บทที่ ๑๐

วันรุ่งขึ้นจากงานฉลองที่บ้านเจ้าพระยาสุเรนทรฯ ท่านผู้หญิงฉอ้อนขอตัวไม่ไปไหนและไม่รับแขกแจ้งกับสามีว่า ขอไปพักผ่อนที่บ้านอาผ่องที่ฝั่งธนบุรี มีภรรยานายทหารชั้นผู้ใหญ่ยื่นความจำนงไว้ว่าจะจัดงานฉลองยศอีก แต่ฉอ้อนทำเป็นลืมเสียชั่วคราวไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้น ถามลูกสาวสองคนคือ โฉมชื่น หรือ ฉอเลาะคนหนึ่งกับเชิญสวัสดิ์ หรือ ยายหนูเป๊าะ อีกคนหนึ่ง ว่าจะไปหาคุณอากับแม่หรือไม่ ได้รับตอบว่าทั้งสองคนมีนัดกับเพื่อนร่วมโรงเรียนหลายคนจะไปกินก๋วยเตี๋ยวที่รังสิตหรืออาจไปเล่นสกีน้ำที่นนทบุรี เอ่ยถึงนนทบุรี ฉอ้อนก็นึกถึงคุณป้าวงศ์คิดจะเตือนให้ลูกไปเยี่ยมคุณลุงคุณป้าที่บ้านเดิม แต่แล้วก็นึกว่าคงจะไม่ได้รับผล เพราะเมื่อไปสนุกกันกับเพื่อนๆ การไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ก็ไม่สะดวกแก่ใจ อย่างไรๆ ขอให้ตัวเองได้ไปอยู่เงียบๆ สักวัน และอยากไปที่สวนอาผ่องเพราะอยากนอนนึกถึงอะไรต่ออะไรตามความสบายใจ ที่อาจทำเช่นนั้นโดยไม่มีผู้รบกวน ก็เพราะเฌอย่อมจะยอมรับชวนไปที่บ้านอาผ่องด้วย และมีเฌออยู่ที่ไหน ฉอ้อนก็อาจเป็นตัวของตัวเองได้มากกว่าในสถานที่ไม่มีเฌอ

ฉอ้อนออกไปที่ประตูหลังบ้าน ซึ่งเปิดออกสู่ถนนซอยเล็กกว่าประตูหน้า บอกให้รถไปรอคอยอยู่ที่ข้างนอกบ้าน เป็นการตบตาผู้อยู่ที่เรือนเล็กสำหรับให้แขกนั่งคอยหน้าตึกไปด้วยในตัว แม้กระนั้น พอเดินออกไปถึงประตูโดยมีเด็กรับใช้ส่วนตัวติดตามหนึ่งคน ก็พบคุณหญิงสุรพล และคุณนายบานชื่น เดินเข้าประตูมา

คุณนายบานชื่นคือคุณนายชื่น เพื่อนบ้านตั้งแต่ครั้งอยู่ค่ายทหานนครราชสีมา ฉอ้อนถือว่าเป็นคู่ทุกข์คู่ยากคนหนึ่ง ได้ขอร้องให้สามีช่วยหางานให้ขุนจรัลทำ เมื่อนายทหารผู้นั้นกลับจากลี้ภัยไปต่างประเทศ และมีพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแล้ว บัดนี้ขุนจรัล ซึ่งไม่ใช้บรรดาศักดิ์แล้ว มีตำแหน่งสำคัญพอใช้ ในบริษัทหนึ่งที่ท่านสามีของฉอ้อนมีหุ้นส่วนและเป็นกรรมการอยู่

ส่วนคุณหญิงสุรพลนั้น ก็เป็นผู้ที่ฉอ้อนเกรงใจมากคนหนึ่ง ในบรรดาภรรยานายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับความไว้วางใจจากสามีหล่อน ดังนั้น เมื่อสองคนเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีว่า ฉลาดในการที่จะหาโอกาสพบตัวฉอ้อน ฉอ้อนจึงไม่อาจละเลย แต่ก็ทำใจแข็งไม่เชิญกลับขึ้นไปบนตึก เชิญลงนั่งพูดธุระที่เก้าอี้เหล็กซึ่งตั้งไว้ให้สนามข้างหลังบ้านดูสวยงามขึ้น

