บทที่ ๒๗

เที่ยวนั้น เครื่องบินของบริษัทเดินอากาศไทยจากปีนังมาภูเก็ต และกรุงเทพฯ ว่างมาก มีผู้โดยสารไม่เกิน ๖ คน เกรินเห็นหญิงสาวในเครื่องแต่งกายแบบพม่าเดินขึ้นบันไดและเข้าไปยังที่นั่ง เขาก็ตามติดๆ ขึ้นไป เห็นหล่อนเลือกที่นั่งใกล้หน้าต่าง ในแถวค่อนไปข้างหน้า เขาจึงไปนั่งในแถวข้างหลังหล่อน

เขาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้และกล่าว “ผมขอโทษ ผมคิดว่าผมเคยพบกับคุณแล้ว”

หล่อนหันมาดูเขา เมื่อเห็นหน้าเขาแล้ว หล่อนยิ้มออกมานิดหนึ่ง และพูดเป็นภาษาอังกฤษ “ถูกแล้วค่ะ”

“ตามปรกติ ผมไม่ค่อยละลาบละล้วงกับผู้หญิง” เกรินว่า “คุณเข้าใจคำนี้ไหมไม่ทราบ แต่ผมขอโทษผมคิดว่าผมควรทำความรู้จักกับคุณ”

เจ้าหล่อนยิ้มให้เขาอีก “ยินดีค่ะ” หล่อนพูดเป็นภาษาอังกฤษอีก “คุณชื่อ เกริน ใช่ไหมคะ ดิฉันจำเสียงได้แล้ว”

เกรินลุกจากที่นั่งเดิม ไปนั่งในแถวเดียวกับหล่อนแล้วจึงพูด

“ผมขอทบทวนความจำและความเดา” เกรินพูดแก่หญิงสาวเป็นภาษาไทย “คุณคือเจ้าก่องฟ้า มาจากรัฐ...”

“พวกเรามาจากไทยหลวง แต่มามีบ้านอยู่ที่เชียงตุง” หญิงสาวตอบเป็นภาษาอังกฤษตามเดิม

“แล้วคุณพบกับวิทูรที่เชียงตุง” เกรินพูดครึ่งถามครึ่งเดา “ไม่น่าจะเป็นได้ ดูคุณยังสาวมาก” พูดแล้วเขาพิศดูหล่อนอย่างไม่เกรงใจ และลงความเห็นว่า ในเรื่องดวงหน้าและเครื่องประกอบ ฉอ้อนสวยกว่ามากแต่ท่วงทีกิริยาของหญิงผู้นี้ เป็นชนิดที่ผู้ชายจะมองผ่านไปโดยไม่สนใจทางใดทางหนึ่งไม่ได้ “ขอโทษที่ผมเข้ามาถามเอาอย่างนี้ ตามปรกติผมไม่ค่อยทำอะไรตามใจผม แต่ในกรณีนี้ ผมถือว่าคุณเป็นหนี้ผมอยู่บ้าง”

“เป็นหนี้อย่างที่สุด” หญิงสาวตอบ “การที่คุณโทรศัพท์ไปบอกดิฉันให้มาลาศพวิทูร ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าตัวยังไม่ไร้คุณค่าจนเหลือเกิน ยังมีคนเห็นเป็นคนอยู่บ้างและทำให้รู้ว่าวิทูรรู้จักดูคน เขานับถือคุณมาก เขาพูดเสมอว่า ถ้าคนทุกคนเหมือนคุณ โลกถึงจะมีสันติสุข”

“แต่คงจะชืดที่สุดสำหรับวิทูร ผมรู้ดี” เกรินขัดขึ้น แล้วเขาก็รู้สึกเข้าใจความดึงดูดของผู้หญิงคนนี้ หล่อนเป็นคนที่ผู้ชายจะแสดงตัวจริงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งไม่ต้องแอบซ่อนอะไรเลย เขาพูดต่อไป

“เช้าวันนั้น ผมคิดอย่างเดียวแต่ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งรักวิทูรเหลือเกิน และวิทูรก็คงรักเขา ผมมัวแต่คิดแง่นี้ ไม่ได้คิดแง่อื่น ทำให้คนที่ผมรักคนหนึ่งต้องกระทบกระเทือนใจอย่างมาก เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะทำให้ผมเข้าใจว่าคุณกับวิทูร รักกันแค่ไหนอย่างไร ก็อาจช่วยให้ความสบายใจแก่ผมบ้าง”

“ดิฉันอาจเล่าได้อย่างยืดยาว หรือเล่าอย่างสั้นๆ ก็ได้ คุณจะเอาอย่างไหน” หญิงนั้นถามเกริน เกรินพิศดูหน้าและแววตาของหล่อน แล้วก็คิดถึงคุณแจ๋ว ดวงหน้าที่ไม่แสดงว่าอายหรือสะเทือนใจอย่างไรนี้เป็นของตกแต่งขึ้นหรือว่าเป็นของจริง และผู้ที่ได้พบเห็นควรภูมิใจว่ามีหญิงเช่นนี้อยู่ในโลกหรือไม่

“เอาสั้นๆ ก่อนก็แล้วกัน แล้วผมจะขอถามเป็นอย่างๆ ไป” เกรินตอบ พยายามค้นในแววตาของหล่อนต่อไป ว่ามีความรู้สึกแท้จริงอย่างไร

เจ้าหล่อนนิ่งไปครู่ใหญ่ แล้วก็พูดเหมือนรำลึกเหตุการณ์แก่ตนเอง โดยไม่มองหน้าผู้ฟัง

“เป็นเรื่องความเหลวไหลของคนสมัยเรา” หล่อนบอก “ดิฉันอายุ ๑๗ ปี ถูกส่งไปอังกฤษ กลับมาหลังสงคราม เหมือนกลับไปอยู่ศตวรรษที่ ๑๓ หรือ ๑๔ เมื่อมีโอกาสจะมาจากบ้านได้ ดิฉันก็มา”

“วิทูรเขารู้จักพี่สาวดิฉันระหว่างสงคราม พี่สาวรักวิทูรมาก แต่วิทูรเขาถือเรื่องอายุ พี่สาวดิฉันจึงอยากให้ดิฉันทำให้วิทูรรักให้ได้ เพราะดิฉันเหมือนเขามากแต่พี่สาวดิฉันตายเสีย ดิฉันอยู่บ้านเบื่อเต็มที จึงลองเขียนจดหมายถึงวิทูร ส่งรูปของพี่สาวและของดิฉันมาให้เขา เขาตอบไปทันที ขอให้ดิฉันมากรุงเทพฯ วันที่ดิฉันลงจากเครื่องบิน เขาส่งนายทหารคนหนึ่งไปรับ และพาไปอยู่บ้าน เขามาหาดิฉันในคืนนั้น ดิฉันทำทุกอย่างตามอารมณ์เพราะไม่เห็นว่าโลกนี้มีอะไรเป็นแก่นสาร ดิฉันนึกว่าเมียวิทูรคงเหมือนเมียนายทหารผู้ใหญ่ๆ หลายคนที่ดิฉันเคยเห็นหลายประเทศ เป็นคนอยู่ในศตวรรษก่อนจนกระทั่งจิฉันเห็นท่านผู้หญิงที่งานแห่งหนึ่ง”

“ท่านผู้หญิงไม่ได้เอาใจใส่กับดิฉัน ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่พอดิฉันเห็นท่านผู้หญิง ดิฉันก็ต้องเปลี่ยนวิธีการหมด ดูประเดี๋ยวเดียวดิฉันก็รู้ว่า ท่านผู้หญิงรักสามีเหลือเกินและวิทูรก็รักเมีย แต่คนอย่างวิทูร...”

“เขาเป็นยังไง วิทูร” เกรินถามขึ้นทันทีโดยยั้งความอยากรู้ไม่ได้

“เขาต้องการบริวารมากๆ หลายๆ ประเภท” เจ้าก่องฟ้าตอบ “เขาเที่ยวมีเมียเป็นเด็กสาวสองสามคน ดิฉันหัวเราะเยาะว่าไม่ได้พิสูจน์อะไรเลย คนที่เอาเงินไปให้ผู้หญิงสาวๆ ให้มาเป็นเมีย ใครๆ ที่มีเงินก็ทำได้ เขาเลยค่อยๆ เลิกไป เพราะวิทูรอยากพิสูจน์ว่าเขาทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ดิฉันเป็นอย่างหนึ่งที่คนที่แข่งกับเขาไม่มี”

เกรินฟังแล้ว คิดไกลไปจากคำพูดของหญิงสาว นัยน์ตาของเขาแสดงอาการนั้น เพื่อนโดยสารของเขาจึงกล่าวว่า “เรื่องน่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก อย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ยินดีที่คุณมาทำความรู้จัก ทำให้มีโอกาสขอบคุณ”

“ผมคิดถึงญาติผู้หญิงของผมคนหนึ่ง” เกรินพยายามอธิบาย “เขาชอบสังเกตคนที่มีนิสัยแปลกๆ กัน ถ้าเขาพบคุณ เขาจะว่าอย่างไร และที่คุณว่าต้องเปลี่ยนวิธีการน่ะ คือยังไง”

“ดิฉันต้องยอมเป็นเมียน้อย ซึ่งแต่ก่อนดิฉันไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็น ถึงแม้ว่าวิทูรจะมีเมียหลวง” เกรินได้ยินคำตอบซึ่งทำให้เขาต้องจ้องหน้าผู้พูดและขอให้ขยายความจึงได้ฟังต่อไป “ถ้าดิฉันมีลูกผู้หญิง ดิฉันจะต้องสอนไม่ให้เป็นเมียน้อยใคร เป็นความคับแค้นที่สุดในเมื่อผู้ชายที่เรารักจะตาย เราไม่ได้รักษาพยาบาล เราไม่มีสิทธิ์อะไรนอกจากเราจะกลับเป็นอย่างเก่า เหมือนสมัยพ่อดิฉัน พอจะตายลูกเมียก็มานั่งพร้อมกันหมด แต่สมัยนี้เราจะไม่มีวันกลับไปแล้ว”

