ๋วได้ยินเขาพูด

“ฉอ้อน นี่เกริน จำเสียงได้ไหม เกริน”

มีเสียงตอบมาทางโทรศัพท์แล้วคุณเกรินก็พูดอีก

“วิทูรอยู่ไหน” และเมื่อมีเสียงตอบมาแล้วคุณเกรินก็บอกข่าวสำคัญที่ตั้งใจจะบอก “บอกวิทูรอย่าคิดสู้ ให้รีบหนีเสียก่อน ได้ยินไหม รีบไปเสียก่อน นายใหญ่เขาขายเราแล้ว อ้อ วิทูรเรอะ ฉอ้อนบอกแล้วหรือยัง หนีนะ ตอนนี้สู้ไม่ได้ ธราถูกจับเมื่อกี้นี้เอง ฉันเห็นแก่ตา หน้าบ้านฉันนั่นเอง อย่ารู้เลยไปก่อนก็แล้วกัน แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจนะ”

มีเสียงพูด แล้วคุณเกรินต่อ “ของที่สะสมไว้ เขารู้ที่ เขาขนไปหมดแล้ว เลขโทรศัพท์ได้โดยบังเอิญ จากใครอย่าเพิ่งรู้เลย ถ้าเชื่อก็รีบไป ถ้าไปเร็วคนข้างนอกคงยังไม่ทันขัดขวาง”

ญาติของคุณแจ๋ววางหูโทรศัพท์ ท่าทางเขาเหมือนคนอ่อนเพลีย แต่แล้วเขาก็สลัดอาการนั้นเสีย เขาจับแขนคุณแจ๋วเบาๆ “ไปเถอะ กลับไปที่ร้านคุณแจ๋ว จะอยู่ที่นั่นจนกว่าจะไปได้โดยสะดวก”

ญาติทั้งสองกล่าวขอบใจหญิงต่างด้าว แล้วก็กลับไปนิวาสถานของคุณแจ๋วตามทางเดิม ระหว่างทางทั้งสองพยายามทำให้เกิดเสียงน้อยที่สุด เมื่อกลับมาถึงร้าน คุณแจ๋วก็เปิดประตูหลัง พาคุณเกรินไปที่ห้องที่ได้ต้อนรับเมื่อตอนหัวค่ำ ก่อนที่จะเข้าไปในร้าน คุณเกรินไม่ลืมที่จะกวาดตาไปรอบๆ ดูว่าจะมีที่กำบังที่ไหนที่ใครอาจลอบดูพฤติกรรมของเขาบ้าง

คุณแจ๋วเริ่มการรับรองอาคันตุกะ ด้วยการชงกาแฟให้ ถามว่าอยากจะนอนให้หลับไหม ถ้าอยากจะนอนหลับก็จะยกเก้าอี้นอนเข้ามาให้ ทั้งที่คุณแจ๋วใจเต้นด้วยความอยากรู้เหตุการณ์ที่นำเขามาหาคุณแจ๋ว เกรินบอกว่าเขาจะนั่งพิงเก้าอี้พักผ่อน ขอให้คุณแจ๋วไปนอนต่อเพื่อจะได้มีแรงประกอบอาชีพในวันรุ่งขึ้น คุณแจ๋วกล่าวแก่ญาติ

“ถ้าคุณเกรินไม่เพลีย และไม่รังเกียจที่จะเล่าอะไรให้ฟัง แจ๋วขอนั่งอยู่ด้วย และขอฟังเท่าที่จะเล่าได้ ถึงกลับไปขึ้นเตียงก็ไม่มีหวังหลับ”

“อือ ไม่ยักออกคำสั่งคราวนี้” คุณเกรินพูด ทีท่าของเขายังแสดงว่าอารมณ์ดี “เล่าก็ได้ ที่นี่เห็นจะปลอดภัยแน่”

“ถ้าได้ขอให้เล่าเร็ว” คุณแจ๋วแสดงความใจร้อนออกมาทันที “อกจะระเบิดอยู่แล้ว”

เกรินยิ้มนิดๆ “มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ใครๆ คอยอยู่ว่านายวิทูรมันจะเล่นงานนายใหญ่เมื่อไหร่ มันไม่ยักทันเขา เขาเล่นงานมันก่อน”

“เจ้านายใหญ่กับนายวิทูรนี่ ใครมันร้ายกว่ากันหรือดีกว่ากัน” คุณแจ๋วถาม เมื่อนั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆ ญาติเรียบร้อยแล้ว

“เราไม่รู้ความจริง หมายถึงจริงแท้แน่นอน รู้แต่ที่เขาบอกและที่เราสังเกตเอง” เกรินตอบญาติ “ก็ดูเอาเองซีคุณแจ๋ว ราชการงานเมืองเวลานี้ ไม่ว่ากระทรวงไหน มีแต่ภยาคติกันทั่วไป กลัว กลัว กลัว กลัวทำไม ผู้บังคับบัญชากลัวผู้น้อย ผู้น้อยกลัวผู้ใหญ่ เพราะอะไร เพราะกลัวว่าคนนั้นเป็นคนพวกท่านคนนี้ คนนี้เป็นพวกท่านคนนั้น ไม่เป็นอันจะทำงานทำการให้ลุล่วงไปตามที่จะเป็น เอาใจคนนั้นไว้ก็ดี เอาใจคนนี้ไว้ก็ดี จนกว่าจะรู้ว่าไอ้นี่พวกคนที่ตกแล้วแน่ ถึงจะช่วยกันเอาเสียให้แหลกเหลว”