ปรากฏว่าธุระของคุณนายบานชื่นคือ ได้รับปากกับอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสตรีแห่งหนึ่งว่าจะมาเชิญให้ท่านผู้หญิงของท่านรองไปเปิดอาคารเรียนใหม่และแจกรางวัลนักเรียน ฉอ้อนรีบตกลงโดยเร็ว โดยได้สอบดูในสมุดนัดกิจการว่าจะตรงกับงานอื่นที่จะต้องไปตามฐานะภรรยา “ท่านรอง” หรือไม่ หรือได้รับปากไว้กับผู้ใดว่าจะไปไหนเพื่อกิจอันใด ส่วนคุณหญิงสุรพลนั้น เมื่อพูดค่อนข้างจะอ้อมค้อมอยู่หลายวินาที ก็ได้ความว่า มาสืบว่าลูกชายมีนัดกับคุณฉอเลาะจริงหรือไม่ เมื่อได้ทราบจากท่านผู้หญิงว่าบุตรีได้แจ้งแก่มารดาตรงกัน ก็แสดงความเบาใจ และอีกไม่กี่นาที ท่านผู้หญิงเจ้าของบ้านก็ได้ปลีกตัวไปบ้านญาติสมความปรารถนา

เมื่อไปถึงบ้านนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรข้องใจต่อไป เฌอไปคอยอยู่ตามที่ฉอ้อนนัดไว้คร่าวๆ เมื่อคืนก่อน เฌอเป็นแพทย์ทำงานส่วนตัว จะมาหาญาติเวลาไหนก็ได้ ถ้าไม่ได้นัดคนไข้ไว้ เฌอเข้าใจดีว่าพี่สาวต้องการพักผ่อน จึงบอกให้ญาติเจ้าของบ้านเตรียมหาที่สบายในสวนไว้ให้ คือ เก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง โต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งสำหรับวางของกระจุกกระจิก กระติกน้ำแข็ง ถ้วยแก้ว และคอยดูไม่ให้ใครมารบกวน อาผ่องร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ว่าเฌอจะพูดจะขอร้องอะไร อาผ่องไม่เคยปฏิเสธเลย เพราะถ้าไม่ได้นายแพทย์เฌอผู้มีความเอาใจใส่และฝีมืออย่างหาตัวจับยาก ชีวิตของอาผ่องอาจมิได้ยืนยาวมาจนได้หลานชายมียศอำนาจถึงเพียงนี้ เพราะฉะนั้นทำไมเล่า เพียงแต่หลานสะใภ้ขอใช้บ้านเป็นที่พักผ่อนนานๆ ครั้ง อาผ่องจึงจะไม่ร่วมมืออย่างเต็มที่

มาถึงบ้านอาผ่องแล้ว ฉอ้อนเกิดความสบายใจหลายอย่าง อาผ่องไม่เปลี่ยนแปลง กิริยาอาการที่เคยวางตนแก่ฉอ้อนเมื่อแรกรู้จักว่าเป็นหลานสะใภ้ ซึ่งมาขออาศัยร่มไม้ชายคาให้น้องชายได้อยู่เรียนหนังสือ แม้แต่คุณป้าวงศ์ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะฉอ้อนเป็นคนคิดชื่อให้ใหม่เมื่อครั้งสตรีต้องเปลี่ยนชื่อให้ถูกรัฐนิยม คุณป้าวงศ์เดี๋ยวนี้เป็นคุณนายวงศ์วัลย์ คุณแม่ของวิทูรก็เปลี่ยนจากคุณแม่เทียนเป็นคุณแม่เทียนหอม ทำให้คุณแม่ตะขิดตะขวงนิดหน่อย เมื่อมีใครออกชื่อคุณแม่ แต่อาผ่องนั้น เมื่อสมัยต้องเปลี่ยนชื่อคุณวิทูรก็คิดให้เปลี่ยนเป็น ผ่องศรี แต่อาผ่องบอกว่าจะใช้ชื่อเก่าซึ่งเจ้าคุณที่วัดได้ตั้งให้เมื่อครั้งยังเด็กคือ ผ่องแผ้ว “แล้วเรียกๆ กันมันเลยลืมหายไปเหลือแต่ผ่อง”