“แต่ว่า เวลาที่เขามาอยู่ปีนัง เขาให้คุณมาอยู่กับเขา เขาไม่เรียกเมียหลวงเขาออกมา อันนี้ทำให้เมียหลวงเขาน้อยใจมาก” เกรินพูดเปรยๆ ไม่มองหน้าผู้ฟังตรงๆ หน้า

“เมียน้อยมีสิทธิ์แค่นั้นเอง” หล่อนบอก “เวลาแอบซ่อน ผู้ชายจะเรียกเมียหลวงมาไม่ได้ เท่ากับประกาศตัวว่าซ่อนอยู่ที่ไหน แต่เวลาเขาจะตายเขาอยากอยู่กับลูกเมียของเขา”

เกรินจ้องหน้าเจ้าก่องฟ้า เห็นนัยน์ตาค่อยๆ มีน้ำตามาเอ่อเบ้า แล้วค่อยๆ ไหลรินออกมา เกรินมองไปทางอื่นรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับโลกจนต้องหลับตา และเอาศีรษะพิงลงไปกับพนักที่นั่ง เขาหลับตาอยู่สักครู่ จนเจ้าหน้าที่มาเตือนเอาแบบฟอร์มสำหรับเข้าประเทศไทยเขาหันไปดูคู่สนทนา เห็นหล่อนมองออกไปทางหน้าต่างและมีอาการว่าไม่อยากต่อการสนทนา เขาจึงกรอกแบบฟอร์มให้เจ้าพนักงาน แล้วนั่งนิ่งๆ ต่อไป

เกรินนึกในใจบอกแก่ตนเองว่า สักวันหนึ่ง เขาจะทำให้ฉอ้อนเข้าใจสามีและโลกมากขึ้นกว่านี้ เป็นโลกที่เราเลือกไม่ได้เมื่อเรามีชีวิตในยุคสมัยเช่นนี้ แล้วเขาก็นึกฟุ้งซ่านต่อไป นึกถึงฉอเลาะและไกร เขาจะมีความสุขมากกว่าพ่อแม่หรือน้อยกว่า โลกจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อเครื่องบินถึงกรุงเทพฯ เกรินก็ต้องเตรียมใจเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนกว่าการพบผู้หญิงเผ่าไทยแต่ใจเป็นชาวต่างประเทศ จนไม่มีทางจะปรับตนเข้ากับภาวะแวดล้อมของตนได้ เมื่อเขาก้าวออกมาจากห้องตรวจของที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เขาก็พบพลตรีวิเวกตามที่โทรเลขมาสั่งไว้ น้องชายและมิตรของวิทูรก็รีบไปที่บ้านของบิดามารดาของเขาด้วยกัน

เรื่องที่เกรินคิดว่าจะยุ่งยากเกี่ยวกับการจัดการศพของพลเอกวิทูรกลายเป็นเรื่องง่ายดายอย่างไม่ได้คาดหมาย

ระหว่างอยู่ที่ปีนัง เกริน ฉอ้อน และ คุณแจ๋วปรึกษากันเรื่องงานศพวิทูร ต่างคนต่างพยายามเดาว่า ถ้าผู้ตายมีส่วนออกเสียงด้วย เขาจะเลือกให้ทำงานศพเขาอย่างไร เขาจะอยากให้ร่างของเขาได้กลับประเทศบ้านเกิดได้รับเกียรติยศตามประเพณี หรือว่าเขาอยากให้เผาเสียเงียบๆ ไม่ให้โอกาสคนที่เคยแสดงเป็นเพื่อน หรือลูกน้องผู้ภักดี บริวารที่จงรัก ต้องฝืนใจมาในงาน ไม่ให้โอกาสคนขี้กลัว หรือขี้เกียจ ได้แสดงตนตามนิสัย เมื่อมีเหตุอันอาจเป็นภัยก็รีบหลีกเลี่ยงอย่างไม่อาย หรือเมื่อไม่มีสิ่งกระตุ้นหรือบังคับ ก็คร้านที่จะแสดงน้ำใจ ถึงอย่างไร งานศพพลเอกวิทูรก็ย่อมจะเปรียบไม่ได้กับงานต่างๆ ที่เขาเคยเป็นเจ้าภาพ จะขาดคนวิ่งเต้นอาสาสมัครขาดคนแข่งกันเอาความดีความชอบ ความมีหน้ามีตา เขาจะเลือกเอาทางนี้ หรือเขาจะเลือกงานศพที่มีแต่คนที่รักเขา ทิ้งเขาไม่ได้เพียงไม่กี่คน ช่วยกันประชุมเพลิงจุดไฟเผาศพของเขา

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีสิทธิ์ออกเสียงในเรื่องงานศพของวิทูรมากกว่า หรืออย่างน้อยก็เท่ากับบุตรและภรรยาก็คือบิดามารดาและพี่น้องร่วมท้องของเขา เกรินจึงเป็นผู้รับฉันทะให้นำเรื่องเข้ามาปรึกษา และเกรินยังรับฉันทะอีกเรื่องหนึ่งมาจากคุณแจ๋วโดยฉอ้อนไม่ได้รู้ด้วย

เมื่อไปถึงบ้านของขุนเทพศาสตร์และภรรยา ซึ่งคนทั้งหลายเลิกเรียกคุณแม่เทียนหอม ไปอย่างเร็วหลังจากที่พลเอกวิทูร สละตำแหน่งในราชการหนีออกจากราชอาณาจักร เกรินได้รับการต้อนรับฐานมิตรที่สนิทสนมมาเป็นเวลานาน และพอวิเวกเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกรินนำความมาปรึกษา ขุนเทพศาสตร์และภรรยาก็ทำให้เกรินเบาใจทันที

บิดาและมารดาของวิทูร เป็นคนไทยตามแบบฉบับเก่า ทั้งสองคนเชื่อในความไม่เที่ยงแท้ เมื่อมีการผันแปรของโชคชาตา ก็รับเอาด้วยความไม่ทุรนทุรายมากนัก แต่มีคำอธิบายกันไปคนละทาง ขุนเทพศาสตร์บอกว่า

“ผมไม่เชื่อหรอกใครจะมาว่าลูกผมเลวทราม เป็นคนขบถทดโท่ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ผมไม่เคยสอนมันมาอย่างนั้นเลย แต่เรื่องบุญวาสนา ประเดี๋ยวมันก็ขึ้นประเดี๋ยวมันก็ลง จะไปเอาอะไรกับมัน เรื่องศพเรื่องเมรุ ผมว่าไม่สำคัญ อย่าให้มันลำบากนักเลย เผาที่ไหนก็เหมือนกัน เรือนร่างมันก็เท่านั้นเอง”

ส่วนมารดานั้นเป็นคนที่เรียกว่า ธัมมะธัมโมมาตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าจะเรียกดอกเบี้ยจากผู้ที่นำทรัพย์สินมาจำนำจำนองค่อนข้างแพงเป็นบางโอกาส ท่านผู้นี้กล่าวแก่เกรินว่า “ดิฉันไม่ได้หลงใหลไปกับอำนาจวาสนาหรอกคุณ เศร้าใจว่าลูกตาย แต่มันก็ตายไปแล้ว เขาทำอะไรของเขาเรื่องการเมืองการแมงดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ จะตักเตือนห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ถูก อย่างพ่อวิเวกยังพอพูดกันได้บ้าง พ่อวิทูรน่ะเขาไม่เคยฟังใครมาแต่ไหน เขาลูกรักของพ่อ น้องรักของพี่ แต่เรื่องศพนี่ ดิฉันว่าอย่าให้หมดเปลืองนักเลย คิดถึงลูกยังเล่าเรียนอีกสองคน พอทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น แล้วแต่ท่านผู้หญิง”

พี่วงศ์เตรียมพร้อมในเรื่องที่จะช่วย และด้วยความคิดในทางได้ทางเสียมีอยู่มาก จึงเป็นอีกผู้หนึ่งที่สมัครใจไปในทางประหยัด ทั้งนี้ก็เพราะวิเวกมีความเห็นคล้อยไปในทางที่เกรินคิดอยู่ ว่าการที่จะนำศพมาเผาในพระนครคงจะก่อความอักอ่วนให้คนหลายคน และได้ชี้ชวนไว้ไปในทางให้กระทำฌาปนกิจที่ปีนัง

ก่อนที่เกรินจะลาครอบครัววรุตมภาพไป มารดาวิทูรได้กล่าวว่า

“ดิฉันเคยว่าตั้งแต่แรก ว่าลูกดิฉันจะต้องเจริญ เขารู้จักคบคน ตั้งแต่ดิฉันได้เห็นคุณมาที่บ้านคราวแรก ดิฉันก็ว่าอย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่า ‘ผู้ดี’” ซึ่งทำให้เกรินรู้สึกกระดาก ทั้งเศร้าและขบขันต่อความนึกคิดอันสับสนของมนุษย์ปนๆ กันไป

วิเวกพาเกรินมาส่งที่บ้านอาผ่อง เมื่อนัดวันและเวลาที่จะพบกันในคราวต่อไปแล้ว วิเวกก็บอกลา เขาเดินลงบันไดบ้านอาผ่องไปได้สองขั้นก็กลับขึ้นมาหาเกรินซึ่งยืนอยู่บันไดขั้นสูงสุด และพูด

