บทที่ ๒๘
เวลานั้นเป็นเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา เกรินกินอาหารเย็นแล้ว เขาแต่งกายอย่างอยู่กับบ้าน สวมกางเกงแพรจีน เสื้อผ้าขาวบางๆ คอกลมเปิดกว้าง เขาเปิดโทรทัศน์ฟังข่าวอยู่ที่ระเบียงเรือนชั้นบนใกล้ห้องนอน เสียงมโหรีจากเครื่องวิทยุในห้องดังมาเคล้ากับเสียงจากเครื่องโทรทัศน์ ทำให้รู้ว่าทั้งโทรทัศน์และวิทยุไม่สามารถยึดความสนใจของเจ้าของ เกรินนั่งครึ่งนอนครึ่งอยู่บนเก้าอี้ยาวทำด้วยหวายแบบเก่า ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านนี้เป็นแบบสมัยเก่า ตัวเรือนสร้างในรัชกาลที่ ๖ ในที่ดินของบรรพบุรุษ อยู่ในซอยเปิดออกสู่ถนนราชวิถี ที่ดินริมถนนใหญ่ขายไปแล้ว และได้แบ่งเงินไประหว่างพี่น้อง บิดาเดียวกันสามสี่คน บ้านนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นสมบัติชิ้นเดียวของเกริน
ขณะนั้นเขาอยู่คนเดียวในบ้าน แม้แต่เด็กชายรับใช้และแม่ครัวได้ลาไปหาความสำราญที่อื่น ลูกชายคนเล็กของเขามีธุระออกจากบ้านในเวลาค่ำเกือบไม่เว้นวัน ไปในงานกิจกรรมพิเศษต่างๆ ของวิทยาลัย หรือมิฉะนั้นก็ไปเยี่ยมเยือนมิตรสหายในวัยเดียวกันกับเขา ลูกชายคนใหญ่ยังไม่กลับจากต่างประเทศ “แม่อุไร” ผู้เคยนอนอยู่บนเตียงในห้องนอนเพราะ “ไม่ค่อยสบาย” เกือบตลอดชีวิตสมรส ก็เป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ทิ้งเกรินไว้ให้อยู่บ้านอย่างเงียบสงบเช่นคืนนี้ หลายๆ คืนในสัปดาห์หนึ่งๆ
“เงียบเกินไป” เกรินบอกแก่ตัวเอง “เงียบและเหงา ไปสโมสรดีกว่า ได้แทงบิลเลียดสักสองสามเกมก็ดี เสียแต่เวลาไปสโมสร พบเพื่อนมันชวนดื่ม กลับบ้านก็เลยไม่สบาย”
เขาขยับเขยื้อนตัวอยู่บนเก้าอี้หลายครั้ง เขาอยากให้โต๊ะบิลเลียดวิ่งมาอยู่ใกล้ๆ ตัวเขา ไม่ต้องลุกขึ้นเปลี่ยนกางเกงเปลี่ยนเสื้อ นึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มตั้งแต่ยังเป็นนายทหารอยู่ที่เพชรบุรี สมัยนั้นถูกเกณฑ์ให้แต่งเครื่องแบบไม่ว่าจะไปไหน ต่อมามีการผ่อนผันให้แต่งอย่างพลเรือน ต่อมาถึงสมัยที่ผู้ชายออกจากบ้านด้วยกางเกงแพรจีนและเสื้อชั้นนอกที่ไม่ต้องขัดกระดุม แต่เกรินก็ไม่เคยนิยมประพฤติเช่นนั้น นึกถึงตัวเองว่าเป็นคนแปลกจากเพื่อนฝูง หรือเป็นคนไม่มีอะไรเป็นพิเศษ รู้แน่แต่ว่าตลอดชีวิตพยายามไม่ให้ใครมาสังเกตตัวมากนัก พอใจที่จะอยู่ในร่มในเงา ไม่ค่อยชอบออกเต้นหน้าเวที
มาถึงตอนนี้ความคิดเปรียบเหมือนสิ่งที่ซุกชน วิ่งปราดไปถึงหญิงคนหนึ่ง รูปร่างสูงระหง กิริยาท่าทางปราดเปรียวนุ่งซิ่นกรอมเท้า เสื้อตัวสั้นพอดีกับทรวงอกและเอว เจ้าหล่อนผู้นี้ไม่เหมือนใครเลย มีอะไรพิเศษผิดแผกจากคนอื่น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของตัวเองไม่ขึ้นกับความนิยมของผู้ใด
เขามีความรู้สึกใกล้เคียงกับความคิดถึงหญิงผู้นี้อย่างมาก ลองแต่งจดหมายในสมอง
“จ้าวที่รัก
ผมกำลังอยู่คนเดียวในบ้านซึ่งเล็กและไม่มีอะไรสวยเลย เครื่องเรือนที่สมสมัยสักชิ้นหนึ่งก็ไม่มี เป็นคนไม่มีอะไรสะดุดตาสะดุดใจใครเลย ตรงข้ามกับจ้าว ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวจ้าวเรียกร้องความสนใจทั้งนั้น จ้าวไม่ใช่คนสวยแต่น่าดูและยังน่าฟังอีกด้วย แต่คนอย่างผมเห็นจะไม่มีวันทำให้จ้าวสนใจได้”
พอเขาแต่งจดหมายในสมองมาถึงตอนนี้ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า “เอาละซิ เรากับพี่อ้นนี่ก็ใกล้ชิดกันเข้าไปมาก คนบ้ากับคนดีมันห่างกันไม่ถึงเส้นผม พี่อ้นเขียนจดหมายถึงพี่จำลองใส่สมุดทิ้งไว้ในห้อง ส่วนเราเขียนเอาไว้ในสมอง ไม่แตกต่างกันกี่มากน้อย” ทันใดนั้นกริ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เกรินนึกรำคาญเสียงโทรศัพท์ “ใครหนอ โทรศัพท์มาป่านนี้ ราชการงานเมืองที่สลักสำคัญเราก็ไม่ได้ทำมานานแล้ว ยังติดเครื่องหมายว่าเป็นพวกนายวิทูร ไม่หมดสิ้นไปเลย นึกไปก็สบายดี สำหรับคนขี้เกียจอย่างเรา ได้อ่านหนังสือที่คิดไว้ว่าอยากอ่าน แต่ไม่มีเวลาจะอ่าน แต่ความรู้ที่ได้จากหนังสือก็ไม่รู้จะถ่ายเทให้เป็นประโยชน์แก่ใคร”
เสียงกริ่งโทรศัพท์เร่งเร้าหนักขึ้น จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นเดินอย่างขี้เกียจไปรับที่หัวบันไดหน้าประตูห้องนอน