ฉอ้อนรู้ตัวอยู่เสมอว่า ตนมีโชคดีอย่างยิ่งที่มีญาติหญิงของสามีล้วนแต่เป็นคนมีสติปัญญา อาผ่องเป็นคนคล่องแคล่วทุกอย่างทั้งเรื่องทำมาหากินและเรื่องความเข้าใจธรรมะในพระพุทธศาสนา เมื่อรู้จักอาผ่องไปนานวัน ฉอ้อนมีความเห็นว่าอาผ่องมีความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับตนดีกว่าขุนวิรุฬห์ผู้สามี ผู้ได้รับความยกย่องว่ามีความรู้ ฉอ้อนติดใจอยู่เรื่อยถึงเรื่องที่วิทูรเคยบอกว่า อาผ่องต้องจำใจขายที่สวนให้ท่านขุนนางเพื่อนบ้านโดยไม่เต็มใจในเมื่อท่านขุนนางผู้นั้นเป็นญาติที่เคารพของคุณแจ๋ว และเป็นเสมือนบิดาของคุณจำลองสามีของสำรวย ฉอ้อนไม่เคยลืมเรื่องนี้ คืออยู่ในใจอย่างไม่ค่อยแจ่มแจ้งนัก ว่าจะหาทางรู้ความจริงสักวันหนึ่ง

เฌอลากลับไปเมื่อได้ดูแลให้พี่สาวเป็นสุขแล้ว ท่านผู้หญิงคนใหม่ของประเทศไทยมีเวลานอนพักผ่อนอยู่ในสวนของญาติ และมีเวลาคิดคำนึงถึงเรื่องที่แล้วมา ใจอยู่ครึ่งหนึ่งในภวังค์ อีกครึ่งหนึ่งตื่นเต็มที่ ภาพที่ปรากฏในมโนก็แจ่มชัดเหมือนว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดเมื่อคืนนี้วานนี้หรือจะว่าแจ่มชัดกว่าก็ได้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดแก่ท่านผู้หญิงในปัจจุบันมักทำให้เกิดคำถามหลายๆ คำถามพร้อมๆ กัน แต่เพื่อจะไม่ให้เกิดโรคจิตโรคประสาท ต้องทำลืมๆ เสีย ไม่เอามาใส่ใจจนมีความเศร้าหมองเท่านั้น

ภาพที่เข้ามาในมโนของฉอ้อนในเวลานั้นก็คือภาพของเฌอ เป็นเด็กหนุ่มเข้ามาจากจังหวัดเพชรบุรี เพื่อจะเรียนและสอบชั้นมัธยมแปด เฌอโตขึ้นมาภายในเวลาสองปีที่ฉอ้อนไม่ได้ไปจังหวัดเพชรบุรีอย่างแปลกหูแปลกตา สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปหมด คุณวิทูรได้พาฉอ้อนไปรอที่บ้านอาผ่องพร้อมด้วยลูกเล็กสองคน ตัวเองไปรับเฌอที่สถานีรถไฟแล้วพาตามไปที่บ้านสวน

บ้านของอาผ่อง เป็นบ้านคล้ายของชาวสวนทั่วไป เรือนเป็นแบบไทยมีชานนอกใหญ่ทางด้านหน้าซึ่งหันสู่แม่น้ำ และชานในยกพื้นหน้าห้อง และมีเรือนครัวอยู่ด้านข้าง เรือนนั้นทำด้วยไม้สักหลังคามุงกระเบื้องบอกฐานะของเจ้าบ้านว่าอยู่ในเกณฑ์ดี รอบเรือนและในสวนหลังเรือนมีไม้ผล มีหมาก กล้วย เงาะ กระท้อน และอื่นๆ ไม่ใช่สวนทุเรียนเนื้อดีเหมือนสวนพี่วงศ์ ที่นนทบุรี หรือสวนของคุณพ่อคุณแม่ที่บางซ่อน แต่อาผ่องทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ขายของเบ็ดเตล็ดซึ่งชาวสวนในละแวกนั้นต้องการ มีกะปิดี กุ้งแห้งดี น้ำปลาดี มาจากเมืองระยองซึ่งเป็นเมืองเกิดของท่านขุนสามี

อาผ่องมีหน้าตาสดใส อาบน้ำทาแป้งใส่น้ำอบหอมชื่นอยู่ประจำตัว การรับรองที่อาผ่องให้แก่เฌอนั้นมาจากน้ำใสใจจริงทำให้ฉอ้อนเบาใจ และเฌอก็เกิดความสบายใจตั้งแต่วันแรกที่มาถึง