“คุณเกริน ผมจะเล่าอะไรให้ฟังอย่างหนึ่ง ผมได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมธราก่อนวันเขาถูกส่งตัวออกนอกประเทศ เขาเล่าว่า เขาถูกไล่มาจากท่าเรือมาถูกสกัดจับแถวสามเสน และเขาทำเศษกระดาษที่เขาเขียนถึงลูกน้องของเขาหล่นจากมือ มันหล่นไปแล้วเขาก็อธิษฐานว่าแล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ” เขานิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่งแล้วพูดต่อ “เศษกระดาษนั้นเขาแน่ใจว่ามีคนเก็บไป ผมอยากรู้จังว่าคนที่อยู่แถวสามเสน เขาออกมาทำอะไรกลางถนนหลวงเวลาดึกตีสามตีสี่”

เกรินวางหน้าเฉย นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เป็นม่ายนี่ก็ดีอย่างหนึ่ง ไม่ต้องห่วงบ้านห่วงช่อง นึกถึงเมื่อแต่ก่อนจะไปไหนต้องห่วงแม่อุไร แกเป็นโรคประจำตัวแปลกๆ ประเดี๋ยวๆ เลือดมีความดันสูงลิบ แล้วก็หายไม่เป็นอะไร ดึกๆ ต้องออกไปตามหมอบ่อยๆ”

วิเวกทำหน้าเฉยเช่นกัน กล่าวว่า “บ้านคุณเกรินก็อยู่แค่นี้เอง ข้ามฟากประเดี๋ยวก็ถึงนี่ครับ” พูดจบเขายกมือขึ้นไหว้แล้วเดินลงบันไดไปยังท่าน้ำ

เกรินแจ้งแก่อาผ่องถึงการที่จะเผาศพวิทูรที่ปีนังตามที่บิดามารดาวิทูรเพิ่งตกลงไปแล้ว อาผ่องถามถึงเหตุที่วิทูรถูกยิง อย่างที่ทางบ้านวิทูรถาม และเกรินก็ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ถึงกับกล่าวเท็จแต่ก็ไม่ได้ให้ความจริง เสร็จจากการสนทนากับอาผ่องแล้ว เกรินก็ขอเปิดประตูในรั้วกั้นที่ดินของอาผ่องจากที่ดินของเจ้าคุณปู่ของเขา และตรงไปที่เรือนของจำลอง

เกรินได้โทรเลขมาขอให้จำลองอยู่ที่บ้าน รอพบเกรินด้วยเรื่องสำคัญ ซึ่งจำลองก็ทำตาม เมื่อพบกันและไต่ถามทุกข์สุขตามธรรมดาแล้ว จำลองก็ถามลูกผู้น้อง

“ไหนเล่าไปซิมีเรื่องอะไร เกริน”

“คนที่ยิงวิทูรน่ะ พี่อ้น แต่ให้การอะไรไม่ได้เลยพูดไม่รู้เรื่อง” เกรินตอบสั้นไม่อ้อมค้อมตามนิสัย “น่าสงสารที่สุด”

จำลองรับฟังอย่างสงบ “เป็นไปได้ถึงเพียงนั้นเชียวนะ” เขาปริเทวนาเบาๆ “แล้วใครรู้จักพี่อ้นบ้าง”

“คุณแจ๋วกับฉันต้องบอกกงสุลให้รู้ แต่เราขอให้ปิดเป็นความลับ ข้อสำคัญคุณแจ๋วไม่อยากให้ฉอ้อนรู้ว่าพี่ชายคุณแจ๋วเป็นคนยิงสามีฉอ้อนตาย ฉอ้อนก็เคยรู้จักพี่อ้น”

“แกบ้าก่อนยิงหรือยิงแล้วบ้า มีความสำคัญทางกฎหมาย” จำลองถาม

“ก็เห็นจะต้องแพทย์กับนักกฎหมายพิสูจน์ไปทางใดทางหนึ่ง” เกรินออกความเห็น “ไม่มีใครรู้ชื่อแซ่ของแก แกอยู่ในโฮเต็ล บอกชื่อเป็นมิสเตอร์ทันเดอร์ เมืองนั้นมีคนทุกชาติทุกผิว ไม่มีใครสงสัย ตามทางการ กงสุลไม่ต้องรับว่าพี่อ้นเป็นคนไทยเพราะหนังสือเดินทางไม่มี แกทำลายหลักฐานชื่อเสียงหมด ตำรวจเขาว่ามีเสมอพวกโรงแรมที่รับคนไม่ดูหลักฐาน เวลาเราไปเยี่ยมที่ที่คุมขังเราก็เป็นแต่บอกว่า สงสัยว่าจะเป็นคนที่เรารู้จัก จากรูปในหนังสือพิมพ์ กงสุลก็ว่าอยากรู้ว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า พอเขาพาตัวพี่อ้นออกมา คุณแจ๋วกระโดดไปยืนแอบอยู่ข้างหลัง ไม่ยอมให้พี่อ้นเห็น ฉันเป็นคนเข้าไปสู้หน้าคนเดียว”

“แล้วจำเกรินได้ไหม ทำไมเขาถึงว่าพี่อ้นยิง” จำลองซัก

“ประหลาดที่สุด แกเรียกฉันว่าวิทูร แกถามว่า เอ นายวิทูรทำไมมาเยี่ยมได้ ไม่ตายหรอกรึ แกพูดภาษาอังกฤษเรื่อยนะ ภาษาไทยไม่พูดเลย ส่วนเรื่องยิงน่ะไม่มีปัญหา แกมีปืนที่มีกระสุนที่อยู่ในตัววิทูร และแกก็บอกเจ้าของโฮเต็ลให้ตำรวจมาจับ ทีแรกเขานึกว่าเมา แต่เขาก็ต้องไปลองค้นดู ก็ค้นได้ปืนที่ตัว”

“อือ ทำไมเรียกเกรินเป็นวิทูร แกมีอะไรอยู่ในใจของแก” จำลองพูดอย่างปรารภกึ่งถาม

“ดูนี่ซิ” เกรินหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ลูกพี่ลูกน้องดู “ฉันขอลอกมาจากสมุดในห้องพี่อ้นที่ตำรวจเขายึดไว้ แกเขียนอะไรของแกไว้สนุกพิลึก ที่จริงจะเรียกว่าเป็นจดหมายถึงทนายของแกก็ได้”

จำลองรับแผ่นกระดาษไปอ่าน มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า

“ลูกพี่ลูกน้องทนายตัวยง ทีนี้เธอจะไม่ได้ว่าความให้ฉันหลุดไปได้ ฉันไม่อยากหลุด ฉันได้ทำหน้าที่ลูกผู้ชายให้ประเทศที่รักของฉันแล้ว ฉันทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ฉันไม่มีความสามารถอะไร เจ้านายพลมันไม่รักชาติ มันรักเพื่อนมันมากกว่า บอกว่ามันควรเป็นคนยิง มันกลับไปช่วยเหลือกัน มันต้องเอาดินกลบเสียทั้งสองคน แต่ฉันว่าสวรรค์คงจัดการกับมัน ฉันจะยิงเพียงคนเดียว เพราะฉันมีความสามารถแค่นั้นเอง เท่านั้นเอง ฉันไม่มีความสามารถอะไร แต่ฉันยิงคนที่ทำร้ายประเทศของฉันได้”

“เกรินพบพี่อ้นบ่อยๆ ก่อนที่พี่อ้นจะไปจากบ้านบ้างหรือเปล่า” จำลองถามต่อไปด้วยสีหน้าเศร้า

“พบเป็นครั้งคราว พี่อ้นแกพยายามจะให้ฉันยิงวิทูรมาหลายเดือน พอดีเขาถูกกล่าวหาแล้วจะหนีไปเสีย แกว่าฉันเป็นคนเหมาะที่สุด เพราะเขาไว้ใจ จะเข้าใกล้ได้สะดวก”

“ยิงแล้วจะให้หนีไปให้พ้นหรือไม่หนี”

“ฉันถามเหมือนกัน พี่อ้นว่าทำงานอย่างนี้จะไปคิดหนี มันจะสำเร็จได้อย่างไร” เกรินตอบ

“แล้วเกรินว่าไงต่อไป”

“ฉันก็ไม่รู้จะว่ายังไง เคยบอกว่า ฉันยังไม่แน่ใจว่าการยิงนายวิทูรจะขบปัญหาของเมืองไทย เพราะฉันเห็นว่าปัญหามันซับซ้อนมาก คนที่อยากเป็นบ่าวและมีนายอย่างวิทูรมีแยะ ถ้าคนชนิดนั้นมีจำนวนน้อยลง ก็จะหาคนมีอำนาจแบบวิทูรไม่ได้มาก และคนที่ชอบป้อยอฉันเห็นมีกันทั่วไปตลอดทุกระดับ”

“แล้วไงอีก”

“พี่อ้นก็ไปจากฉันเสียที แล้วสองสามอาทิตย์ก็ย้อนกลับมาพูดอย่างเดียวนั้นอีก ฉันว่าพี่อ้นถ้าจะยังไงๆ ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วกระมัง”

“ถ้าเราพิสูจน์ได้ เราอาจขอรับกลับมารักษาในเมืองไทย แต่จะพิสูจน์อย่างไร แล้วถ้าไม่อยากให้ฉอ้อนรู้ จะให้ฉันไปปีนัง จะเอาอะไรมาอ้าง”