“นี่ แจ๋วค่ะ คุณเกริน ว่างไหม ขอรบกวนช่วยขับรถมารับไปบ้านฉอ้อนด้วยกันได้ไหม” เสียงจากโทรศัพท์กรอกลงอย่างทุ้มๆ เข้าหูเกริน ทำให้เขารู้สึกหายเหงาไปทันที แต่ถามไปด้วยความประหลาดใจว่า
“มีธุระสำคัญอะไร นี่สองทุ่มเกือบครึ่งแล้วนะคุณแจ๋ว กว่าจะไปรับแล้วไปบ้านฉอ้อนเขามินอนหลับกันหมดแล้วหรือ”
เสียงคุณแจ๋วพูดมาทางโทรศัพท์ “มีเวลาว่างเฉพาะคืนนี้ และจะไม่ว่างไปอีกหลายวัน ต้องไปเที่ยวส่งอาหารงานโน้นงานนี้หลายงาน โทรศัพท์ไปที่บ้านใกล้ ถามฉอ้อนแล้ว เขาบอกว่ากำลังอยากให้ไป แจ๋วจะไปพูดเรื่องพี่อ้น เรื่องที่เราได้รับข่าวจากปีนัง เก็บๆ ไว้ว่าจะหาวิธีพูด นึกๆ ก็ไม่ออก เลยคิดว่าจะไปบอกให้มันรู้แล้วรู้รอดไป”
“แล้วที่ว่าจะปรึกษาพี่จำลอง ได้ปรึกษาแล้วหรือยัง” เกรินถามไป
“ปรึกษาแล้ว พี่จำลองบอกว่าหมดปัญหาทางกฎหมายแล้ว” เสียงตอบว่า “ยังเหลือแต่เรื่องจิตใจ แจ๋วกลุ้มถึงขนาดอยากร้องไห้ออกมาดังๆ เวลาอยู่คนเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปรับเดี๋ยวนี้ละ เตรียมตัวไว้ให้พร้อมนะ”
เกรินวางหูโทรศัพท์แล้วก็ยืนใจลอยเคว้งคว้างอยู่ใกล้ๆ นั้น ให้รู้สึกวาบๆ หวิวๆ ในทรวงอก ซึ่งตัวเองไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร แต่แล้วเขาก็กระวีกระวาดไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวสำหรับออกจากบ้าน และลงไปที่รถ
เขาขับรถมอริส ๖๐๐ จากโรงออกไปนอกประตูบ้านหยุดรถแล้วก็ลงมาปิดประตูใส่กุญแจ ยืนมองดูบ้านอยู่สักครู่หนึ่งแล้วก็บอกตัวเอง “ขโมยขึ้นก็ไม่มีอะไรจะขโมย มันคงไม่ขนหนังสือไปให้หนักเปล่าๆ มีของที่มันอาจจะเอาไปก็โทรทัศน์และวิทยุ คิดว่าบริจาคไปก็แล้วกัน”
เกรินขับรถจากซอยออกสู่ถนนใหญ่ เขานึกยินดีว่าได้คิดถูกในการซื้อรถคันเล็กไว้ใช้ธุระส่วนตัวหนึ่งคัน น่าขันว่ารถประจำตำแหน่งนายพลนั้นใหญ่เกินที่จะเข้าบ้านนายพล จึงต้องส่งไปเก็บไว้ที่กระทรวง เขาเหลือบตาดูตึกใหญ่ๆ ที่ริมถนนที่ปากซอยซึ่งข่มบ้านเขาให้ดูเป็นเรือนเล็กเตี้ยต่ำ แล้วก็หัวเราะหึๆ คนเดียว
เขาไปถึงร้านอาหารของคุณแจ๋วภายในเวลาาที่เขาคะเนไว้ พบคุณแจ๋วแต่งตัวเรียบร้อยอยู่แล้ว พอรถของเขาจอดที่หน้าร้าน คุณแจ๋วก็ตรงเข้ามาเปิดประตูรถเองอย่างว่องไว จนเขาไม่ทันได้ทำกิริยาที่เหมาะสมแก่สภาพบรุษ คุณแจ๋วขึ้นนั่งเคียงเขาแล้ว เกรินก็นำรถไปสู่ทิศตะวันตกของพระนครกรุงเทพฯ
ภายหลังที่ได้นำอัฐิของสามีมาบรรจุรวมไว้กับอัฐิของบรรพบุรุษในตระกูลวรุตมภาพที่จังหวัดนนทบุรีแล้ว ท่านผู้หญิงฉอ้อนด้วยความช่วยเหลือของจำลองก็สอบสวนเรื่องทรัพย์สมบัติของสามี จำลองได้แนะนำให้ฉอ้อนร้องต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกของพลเอกวิทูรและได้ประกาศขอให้ผู้ที่เคยติดต่อในทางการเงินกับวิทูรมาแจ้งให้ผู้จัดการมรดกทราบว่ามีพันธะอย่างไรกับผู้ตาย ปรากฏว่ามีคนที่ซื่อสัตย์มาแจ้งว่าเป็นลูกหนี้ของพลเอกวิทูรหลายราย เป็นจำนวนเงินประมาณแสนบาท เป็นที่เข้าใจว่าคงจะมีคนที่เป็นลูกหนี้หลายรายที่มิได้มาแจ้ง เจ้าหนี้มีบ้างสองสามรายไม่เป็นจำนวนเงินสูงนัก ประมาณสามสี่หมื่นบาท มีธนาคารนอกประเทศแจ้งมาให้ทราบว่า วิทูรมีเงินฝากอยู่รวมทั้งสิ้นประมาณแปดแสนบาท ส่วนนายโกนายนายกัวก็ได้แจ้งแก่ท่านผู้หญิงถึงสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ของวิทูร เป็นมูลค่ารวมกันเกือบหนึ่งล้านบาท คนส่วนมากลงความเห็นว่าสมบัติของวิทูรและทายาทถูกยักยอกหรือถูกโกง ทรัพย์สินของวิทูรคงจะมีอีกมากมาย แต่คงจะอยู่ในชื่อของผู้อื่น จำลองแนะนำแก่ฉอ้อนว่าไม่มีทางที่จะไปบีบบังคับแก่คนเหล่านั้น แต่นานๆ ไปก็อาจจะสืบสวนเพื่อเรียกเก็บกลับมาได้ทีละเล็กละน้อย