โดยที่เฌอเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ฉอ้อนมีความห่วงใยจึงปรารภกับสามีว่าอยากจะเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ บ้าง ซึ่งฉอ้อนปรารภอย่างไม่คาดว่าจะมีผลเกิดขึ้น แต่อีกไม่กี่วันต่อมา วิทูรก็แจ้งแก่หล่อนว่าความปรารถนาของหล่อนนั้นใกล้จะสำเร็จอยู่แล้ว

“แหม ทำไม คุณมีแก้วสารพัดนึกหรือคะ พอนึกก็จะได้เทียวนะ” ฉอ้อนสัพยอก

“ไม่ถึงกับแก้วสารพัดนึกหรอก” วิทูรหัวเราะน้อยๆ พลางตอบ “แต่อาจเรียกว่า รู้เรื่องอาลีบาบากับโจรสี่สิบคนไหม”

“รู้ค่ะ” ฉอ้อนยิ้มตอบ “คุณมีมนตร์เรียกให้ประตูถ้ำเปิดได้หรือคะ”

“ก็ไม่ถึงทีเดียว แต่ถ้าดูโอกาสเหมาะ ก็อาจเรียกให้เปิดได้” สามีตอบและยิ้มเหมือนหล่อน

ฉอ้อนอยากซักต่อไป แต่คิดไม่ออกว่าจะซักอย่างไร และที่จะรอคอยโชคมากกว่าที่จะพิถีพิถันกับโชค ไม่ช้าฉอ้อนก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่โรงทหารที่บางซื่อ

เมื่อได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุง ชีวิตก็เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปหมด สิ่งแรกที่ฉอ้อนคิดถึงด้วยความพอใจ ก็คือจะได้พบคุณแจ๋วบ่อยๆ

“พี่คะ” ฉอ้อนเรียกสามีเช่นนี้ในเวลาที่จะเอาใจเขา “เราอยู่เรียบร้อยแล้ว ข้าวของเข้าที่แล้ว วันอาทิตย์นี้ไปหาคุณแจ๋วนะ แต่ว่าพี่โทรศัพท์ไปถามเสียด้วยว่าจะอยู่บ้านไหม เผื่อไม่อยู่เราจะเสียเวลาเปล่า”

เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า แต่พอถึงวันเสาร์บ่าย เมื่อเลิกงานกลับมาถึงเรือนภายในโรงทหาร วิทูรก็บอกหล่อนว่า “โทรศัพท์ไปที่บ้านคุณแจ๋วแล้ว คนใช้บอกว่าอาทิตย์นี้ ไม่อยู่กันทั้งบ้าน มีงานแต่งงานที่บ้านเจ้าคุณอะไรก็ไม่รู้ขี้เกียจจำ”

“คงพวกโกศลทัต หรือไม่ก็ภมราภัย” ฉอ้อนท่องอย่างภูมิใจในความจำของตัว

“อะไรนะ” สามีหล่อนถาม

“พวกนี้เขาเป็นพวกพี่น้องคุณแจ๋ว” ฉอ้อนตอบ “สามตระกูลนี่ เขาแต่งงานกันไปกันมา”

“ถ้าเป็นสมัยก่อน ความจำของฉอ้อนอาจมีประโยชน์ สมัยนี้จำเรื่องอย่างนี้ไม่มีประโยชน์หรอก”

“จำอะไรก็มีประโยชน์” ฉอ้อนเถียงทำงอนหน่อยๆ อย่างน่าเอ็นดู ทำให้สามียิ้มและมองดูอย่างกระหาย

สองสามอาทิตย์ต่อมา ฉอ้อนต้องยุ่งเรื่องลูก คนหนึ่งเป็นหวัด อีกคนหนึ่งท้องเสีย หล่อนลืมเรื่องที่อยากไปเยี่ยมคุณแจ๋วไปชั่วคราว จนถึงวันอาทิตย์เฌอก็ไปหาหล่อนที่โรงทหาร

ฉอ้อนยินดีที่ได้พบน้อง ไต่ถามถึงความเป็นไปที่บ้านญาติที่อาศัย และถามถึงการเรียน เฌอก็ตอบอย่างเรียบๆ ทำให้ฉอ้อนเบาใจ แต่เมื่อได้สนทนากันไปนานพอสมควร เฌอก็พูดขึ้น

“พี่ว่างไหมพี่ ถ้าพี่ไม่มีธุระ เราไปที่บ้านคุณแจ๋วกันได้ไหม ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีใครไปพาเลย ฉันก็ไปไม่ถูก ไม่รู้จะถามใคร แล้วก็มีการบ้านแยะจัง”