“เรื่องพี่จำลองจะไปปีนังน่ะไม่เป็นไร” เกรินชี้แจง “ฉันรับฉันทะมาจากฉอ้อน ขอให้พี่จำลองช่วยไปจัดการเรื่องพินัยกรรมวิทูรเขาที่ทำไว้ที่ปีนัง ถึงอย่างไรฉอ้อนแกก็ต้องมีที่ปรึกษาทางกฎหมาย แต่เรื่องพี่อ้นนี่แปลก ไปๆ มาๆ ก็เห็นจะต้องโทษเวรกรรม วันที่วิทูรจะหนีไป ฉันไปหาท่านผู้หญิงแล้วแวะไปคุยกับคุณแจ๋ว กลับถึงบ้านดึกแล้ว แม่อุไรเกิดไม่สบายเลยไม่ได้เข้านอน พี่อ้นไปที่บ้านกลางดึก ไปบอกว่ารู้มาแน่นอนว่าวันนี้นายใหญ่เขาให้คนไปขนอาวุธที่วิทูรสะสมไว้โดยไม่ได้บอกเขา เพื่อนพี่อ้นที่คิดจะเล่นงานวิทูรด้วยกันเป็นคนบอก เพราะยังงั้นให้ฉันตัดสินใจว่าฉันจะเป็นคนทำวีรกรรม คือยิงวิทูรเสียเพื่อชาติ หรือจะให้นายใหญ่กับวิทูรยิงกันให้เมืองไทยฉิบหาย ฉันดูพี่อ้นแล้วไม่แน่ใจว่าพี่อ้นมีสติสมบูรณ์หรือพูดไปตามความฝัน ไล่เลียงเล่นบ้างจริงบ้าง วันนั้นใจคอฉันก็ไม่ค่อยดีเพราะแม่อุไรแกเป็นๆ หายๆ ไม่แน่ใจว่าจะต้องไปตามหมอหรือเปล่า แต่เมื่อฟังพี่อ้นเอ่ยชื่อคนที่ฉันรู้สึกว่าเป็นคนสนิทของนายใหญ่และเป็นคนเกลียดวิทูรหลายคน ฉันก็เลยคิดว่า ทางที่ดีคือเที่ยวออกไปดูก็เลยชวนพี่อ้นว่าฉันจะไปตามหมอให้เมียเสียก่อน แล้วดูเหตุการณ์ที่พี่อ้นว่า เวลานั้นเห็นจะราวตี ๓ ฉันพยายามให้พี่อ้นกลับไปก่อนก็ไม่กลับก็เลยออกมาด้วยกัน พอมาถึงปากซอย พอดีเขาไล่จับนายธรากันมาตรงนั้น พี่อ้นร้องลั่น เห็นไหม เห็นไหม บอกแล้วไม่เชื่อ ฉันเกือบต้องต่อยพี่อ้นกลางถนน แล้วตัวเองลงไปนอนราบหลังพุ่มไม้ราวกับเล่นหนัง เคราะห์ดีพวกนั้นไม่เอาใจใส่กับเราเลย พอเขาจับนายธราได้ก็รีบเอาขึ้นรถไป ฉันโผล่ออกมา พี่อ้นเอาสมุดเล็กๆ มาส่งให้ เปิดขึ้นเห็นเศษกระดาษลายมือธรา เขียนถึงใครไม่รู้ว่า ให้บอกพี่ชายเราว่าของถูกขนไปหมดแล้ว ให้เตรียมหนี มีเลข ๕ ตัวอยู่ใกล้ๆ ฉันบอกพี่อ้นว่าให้กลับไปบ้านก่อนฉันไปตามหมอแล้วจะติดต่อไปให้รู้ แล้วฉันก็เดาโทรศัพท์ไปถึงวิทูร หมุนเลขหน้าไปหลังบ้าง หลังไปหน้าบ้าง ตรงกลางบ้าง ก็ไปเข้าเครื่องเฉพาะของวิทูรจริงๆ”

“ดูช่างบังเอิญพิสดารดีจริง พวกเรากับนายวิทูร” จำลองว่าเศร้าๆ “แล้วเกรินเป็นคนบอกให้เพื่อนหนีรึ ก็ถูกแล้ว ถ้าเกิดสู้กันขึ้น ก็พลอยฉิบหายกันไปใหญ่ แล้วทำไมพี่อ้นรู้”

“ก็คงเดา น่ากลัวจะเดากันหลายคนเสียด้วยซิ เพราะบ้านเราดันอยู่ตรงนั้น”

“ถ้าได้ตัวพี่อ้นกลับมา ฉันก็ยังหนักใจว่าใครจะดูแล” จำลองพูดอย่างวิตก “เกรินคงยังไม่รู้ เมียพี่อ้นหนีไปกับเจ้าหนุ่มของเขา คนสวนคุณอาจำรูญ คนในบ้านซุบซิบกันมานานแล้ว แต่พวกเราไม่เอาใจใส่ต่างคนก็ต่างทำมาหากิน พี่อ้นคงว้าเหว่เหลือเกิน รู้สึกตัวเหมือนอยู่คนเดียวในโลก”

“ลูกสาวสองคนก็เห็นจะไม่ค่อยได้มาเอาใจใส่กับพ่อนัก” เกรินผสม

“ลูกน่ะ ถ้าพ่อแม่อยู่ด้วยกันไม่เรียบร้อย ลูกมันไม่ค่อยอยากจะมาเยี่ยมกราย มันคอยจะหนีอยู่เรื่อย ลูกพี่อ้นก็ไม่ค่อยมีการอบรมนัก เพราะแม่เขาเป็นอย่างงี้มานานแล้ว”

ทั้งสองคนถอนใจ แล้วเกรินรำพัน “เออ เรามีอายุมาในสมัยที่มีความเปลี่ยนแปลงมากเกินไป บางคนก็ปรับตัวได้ บางคนก็ทำไม่ได้” แล้วเขาก็เล่าถึงการสนทนากับเจ้าก่องฟ้าบนเรือบินให้จำลองฟัง จำลองฟังอย่างสนใจ พอเกรินเล่าจบแล้ว จำลองสรุปเหมือนพูดกับตนเอง

“ฉันว่าผู้หญิงอย่างสำรวยดีที่สุด ปัญหาต่างๆ ไม่มีเลย ถ้ามีก็ถามตรงๆ เราก็ตอบแกตรงๆ”

“แกบังเอิญมีสามีที่ตอบได้อย่างพี่จำลองน่ะซิ ถ้าผิดคู่ก็แย่เหมือนกัน” เกรินว่า

ถึงตอนนี้ จำลองหัวเราะหึๆ อย่างถูกอารมณ์แล้วญาติทั้งสองก็นัดแนะกันจนแจ่มแจ้งว่าจะพบกันอีกเมื่อใดและจะไปทำอะไร แล้วเกรินจึงลาไป

สองลูกพี่ลูกน้องออกเดินทางด้วยเครื่องบินกลับไปปีนังในวันรุ่งขึ้น จำลองได้จังหวะว่างจากศาล และฝากงานอื่นไว้กับทนายความในสำนักเดียวกัน เขารีบจะไปปีนังด้วยความร้อนใจ เกรินได้ไปหาคุณแต๋ว เล่าเรื่องพี่อ้นให้ฟังอย่างคร่าวๆ และคุณแต๋วจัดการให้ได้พบลูกสาวพี่อ้น ญาติสนิทของพี่อ้นตกลงมอบให้เกรินและจำลองจัดการตามที่เห็นสมควร เกรินและจำลองจึงรู้สึกเบาใจไปชั้นหนึ่ง ฝ่ายญาติของวิทูรก็เตรียมเดินทางไปโดยรถไฟเพราะต้องการหาซื้อสิ่งของหลายอย่างที่หาไม่ได้ที่ปีนังสำหรับฌาปนกิจ วิเวกต้องวิ่งเต้นขออนุญาตออกไปนอกราชอาณาจักร อาศัยที่คณะผู้มีอำนาจใหม่ติดใจที่จะปรับปรุงกิจการต่างๆ มากกว่าที่จะรื้อฟื้นเรื่องที่เกิดและจบไปแล้ว วิเวกก็ได้รับอนุญาตในที่สุด

เมื่อไปถึงปีนัง จำลองก็ตรงไปที่บ้านพักของท่านผู้หญิงฉอ้อนในฐานะที่ปรึกษาทางกฎหมาย ฉอ้อนและจำลองทราบเรื่องราวของกันและกันอยู่เรื่อยๆ จึงปรึกษากันได้อย่างสนิทสนม

ระหว่างติดต่อการงานเกี่ยวกับศพและทรัพย์สินของพลเอกวิทูร จำลองและเกรินก็สอบสวนเรื่องพี่อ้นไปด้วยแผนการที่จำลองวางมาก่อนออกจากกรุงเทพฯ ไม่บรรลุผล ทางตำรวจปีนังแจ้งว่า จิตแพทย์ไม่อาจรับรองว่าพี่อ้นวิกลจริตแน่ เมื่อก่อนการฆาตกรรม พี่อ้นอยู่ที่โรงแรมอย่างมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ และการทำลายหลักฐานก็อาจเป็นเพราะว่ามีสติดีนั่นเอง ทางการจึงต้องขอกักตัวไว้ แต่จะยังไม่ดำเนินคดีจนกว่าอาการทางประสาทจะดีขึ้น จำลองได้ขอร้องแก่ตำรวจอย่างตรงไปตรงมา ขอให้สงวนเรื่องไว้เป็นความลับเพื่อประโยชน์ทางจิตใจของครอบครัวผู้ตาย ตำรวจก็ร่วมมือด้วยเป็นอันดี เมื่อวิเวกไปถึงปีนัง เขาขอไปดูตัวผู้ยิง แต่วิเวกไม่รู้จักว่าเป็นใคร ญาติของวิทูรจึงได้รับทราบแต่ว่าคนร้ายเป็นคนบ้า