“แล้วมันเกี่ยวกับท่านคนใหญ่กับท่านรองวิทูรยังไง คุณเกริน แจ๋วเห็นมาตั้งแต่แจ๋วไปทำราชการต่างจังหวัด ดูมันเป็นลักษณะคนไทยไม่ใช่รึ กลัวเกรง เอาใจ ในโรงเรียนก็มีครูเอาใจเด็ก และครูใหญ่ก็เอาใจศึกษาธิการ แล้วก็กลัวเจ้าเมือง แล้วก็เกรงคุณนาย”

“นั่นและมันเป็นผลของคนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไม่จริงต่อกัน คอยแย่งอำนาจกัน มันเป็นตัวอย่างตามๆ กันไป มันไม่ได้ตั้งต้นที่นายวิทูร มันเป็นคนหนึ่งที่ทำให้มีมากขึ้น เพราะมันแก่งแย่งกับนายใหญ่”

“แล้วทำไมคุณเกรินถึงช่วยคุณวิทูร คุณเกรินก็มีฉันทาคติ ไม่อยู่ในพรหมวิหารเหมือนกัน” คุณแจ๋วถาม และพ้อกลายๆ

“ก็คนหนึ่งมันลงมือก่อน อีกคนหนึ่งที่บังเอิญเป็นเพื่อนเรามันเสียรู้ ไหนๆ มันก็จะหมดอำนาจแล้ว จะให้เขาจับมันไปทรมาทรกรรมทำไม เรารักลูกรักเมียเขาด้วย เมื่อไม่มีทางสู้ เราก็บอกเพื่อนเราให้หนี มันจะไม่มีใครเป็นพวกมันกี่คนอีกแล้วละ นอกจากเรา”

“คุณเกรินยังไม่ได้ตอบว่า นายวิทูร นี่เลวอย่างไร และนายใหญ่มันเลวอย่างไร” คุณแจ๋วเตือน

“ไอ้คนใหญ่น่ะมันบ้าๆ บอๆ มันมีความคิดพิศดารต่างๆ เดี๋ยวก็จะเป็นนโปเลียนบ้าง เป็นกุบไลข่านหรืออะไรของเขาก็ไม่รู้ละ เขาจะทำทุกอย่างที่ใครเป่าให้ทำในขณะที่มีอารมณ์จะทำ เช่นจะสร้างวัดใหม่ให้สวยกว่าวัดเบญจมบพิตร หรืออาจจะสร้างพระเจดีย์ใหญ่กว่าพระปฐมสักวันกระมัง แล้วประเดี๋ยวก็ชาตินิยมร้อยเปอร์เซนต์ เดี๋ยวก็จะส่งเสริมให้เด็กไทยรักที่จะเป็นพลโลกยิ่งกว่าที่จะเป็นพลเมืองไทย เดี๋ยวก็เคร่งศาสนา เดี๋ยวก็ไม่ชอบพระ นี่มันลักษณะอันหนึ่งของผู้มีอำนาจมากๆ นานๆ มันชักฟั่นเฟือนอย่างนี้และ ลองอ่านประวัติศาสตร์ดู แล้วก็ดูชาติที่เกิดใหม่ๆ หัวหน้ามันก็แบบนี้

“ทีนี้นายวิทูรมันไม่แบบนั้น ไม่รู้ว่าใครจะอันตรายกว่ากัน แต่ฉันว่านายวิทูร ถ้าได้อยู่ในปฏิรูปประเทศ สมมุติว่ามันเกิดเป็นคนอังกฤษ มันคงเข้าปาร์เลียเมนต์ หรือเป็นนายพลอย่างเยี่ยม มันคนฉลาดมาก คมกริบทุกอย่าง แต่มันเกิดในสมัยที่เขาแย่งอำนาจกัน นายวิทูรนี่เป็นคนต้องการอำนาจ เขาทำให้คนรักเขาได้มากนะ ทหารที่รักเขามีแยะ และพวกที่เบื่อความบ้าๆ ของนายใหญ่ ก็คอยส่งเสริมท่านวิทูร”

“ขอโทษนะคะ” คุณแจ๋วพยายามพูดให้สุภาพกว่านิสัยของตน คุณเกรินรู้เรื่องที่ว่านี้มาจากที่ไหนบ้าง”

“ตั้งแต่ฉันเข้ากรุงเทพฯ ก็สดับตรับฟังเรื่องที่เกี่ยวกับท่านวิทูรอย่างเอ้อ อย่างที่เขาเรียกว่ามีระบบ คือพยายามฟังจากทุกทิศทุกทางที่จะหาได้ จากเพื่อนนายทหารรุ่นเดียวกันที่ยังทำงานอยู่ จากเพื่อนที่ออกไปแล้ว จากคนที่พูดอย่างนินทา จากคนที่พูดพล่อยๆ อ่านหนังสือพิมพ์คุยกับนักหนังสือพิมพ์ ไม่รู้ละ มีโอกาสหาทางรู้ได้ทางไหนก็หาไป ที่ต้องทำอย่างนี้ ก็เพราะตัวเราดูเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิทูรโดยเราไม่รู้ตัว คือมีพวกหนึ่งที่คิดว่าเราเป็นพวกของวิทูร ถึงขนาดช่วยค้าทองดำ คือเป็นคนรับอยู่ทางโน้น นี่เขาบอกฉันเองตรงๆ เขาบอกเขาตกใจเมื่อไปเห็นบ้านฉันที่ซังฮี้ ก็เดี๋ยวนี้เราอยู่เข้าไปในตรอก ถนนใหญ่คุณพ่อต้องขายเรียบระหว่างสงคราม แล้วก็ขายตอนคุณพ่อเสีย แบ่งกับน้องๆ ไป เขาก็ขายให้คนมีทุนมากๆ แล้วเขาปลูกตึกกันบ้านเราเลยดูเหมือนกระท่อมอยู่ระหว่างตึกของคนมั่งมีเขา นายคนนี้เขาบอกว่า เขานึกว่าเราต้องมีสมบัติแอบซ่อนไว้ที่ไหน สืบๆ ดูเห็นให้ลูกรับทุนกระทรวงศึกษา กลับมาจะเป็นครู อีกคนหนึ่งก็อยู่วิทยาลัยครู เขาเลยว่าเห็นจะไม่ใช่ แล้วเขาเที่ยวสืบจากเพื่อนๆ อีกหลายคน เขาถึงรู้ว่าจนกรอบ เขาบอกเองว่าแปลกใจมาก”