นอกจากนั้น จำลองได้แนะนำท่านผู้หญิงให้ทำสิ่งที่เขาไม่ได้หวังมากนักว่าจะทำตาม คือ ให้สืบจากคนที่เคยร่วมงานร่วมใจกับ “ท่านวิทูร” ว่า เขาอาจมีสายโลหิตอยู่ที่ไหนที่ภรรยาของเขาคงไม่ทราบ เพื่อจะได้เจรจาแบ่งปันทรัพย์สินไปให้เท่าที่จะทำได้ และจะได้ไม่มีการฟ้องร้องในศาลให้อับอายขายหน้าประชาชน โดยความสนับสนุนของเฌอ และพลตรีวิเวก ท่านผู้หญิงก็ทำตามคำแนะนำอย่างละมุนละม่อม จึงได้ทราบจากหญิงสองคนว่าวิทูรมีบุตรหญิงคนหนึ่งและบุตรชายคนหนึ่ง เกิดแต่หญิงนั้นคนละคน ฉอ้อนได้ขอให้ฉอเลาะพิจารณาเด็กสองคนที่หญิงมารดากล่าวอ้างว่าเป็นน้องร่วมบิดากับฉอเลาะ ฉอเลาะก็ทำตามที่มารดาขอร้องโดยไม่อิดออดมากนัก เด็กผู้ชายที่ฉอเลาะได้พบฉอเลาะมีความรู้สึกทันทีว่าเป็นน้อง มีอะไรหลายอย่างในดวงหน้าและแววตาเหมือนชัยฤทธิ์เมื่อยังเป็นเด็ก แต่เด็กหญิงนั้นไม่มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงญาติทางบิดาคนใดเลย ฉอเลาะไม่ค่อยจะปลงใจเชื่อได้เลยว่าเด็กนั้นเป็นน้องร่วมบิดา ระหว่างที่รีรอไม่รู้จะตัดสินอย่างไรก็เกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างหญิงนั้นกับคนขับรถประจำตัว “ท่านวิทูร” คนขับรถนำความมาแจ้งว่า เด็กหญิงคนนั้นเป็นบุตรของเขา หาใช่บุตรของ “ท่าน” ไม่ และขอให้ท่านผู้หญิงจ่ายเงินให้แก่เขา ในการนำความจริงมาแจ้ง ฉอ้อนมอบเรื่องให้จำลองจัดการ จำลองได้เรียกตัวหญิงและคนขับรถมาสอบปากคำ ในที่สุดเกลี้ยกล่อมให้รับเงินจำนวนหนึ่งไป โดยเซ็นหนังสือสารภาพความจริงตั้งแต่ต้นจนจบไว้ให้ และปฏิบัติสิ่งที่ควรปฏิบัติเพื่อให้สองคนไม่มารบกวนทายาทอันชอบธรรมของผู้ตายต่อไป ส่วนเด็กชายที่ฉอเลาะรับรองว่าเหมือนชัยฤทธิ์ จำลองก็จัดการให้มารดามารับเงินจำนวนหนึ่ง กับหาเงินก้อนหนึ่งฝากกับบริษัทประกันการศึกษาแห่งหนึ่งที่เชื่อถือได้ สำหรับเด็กจะได้มีการศึกษาพอสมควร ซึ่งท่านผู้หญิงกับลูกๆ ก็เชื่อ รับทำตามคำแนะนำของจำลองและญาติมิตร มีเฌอ วิเวกและเกริน เป็นต้น โดยดี เรื่องที่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกของพลเอกวิทูร ก็สงบเรียบร้อย เกินความคาดหมายของจำลองผู้เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย
ทรัพย์สินที่มีอ้างไว้ในพินัยกรรมของพลเอกวิทูรเป็นหุ้นบริษัทต่างๆ ที่เขาเป็นประธานกรรมการบ้างเป็นผู้ก่อตั้งบ้าง และมีพันธบัตรรัฐบาลอยู่เป็นจำนวนรวมแล้วกว่าล้านบาท ซึ่งคนโดยมากก็บอกอีกว่า ไม่ตรงกับความจริง วิทูรจะต้องมีเงินอยู่ในนามของคนอื่นอีกมาก เกรินสังเกตว่า ฉอ้อนฉลาดพอที่จะรู้เท่าทันความหมายของคนทั้งปวงที่ออกความเห็นเรื่องนี้ ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ฉอ้อนได้มาปรึกษากับเกรินครั้งหนึ่งว่า ทรัพย์สินของวิทูรนั้น ถ้ามีที่น่าสงสัยว่าไม่ได้มาโดยสุจริต ผู้เป็นทายาทควรทำอย่างไร เกรินได้ให้คำแนะนำว่า เป็นการเกินความสามารถของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่จะตัดสินว่าทรัพย์สินของสามีที่ล่วงลับไปแล้ว มีที่มาจากความสุจริตหรือไม่ ทางที่ดีที่สุดที่ฉอ้อนควรทำก็คือ พยายามเลี้ยงลูกให้เป็นพลเมืองดีอย่างสุดความสามารถ และประพฤติตนในทางที่ถูกต้องตามคติของศาสนาที่ตนมีศรัทธาเชื่อถือ นอกจากนั้น ก็น่าจะต้องทิ้งให้เวรกรรม ซึ่งมีกฎเกณฑ์ไม่ละเว้นโทษหรือเว้นคุณของผู้ใด จะตัดสินและก่อวิบากให้ ทั้งที่เป็นบุญและที่เป็นบาปอย่างยุติธรรม
เกริน คุณแจ๋ว และฉอ้อน รักษามิตรภาพระหว่างกันมาตลอดปีที่แล้วมาอย่างปรกติ ต่างคนต่างได้อาศัยน้ำใจของกันและกัน ทำให้ชีวิตไม่แห้งแล้ง เฌอก็มีความพอใจกับการดำเนินชีวิตของพี่สาว ได้ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างที่ช่วยได้ ญาติของวิทูรทั้งหลายก็ปฏิบัติในทำนองเดียวกัน ภายหลังที่รวบรวมเงินได้พอสมควรฉอ้อนก็ได้ปลูกบ้านในที่ดินแปลงหนึ่งที่ได้ซื้อไว้นานแล้วในถนนเอกมัย เป็นบ้านที่สมสมัยน่าอยู่พอสมควร มีที่ว่างเผื่อไว้สำหรับฉอเลาะปลูกเรือนหอในเมื่อเวลาอันสมควรมาถึง เงินสำหรับการศึกษาของกลองก็มีพอ ฉอ้อนและครอบครัวดำเนินชีวิตอย่างไม่ฟุ่มเฟือยนัก ฉอ้อนมีนิสัยประหยัดตามลักษณะของชาวชนบทมาเป็นทุนเดิม และฉอเลาะก็เป็นหญิงสาวที่อุปนิสัยค่อนข้างที่จะโอนอ่อนผ่อนตามผู้ใหญ่ ความยุ่งยากในเรื่องการเงินจึงไม่เกิดแก่ครอบครัวนี้