ฉอ้อนยิ้มแฉ่ง “พี่ดีใจจังเลย เฌอมาชวน วันนี้คุณวิทูรเขาไม่อยู่ แต่เราไปกันสองคนก็ได้”

“เอาลูกไปด้วยซีพี่ คุณแจ๋วต้องอยากเห็นฉอเลาะโตขึ้นเป็นยังไง” เฌอแนะ

ฉอ้อนทำตามคำแนะนำของน้อง ฝากลูกคนเล็กไว้กับพี่เลี้ยงและเพื่อนบ้าน แล้วก็พาน้องชายและลูกคนโตไปหาเพื่อนเก่า

ฉอ้อนจำบ้านคุณแจ๋วสับสนอยู่สักหน่อย แต่ในที่สุดก็หาพบ เมื่อรถเข้าไปถึงบ้าน คนรับใช้ออกมารับที่บันไดตึก เมื่อทราบชื่อคนมาหา ก็รีบขึ้นไปแจ้งแก่คุณแจ๋ว

ฉอ้อนไม่ได้รับความสุขใจอย่างในวันนั้นมานานแล้ว ได้พบคุณแจ๋วเปรียบเหมือนความสุขในวัยเด็กทั้งหมดกลับคืนมา คุณแจ๋วก็เช่นกัน อ้อนวอนให้ฉอ้อนอยู่รับประทานอาหารกลางวัน แต่ฉอ้อนเป็นห่วงลูกคนเล็กจึงลากลับก่อนเที่ยง ขากลับคุณแจ๋วให้รถไปส่งที่โรงทหารแต่ฉอ้อนเองพาเข้าทางที่รถไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าแทนที่จะให้รถแล่นอ้อมไป ทั้งเฌอและฉอ้อนก็เกิดเกรงใจคนรถ เลยลงที่หน้าประตูนั้น แล้วพากันเดินไปที่พัก

มาถึงเรือนพัก ฉอ้อนเห็นมาแต่ไกลว่ามีชายหนุ่มโผล่หน้าต่างเรือนที่พักของตน แต่พอเข้ามาใกล้ เห็นประตูของห้องชั้นบนปิด ฉอ้อนจึงพาลูกที่หลับมาในวงแขนเข้าไปนอนที่เปลใต้ถุนบ้าน หล่อนไม่เห็นคนเลี้ยงลูกคนเล็กว่าไปไหน ได้ยินเสียงคนพูดกันเบาๆ อย่างที่ไม่จงใจให้ใครอื่นได้ยินอยู่ในห้องนอนของหล่อน เหนือศีรษะหล่อนพอดี แปลกใจมากจึงเงี่ยหูฟัง

มีเสียงผู้ชายพูดเสียงต่ำอยู่ยาวหลายประโยค ซึ่งฉอ้อนไม่ได้ยิน แล้วจึงมีเสียงสามีหล่อนตอบ อันว่าเสียงของวิทูรนั้น แม้จะพูดเบา พูดเสียงกระซิบ แต่ถ้าไม่ไกลเกินโสตประสาทของฉอ้อนจะจับได้ หล่อนมักได้ยินชัดเจนเสมอ ขณะนี้หล่อนได้ยินเขาพูดแก่คนที่อยู่ด้วยกันในห้องนอนว่า

“อย่าไปไว้ใจนะ ไอ้สนิท ท่านบอกว่ามันไม่เอากับท่านจริงหรอก แล้วก็เจ้าเวทอีกคน อย่าให้รู้อะไรไม่ได้ มันเก็บความลับไม่เป็น”

มีเสียงพืมพำอีกสองสามประโยค แล้วเสียงสามีฉอ้อนพูดว่า

“เอาเป็นว่าเรารู้กันเท่านี้นะ แล้วกันจะไปเรียนให้ท่านทราบ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ก็แปลว่าเราสามคนนี่และที่ไปทำปากสว่างยังไงอย่างหนึ่ง”

มีเสียงหัวเราะลึกๆ ในลำคอแต่เบาๆ แล้วอีกไม่กี่นาทีต่อมา ก็มีเสียงเปิดประตู แล้วก็มีเสียงคนเดินลงบันได พร้อมกันนั้นก็มีเสียงหัวเราะ คนหนึ่งว่า “เล่นโกงกันนี่หว่า มีอย่างเรอะ พอขึ้นมือก็คิงสามตัวเอคู่ ไม่เชื่อ ถ้าเป็นคนอื่นยังเชื่อ นี่ไอ้ชิตใครจะเชื่อ”