“เอาละ ทีนี้เล่าต่อไปถึงฤทธิ์เดชนายวิทูร แจ๋วฟังๆ บางทีมันเกินมนุษย์มนา เช่นมีการจับคนไปทรมาน มีการยิงทิ้งคนที่ทรยศ ดูหน้าตาไม่น่าจะเป็นไปได้ ผัวของฉอ้อนแท้ๆ แล้วฉอเลาะก็ไม่มีใครติเลย ได้ยินแต่ชมว่าดีทั้งงั้นดียังงี้ มันไม่เข้ากันเลย”

“นี่ คุณแจ๋ว การที่คุณแจ๋วไม่แต่งงานน่ะ จงรู้เสียว่ามันสบายอย่างไร ผู้หญิงที่แต่งงานน่ะน่าสงสาร หรือจะเป็นเฉพาะผู้หญิงไทยสมัยนี้ หรือจะเฉพาะผู้หญิงที่ผัวมีอำนาจก็ไม่รู้นะ เมียน่ะไม่มีทางจะรู้ว่าผัวเป็นอย่างไรหรอก ถ้าเขาไม่อยากให้รู้ ยิ่งคนราชการมากๆ เมียหรือผัวเป็นคนสุดท้ายที่จะรู้ว่าคู่ของตัวเป็นยังไง เช่น เมียมีชู้ เขารู้กันทั้งเมืองแล้วผัวถึงจะรู้”

“ถ้างั้นแปลว่า เมียไม่มีความสำคัญอะไรเลย” คุณแจ๋วพูดเปรยๆ

“เมียสำคัญที่สุดสำหรับสร้างบารมี ถ้าเมียไม่ดี ผัวดีเท่าไหร่ คนก็พลอยเกลียดไปถึงผัว แต่ถ้าผัวฉลาดเขาอยากทำอะไรของเขา เมียจะไปวิ่งตามรู้ได้อย่างไร ยิ่งเป็นคนมีตำแหน่งมียศ ไม่รักศักดิ์รักหน้าตัวเองเรอะ เมื่อตอนหัวค่ำฉันบอกให้คุณแจ๋วพยายามไปหาฉอ้อนเพราะฉันเห็นแล้วว่าฉอ้อนต้องการคนอย่างคุณแจ๋ว เราจะไปเข้านอกออกในเหมือนคุณแป๋วทำกับท่านผู้หญิงใหญ่น่ะไม่ได้ แต่ก็อย่าหลีกเลี่ยง ฉอ้อนนั้น” เกรินหยุดระบายลมหายใจเบาๆ “ท่านผู้หญิงฉอ้อน มองดูสวย แต่สวยเหมือนอะไร ฉันพยายามหาอะไรเปรียบมาเรื่อย สวยเหมือนไร่นาป่าเขาตอนจะเข้าฤดูหนาวเมืองฝรั่ง คุณแจ๋วคงไม่เข้าใจ คือสวย ไม่ถึงกับเศร้า แต่สงบ ไม่มีตื่นเต้น มีแต่ความหวัง และเตรียมพร้อมที่จะพบความผิดหวัง ฉันอาจจะวาดภาพเอาจากใจของฉันเองก็ได้” พูดจบแล้วนายพลเกรินก็ถอนใจเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง

คุณแจ๋วก็ก้มหน้าถอนใจเช่นกัน แต่โดยเกรินไม่เห็น “อ๋อ แน่นอน” คุณแจ๋วนึกในใจ “ใจของคุณเกรินย่อมเต็มไปด้วยมโนภาพต่างๆ ตลอดคืน และแจ๋วก็เปรียบเหมือนคนชมระเบียงภาพ คุณเกรินวาดภาพแล้วเอาออกแสดงให้แจ๋วดู แต่ไม่เป็นไร แจ๋วดูภาพจากใจของคุณเกรินด้วยความเต็มใจ” แล้วพูดดังๆ

“แต่กลับไปเล่าเรื่องนายวิทูรอีกทีเถอะ อยากรู้จริงๆ มันร้ายแค่ไหน เก่งแค่ไหน ดีแค่ไหน”

“เรื่องร้ายที่เขาลือฉันว่าคงมีความจริงบ้าง เพราะลูกน้องที่คนเขาบอกให้ฉันรู้ว่าเป็นเครื่องมือของวิทูรเรื่องค้าไอ้ของร้ายๆ หน้าตามันบอกว่ามันทำอะไรที่ร้ายได้จริงๆ แล้วก็คุณแจ๋ว ถ้าเราทำความชั่วสักอย่างนะ เราต้องทำได้หลายอย่าง เช่นคนที่เราไม่อยากให้รู้ มันเกิดรู้ขึ้นมาเราก็ต้องฆ่ามันเสีย หรือคนที่ทำงานร่วมกัน มันเกิดจะเรียกร้องเกินไป เราไม่ลงโทษคนอื่นก็จะเอาเยี่ยงอย่าง เราก็ต้องลงโทษรุนแรง ความชั่วอันหนึ่งมันพาไปหาความชั่วอีกหลายอย่าง”