ฉอ้อนฉลาดพอที่จะใช้ฉอเลาะและหนูเป๊าะให้วุ่นไปกับการเตรียมงานฌาปนกิจ ไม่มีเวลาให้โศกเศร้ามากนัก จดหมายของไกรซึ่งเกรินนำมาจากกรุงเทพฯ เป็นกำลังใจแก่ฉอเลาะมาก ความอ่อนวัยของหนูเป๊าะก็ช่วยให้เพลิดเพลินในกิจการที่ต้องทำ เฌอโทรเลขติดต่อกับพี่สาวเกือบไม่เว้นวัน ซึ่งเป็นเครื่องปลอบประโลมใจแก่ท่านผู้หญิงฉอ้อนอย่างจะหาอะไรเปรียบไม่ได้ และเมื่อจวนวันเผาศพ เฌอก็บินออกมาปีนัง พร้อมด้วยธูปเทียนที่คนห่างไกลกับคนตายฝากมาเผาเป็นการขมาศพ และยังมีจดหมายหลายฉบับมาถึงท่านผู้หญิง กล่าวถึงสามีในเรื่องที่เขาได้ทำประโยชน์แก่ประเทศ เพื่อนผู้หญิงของฉอ้อนก็ส่งธูปเทียนและสิ่งของมาขมาศพและช่วยในการบำเพ็ญกุศล ความมีน้ำใจของคนไทยในเมื่อมีคนประสบความอาภัพอับโชคช่วยให้ความรู้สึกของทุกคนดีขึ้น แต่นำภาระหนักให้กงสุล ซึ่งญาติและมิตรของผู้ตายตระหนักด้วยความขอบคุณ นอกจากนั้นคนไทยและคนชาติอื่นในปีนังที่ได้รู้จักกับพลเอกวิทูรระหว่างที่เขาลี้ภัยการเมือง ก็มาร่วมในการกุศลเกือบไม่เว้นตัว

เกรินอดส่งใจไปถึงเจ้าก่องฟ้าบ่อยๆ ไม่ได้ หล่อนจะอยากจุดไฟขมาศพคนที่หล่อนรักไหมหนอ แต่หล่อนเป็นคนไม่เห็นแก่ประเพณี คงจะไม่กังวลในเรื่องนี้นัก แล้วเขาก็คิดต่อไปถึงสิทธิของเมียหลวงและเมียน้อยในสังคมปัจจุบัน แน่แล้วเมียน้อยอยู่ในฐานะที่ไม่น่าอิจฉา ถึงเวลาสำคัญที่สุด เวลาที่ชายผู้เป็นที่รักเจ็บ ผู้เป็นที่รักจะตาย เมียน้อยไม่มีสิทธิที่หญิงอยากได้ที่สุด เมียน้อยจะไม่ได้รักษาพยาบาล ไม่ได้ลากันก่อนตาย จะได้เห็นก็แต่ศพ จะได้ลาก็แต่ร่างที่หาชีวิตไม่เท่านั้น

เกรินมัวแต่หมกมุ่นกับธุระ ไม่ค่อยได้มีเวลาเอาใจใส่กับฉอ้อนและคุณแจ๋วในเรื่องส่วนตัวไปหลายวัน ญาติของวิทูรที่ไปปีนังในการศพ ย่อมอยากเห็นภูมิประเทศแปลกตาไปด้วย เกรินจึงมีภาระเพิ่มขึ้นที่ต้องเป็นมัคคุเทศก์ แม้จำลองเองก็อยากไปเที่ยวดูสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งถึงวันตั้งศพ ไปประกอบการกุศลที่วัด กว่าจะเสร็จกิจก็เป็นเวลาล่วงเข้าไปเกือบ ๒๓ นาฬิกา เกรินกลับมาถึงบ้าน ก็คิดแต่จะรีบอาบน้ำและเข้านอน แต่เขาต้องประหลาดใจมากเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ ไม่ใช่ฝีมือเคาะของจำลอง ผู้ได้รับเชิญให้พักร่วมกับครอบครัวของท่านผู้หญิงที่บ้านที่นายตันให้อาศัย เสียงมือนั้นเจ้าของเป็นผู้หญิง และไม่ใช่คุณแจ๋วด้วย เกรินรีบไปเปิดประตูใจแล่นไปอย่างเหลวไหลถึงเจ้าก่องฟ้า แต่เมื่อแง้มประตูออกไป จึงเห็นว่าเป็นฉอ้อน เกรินตกใจถาม “อะไร ฉอ้อน”

“คุณเกรินคะ” ฉอ้อนเรียกชื่อคุณเกริน มีความตื่นเต้นในน้ำเสียง “ฉอ้อนมีเรื่องพูดกับคุณเกริน อาบน้ำเสร็จแล้ว เชิญไปสวนข้างหลังตึกนะคะ ฉอ้อนจะลงไปคอย”

ฉอ้อนหับประตูสนิทแล้ว เกรินยืนหมุนคว้างอยู่กลางห้อง ฉอ้อนมีเรื่องอะไร ทำไมต้องพูดในเวลาวิกาลเช่นนี้ เป็นไปได้หรือที่เขาจะเป็นคนมีหวัง ภายหลังที่ได้หัดตัวให้ชินกับความไม่มีหวังมากว่า ๒๐ ปี เป็นไปไม่ได้ อย่าริหวังเลย แต่ฉอ้อนมีเรื่องอะไร ท่าทีไม่ใช่จะพูดเรื่องพี่อ้นแน่ แล้วจะเป็นเรื่องอะไรเล่า ใจของเกรินเต้นระทึกด้วยความอยากรู้และมือของเขาเย็นเฉียบ

เขารีบสวมเสื้อและหวีผมให้เรียบร้อย แล้วจึงตามฉอ้อนลงไปในสวน คืนนั้นเป็นคืนข้างขึ้นประมาณ ๙ ค่ำ พระจันทร์ยังไม่ลับไปจากฟ้า ยังคงลอยอยู่ในองศาที่พอจะทอแสงนวลลงมายังบริเวณสวน ฉอ้อนนังอยู่บนเก้าอี้สนาม ศีรษะเอนพิงพนักหันหน้าไปทางดวงจันทร์ เมื่อเกรินเดินเข้าไปใกล้ ฉอ้อนก็ขยับตัว ทำทีให้เกรินนั่งลงข้างหล่อน เมื่อเห็นฉอ้อนยิ้มน้อยๆ มองดูเขา เขาก็รู้สึกเบาในหัวอก ความเคร่งเครียดภายใน ๑๐ วันที่แล้วมาตั้งแต่วิทูรตาย ผ่อนคลายลงไปราวกับประสาทของเขาเป็นเชือกเส้นใหญ่ บัดนี้ได้คลายเกลียวออก นำความสงบมาสู่มโนของเขาในชั่ววินาทีนั้น เกรินลดตัวลงนั่งใกล้ฉอ้อน เห็นสีหน้าของหล่อนไม่อยู่ในอาการเศร้าจึงสัพยอกว่า “ว่าไงครับ ท่านผู้หญิง”

“แหม อยากมีอำนาจจริงๆ อย่างที่เขาว่าคุณวิทูรมี” ฉอ้อนรับเอาคำสัพยอกอย่างดี “จะใช้ให้ได้สมใจปรารถนาในคืนนี้”

เกรินจ้องดูฉอ้อน สายตาของเขาคงบอกว่าอยากรู้อย่างโจ่งแจ้ง ฉอ้อนหัวเราะเบาๆ ท่วงทีเหมือนเมื่อเป็นสาวน้อยอยู่เพชรบุรี เกรินยิ่งจ้องมากขึ้น บัดนั้นฉอ้อนก็เปลี่ยนสีหน้า กลับเป็นสงบเศร้าๆ อย่างที่มีมาเป็นเวลานาน นับแต่คืนวันที่ลูกตายและสามีจาก และเริ่มพูดเสียงเบาๆ และอ่อนหวานตามเคย

“คุณเกรินขา คุณเกรินมัวแต่วุ่นธุระของฉอ้อน คุณเกรินไม่ค่อยได้เอาใจใส่กับคุณแจ๋วมาหลายต่อหลายวันแล้วใช่ไหม ฉอ้อนขอบพระคุณคุณเกรินอย่างยิ่ง ไม่มีทางจะทดแทนพระคุณได้เลย และที่ขอให้คุณเกรินพูดกับฉอ้อนคืนนี้ ก็อาจกวนใจคุณเกรินก็ได้ แต่ฉอ้อนพูดด้วยความรักนะคะ ต้องรีบพูดกันเสีย เพราะเผาคุณวิทูรแล้ว ก็จะรีบกลับเข้ากรุงเทพฯ เอากระดูกและอังคารไปบ้านนนทบุรี ฉอ้อนไปค้างเมืองนนท์ก็หาเวลาพูดกันไม่ได้ไปหลายวัน ชักใจร้อน เพราะคิดว่าทิ้งไปนานเดี๋ยวพูดไม่ถูก”

เกรินใจเต้นตึกๆ ด้วยความหวัง แต่เขาบังคับตัวบังคับใจไว้ ไม่ปล่อยอารมณ์ฟุ้งซ่านไป เตรียมรับฟังเรื่องที่อาจเป็นความหดหู่ใจ