ปัญหาทางใจของฉอ้อนที่เกรินห่วงใยก็ผ่อนคลายหายไป นับแต่วันที่ฉอ้อนได้จุดเพลิงกระทำฌาปนกิจแก่ศพของสามี ผู้เคยเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตของหล่อน เกรินสังเกตด้วยความพอใจในตัวของเขาเองเป็นอย่างยิ่งว่าฉอ้อนเลิกเก็บความแค้นในใจไว้แล้ว หล่อนสามารถระลึกถึงความรักในอดีตโดยไม่มีความแค้นภายหลังมาปะปนให้เกิดความโทมนัส และได้ประกอบอภัยทานด้วยใจจริง ไม่ใช่ด้วยวิธีบอกแก่ตนเองว่าได้อภัยไปแล้ว แต่โดยที่แท้ภายในระบมอมกลัดอยู่เหมือนแผลอมหนอง ที่เกรินแน่ใจเช่นนี้ก็เพราะเขาจับตาดูฉอ้อนในวันเผาศพวิทูรตลอดเวลา ได้เห็นสีหน้าตั้งแต่ฉอ้อนตื่นขึ้นในเวลาเช้าลงมาพูดธุระกับจำลองแล้วก็แต่งตัวไปประกอบการกุศลที่ทำได้ไม่เต็มตามประเพณีไทยนัก ณ วัดที่ได้นำศพวิทูรไปตั้งไว้ และที่จะกระทำฌาปนกิจ เขาสังเกตว่าฉอ้อนไม่วางสีหน้าเงียบขรึมน่าเคารพอย่างที่เคยทำ หล่อนร้องไห้ออกมาในเมื่อมีความรู้สึกอยากจะร้อง หยุดร้องในเมื่อน้ำตาที่หลั่งได้ผ่อนคลายความรู้สึกเคร่งเครียดลงไป ร้องใหม่เมื่อเกิดความรู้สึก ซึ่งเกรินเดาว่าคงเป็นความสงสารตนเองบ้าง สงสารมนุษย์ทั่วๆ ไปบ้าง เหมือนอย่างที่ตัวเขาเคยรู้สึกบ่อยๆ ฉอ้อนเข้ามานั่งใกล้ๆ เขาระหว่างที่ร้องไห้สองสามครั้ง คล้ายจะอยากขอให้เขาแบ่งความเข้มแข็งของเขาให้หล่อนบ้าง ถ้าอยู่ด้วยกันในที่ที่ปลอดจากสายตาคน หรือดูไม่น่าเกลียดเกรินก็จะปลอบด้วยกิริยาและด้วยสายตาประกอบกัน โดยจับมือฉอ้อนมากุมไว้และลูบเบาๆ ถ้าอยู่ในที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ก็จะส่งกระแสจิตไปถึงหล่อนทางสายตา ขณะที่ฉอ้อนเข้าไปจุดไฟเผาศพวิทูร เกรินไปยืนในที่ที่เขาอาจมองหน้าหล่อนได้ และเขาได้เห็นฉอ้อนบรรจงจุดไฟ ดวงหน้าของหล่อนอาบไปด้วยน้ำตา แต่ได้เห็นหล่อนบรรจงพนมมือไหว้ศพด้วยอาการกิริยาของคนรักไหว้ผู้เป็นที่รัก และด้วยการอภัยอย่างแท้จริงตามที่ผู้ที่หล่อนรักได้ขอร้อง
แต่ในคืนนี้มีปัญหาใหม่เกิดขึ้น ซึ่งที่จริงก็เป็นปัญหาเก่า แต่เขาและคุณแจ๋วได้รอวันที่จะคลี่คลายปัญหาโดยอาศัยเวลาที่ล่วงไปนานช่วยคุณแจ๋วและฉอ้อนรวมกันไป แต่เขามีความห่วงกังวลอยู่เป็นอันมาก มิตรภาพระหว่างคุณแจ๋วและฉอ้อนที่ได้เริ่มและยั่งยืนมาตั้งแต่เยาว์วัย จะต้องขาดสะบั้นเสียเพราะเหตุนอกเหนือความสามารถของสองคนจะรักษาหรือไม่ และจะกระทบกระทั่งมาถึงเกรินหรือไม่ เมื่อเกรินได้พารถมาเกือบจะครึ่งทางเขาก็ถามญาติที่นั่งเคียงมา
“คุณแจ๋วจะพูดกับฉอ้อนว่ายังไง คิดเอาไว้แล้วรึ”
“คิดมาสองสามวันแล้ว แต่ยังไม่รู้จะพูดอย่างไร” ญาติของเกรินตอบ “เลยปล่อยไว้ คิดอะไรขึ้นมาได้ก็พูดไปก็แล้วกัน ต่อจากนั้นก็แล้วแต่วาสนาบารมีของเราและฉอ้อน”
เกรินนิ่งไม่ว่าอะไรต่อไป สักประเดี๋ยวเขาจึงกล่าวขึ้น “มนุษย์อื่นๆ เขามีเรื่องวุ่นๆ เหมือนเราไหมนะคุณแจ๋ว”
“ฟังๆ ไปก็ดูเหมือนจะมีปัญหากันทุกคน” คุณแจ๋วกล่าว “แต่ที่มาของปัญหาไม่เหมือนกัน และต่างคนก็ดูเหมือนจะคิดว่า ปัญหาของคนอื่นเป็นปัญหาที่ตัวจะขบได้แต่ปัญหาของตัวเท่านั้นที่ขบไม่ได้”
“ฉันไม่ค่อยจะได้พบปะพูดจากับใครกี่มากน้อย ไม่ค่อยรู้ว่าโลกเขาเดินไปอย่างไรกัน” เกรินว่า “สังเกตไหมฉันพบคุณแจ๋วทีไร ฉันต้องบอกให้เล่าไอ้โน่นไอ้นี่ให้ฟัง”
“แจ๋วว่าแปลกนะ คุณเกรินเป็นคนไม่ค่อยพบใครแต่คุณเกรินดูตัดสินอะไรได้ทันท่วงที และมักจะไม่ค่อยผิด อาจจะเป็นเพราะพบคนไม่มาก เลยไม่ค่อยคิดยุ่งก็ได้กระมัง”
“ฉันน่ะเรอะตัดสินอะไรไม่ค่อยผิด” เกรินย้อนถาม “ขอให้เป็นจริงเถอะ” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถาม “เรื่องพี่อ้นนี่ คุณแจ๋วไม่คิดจะวานพี่จำลองพูดรึ”
“แจ๋วว่าเรื่องฉอ้อนกับแจ๋วนี้ไม่น่าให้ใครพูด น่าจะเป็นแจ๋วพูดเอง” ญาติหญิงของเกรินตอบ แล้วทั้งเกรินและคุณแจ๋วก็นิ่งไปด้วยกันทั้งสองคน
พอรถแล่นเข้าถนนที่ตั้งบ้านของฉอ้อน คุณแจ๋วก็ใช้มือจับแขนเกรินไว้และบีบจนเขารู้สึกเจ็บ แต่เขาไม่บอกให้ญาติรู้ เขานึกว่าคุณแจ๋วทำไปโดยไม่รู้สึกตัว ความสงสารทั้งญาติและมิตรวิ่งเข้าจับใจ เกรินถอนใจค่อนข้างดัง
“ก็ไม่รู้จะทำยังไง ใช่ไหมคุณเกริน” คุณแจ๋วถาม “ยังไม่รู้จะพูดอะไรเลย”
รถเข้าไปเทียบบันไดหน้าตึก ฉอ้อนและฉอเลาะออกมายืนรอรับ ฉอเลาะสวมเสื้อคลุมสีเงิน แลเห็นปลายขากางเกงชุดนอนสีชมพูแลบออกมา เพราะได้ออกทุกข์มา ๓-๔ วันนี้เอง ฉอ้อนยังแต่งสีเทา คงจะเป็นเพราะใจยังไม่ออกทุกข์ไปตามวันคืน สองแม่ลูกเชื้อเชิญอาคันตุกะเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งมีเครื่องประดับงามสมฐานะ แต่เปรียบกันไม่ได้กับห้องที่บ้านพักของ “ท่านรอง” ที่เคยเป็นที่ต้อนรับเกรินเมื่อปีหนึ่งให้หลัง