“มันจะเอาร่ำรวยไปถึงไหนกันนะ” คุณแจ๋วว่า “ไม่คิดถึงว่าจะตายบ้างหรือยังไง”

“มันมีเหตุหลายอย่าง มันตั้งต้นครั้งแรกๆ เกิดปลอดโปร่ง ครั้งต่อๆ ไปก็ปลอดโปร่งอีก ไม่มีใครจับได้ หรือที่รู้ก็นิ่งเสียเพราะความกลัว ต่อมามีคนรู้เห็นเป็นใจกันมากขึ้น หยุดไม่ได้ ตัวอยากหยุด ลูกน้องมันไม่อยากหยุด ก็ต้องทำต่อไปๆ เพราะต้องเลี้ยงลูกน้อง มันเหมือนเฮโรอีนละคุณแจ๋ว อย่าไปลองมัน ลองแล้วมันหนีไม่พ้น ทีนี้เรื่องอำนาจ ถ้าลองอยากมี มันต้องทำอะไรหลายอย่างที่คนที่เป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ทำ เช่นต้องคอยระวังสืบความลับกันอยู่ นี่มันก็ต้องมีเงิน เงินไปเอามาจากไหน มันก็ต้องกระทำมิจฉาชีพต่างๆ รวมทั้งการฉ้อราษฎร์บังหลวง”

“คุณเกรินว่า นายวิทูรนี่ ถ้ามันอยู่บ้านเมืองดี มันก็จะเป็นคนดีรึ”

“ฉันว่า ถ้ามันอยู่ในบ้านเมืองที่คนมีอำนาจต้องดีถึงจะรักษาอำนาจไว้ได้ มันต้องทำดี เนื้อแท้ของวิทูรนั้นมันคนอยากมีอำนาจ ทีแรกคบกัน ฉันก็ว่าทหารที่มีนิสัยอย่างวิทูรมันก็เหมาะดี แต่เดี๋ยวนี้รู้จักโลกขึ้น เดี๋ยวนี้รู้ว่าคนเป็นทหารต้องเป็นคนไม่ชอบอำนาจ”

“แหม ชักจะไม่เข้าใจ” คุณแจ๋วบ่นเสียงอ่อน

“อย่างบ้านเมืองประชาธิปไตยน่ะ ไม่รู้มันทำของมันยังไง มันตั้งต้นตรงไหน ทหารถึงไม่มีอำนาจเป็นคนรับคำสั่งจากพลเรือนอย่างเต็มอกเต็มใจและอย่างภาคภูมิใจ แต่ดูพลเรือนของเรา ถ้าให้มีอำนาจเหนือทหารอย่างแท้จริง น่ากลัวจะมีคนมาสั่งให้ตั้งปืนตรงไหน ยิงยังไง”

คุณแจ๋วพยายามจะให้ความเอาใจใส่ต่อเนื้อความที่ญาติกล่าว แต่เริ่มรู้สึกเหนื่อยสมอง เปลี่ยนอิริยาบถด้วยการลงไปในครัวเพื่อจะตั้งน้ำร้อนใหม่ เมื่อลงไปข้างล่าง จึงเห็นว่าเช้าตรู่แล้ว เครื่องรับวิทยุอันเล็กซึ่งอยู่บนชั้นติดอยู่กับกำแพงครัว ทำเสียงอู้อี้ แสดงว่าเมื่อคืนก่อน คนที่ฟังแล้วไม่ได้บิดไกให้เรียบร้อย คุณแจ๋วไปขยับหมุนเล็กน้อย ปรากฏว่าตรงกับเวลาออกข่าวเวลาเช้า

“... ในขณะนี้ ไม่มีผู้ใดทราบว่าพลเอก วิทูร หนีไปทางไหน แต่มีผู้พบรถที่เคยขับประจำตัวทิ้งอยู่บนทางหลวงสายสุขุมวิท ประมาณกิโลเมตรที่ ๑๘๕”

อีกข่าวหนึ่งที่เกี่ยวกับครอบครัว วิทูรเทพศาสตร์ ก็คือ เมื่อเวลาประมาณ ๓ นาฬิกา ได้มีคนร้ายอุกอาจใช้ปืนยิงร้อยตรี ชัยฤทธิ์ เวลาที่กลับมาถึงบ้านจากการไปงานเลี้ยงที่บ้านเพื่อน คนร้ายถูกทหารยามยิงตาย ส่วนร้อยตรีชัยฤทธิ์ได้ถูกพาไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลทหารบก ทางการตำรวจยังไม่ยอมเผยข่าวเพิ่มเติมแต่อย่างใด”

คุณแจ๋ววิ่งขึ้นบันใด พอเข้าไปในห้องที่เกรินนั่งก็ละล่ำละลักบอกข่าว เกรินลุกจากที่นั่งโดยไม่รั้งรอ บอกแก่ญาติ “ไปแต่งตัวเร็วสิคุณแจ๋ว” คุณแจ๋วก็วิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยไม่ต้องให้พูดเป็นคำรบสอง อีกไม่กี่นาทีก็วิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง เห็นคุณเกรินออกไปเปิดประตูหน้าร้าน และออกไปเรียกรถรับจ้าง แล้วในไม่ช้า ญาติทั้งสองก็นั่งรถไปโรงพยาบาลด้วยกัน

โรงพยาบาลอยู่คนละส่วนของเมืองกับร้านแจ่มแจ๋ว ขณะที่นั่งมาในรถเพื่อจะบรรเทาความกดดัน คุณแจ๋วถามคุณเกรินเป็นการฆ่าเวลา