“คุณเกรินคะ” ฉอ้อนกล่าวต่อไป “คุณเกรินเข้าไปกรุงเทพฯ แล้วคืนนั้นคุณแจ๋วไม่สบาย ดิฉันไม่รู้เข้าไปหาคุณแจ๋ว ตามเคยฉอ้อนสงสารตัวเองด้วยเรื่องร้อยแปด ยังทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่เรื่อย ยังมีคนห่วงใยช่วยเหลืออย่างคุณเกริน ฉอ้อนก็ยิ่งเสียคน คืนนั้นไม่มีคุณเกริน ฉอ้อนเกิดคิดถึงตาฤทธิ์ นึกถึงว่า โธ่เอ๋ย เพราะแม่ไม่เคยรักตาฤทธิ์นั่นเอง แม่ปล่อยให้ลูกเป็นลูกของพ่อคนเดียว แกถึงได้เป็นอย่างนั้น เราน่าจะได้ต่อสู้ให้แกเป็นลูกเราบ้าง นี่เรามัวแต่รัก เป็นห่วงตากลองเพราะรู้สึกว่าพ่อไม่รัก ทั้งที่ตากลองรักพ่อเหลือเกิน เอาละ ประเดี๋ยวจะไปรำพันเรื่องลูกของตัวเสียอีก ฉอ้อนเข้าไปหาคุณแจ๋ว จะไปร้องไห้ใส่คุณแจ๋ว แต่พอเข้าไปนั่งที่ขอบเตียงคุณแจ๋ว เห็นคุณแจ๋วนอนตัวสั่นอยู่ ดิฉันนึกว่าคุณแจ๋วเป็นไข้นิดหน่อย ก็จะไปหายามาให้ แต่คุณแจ๋วบอกว่า อย่าไปเลย ให้นั่งเป็นเพื่อนนิ่งๆ ดิฉันก็นั่งอยู่”

“นั่งนิ่งอยู่สักประเดี๋ยว คุณแจ๋วก็ว่า พูดอะไรไปซิฉอ้อน ฉอ้อนก็พูดอย่างโง่ที่สุด แต่ได้ผลดีที่สุด ว่าฉอ้อนอิจฉาคนที่ไม่รักใคร ไม่ต้องเป็นทุกข์โศกเศร้าซ้ำแล้วซ้ำอีก พอพูดเท่านั้น ได้ยินคุณแจ๋วร้องไห้กระซิกๆ ขึ้นมา ฉอ้อนก็ถามอย่างโง่ที่สุดอีกว่า คุณแจ๋วเป็นอะไรไป คุณแจ๋วเคยรักใครหรือคะ ใครนะที่เลวแสนเลว ถ้าทำให้คุณแจ๋วต้องเศร้าโศก คนอย่างคุณแจ๋วไม่น่าจะมีเรื่องอย่างนั้นเลย ใครที่คุณแจ๋วรัก เขาน่าจะบูชาคุณแจ๋ว”

“คุณแจ๋ว ร้องไห้และหัวเราะไปพร้อมๆ กัน และพูดว่า คนที่เขาไม่รักคุณแจ๋ว เขาไม่เลว เขาไม่โง่ ไม่อะไรทั้งนั้น เขาไม่รักแจ๋วเพราะเขารักคนอื่นเสียแล้วเท่านั้นเอง แล้วคุณแจ๋วก็เลยร้องไห้สะอึกสะอื้น ฉอ้อนไม่รู้จะปลอบอย่างไร ได้แต่เอาน้ำไปลูบหน้า พยาบาลไปตามเรื่อง จนคุณแจ๋วหยุดร้องไห้ไปแล้วกลับพูดตลกใหม่ บอกกับฉอ้อนว่า ฉอ้อนรู้ความลับของคุณแจ๋วแล้ว อย่าเอาไปหากินนะ ยิ่งเป็นแม่ม่ายไร้ทรัพย์เดี๋ยวจะเอาไปขายหนังสือพิมพ์ แล้วคุณแจ๋วก็ทำรื่นเริงอย่างเคย แล้วไล่ฉอ้อนให้กลับห้อง ฉอ้อนกลับมาห้องก็มาคิดๆ คิดแล้วก็บอกว่าต้องถามคุณเกรินให้ได้”

ฉอ้อนเอามือวางลงบนขาข้างหนึ่งของเกริน และพูดด้วยเสียงอ่อนหวานยิ่งขึ้น “คุณเกริน ทำไมเราจะต้องเป็นม่ายกันหมดทั้งสามคน คุณเกรินมีทางจะทำให้คนเป็นสุข ทำไมถึงจะไม่ทำ ถ้าคุณเกรินทำตามที่ฉอ้อนหวัง คนที่เป็นสุขไม่ใช่คนเดียว เป็นสองคน คือฉอ้อนอีกคนหนึ่ง”

เกรินเอามือของเขากุมมือฉอ้อนไว้ เขาถอนใจเบาๆ แล้วถอนอีกอย่างยืดยาว

“ทำไม่ได้หรอก ฉอ้อน” เขาพูดอย่างอ่อนหวานเช่นเดียวกับหล่อน “ถ้าเป็นผู้หญิงอื่น อาจทำได้ แต่คุณแจ๋ว ฉันทำไม่ได้ ไม่มีใครแกล้งทำอะไรหลอกคุณแจ๋วได้ คุณแจ๋วจะอยู่กับสามีที่รักผู้หญิงอื่นไม่ได้ ดูแต่เพียงเท่านี้ซิ ฉันไม่ได้พบฉอ้อนพร้อมกับคุณแจ๋วกี่หนเลยก่อนที่วิทูรจะพลัดพรากจากฉอ้อน และตลอดยี่สิบปีนี้ ฉันไม่เคยบอกใครเลยว่าฉันรักฉอ้อน แต่ทำไมคุณแจ๋วรู้ได้ เขาเพียงแต่สังเกตอะไรนิดๆ หน่อยๆ เขาก็เดาถูก แล้วถ้าอยู่ด้วยกันทั้งวันๆ เขาจะจับความบกพร่องของความเป็นสามีได้ตลอดเวลา ฉอ้อนอย่าใฝ่ฝันสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ฉันได้หัดตัวหัดใจฉันมานานแล้ว อย่าให้ต้องหัดใหม่เลย เราแก่แล้ว ถึงคราวที่เราจะต้องหาความสุขอย่างคนแก่ ฉอ้อนเชื่อฉันเถิด”

ฉอ้อนนิ่ง ที่จริงหล่อนก็กลัวอยู่แล้ว ว่าหล่อนจะเอาชนะคุณเกรินไม่ได้ ฉอ้อนไม่เห็นเคยชนะใครเลย ดีแต่มีคนบอกฉอ้อนว่ารัก รัก แล้วเขาแสดงความรักอย่างไร เขาแสดงโดยพยายามอยู่เหนือฉอ้อน ตามใจตัวของเขาเองกันทั้งนั้น ทั้งสามี ทั้งน้องชาย ทั้งลูก และทั้งคุณเกรินด้วย ใครเขาตามใจฉอ้อนกันบ้าง มีแต่ฉอ้อนจะต้องพยายามเข้าใจเขา พยายามปรับตัวเข้ากับลักษณะนิสัยของคนแต่ละคน มีประโยชน์อะไร ความรัก ฉอ้อนขยับตัวจะลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว อยากไปบอกคุณแจ๋วว่า อย่าไปอยากได้มัน ไอ้ความรัก มันเหมือนค้อน เหมือนม่ด มันได้แต่ทุบตี ได้แต่เชือดเฉือน มันไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เราเลย

เกรินคงจะเดาใจหล่อนถูก เขายุดแขนฉอ้อนไว้อย่างนุ่มนวล พลางถาม “ฉอ้อนโกรธรึ”

ฉอ้อนสั่นศีรษะ “จะว่าโกรธก็ไม่ถูก แต่ฉอ้อนรู้สึกเสียใจ ฉอ้อนไม่เคยได้เห็นใครชื่นใจในเรื่องรักเลย คุณเกรินรู้ได้อย่างไรว่าคุณแจ๋วจะไม่เต็มใจแต่งงานกับคุณเกรินทั้งที่รู้ว่าคุณเกรินรักคนอื่น”

“โธ่ ฉอ้อน กลายเป็นคนไม่มีเหตุผลไปได้” เกรินว่าเสียงค่อนข้างแข็ง “อย่างนั้นเราไม่ทำกับคนที่เรารัก คือว่ารักเหมือนญาติ หรือเหมือนอะไรเราไม่รู้ เหมือนเพื่อนผู้ชายเห็นจะมากกว่า ก็ไม่ใช่อีก ไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายคนไหนที่ฉันรักแบบที่รักคุณแจ๋ว ฉันรักคุณแจ๋วแบบที่แต่งงานด้วยไม่ได้ เป็นการหมิ่นน้ำใจกัน ฉอ้อนเข้าใจดี ทำไมถึงทำไม่เข้าใจ ถ้าฉันจะพูดบ้างล่ะ ทำไม เดี๋ยวนี้วิทูรก็ตายแล้ว ถ้าฉันจะขอให้ฉอ้อนแต่งงานกับฉัน ฉอ้อนก็เคยพูดว่ารักฉัน ฉอ้อนจะแต่งได้ไหม” เขาหยุดจ้องหน้าหล่อนอย่างจริงจัง ฉอ้อนเอามือของเขาไปกุมไว้และเอาแขนเขาไปกอดไว้กับทรวงอก แต่ศีรษะของหล่อนส่ายไปมา เกรินกล่าวต่อไป “นั้นยังไง ทำไมถึงไม่ได้ เพราะว่าฉอ้อนรักฉันคนละแบบกับที่รักวิทูร ใช่ไหม”