มีการปฏิสันถารกันตามธรรมเนียม แล้วเกรินสังเกตว่าฉอเลาะน่าจะมองดูสดชื่นแปลกตา แต่ดูค่อนข้างซีดเซียว จึงถามขึ้นด้วยความห่วงใย ด้วยกลัวว่าลูกชายของเขาจะเป็นต้นเหตุ
“ฉอเลาะเป็นอะไรไป ทำไมนัยน์ตาลุงดูออกจะเซียวๆ”
ฉอเลาะหลบตาเขาทันที เกรินยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น ลืมเรื่องที่จะมาเจรจากับฉอ้อนเสียชั่วคราว ถามต่อไป
“เอ ฉอเลาะ เป็นอะไร หรือมีเรื่องกังวลอะไร น่าจะรู้แล้วว่าไม่ควรเก็บนิ่งๆ ไว้ ควรหาใครปรึกษาหารือ ถ้าไม่ไว้ใจลุงก็ยังมีน้าเฌอ และอาวิเวก หรือครูบาอาจารย์ที่ไหนก็น่าจะมี จริงๆ ลุงว่าฉอเลาะหน้าซีดๆ ชอบกล”
ฉอเลาะพยายามฝืนยิ้ม แต่เห็นได้ชัดว่ายิ้มไม่ค่อยออก ทำหน้าครึ่งเก้อครึ่งเศร้า ใช้วิธีสั่นศีรษะแทนคำปฏิเสธ
“ดิฉันว่าอยู่เมื่อบ่ายนี้” ฉอ้อนบอกอาคันตุกะ “ต้องมีอะไรแน่ ฉอเลาะซ่อนอะไรไม่ค่อยเป็น ที่จริงลูกทุกคนเป็นอย่างนั้น เมื่อเช้าได้รับจดหมายคุณไกร แล้วก็เห็นทำหน้าแปลกๆ อย่างนี้ตลอดวัน พอที่บ้านโน้นมาบอกว่าคุณแจ๋วถามว่าจะมาหาได้ไหม ดิฉันรีบบอกไปเลยว่าขอให้มา” พูดแล้วก็มองดูบุตรี ฉอเลาะไม่ยอมสบตาผู้ใด แต่ไม่ลุกหนีไปอย่างที่เคยทำในระยะที่มีความเปลี่ยนแปลงใหญ่ในชีวิตของหล่อนเมื่อปีที่แล้ว
คุณแจ๋วถอนใจดัง เฮอ และพูดตามแบบคนใจร้อน “ป้าแจ๋วก็พกเรื่องหนักอกที่สุดมา เรื่องนี้ควรจะได้บอกฉอ้อนมานานแล้ว แต่เก็บนิ่งไว้ด้วยหวังว่าความร้ายหนักจะหลายเป็นความร้ายเบาเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง”
เกรินตัดสินไม่ได้ว่า ที่คุณแจ๋วพูดขึ้นนั้น เหมาะแก่จังหวะหรือไม่ ได้แต่อธิษฐานในใจ ขอให้ความร้ายหนักกลายเป็นความร้ายเบาอย่างที่คุณแจ๋วหวัง
ฉอ้อนพูดขึ้นทันที น้ำเสียงแสดงความร้อนใจแลหวาดวิตก “เรื่องอะไรคะ คุณแจ๋ว บอกไปเถิดค่ะ ฉอ้อนเคยโดนอะไรที่หนักๆ หลายอย่างพร้อมกันในคืนเดียวกันยังไง ให้มันรู้แล้วรู้รอดเถิดค่ะ”
คุณแจ๋วก้มหน้ากลืนน้ำลายอยู่หลายวินาที เกรินรู้ดีว่า คุณแจ๋วเป็นคนร้องไห้ยาก ถ้าคุณแจ๋วมีน้ำตาช่วยตอนนี้ได้ ก็อาจจะเป็นผลดี แต่คุณแจ๋วได้แต่กลั้นใจไม่ให้ถอนใจใหญ่ต่อไป และรวบรวมกำลังใจ พูดแก่ฉอ้อน
“ฉอ้อน เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก” คุณแจ๋วไม่ใช้ถ้อยคำที่ไพเราะหวานเสนาะ พยายามหาคำที่ไม่มีอำนาจทางอารมณ์ หาคำที่ง่ายๆ เฉยๆ ที่สุด “เราสองคนไม่ได้เป็นคนทำให้อะไรต่ออะไรเกิดขึ้นมา แต่เราสองคนดูเหมือนจะเป็นผู้รับผลที่คนอื่นทำ คราวนี้ก็อีก ฉันไม่อยากเล่าเลย แต่กลัวฉอ้อนจะไปรู้จากคนอื่น ฉันอยากให้รู้จากฉันเอง เมื่อรู้แล้ว ฉอ้อนจะรู้สึกอย่างไร จะว่าอย่างไร ฉันก็เห็นใจและเข้าใจทั้งนั้น”
เกรินเห็นฉอเลาะยืดตัวขึ้นจนดูเหมือนจะทำตัวให้สูงที่สุด ซึ่งเป็นกิริยาการของคนที่มีอารมณ์เต็มไปด้วยความวิตกกังวล และฉอเลาะจับตาดูหน้าคุณแจ๋วขณะที่พูดราวกับกลัวว่า คำหนึ่งคำใดของคุณแจ๋วจะเล็ดลอดผ่านหูของฉอเลาะไป ฉอ้อนก็มีสีหน้ากังวล และจ้องคุณแจ๋วด้วยสายตาบอกความไม่สบายใจ
“ฉอ้อน เมื่อตอนที่อยู่ปีนัง” คุณแจ๋วกล่าวต่อไป ภายหลังที่หยุดไปประเดี๋ยว “ฉันเป็นคนรู้คนเดียวว่าคนที่ยิงคุณวิทูรคือใคร คือพี่ชายของฉันเอง ฉอ้อนก็เคยรู้จักมานานแล้ว ชื่อจริงชื่อ อนธกาล เราเรียกกันว่าพี่อ้น เธอเสียจริต ไม่มีหลักฐานอะไรว่าเป็นใครหรือชาติอะไร ไม่ยอมพูดภาษาไทยเลย พูดแต่ภาษาอังกฤษ แต่เรามีรูปเก่าๆ ถ้าเราเอาไปแสดงให้ทางการทางโน้นดู เขายินดีจะให้เรารับมา เขากักตัวไว้จนแน่ใจแล้ว เขาจะไม่ดำเนินคดี”
เกรินเหลือบตาดูหน้าฉอ้อน เห็นน้ำตาคลออยู่เต็มเบ้า ฝ่ายคุณแจ๋วนั้นริมฝีปากไม่มีสีเลือดเลย ส่วนฉอเลาะยืดตัวขึ้นนั่งตรง และถามเสียแหลมผิดจากเสียงปรกติของฉอเลาะอย่างไม่น่าเชื่อ
“คุณป้าคะ คนที่จะยิงกัน ถึงแม้จะเป็นคนบ้าก็ต้องมีเหตุผลอะไรบ้าง คุณป้ารู้เหตุผลอะไรเรื่องนี้บ้าง กรุณาอย่าปิดเลยค่ะ”
“ป้าก็ได้แต่เดา” คุณแจ๋วตอบตามอุปนิสัยไม่รีรอ “เมื่อครั้งพี่อ้นถูกฟ้องว่าโกงเงินหลวง เคยได้ยินพี่อ้นพูดว่า ถ้าคุณวิทูรจะช่วยไม่ให้ถูกฟ้อง ก็จะช่วยได้ แต่เมื่อถูกฟ้องแล้ว อยู่ๆ โจทก์ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจว่าศาลจะพิพากษาอย่างไร แล้วในที่สุดก็ตัดสินว่าไม่ผิดแต่ก็ถูกออกจากราชการ แล้วพี่อ้นก็เคยเล่าว่า เมื่อออกนั้นที่ได้เบี้ยบำนาญก็เพราะคุณวิทูรช่วยให้ได้รับ คล้ายจะให้พี่อ้นรู้ว่าคุณวิทูรจะบันดาลอะไรก็ได้ แต่ก็ถูกหรือเปล่าก็ไม่มีใครจะรู้ได้แล้ว”