“นี่ ลองบอกความดีของนายวิทูรสักอย่างซี เมื่อกี้พูดกันแต่ความเลว เดี๋ยวติดใจไปจนถึงพบฉอ้อน”

“ความดีของเขารึ” เกรินย้อนถามแล้วนิ่งไปสักครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบ “เอ้า เพื่อสรุปให้สั้น การที่เขาทำงานหลายตำแหน่ง และรู้จักใช้คนมีวิชา ไม่ว่าเขาว่าราชการหน่วยไหน เขาจะมีเงินให้ทุนคนไปเรียนต่อทั้งในประเทศ นอกประเทศกันมากๆ งานที่เป็นเทคนิค เขาไม่ก้าวก่าย คนมีวิชาสรรเสริญนายวิทูรกันเกรียว ฉันเที่ยวไปนั่งฟังๆ เวลาไปงานที่เขาเชิญเลี้ยงกินข้าว พอคนชักเมามันพูดความจริงกันพอใช้”

“เอาเถอะ แจ๋วเชื่อละ ไม่ต้องบอกหลักฐานและเท่าที่ว่าก็เห็นว่าความสำเร็จของคุณวิทูรเท่าที่แจ๋วเองก็ได้ยินๆ มาก็อยู่ที่ตรงนี้ บวกกับความฉลาด มันจะสั่งซื้อเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทันสมัยใช้ในราชการ แล้วก็เสวยส่วนลดส่วนเกินไปตามโอกาส นี่ว่าตามพี่อ้น พอใครสรรเสริญวิทูรเรื่องนี้ พี่อ้นก็จะเตือนขึ้นมาเรื่องที่ว่านั่น แต่เราก็ไม่มีหลักฐาน เป็นการเดา”

“ก็เห็นจะเดาถูกพอสมควร สันนิษฐานจากสร้อยคอทับทิมของท่านผู้หญิง เมื่อคืนวันงานที่บ้านเจ้าพระยาสุเรนทร์ฯ”

“เออ อดนึกไม่ได้ว่าฉอ้อนรู้เรื่องของสามีสักเท่าไหร่ ไม่ใช่เรื่องราชการเรืองเงินเรื่องทอง” คุณแจ๋วตั้งปัญหา

เกรินถอนใจแทนคำตอบแล้วก็นิ่งไป คุณแจ๋วคิดว่าเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดแล้ว จึงนิ่งบ้าง จนกระทั่งรถไปถึงโรงพยาบาล

เมื่อไปถึงแล้ว ญาติทั้งสองก็เข้าไปถามเจ้าหน้าที่ถึงร้อยตรี ชัยฤทธิ์ ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ด้วยเสียงสะบัดว่า ไข้รายนี้ห้ามเยี่ยม และห้ามคนทั้งปวงเข้ามาซักถามด้วย

“อยากรู้ว่าเจ็บหนักไหม จะรอดหรือจะตาย จะพอให้ทราบได้ไหมคะ” คุณแจ๋วอารมณ์เย็นถาม

“ไม่ได้” เจ้าหน้าที่สะบัดตอบอีกครั้งหนึ่ง

“อยู่ตึกไหน จะเยี่ยมเจ้าของไข้ได้ไหม ผมเป็นคนรู้จักกันดีกับครอบครัวนี้” เกรินพยายามอีก

“โธ่ บอกว่าไม่ได้ ไม่ได้ คำสั่งว่าไม่ให้เยี่ยม ไม่ให้อะไรทั้งนั้น” เจ้าหน้าที่ค้อนพลางก็ออกเสียงค่อนข้างแหลม ได้ผลคือทำให้ผู้พยายามเยี่ยมสองคนถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว

ออกจากโรงพยาบาล เรียกรถจ้างได้คันหนึ่งเกรินบอกให้พาไปยังบ้านพักของพลเอก วิทูร บอกตำบลและถนนอย่างแจ่มแจ้ง คนขับรถยังไม่ทราบข่าวสำคัญเกี่ยวกับบ้านเมือง และไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกเหนือไปจากเรื่องลูกค้า จึงขับไปตามคำสั่งของเกริน

พอรถขับเข้าซอยทางด้านหลังของบ้าน เกรินก็เดาว่าคงจะมาช้าไปเสียแล้วเช่นกัน มีรถของทหารจอดอยู่หน้าบ้านที่เขามาในฐานะแขกเพื่อนสนิทของท่านผู้หญิงแลท่านรอง ในคืนก่อน มีนายทหารและพลทหารยืนใกล้รถสองสามคน พอรถรับจ้างของเกรินเข้าไปในระยะใกล้พลทหารก็เดินเข้ามาห้ามไม่ให้เคลื่อนเข้าไป เกรินและคุณแจ๋วลงจากรถ จ่ายเงินให้คนขับ แล้วเดินเข้าไปหานายทหาร

“ผมพลตรีเกริน เหมเสนา ประจำโรงเรียนเสนาธิการ ผมจะขอเข้าไปเยี่ยมท่านผู้หญิงครับ” เกรินแจ้งแก่นายทหารรักษาการ

นายทหารยกมือขึ้นทำความเคารพอย่างสุภาพ “เสียใจครับ คำสั่งว่าไม่ให้ใครเข้านอกจากเจ้าหน้าที่”

“อ้าว แล้วท่านผู้หญิงหรือลูกๆ จะไปไหนๆ ได้ไหมครับ”

“เอ้อ เอ้อ” นายทหารไม่แน่ใจ มองดูเกรินอย่างคนจำได้คลับคล้ายคลับคลา แล้วยื่นมือออกมา “ผมขอดูบัตรประจำตัวคุณสักหน่อย”