ฉอ้อนเปลี่ยนอิริยาบถโดยหันหลังให้คุณเกริน ได้ผลสองอย่างคือไม่เห็นพระจันทร์ซึ่งฉอ้อนเกิดไม่อยากเห็นขึ้นมาเฉยๆ และไม่ต้องดูหน้าคุณเกรินซึ่งหล่อนก็ไม่อยากมอง เพราะมองแล้วเกิดสงสารและหมั่นไส้ระคนกัน สงสารเพราะหล่อนได้สงสารเกรินมาตลอดชีวิตโดยไม่รู้ตัว และหมั่นไส้เพราะเขาเป็นผู้ชาย เป็นคนหนึ่งที่นำความทุกข์มาให้คนที่ฉอ้อนรัก แต่หันหลังอยู่ไม่ได้นานคุณเกรินก็กล่าวขึ้น

“ฉันก็มีเรื่องที่ควรพูดกับฉอ้อนคืนนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากออกจะเป็นเรื่องธรรมะหรือปรัชญาอยู่สักหน่อย” เขาหยุด ครั้นหล่อนหันมาดูเขา และต่างคนต่างมองกันอยู่สักวินาที เขาจึงกล่าวต่อไป “พรุ่งนี้ ฉอ้อนจะจุดไฟเผาศพวิทูร ฉอ้อนพร้อมแล้วรึที่จะเผาเขา การเผาศพนั้นเขาขอขมาลาโทษ ขออโหสิกรรมต่อกัน วิทูรเขาขอให้ฉอ้อนยกโทษให้เขาทุกอย่าง ฉอ้อนแน่ไจรึว่าฉอ้อนได้ยกโทษให้เขาแล้ว ยกโทษให้จริงๆ”

“ฉอ้อนมีชีวิตมาได้ ๑๐ ปีหลังนี้ด้วยอะไร” ฉอ้อนย้อนถาม “ไม่ใช่โดยพยายามลืมอะไรๆ ที่ไม่ดีเสียให้หมดรึ ฉอ้อนอยู่มาได้ก็โดยจำแต่สิ่งที่ดีๆ ของคุณวิทูร”

“อย่าลืมซิ ฉอ้อน” คุณเกรินว่า “พยายามเรียกทุกอย่างเข้ามาในสมอง เอาเข้ามาพิจารณา คิดดูว่าฉอ้อนควรยกโทษ ควรอภัยได้หรือยัง เขาทำอะไรไม่ดีบ้าง เพราะอะไร ใครมีส่วนด้วยในความไม่ดีของเขาแล้วฉอ้อนก็คิดอภัยให้เขาจริงๆ ไม่ใช่โดยแกล้งลืม ที่จริงฉอ้อนระบบประสาทวิเศษมาก ผู้หญิงคนไหนโดนอย่างฉอ้อน คงจะคุมสติไม่ได้อย่างฉอ้อน ที่เป็นได้อย่างนี้ เพราะเลือดในตระกูลของฉอ้อนดี การอบรมศึกษาดี อุปนิสัยในตัวดี ฉอ้อนไม่คิดบ้างรึว่า คนอื่นๆ เช่นวิทูร เขาอาจไม่มีบุญอย่างที่ฉอ้อนมี สติเขาไม่ดีเท่า การอบรมศึกษาเขาสู้ฉอ้อนไม่ได้”

ฉอ้อนนิ่งเพราะหล่อนประหลาดใจคำพูดของเกริน ทำนองเดียวกับเด็กได้ยินผู้หญิงที่ฉลาดพยายามอบรมให้เปลี่ยนความคิดเห็น ฉอ้อนเพิ่งเคยได้ยินใครบอกว่าตระกูลของหล่อนดี การอบรมศึกษาก็ดีกว่าวิทูร หล่อนเกือบไม่เชื่อหูตนเอง และพิศวงในคำพูดและความจำนงของเกริน แล้วหล่อนก็คิดในใจ “ก็คงเหมือนคุณวิทูรนั่นเอง ผู้ชายเขาก็ต้องเป็นอย่างนี้ เขาหลอกเราแล้วเขาปลอบเขายอสำหรับให้เราตายใจ” แล้วหล่อนพูดแก่เขาว่า “คุณเกรินนึกว่าฉอ้อนผูกพยาบาทคุณวิทูรยังไงคะ”

“ใช้คำว่าผูกพยาบาทเห็นจะเกินไป” เกรินว่า “แต่ใจของฉอ้อนยังมีความแค้น ฉอ้อนคิดถึงวิทูรด้วยความทุกข์ ความผิดหวัง”

“คุณเกรินจะให้อภัยให้คุณวิทูรน่ะ จะให้ทำยังไง ให้ลูบผมเขาตลอดศีรษะ แล้วจูบที่ปากแล้วจูบที่หัวอีกยังงั้นรึคะ” ฉอ้อนถามคุณเกริน เสียงฉอ้อนเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย

เกรินนึกขันนิดๆ อยู่ในใจ ดูซิ ฉอ้อนมาทำเสียงเย้ยหยันราวกับเขาเป็นวิทูร ฉอ้อนพูดอย่างนี้เพราะอะไร เกรินพอจะเดาได้ เขารีบพูด “ฉันจะเดาว่าฉอ้อนได้เห็นใครทำแก่วิทูรอย่างที่พูดนี่ และการที่ฉอ้อนยกขึ้นมาว่ากะฉันก็พิสูจน์ได้ดีว่าฉอ้อนยังแค้นวิทูร”

“คนตายไปแล้ว จะไปแค้นอยู่เรื่องอะไร คุณเกรินไม่ทราบ ฉอ้อนยังไปปรึกษาคุณแจ๋ว อยากให้เขาได้คนพยาบาลที่ถูกใจ ไม่ได้หึงหวงเลยเป็นความสัตย์”

“ฉอ้อนพยายามทำสิ่งที่ถูกที่ควร ข้อนั้นฉันไม่ว่า ฉันนับถือฉอ้อน แต่ที่ฉันพูดนี่ พูดสำหรับในดวงใจของฉอ้อน ฉันรักฉอ้อน ฉันอยากให้ฉอ้อนอยู่ไปในโลกได้เป็นเพื่อนฉัน เพื่อนคุณแจ๋ว เพื่อนฉอเลาะ เพื่อนลูกๆ ด้วยความสุข สุขจริงๆ ไม่ใช่สุขเพราะลืม เรื่องอย่างของฉอ้อนลืมกันไม่ได้ ได้แต่ฝังอยู่ในใจ ฉันอยากให้ฉอ้อนขุดรากมันทิ้งอย่างไม่มีอะไรเหลือ เหลืออยู่แต่ความรักผู้ชายที่ฉอ้อนเคยรัก รักเพราะบุพเพสันนิวาส รักจนฉอ้อนไม่เคยมองเห็นผู้ชายคนไหนอีกเลย”

“คุณเกรินว่าฉอ้อนแค้น แค้นเรื่องอะไรบ้าง เรื่องเขามีเมีย ฉอ้อนพยายามไม่คิดที่สุด”

“การไม่คิดมันมีประโยชน์เฉพาะเวลาที่สุขภาพไม่ดีหรืออะไรอย่างนั้นนะฉอ้อน แต่การให้อภัยมันต้องคิด ฉันว่าฉอ้อนมีความแค้นวิทูรอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งก็เรื่องที่ฉอ้อนไม่เข้าใจ คือเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง...”

“อย่างงั้นซิ” ฉอ้อนขัดขึ้นโดยเร็ว “ผู้หญิงอย่างฉอ้อน โง่จะตาย ไม่ได้เล่าไม่ได้เรียน อะไรๆ ก็ไม่เข้าใจ คุณเกริน หรือคุณวิทูรทำอะไร ฉอ้อนก็ไม่มีสิทธิ์จะโกรธจะเคือง”

“แล้วกัน ฉอ้อน” เกรินชักจะโกรธ “อย่าขัดขึ้นมาผิดจังหวะซิ ฉันยังไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักหน่อย”

“ก็เหมือนกันละ” ฉอ้อนว่า “คุณเกรินไม่ได้ว่า แต่คุณเกรินคิดอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว คุณเกรินไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงฉลาด คุณเกรินหาเมียที่โง่กว่า คุณเกรินจะได้ไม่ต้องโต้เถียง ไม่ต้องเจรจา ไม่มีปัญหาอะไรจะยก”

เกรินทั้งโกรธทั้งขัน เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ทั้งที่เลือดวิ่งซ่านไปทั้งตัว “เออ แน่ะ นี่ฉอ้อนก็พิสูจน์ความคุมแค้นของฉอ้อนทั้งนั้น ฉันไม่ใช่คนอย่างนั้นเลยฉอ้อน ฉันไม่กลัวผู้หญิงฉลาด ฉันไม่ได้อยากกดให้ใครอยู่ในอำนาจ ไม่ให้โต้แย้ง ฉันไม่แต่งงานกับคุณแจ๋วเพราะฉันนับถือคุณแจ๋ว เพราะฉันเห็นความฉลาดของคุณแจ๋วนั้นเอง ผู้หญิงทุกคนจะมีความสุขอยู่กับสามีที่รักคนอื่น ไม่รักตัว หรือรักเป็นที่สอง ไม่ได้ ฉันรู้ดีว่า ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ต้องเป็นเอกในดวงใจของคนที่ตัวรัก ฉันกำลังพยายามพูดกับฉอ้อนว่า สำหรับวิทูร ฉอ้อนเป็นเอก ถึงแม้เขาจะนอกใจฉอ้อน แต่ก่อนจะตายเขาอุตส่าห์บอกว่าเขารักฉอ้อน เขาอุตส่าห์ไม่ให้เมียคนไหนมากวนใจฉอ้อน ถ้าฉอ้อนทำใจได้ ฉอ้อนควรอภัย การนอกใจของเขาด้วยเหตุนี้ ทีนี้เรื่องบ้านเมือง เมื่อกี้ฉอ้อนก็พูดออกมาโดยไม่รู้สึกตัว ตาฤทธิ์เป็นคนไม่ดีเพราะฉอ้อนไม่ได้ช่วยฉุดช่วยดึงเอามาเป็นลูกของฉอ้อนให้มากกว่าที่เป็นมา นี่แสดงว่าอะไร ฉอ้อนมีความรู้สึกอยู่ว่าวิทูรไม่ทำให้ฉอ้อนได้ภาคภูมิใจอย่างแท้จริง ยศถาบรรดาศักดิ์ที่เขาเอามาให้ฉอ้อน ไม่น่ายินดีอะไร ฉอ้อนจะสอนลูกคนไหน ให้ทำตัวเหมือนพ่อไม่ได้ ฉอ้อนผิดหวังในเรื่องนี้ ฉอ้อนได้แต่หวังว่าตากลองจะไม่เหมือนพ่อ ไม่เหมือนตาฤทธิ์ ฉอ้อนไม่รู้ตัวว่าฉอ้อนรู้สึกอย่างนี้ เพราะฉอ้อนพยายามลืม แต่ความลืมไม่ใช่การอภัย การอภัยคือการเข้าใจ รู้ว่าที่เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มีสาเหตุมาจากอะไร”