“คุณพ่อทำเหมือนแมวเล่นกับหนู” ฉอเลาะพูดออกมาทันทีอย่างไม่ได้จงใจ แล้วรู้สึกตัวจึงเหลือบตาดูมารดา หน้าของฉอ้อนเปลี่ยนจากที่มีแววเศร้าและตกใจระคนกันเป็นสีหน้าของคนที่มีความรู้สึกหลายอย่างขัดแย้งกัน และในที่สุดก็ทำตามธรรมดาของผู้หญิงก็คือ เปลี่ยนจากการปล่อยให้น้ำตาไหลรินเป็นร้องไห้ลงไปในผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ ที่ฉอ้อนถือติดมือ โดยไม่ให้ใครได้ยินเสียงมากนัก
คุณแจ๋วพูดต่อจากที่ฉอเลาะขัดขึ้นมา นัยน์ตามองดูฉอเลาะอย่างขอร้องให้ช่วยเหลือ แต่คำพูดนั้นพูดแก่ฉอ้อน “พี่อ้นคนนี้ ญาติพี่น้องหวังไว้มากว่าจะมีความสำเร็จในราชการ เป็นนักเรียนนอกรุ่นแรกๆ ที่ออกไปทำงานมหาดไทย ไปอยู่ต่างจังหวัด แต่เมื่อออกจากราชการแล้ว ทำอะไรผิดพลาดไม่ได้ผลเลย พี่น้องอื่นๆ เขามีความสำเร็จ อย่างพี่จำลอง เขาก็เป็นทนายความมีเงินมีทอง ระหว่างสงคราม ใครๆ เขาก็ค้าโน่นนิดนี่หน่อยเขาก็มีอะไรเป็นแก่นสาร ข้างพี่อ้นพลาดหมด ภรรยาก็ทิ้งไป พี่น้องก็ไม่ทันสังเกต ต่างคนต่างก็ทำมาหากินของตัว พี่อ้นเป็นคนพูดอะไรแปลกๆ กวนโมโหคนมานานแล้ว แต่ก็มีอะไรขำๆ เพราะฉะนั้นพี่อ้นพูดอะไรแปลกหู ก็ไม่มีใครเฉลียวใจ”
ฉอ้อนหยุดสะอื้นไปพักหนึ่งแล้วก็กลับสะอื้นใหม่อย่างเบาๆ ไม่มีเสียงตามเดิม ฉอเลาะลุกขึ้นไปจากเก้าอี้ที่ตนนั่ง ไปนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับที่มารดานั่งซึ่งเป็นเก้าอี้ตัวใหญ่ เอาแขนโอบสะเอวไว้ ดวงหน้าของฉอเลาะเต็มไปด้วยความคิด แต่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดเรื่องที่เกิดอยู่ตรงหน้ามากนัก แต่แปลกอยู่ที่สีหน้าแช่มชื่นขึ้นกว่าขณะที่คุณป้าแจ๋วและคุณลุงเกรินมาถึงใหม่ๆ และดูเหมือนจะคิดตกลงใจอะไรได้ด้วย
เกรินนั่งพิศดูหน้าของหญิงทั้งสามเหมือนถูกผูกใจไว้ ไม่ให้สามารถทำอย่างอื่น แต่เมื่ออ่านดูสีหน้าเหล่านั้นและอ่านออกบ้างไม่ออกบ้างแล้ว ก็เกิดรู้สึกเก้อ จึงขยับตัวทำท่าจะลุกออกไปนอกห้อง พอคุณแจ๋วสังเกตเห็นเขาขยับตัวคุณแจ๋วก็ขยับบ้าง แต่ไม่ลุกจากเก้าอี้ ขยับออกมานั่งตรงขอบที่นั่ง และพูดกับฉอเลาะ
“ป้าคิดว่าป้าจะลากลับไปก่อนดีกว่า” เป็นคำพูดที่ไม่ช่วยให้อาการเก้อดีขึ้น แต่ก็ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรให้ดีกว่านั้น ฉอเลาะไม่ค่อยมีสีหน้าเก้อ แต่คงเข้าใจว่าผู้ใหญ่ทั้งสามมีความรู้สึกอักอ่วนต่อกัน แต่คำพูดของฉอเลาะก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
“แม่จ๊ะ คุณป้าว่าจะลาไปก่อน” ฉอเลาะบอกแก่มารดา
ฉอ้อนพยักหน้า ยกมือขึ้นไหว้คุณเกริน แล้วก็ลุกจากเก้าอี้ คุณแจ๋วเดินออกจากห้องนั่งเล่น ตรงไปที่หน้าตึก เกรินไปเลื่อนรถมาที่บันได ฉอ้อนยืนอย่างคนใจลอยอยู่ที่บันไดชั้นบน ซึ่งเป็นชานแคบ ๆ ด้านหน้าของตัวตึกนั้นเอง ก่อนที่คุณแจ๋วจะลงไปขึ้นรถ คุณแจ๋วไปจับแขนฉอ้อนและบีบเบาๆ ฉอ้อนพยายามเช็ดน้ำตาและยืนส่งคุณเกรินและคุณแจ๋ว ให้เป็นการส่งแขกกลับบ้านอย่างปรกติที่สุดที่จะทำได้ รถเคลื่อนออกจากตึกไป คุณแจ๋วหันไปดูเจ้าของบ้านทั้งสอง เห็นฉอเลาะกอดเอวมารดาไว้ และพาเข้าไปในตึก แล้วรถก็พาตัวคุณแจ๋วและเกรินออกจากประตูบ้านของสหายเก่าแต่วัยเด็กไป
เกรินขับรถพาญาติหญิงไปตามถนนเอกมัย ขับออกไปถึงถนนสุขุมวิทโดยไม่พูดว่าอะไร คุณแจ๋วเอาศีรษะพิงพนักรถและหลับตาอย่างคนเพลีย เกรินเลี้ยวรถเข้าเมือง เวลานั้นยวดยานมีน้อย ไม่เหมือนในเวลาหัวค่ำ รถจึงแล่นไปได้อย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงสี่แยกราชประสงค์เกรินจึงเลี้ยวรถไปตามถนนราชดำริ เมื่อขับไปถึงตอนที่เป็นด้านหลังของสนามม้าของราชกรีฑาสโมสร เกรินก็ลดความเร็วลงและพารถยนต์คันเล็กของเขาเข้าไปจอดริมถนนในเงาไม้ที่เอนชายมาจากอีกฟากคลองเล็กในบริเวณของสโมสร
เมื่อรถหยุดลง คุณแจ๋วก็ผงกศีรษะขึ้น เกรินจึงกล่าวก่อนที่ญาติจะพูด
“คุณแจ๋วจำได้ไหม เมื่อเรายังเด็กๆ หรือเมื่อสองสามปีมานี้เอง เวลาเย็นๆ อาทิตย์ตก ในคลองข้างถนนนี้แสงอาทิตย์มักจะทอมาเป็นสีรุ้ง สวยจับตาทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้กลางคืนก็ยังน่าสบายพอใช้”