เกรินควักทุกกระเป๋าของกางเกงและเสื้อปล่อยเอวที่เขาสวมอยู่ มีแต่ธนบัตร บัตรอื่นไม่ได้ติดตัวมาด้วยเลย เขาพยักหน้ากับคุณแจ๋ว “กลับไปบ้านก่อนเถิด คุณแจ๋ว”

รถรับจ้างคันที่พาสองคนมาที่บ้านนั้นได้กลับไปแล้ว เขาต้องเดินไปหารถใหม่ คุณแจ๋วสังเกตว่าวิธีกลับบ้านของเกรินออกจะพิสดาร เขาสั่งให้รถไปส่งเลยซอยบ้านไปมาก แล้วจ้างรถอีกคันหนึ่ง ให้แล่นวกไปทางถนนอีกสายหนึ่งที่ขนานกับถนนใหญ่ที่ผ่านซอยบ้านของเขา แล้วจับรถอีกคันหนึ่งให้ไปส่งที่ใกล้ๆ ปากซอย แล้วเดินย้อนให้ไกลไปอีกหน่อย แล้วจึงจ้างรถอีกคันหนึ่งอีก ให้แล่นเข้าซอยบ้านของตัว ให้แล่นเลยบ้านของตัวไป แล้วจึงเดินย้อนมาเข้าประตูบ้าน

“ให้คนที่ซุ่มดูงงๆ กันหน่อย ถ้ามี อาจได้ผลบ้าง แต่ก็ไม่แน่นัก” ปรารมภ์แก่ญาติ แล้วก็เปิดประตูบ้าน ซึ่งมีอายุเกินอายุของเขาและคุณแจ๋วมาก แต่ได้ซ่อมแซมทาสีใหม่ให้ดูสะอาดตา

คุณแจ๋วรู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณแจ๋วจะได้พบกับภรรยาคุณเกริน ตั้งแต่คุณเกรินแต่งงานญาติทั้งสองไม่ได้อยู่จังหวัดเดียวกันเลย และตั้งแต่คุณเกรินย้ายเข้ากรุงเทพฯ เขาก็ไม่เคยพาภรรยาไปบ้านญาติคนไหน คุณแจ๋ววาดภาพ “แม่อุไร” ของคุณเกรินไม่ถูกเลย คลับคล้ายคลับคลาว่าได้เคยเห็นรูปถ่ายสักครั้งหนึ่ง แต่เป็นรูปถ่ายเล่นที่ชายทะเลหรือใกล้น้ำตกแห่งใดแห่งหนึ่ง และรูปร่างหน้าตาไม่ชัดเจน แต่ไม่ได้เตรียมว่าจะพบกับสตรีที่เป็นสะใภ้ ที่เปิดประตูเรือนออกมารับรองในเช้านี้ “แม่อุไร” เป็นคนสวยมากทีเดียว ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูเป็นคนในปฐมวัย ผมหยักศกโดยธรรมชาติ สีดำขลับ ดวงหน้าขาวผ่อง ไม่เสริมสวยด้วยอะไรทั้งสิ้นนอกจากแป้ง ซึ่งคุณแจ๋วคาดเอาจากสีว่าเป็นแป้งนวลอย่างที่คุณแจ๋วใช้เมื่อ ๒๐ ปีมาแล้ว นุ่งผ้าซิ่นเชียงใหม่ริ้วเขียวสลับดำและสวมเสื้อสีโศกเป็นแบบเรียบๆ ผ่าอกติดกระดุม

“อ้าวแม่อุไร ลุกขึ้นมาได้แจ่มใสดีเทียวรึ นี่คุณแจ๋วกำลังมีธุระร้อนอย่างเหลือเกิน ช่วยดูแลด้วย ฉันจะขึ้นไปแต่งตัวแล้วก็ต้องออกไปอีกทันที นายเริ่มเขายังไม่เอารถมารับอีกเรอะ”

พอคุณเกรินพูดขาดคำ ก็มีเสียงรถยนต์ตรงประตูบ้าน บ้านนายพลเกรินเล็กเกินที่จะเก็บรถตำแหน่งไว้ได้ถึงเวลาเช้า คนขับซึ่งเป็นทหารก็ขับมารับเมื่อเสร็จธุระมาส่งแล้วก็เอารถไปเก็บไว้ที่กระทรวงกลาโหม ได้ยินเสียงรถภรรยาคุณเกรินก็พูด สำเนียงแปร่งเป็นชาวจังหวัดอะไร คุณแจ๋วก็ไม่อาจทราบได้

“เขามาพอดี” แล้วหันมาทางคุณแจ๋ว “เชิญค่ะ เชิญ นั่งก่อนซิคะ อิฉันหาน้ำให้ รับกาแฟหรือน้ำชาคะ เย็นหรือร้อน”

“ขอบคุณค่ะ ไม่ต้องทั้งสองอย่างค่ะ รับประทานมาแล้ว” คุณแจ๋วตอบ นัยน์ตาจับอยู่ที่หน้าสะใภ้อย่างที่เรียกว่าไม่วางตา

ภรรยาคุณเกรินขึนเรือนไปเมื่อคุณแจ๋วลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งเรียบร้อยแล้ว และกลับลงมาพร้อมกับสามีซึ่งแต่งเครื่องแบบเรียบร้อย คุณแจ๋วยกมือไหว้ลา เพราะรู้ว่าคุณเกรินอยากไปเร็วที่สุด ภรรยาคุณเกรินตกใจย่อตัวและก้มศีรษะลงต่ำที่สุด เพื่อรับไหว้ คุณเกรินหันมาพูดกับภรรยาก่อนที่จะลงบันไดเรือน