“เรื่องบ้านเมืองฉอ้อนก็ไม่มีทางรู้ว่าเขาทำอะไรบ้างจะให้เข้าใจว่ายังไง” ฉอ้อนเถียงเหมือนเด็กพยายามเถียงผู้ใหญ่ โดยในใจจริงอยากได้รับคำอธิบายนั้นเอง แต่อยากท้าทายไปในตัวว่า ผู้ใหญ่ก็คงอธิบายไม่ได้

ในใจของเกริน เต็มไปด้วยความมานะพยายาม เขาจะต้องทำให้ฉอ้อนหายคุมแค้นสามีให้ได้ ถ้าเขาทำให้ฉอ้อนอภัยสามีได้โดยจริงใจ ก็มีหวังว่าวันหนึ่ง เขาอาจทำให้ฉอ้อนยอมรับโดยไม่ตระหนกตกใจและด้วยอภัยรวมกัน ในการที่พี่อ้นยิงสามี และมิตรภาพระหว่างเขากับฉอ้อนและคุณแจ๋วก็จะได้ยืนยาวไปตลอดกาลนาน เขาพยายามที่สุดที่จะเฟ้นถ้อยคำให้ฟังง่าย และให้จี้ให้ถูกจุดในใจฉอ้อนไปในตัว

“เรื่องบ้านเมือง ไม่มีใครรู้แน่ว่าวิทูรทำดีแค่ไหน เลวแค่ไหน แต่่สันนิษฐานจากผลงานได้ นี่ฉันไม่ได้หมายความว่าใครมีอำนาจ ก็ตัดถนนหนทาง สร้างเขื่อนสร้างสะพานแล้ว ก็เรียกว่าทำดี การทำของเหล่านั้น เป็นการกระทำตามธรรมดาของคนบริหารบ้านเมือง ไม่ใช่ของแปลกประหลาดอย่างใด แต่วิทูรนี่ มีคนรับรองว่าเขาทำความก้าวหน้าหลายอย่าง ทางวิชาการทั้งทหารและพลเรือน อย่างนี้ฉอ้อนก็น่าจะภูมิใจได้ ส่วนความไม่ดีปรากฏออกมาทางลูกน้องเมื่อเขาสิ้นอำนาจ เราก็น่าจะคิดว่า บ้านเมืองก็เปรียบเหมือนมนุษย์ มาถึงระยะหนึ่งก็น่าเกลียด เช่นเด็กรุ่นสาว ก็เป็นสิวเขรอะ รุ่นหนุ่มก็ทะเลิกทะลั่ก ยุคที่วิทูรเรืองอำนาจพอดีเข้ากับระยะนั้น คนเราจะดีเดียวคนเดียวไม่ได้ เลวคนเดียวไม่ได้ แต่แล้วแต่ว่าเราไปคบกับคนที่มีกิเลสไปในทางไหน คนที่ฉวยโอกาสจากความกล้าเป็นกล้าตายของวิทูรก็มีมาก ถึงเกิดเป็นพรรคเป็นพวกกันขึ้น ถ้าฉอ้อนลองคิดอย่างนี้ ใจจะเป็นกลาง ไม่ใช่ทำลืม แต่ไม่ลืมจริง หมกไว้ในใจ จนวันหนึ่งแก่ก็ละเมอว่าวิทูรพาเมียมาเยาะ หรือละเมอถึงลูกว่าเสียไปเพราะสามี อย่างนี้จะน่าสังเวชมาก เราสู้กับความจริงเอาความจริงมาพิจารณา พระท่านว่าทำให้เกิดปัญญา ฉันไม่ใช่คนวิเศษอะไร แต่ฉันรักฉอ้อน ฉันเดาจิตใจของฉอ้อนว่ารู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร ฉอ้อนจะดื้อต่อไปอีกไหม”

ดื้อซิ ทำไมจะไม่ตดื้อ คุณเกรินว่ารักฉอ้อน แต่คุณเกรินเข้ากับคุณวิทูร เข้ากับผู้ชายด้วยกันตลอดเวลา ฉอ้อนคิดอยากดูหน้าคุณเกริน จึงหันตัวมาดูให้ถนัด สายตาของหล่อนสบกับสายตาของเขา สายตาของคุณเกรินเต็มไปด้วยความห่วงใยและวิงวอน ฉอ้อนใจหาย มีความรู้สึกเหมือนหัวใจละที่เดิมในทรวงอกลงไปเต้นอยู่ที่เบื้องล่างลึกต่ำลงไปในกาย คุณเกรินน่าสงสารถึงปานนี้เทียวรึ เขามานั่งอ้อนวอนให้เพื่อนของเขา เพื่อนที่ได้ทำอะไรให้เขาน้อยที่สุด โดยคิดจะเอาประโยชน์จากเขาตามความปรารถนาของตนทั้งนั้น ฉอ้อนอยู่กับวิทูรกว่า ๒๓ ปี ฉอ้อนรู้ดี เขาทำอะไรให้ใครก็ทำเพื่อหวังจะได้อะไรจากคนคนนั้น แต่คุณเกรินอุตส่าห์มานั่งอ้อนวอนให้ฉอ้อนเลิกคิดแค้นในเมื่อเขาตายไปแล้ว และบุตรภรรยาของเขาก็ไม่มีบุญวาสนาแต่อย่างใด ฉอ้อนคิดสงสารคุณเกริน สงสารคนในโลกนี้ คนอย่างคุณเกรินไม่มีโอกาสจะมีอำนาจวาสนาอย่างคุณวิทูร คนในโลกนี้ไม่มีโอกาสจะได้รับประโยชน์จากคนอย่างคุณเกริน เพราะคนในโลกนี้น้อยคนที่จะเห็นคุณค่าของคนอย่างคุณเกริน ฉอ้อนนึกสงสารลูก สงสารคุณแจ๋ว สงสารคนทั่วๆ ไปหมด และความสงสารนั้นอัดอั้นในหัวอกฉอ้อน มีทางระบายอยู่ทางเดียวก็โดยร้องไห้ให้ความอัดอั้นนั้นออกมากับน้ำตา ฉอ้อนซบหน้าลงร้องไห้อยู่ชิดกับตักของคุณเกริน

เกรินยกแขนขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาอยากจะโอบกอดหญิงที่เขารักมาตลอดอายุที่เริ่มเป็นชายฉกรรจ์จนจวนจะพ้นวัยฉกรรจ์ให้หนำใจ แต่เขายั้งไว้ ฉอ้อนยังอยู่ในขอบข่ายของประเพณี ถ้าเขาทำแก่หล่อน เช่นที่ใจเขาปรารถนาจะทำ สิ่งที่เขาอยากให้หล่อนทำให้เขา คือการอภัยสามี อภัยหญิงที่แย่งความรักของสามีไปชั่วระยะหนึ่งและอภัยให้แก่คนที่ปลิดชีวิตของสามีไปจากโลก หล่อนจะทำให้เขาไม่ได้ เกรินจึงใช้แต่เพียงมือลูบผมของฉอ้อนเบาๆ และลูบหลังไปด้วยอย่างละมุนละม่อมเท่าที่เขาจะทำให้หล่อนค่อยคลายความโทมนัสได้ ในขณะเดียวกันเขาก็คิดไปถึงหญิงที่แย่งความรักของฉอ้อนไป ว่าหล่อนเองก็รักชายผู้หนึ่งขนาดที่เพียงแต่ได้เห็นศพของเขา หล่อนก็พอใจ ถ้าหากหญิงนั้นร้องไห้อยู่ใกล้ตักของเกริน เขาจะกอดรัดหล่อนเป็นการปลอบโยนได้อย่างเต็มที่ หล่อนไม่อยู่ในขอบข่ายของประเพณีใด หล่อนจะเข้าใจดีว่าเกรินไม่ได้ปรารถนาจะเอาหล่อนเป็นของตัว เพียงแต่จะปลอบใจเท่านั้น คนที่ไม่รักษาประเพณีจะต้องเป็นคนเข้มแข็งมาก จะต้องผจญกับอะไรต่ออะไรคนเดียวในโลก แต่ถ้าเข้มแข็งจริงแล้ว ก็จะหาเพื่อนที่ซื่อตรงต่อตัวได้เหมือนกัน คิดพลางเขาก็มองดูศีรษะอันเต็มไปด้วยผมที่ยังดำขลับของฉอ้อน และภาวนาขอให้ความรู้สึกเมตตากรุณาต่อหญิงนั้น ซึมแทรกจากใจของเขาเข้าไปในใจของหล่อนด้วย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