คุณแจ๋วไม่คัดค้านและไม่สนับสนุน ลดศีรษะลงพิงพนักรถต่อไป เกรินเอาแขนพาดไปตามพนัก ศีรษะของคุณแจ๋วอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“คุณแจ๋ว คุณแจ๋วอยู่ที่ร้าน เวลาเสร็จงานแล้วเหงาไหม” เขาถาม
“ก็เหงาเหมือนกัน” คุณแจ๋วตอบ “แต่อาทิตย์หนึ่งๆ จะมีวันเหงาก็สักวันเดียวกระมัง นอกนั้นก็ยุ่งเตรียมสั่งซื้อของบ้าง อบรมยายบัวกับตาเพิ่มบ้าง ฟังสอิ้งเรื่องลูกค้าของแกที่แกไปทำงาน มันมักจะเหนื่อยเพลีย พอหัวถึงหมอนก็หลับ” หยุดนิดหนึ่งแล้วจึงถามต่อ “ทำไม คุณเกรินเหงารึ”
“เหงา” เกรินตอบแล้วถอนใจนิดหนึ่ง “แต่เหงากับว้าเหว่ไหนจะร้ายกว่ากัน และเหมือนกันไหม”
“คุณเกรินลองสาธยายไปซิ” คุณแจ๋วให้โอกาสญาติได้คุย เพราะคิดว่าเขาต้องการแลกเปลี่ยนความคิดตามเคย
“อย่างฉอ้อน แกไม่เหงา แต่ถ้าแกตัดจากคุณแจ๋ว แกคงว้าเหว่” เกรินว่า “ฉอ้อนนี่ฉันว่าแกว้าเหว่มานานแล้ว ตั้งแต่วิทูรเริ่มคิดจะเป็นใหญ่เป็นโต แกว้าเหว่ทางใจ คือแลกเปลี่ยนความคิดนึกกับสามีไม่ได้”
“แจ๋วสงสารแกเหลือเกิน เข้าธรรมเนียมยาจกสงสารเศรษฐี” คุณแจ๋วว่า “นึกถึงเมื่อครั้งมีบุญ คนเข้าไปหาหน้าสลอน แต่แกคงไม่แน่ใจว่าใครเข้าไปเพราะรักใคร่จริงจังหรืออย่างไร แล้วธรรมดาคนเราก็ต้องผูกพันกับคนที่เคยรู้จักกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยมากกว่าคนที่เพิ่งรู้จัก การขาดความมั่นใจในคนก็เห็นจะต้องเรียกว่าว้าเหว่ มาถึงตอนลูกตาย สามีหนีหาย ได้เราเข้าไปเป็นเพื่อนเอาใจใส่ ก็คงทำให้อุ่นใจ แต่มันช่างเคราะห์กรรม บังเอิญให้พี่อ้นเป็นคนยิงคุณวิทูร หวังว่าถึงแกจะหนีห่างไปจากแจ๋วแกจะไม่พลอยไปถึงคุณเกริน ไม่งั้นจะต้องสงสารทั้งฉอ้อนทั้งคุณเกริน ส่วนตัวแจ๋วน่ะ เดี๋ยวนี้เพื่อนฝูงเกือบไม่มีความหมาย มันยุ่งไปกับทำมาหากิน มีเพื่อนก็ดี ว่างงานได้นั่งนึกถึงเขาบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลา เพิ่งเห็นคุณของการมีอาชีพ การทำงานคือยาดำรงชีวิต ไม่ใช่เพราะงานเป็นเงิน เงินเป็นงาน แต่เพราะงานคือชีวิต ไม่มีงานก็ไม่มีชีวิต อย่างพี่อ้นถึงต้องไปยิงวิทูร เพราะเขาทำให้พี่อ้นขาดชีวิต”
ระหว่างที่คุณแจ๋วพูดยาว เกรินมองไปข้างหน้า พอคุณแจ๋วพูดจบ เขาถึงหันมาพิศดูหน้าคุณแจ๋วในแสงสลัว ๆ จากไฟฟ้าถนน และกล่าวเสียงเรียบๆ แสดงว่าตั้งใจพูดไม่ใช่เป็นการยั่วเย้าเล่นสำนวนตามปกติที่คุยกับญาติหญิงคนนี้
“คุณแจ๋ว เรื่องฉอ้อนกับฉันน่ะ เดี๋ยวนี้ฉันหายโรคแล้วละ คืนนี้เห็นชัด คือระหว่างที่นั่งฟังคุณแจ๋วพูดกับฉอเลาะ อย่างแต่ก่อน มีอะไรนิดหนึ่ง ใจของฉันก็จดจ่ออยู่ที่ฉอ้อน อย่างคืนที่เห็นธราถูกจับ ทันทีใจก็คิดไปถึงว่าถ้าวิทูรถูกจับ ฉอ้อนแกจะเป็นอย่างไร เวลานั้นน่ะไม่รู้หรอกว่าคิดอะไร แต่มาสอบถามตัวเองทีหลังก็จับตัวเองได้ แต่คืนนี้ทีแรกก็ห่วงฉอเลาะ ทีหลังใจมาจ่ออยู่ที่คุณแจ๋ว”
“จ่อว่ายังไง” คุณแจ๋วถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเข้าใจตามเคยที่คุยกับคุณเกริน
“คือคุณแจ๋วเป็นคนไม่มีอาฆาตพยาบาทเลยรึ คุณแจ๋วไม่นึกในทางว่าพี่อ้นเป็นผู้ถูกทำร้าย และวิทูรเป็นผู้ร้ายบ้างรึ”
“พี่อ้นเธอคิดว่า นายวิทูรเป็นผู้ร้ายสำหรับบ้านเมือง ตามคำพูดของเธอ” คุณแจ๋วชี้แจง “แต่ลึกอยู่ภายในก็อย่างแจ๋วว่า พี่อ้นทำเป็นอย่างเดียวคือราชการ ออกจากราชการแล้วก็เหมือนหมดชีวิต แต่นั่นแหละ ถ้าเราคิดอย่างยุติธรรม เราก็ต้องยอมรับว่า เราทุกคนช่วยกันทำให้พี่อ้นวิกลวิกาลไปด้วยความไม่เอาใจใส่ จะไปอาฆาตคุณวิทูรเขาคนเดียวไม่ได้ แล้วก็อย่างคุณเกรินเคยว่า ถึงเรื่องบ้านเมือง ก็ไม่ใช่คุณวิทูรเขาเป็นอย่างที่เขาเป็นคนเดียว คนอีกมากที่มีส่วน คนที่ยกยอ คนที่สนับสนุนทางตรงทางอ้อม หมดท่าเราก็ว่าเวรกรรม จะอาฆาตใครเป็นตัวเป็นตนเห็นจะไม่ได้”
“แต่ฉอ้อนแกจะคิดแบบนี้ไม่ได้ คุณแจ๋วกลัวอย่างนั้นใช่ไหม”
“ผู้หญิงกับลูกกับผัว มักใช้ธรรมะอะไรไม่ค่อยได้หรอกคุณเกริน พอถึงสองอย่างนี้ ผู้หญิงมีเหลือแต่หัวใจ รักหรือเกลียด หรือกลัว แต่ขออย่าให้ถึงคุณเกรินเลย ถึงแม้คุณเกรินจะหายโรค ซึ่งแจ๋วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจดีนัก แปลว่าไม่รักฉอ้อนแล้วอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่ไม่รัก” เกรินว่า “แต่ไม่เป็นโรครักอย่างฝรั่งเขาเรียกว่า in love รักเฉยๆ อย่างญาติ อย่างเพื่อนหรืออย่างเมีย อย่างอะไรก็ได้ ฝรั่งเขาเรียก love เฉยๆ มันผิดกัน ไอ้อย่างแรกมันเหมือนโรคจริงๆ มันมีอำนาจเหนือเรา เราไม่ค่อยมีอำนาจเหนือมัน”