“แม่อุไร อย่าทำใจเย็น ไปหาหมอเสีย โรงพยาบาลก็แค่นี้เอง หรือไม่งั้นก็โทรศัพท์ไปเรียกหมอนิยมมาบ้าน ให้เขาวัดเลือดเสีย ประเดี๋ยวจะต้องแย่กันเหมือนเมื่อคราวก่อน ได้ยินไหม”

“ค่ะ” แม่อุไรยิ้มรับ

“อย่าค่ะแต่ปากนะ ชอบทิ้งเอาไว้จนเป็นมากทุกที บังเอิญวันนี้ฉันต้องวิ่งวุ่น เกรียงก็ยังไม่กลับบ้าน เข้าใจไหม”

“ค่ะ ค่ะ” ภรรยายิ้มรับปากอีก คุณเกรินหันมาพยักหน้ากับคุณแจ๋ว ลงบันไดนำไปขึ้นรถที่หน้าประตูบ้าน บอกให้คนขับพาไปกระทรวงกลาโหม

ไปถึงกระทรวงแล้ว คุณเกรินก็บอกคุณแจ๋วรออยู่ในรถ “บอกให้รอละก็รอนะ คำสั่งทหารนะนี่ อย่าเป็นนายพลสองคน วันนี้ต้องทำตามคำสั่งฉันก่อนนะ คุณแจ๋ว” เขากำชับก่อนที่จะวิ่งขึ้นตึกไป

เขาหายไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ลงมา ขึ้นรถแล้วบอกให้คนขับไปที่บ้านพลเอก วิทูร

“เคราะห์ดีพิลึก พันโท ทวีเขาเป็นหัวหน้ารักษาการณ์ที่บ้านนั้น เป็นลูกศิษย์นายเฉลิม เพื่อนรบญี่ปุ่นที่นครศรีธรรมราชด้วยกัน เขาโทรศัพท์นัดแนะให้เรียบร้อย เราไปถึงก็เข้าไปเยี่ยมฉอ้อนได้ทันที” เกรินบอกญาติของเขา

ในเวลาไม่กี่นาที รถก็พาคุณแจ๋วและเกรินมายังที่อยู่ของท่านผู้หญิงฉอ้อน เกรินให้จอดรถห่างจากประตูบ้านตามที่ทหารรักษาการณ์บอก ตัวเองลงจากรถ เข้าไปขอพบหัวหน้า เมื่อได้พบแล้วก็ได้รับอนุญาตให้รถเข้าไปภายในบริเวณบ้าน เกรินพบสาวใช้ที่รับใช้ที่โต๊ะอาหารเมื่อค่ำวันก่อน ความรู้สึกเหมือนว่าพบคนที่เคยรู้จักกันแรมปี เขารีบเข้าไปบอกให้เรียนท่านผู้หญิงหรือคุณฉอเลาะว่า คุณเกรินกับคุณแจ๋วมาเยี่ยม

สาวใช้ขึ้นไปชั้นบน เกรินและคุณแจ๋วเข้าไปในห้องรับแขกใหญ่ชั้นนอก ทั้งสองไม่ลงนั่ง ยืนมองไปรอบๆ เห็นความสวยงามราคาแพงอยู่ทั่วไป แต่ไม่จารึกลงสมองว่าเป็นสิ่งใดบ้าง แล้วอีกประมาณ ๕ นาที มีเสียงฝีเท้าลงบันได ญาติชายหญิงจึงเหลียวไปดู เห็นท่านผู้หญิงฉอ้อนวิ่งลงมา แล้วคุณแจ๋วก็รู้สึกว่ามีแขนสองแขนมาโอบตัวไว้ มีเสียงกระเส่าเรียกชื่อ

“คุณแจ๋ว คุณแจ๋วขา”

คุณแจ๋วโอบร่างท่านผู้หญิงไว้แนบกับตัว เกรินมองดูหญิงทั้งสองกอดกันด้วยสายตาประหลาด แล้วคุณแจ๋วก็ค่อยๆ ประคองให้เพื่อนในวัยเด็กนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ประหนึ่งว่าบ้านเป็นของคุณแจ๋ว และเพื่อนเป็นผู้เข้ามาหา ลงนั่งแล้วคุณแจ๋วก็ยังประคองอยู่ คุณแจ๋วเป็นคนที่ร้องไห้ไม่ออกในเวลาที่มีความรู้สึกกดดันแรง แต่มีสติพอที่จะพูด

“ฉอ้อนจ๋า ถ้าอยากร้องไห้ละก็ อย่ากลั้นไว้นะ ร้องออกมา ตาฤทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง แล้วฉอเลาะไปไหน”

ท่านผู้หญิงสั่นศีรษะ “ไม่มีหวังหรอกค่ะ เขาพยายามหลอก แต่ฉอ้อนรู้” เสียงที่ตอบนั้นเป็นถ้อยคำที่ชัดเจน ถึงแม้จะขาดเป็นห้วง น้ำตาไหลซึมไม่พรั่งพรายอย่างที่คุณแจ๋วคิดว่าควรจะเป็น

“คุณวิทูรคงจะไปพ้นแล้ว” เกรินกระซิบบอก “อย่าเป็นห่วงเขาเลย เขามีความสามารถ เป็นห่วงลูกกับตัวเอง”

ท่านผู้หญิงยิ้มกับคุณเกริน คุณแจ๋วมองเพื่อนและนึก “ตอนนี้สวยเหมือนฤดูหนาวแล้ว เศร้าและวังเวง ถึงจะไม่เคยไปเมืองนอก แจ๋วก็วาดภาพได้นะคุณเกริน” มือของคุณแจ๋วจับมือท่านผู้หญิงมาลูบคลำเบาๆ พอดีฉอเลาะลงบันไดและเข้ามาในห้อง ฉอเลาะเข้ามากราบคุณเกรินก่อน แล้วจึงมากราบที่แขนคุณแจ๋ว แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นในอาการของคนที่กลั้นไว้ไม่ได้

“นั่งข้างลุงนี่ ฉอเลาะ” เกรินเรียก เมื่อฉอเลาะไปทำตามคำสั่ง เขาก็เอาแขนโอบตัวหญิงสาวไว้ “ทำใจให้ดีๆ นะ ลุงไม่ได้ห้ามไม่ให้ร้องไห้ ร้องแล้วค่อยยังชั่วแต่ฉอเลาะจะต้องเป็นที่พึ่งของแม่และน้อง ลุงคิดว่าฉอเลาะจะรักษาตัวไว้ให้ดี อย่าให้เจ็บไข้นะ”

“โถ คุณเกริน” ฉอ้อนกล่าวเสียงเศร้าและพยายามยิ้ม ทำให้ดวงหน้ามองดูเยือกเย็นพิกล “ทำไมจะให้ฉอเลาะเป็นที่พึ่งแก่แม่ คุณเกรินยังเห็นฉอ้อนเป็นเด็กเหมือนยี่สิบปีก่อนรึคะ ฉอ้อนทำใจได้ค่ะ คุณเกรินไม่รู้” ตอนนี้สะอื้นขึ้นมาจากทรวงอก แล้วฉอ้อนก็ระงับได้และพูดต่อ แต่พูดและสะอื้นไปพลางเบาๆ “คุณเกรินไม่รู้ว่าฉอ้อนเตรียมใจมานานแล้ว ฉอ้อนสังหรณ์ในใจว่าวันหนึ่งจะเป็นอย่างนี้”

เกรินกอดฉอเลาะกระชับขึ้นไปอีก “แต่ฉอเลาะเป็นเด็กเข้มแข็ง ลุงรู้ ใช่ไหม ฉอเลาะ” เขาจ้องหน้าถามประดุจจะส่งพลังใจของเขาให้แก่หญิงสาวทางสายตา

ฉอเลาะซบหน้าลงบนบ่าคุณเกริน สะอื้นเบาๆ “หนูจะไม่ทำให้แม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คุณลุง หนูรู้ว่าตอนนี้หนูต้องช่วยแม่ช่วยน้อง คุณลุงมาอย่างงี้ไม่กลัวรึคะ”

“ถึงเวลาจะต้องเป็นยังไง มันก็เป็นไปนะหลานนะ ถ้าอะไรจะเกิดแก่ลุง ลุงก็นึกว่ามันต้องเกิด แต่ฉอเลาะควรจะรู้ดีว่า ในเวลาอย่างนี้ลุงไม่ทิ้งแม่ของหนู ไม่ทิ้งหนูเป็นอันขาด” เกรินพูดเสียงมั่นคง แต่คุณแจ๋วจับได้ว่ามีคลื่นของความกำสรดอยู่ใต้กระแสเสียง

“ถ้าเขาอนุญาต ป้าจะมาค้างอยู่ด้วยก็ได้” คุณแจ๋วกล่าวแก่ฉอเลาะ “เอาไหม ให้คุณเกรินไปขออนุญาตทางกระทรวง”

“โถ คุณแจ๋ว” ท่านผู้หญิงทำเสียงรำพัน “อยากจะพบคุณแจ๋ว อยากคุย อยากปรับทุกข์สารพัด ได้มาพบกันเวลาอย่างนี้ ถ้าไม่ติดการงาน คุณแจ๋วมาอยู่กับฉอ้อนก็อุ่นใจซิคะ”

“เอาเถิด ถ้าจัดการได้ แจ๋วจะพยายาม” คุณแจ๋วกล่าวแก่เพื่อน “ถ้ายังงั้นก็ต้องไปเสียก่อน ตาฤทธิ์เป็นยังไง โทรศัพท์บอกลุงเกรินนะ ฉอเลาะ เออแล้ว น้าเฌอล่ะ”

“เห็นคนสวนบอกว่าเฌอมา แต่ทหารเขาไม่ให้เข้า ต้องได้รับอนุญาตก่อน” ฉอ้อนบอก “สองสามวันนี้เขามาตรวจเอกสาร เขาบอกว่าถ้าตรวจเสร็จแล้วใครจะเข้าออกก็ได้”

ทันใดนั้นมีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น แล้วไม่ช้าคนใช้เข้ามาเรียนท่านผู้หญิงว่า มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาล บอกว่าชัยฤทธิ์รู้สึกตัวแล้ว ขอเชิญท่านผู้หญิงรีบไปหา ยังไม่ทันที่ท่านผู้หญิงและฉอเลาะจะกล่าวขอโทษต่อผู้เยี่ยมเยือนเพื่อจะอำลาไปโรงพยาบาล ก็มีกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นอีก คนใช้วิ่งออกไปรับ แล้วกลับเข้ามาบอกว่า พลโท เฉลิมต้องการพูดกับคุณเกริน เกรินจึงออกไปรับโทรศัพท์ ภายในหนึ่งนาทีเขากลับมาและบอกแก่ญาติมิตรว่า เขาจะต้องรีบเข้าไปกระทรวงเพราะผู้บังคับบัญชาต้องการพบตัว ทั้งสองฝ่ายจึงอำลากันและกัน แล้วต่างก็ออกมาขึ้นรถที่เป็นพาหนะของตน แล้วแยกทางกันไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