คุณแจ๋วระบายลมหายใจยาว เกรินถามขึ้น “คุณแจ๋วถอนใจทำไม”
“มีโรครักมันก็ดีเหมือนกันนะคุณเกริน ถ้าเราต้องอยู่เหงาๆ นั่งอยู่คนเดียวคิดถึงคนที่เราเป็นโรครักเขาไงล่ะ”
“เอ๊ ถ้ายังงั้นฉันก็กลายเป็นโรครักจ้าวก่องฟ้าน่ะซี ถ้าอยู่คนเดียวเหงาๆ ฉันก็นึกถึงแกมาหลายหนแล้ว ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงคนนี้ มีส่วนให้ฉันหายโรครักฉอ้อน”
“ใครกันอีกล่ะ จ้าวก่องฟ้า” คุณแจ๋วถาม น้ำเสียงครึ่งขันครึ่งประชด
“ก็เมียวิทูรเขาคนที่ขอดูศพ ที่วิทูรเขาสั่งไว้กับฉันที่ปีนังไงล่ะ”
“อ้อ แล้วคุณเกรินก็มีส่วนช่วยตามเคยซิ” คุณแจ๋วว่า “ตอนนั้นไม่ได้เอาใจใส่เลย มัวแต่กลุ้มเรื่องพี่อ้นตอนนี้ชักสนุก เป็นโรครักก็ไม่เห็นแปลกนี่ สวยไหม”
“เลิกที มัวแต่เป็นโรครักผู้หญิงที่เขารักนายวิทูรเรื่อยไปงั้นสิ” เกรินว่า มีน้ำเสียงหัวเราะเจืออยู่ “ฉันอยากมีเพื่อนอยู่ด้วยกัน คุยกัน ปรึกษากัน เหมือนมนุษย์อื่นๆ เขาบ้าง”
คุณแจ๋วไม่ตอบประการใด นิ่งมองไปข้างหน้าเหมือนคิดอะไรเพลิน เกรินถามต่อไป
“คุณแจ๋ว คุณแจ๋วพอใจกับชีวิตคุณแจ๋วแล้วเรอะ อาชีพขายอาหารนี่มันสนุกเพลิดเพลินเหลือเกินรึ”
“เออ เรื่องพอใจ ในยุคสมัยนี้ จะมีใครพอใจจริงๆ สักกี่คน” คุณแจ๋วตอบ พูดเสียงเรียบๆ ไม่มีอารมณ์ “อย่างพวกเราหมายถึงพวกโกศลทัต เหมเสนา อะไรเหล่านี้ ที่เคยมีใจจดจ่ออยู่กับบ้านเมือง หวังจะเห็นบ้านเมืองรุ่งโรจน์ เมื่อมาเห็นว่ายังไปได้เพียงเท่านี้ก่อน ก็ได้แต่ทำใจให้ไม่เร่าร้อน ทีนี้เรื่องส่วนตัว อาชีพขายอาหารนี่มันดีตรงที่มันเกี่ยวเฉพาะกับลิ้นกับท้องของคน มันไม่ไปยุ่งกับความนึกคิดใฝ่ฝัน อนาคตจะเป็นอย่างไร ทำอย่างไรจะผิด ทำอย่างไรจะถูก ที่แจ๋วต้องเลิกเป็นครูเพราะมันมีคำถามหลายสิบคำถามวันหนึ่งๆ มันยุ่งกับเด็ก กับอนาคตของบ้านเมือง ขายอาหารไม่มีปัญหาอนาคตเลย ปัจจุบันอย่างเดียว”
“แปลว่า คนที่อยู่แต่ในปัจจุบันเป็นคนทำถูกอย่างนั้นรึคุณแจ๋ว”
“ก็ไม่รู้ละ คุณเกรินล่ะ ทำงานทำการ คุณเกรินนึกถึงอนาคตสักเท่าไหร่”
“ก็เห็นจะเรียกว่ารอเวลา ขณะนี้ไม่ได้จังหวะจะทำอะไรนอกจากทำตัวเป็นพลเมืองดีไปพลางๆ แล้วก็หวังว่าลูกเรามันจะมีโอกาสดีกว่าเรา มันอาจทำประโยชน์ได้ยิ่งกว่า ตัวฉันน่ะหัดใจมานานแล้ว ชาตินี้ไม่มีความสามารถอะไร ได้แต่ประคองตัวไป คุณแจ๋วยังเคยว่า คนที่ทำได้เพียงเท่านี้ ไม่น่าจะภาคภูมิอะไร จำได้ไหม ตั้งแต่ที่เมืองเพชร”
“เรอะ จำไม่ได้ โธ่ อายุเท่านั้น พูดอะไรก็พูดได้” คุณแจ๋วพูดน้ำเสียงหัวเราะขันตนเอง “แต่ว่าพูดถึงอนาคตแจ๋วว่าเราทำงานค้าขายเจริญนี่ ก็เรียกว่าช่วยบ้านเมืองได้เหมือนกัน นี่แจ๋วกำลังจะกู้เงินคุณน้า จะมาเปิดห้องอีกสองห้อง พูดกับนายอึ้งแล้ว แกจะช่วยหาที่ของแกให้คนที่เช่าอยู่เขาออกไป โดยไม่ให้แจ๋วต้องเสียค่ารื้อย้ายให้เขา”
เกรินถอนใจเบาๆ เขาเปิดกลไกเดินเครื่องยนต์แต่ไม่เคลื่อนรถอยู่สักครู่ ครั้นเห็นคุณแจ๋วเอนศีรษะพิงพนักรถทำทีท่าพอใจที่จะได้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน เกรินจึงออกรถ มาถึงที่อยู่คุณแจ๋วภายในไม่กี่นาที พบรถเทียบที่ทางเข้าหน้าร้าน คุณแจ๋วก็เปิดประตูรถ ลงไปยืนที่ทางเท้าอย่างคล่องแคล่วตามเคย ผลักประตูรถให้ปิดสนิทพลางพูด
“พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ถ้าว่าง คุณเกรินมาซิคะ แจ๋วจะให้ดูแปลนร้านใหม่” พูดจบก็หันหลังให้ญาติ และเดินไปไขกุญแจร้าน โดยไม่รอให้เขากล่าวตอบว่าอย่างไร เกรินนั่งนิ่งอยู่ในรถ จนกระทั่งเห็นคุณแจ๋วไขกุญแจเข้าร้านได้แล้ว จึงบอกว่า
“ฉันไปละนะ” แล้วไม่รอให้คุณแจ๋วพูดอะไร ก็ออกรถและขับไปบ้านตน ตลอดทางเขาพยายามทำสมองเขาให้ว่างจากความคิดนึกทั้งหลาย เพ่งเล็งแต่การขับรถจนกระทั่งมาถึงที่อยู่ ลูกชายคนเล็กกลับมาถึงบ้านก่อนแล้ว ลงมาเปิดประตูบ้านให้พ่ออย่างสุภาพตามที่เกรินเคยสั่งสอนไว้ เขาทักลูกชายสองสามคำ สั่งตัวเองว่าให้พอใจกับการที่ได้อบรมลูกมาได้ผลพอใช้ แล้วก็เข้าห้องนอน