“เฮ้ย จับเขาไม่ได้แน่ๆ อย่าหมิ่นประมาทกัน” เสียงวิทูรว่า “เดี๋ยวได้เกิดฟาดปาก”

“แค่ฟาดปากยังไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อยิงทิ้งนี่หว่า” เสียงที่สามกล่าว แล้วก็หัวเราะอย่างรื่นเริง นายทหารสามคนหยุดพูดกันที่หัวบันไดเรือน มีพันตรีขุนพิชิตพลคนหนึ่งและนายร้อยเอกประมาณคนหนึ่ง ฉอ้อนฟังเรื่องที่เขาพูดพลางหัวเราะกัน ก็รู้ว่าเป็นเรื่องกีฬาในร่ม แต่ที่แปลกใจก็คือ สามีของหล่อนพูดแก่คนสองคนนั้นในที่ลับ ด้วยสำเนียงและถ้อยคำของผู้ใหญ่พูดแก่ผู้น้อย เมื่อนายทหารทั้งสองคนที่ยืนเจรจากันนี้เป็นผู้ใหญ่กว่าเขาทั้งสองคน

อีกประมาณ ๓ วันต่อมา มีข่าวแพร่สะพัดทั้งทางหนังสือพิมพ์และวิทยุ ว่าผู้บัญชาการกองพลของวิทูรถูกยิงที่นครปฐม ผู้บัญชาการไปตรวจราชการที่ราชบุรี กลับโดยทางรถไฟ ถึงนครปฐมก็ลงไปนมัสการพระมหาเจดีย์ที่นั่น และกำหนดจะค้างคืนที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งเพื่อพักผ่อนแต่ระหว่างขึ้นรถยนต์ไปบ้านเพื่อนคนนั้น มีผู้ลอบยิง แต่ไม่มีใครเป็นอันตราย

ภายในเวลาอีกประมาณเดือนหนึ่งต่อมา ก็มีการจับกุมนายทหารชั้นประทวนหลายคนมีข้อหาว่าพยายามเอาชีวิตคนสำคัญในคณะรัฐบาลและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ มีนายทหารชั้นสัญญาบัตร ถูกจับด้วยคนหนึ่ง คนนั้นคือ นายร้อยเอก ประมาณ

ฉอ้อนใจหายเมื่อได้ทราบข่าวย่อๆ รีบไปเยี่ยมที่บ้านซึ่งอยู่ในบริเวณค่ายที่บางซื่อนั้นเองทันที พบคุณวนิดาภรรยานั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ คนใช้กำลังเก็บของเข้าหีบห่อเพื่อย้ายไปอยู่บ้านญาติคนหนึ่ง ฉอ้อนปลอบโยนไปอย่างไม่ได้ผลแล้วก็กลับมาที่เรือนของตนด้วยความเศร้าใจ

“พี่” หล่อนเรียกสามีทันทีที่เห็นเขากลับจากทำงานมายังที่พัก “พี่ คุณประมาณเป็นเพื่อนกับพี่ไม่ใช่รึ ถูกจับเรื่องอะไร”

“มันระยำมาก” วิทูรตอบ สีหน้าเครียด รีบเดินเข้าห้อง “เราเกือบหลงมัน แต่ไม่เป็นไร มันต้องแย่แน่ ไม่ถูกยิงเป้าก็ติดคุกเคราถึงเอว”

“โธ่ เห็นกันอยู่หลัดๆ” ฉอ้อนรำพันน้ำตาคลอ “ก็วันนั้นแกยังมาเล่นไพ่ที่บ้านเราไม่ใช่รึ”

“วันไหน” เสียงของวิทูรเกือบเหมือนตวาด

“วันที่ฉอ้อนไปหาคุณแจ๋วกับเฌอ กลับมาเห็นคุณปิดประตูห้องชั้นบน แล้วประเดี๋ยวก็ออกมายืนพูดกันที่หัวบันได” ฉอ้อนตอบ หล่อนเห็นสามีแอบถอนใจอย่างโล่งอก

“เพื่อนกันก็ทำอะไรไม่ได้ มันอยากไปเข้ากับพวกวายร้าย” วิทูรว่า เขานิ่งไป แล้วก็เข้าห้องน้ำ แต่งตัวใหม่อย่างอยู่บ้าน แล้วก็ลงไปนั่งเล่นบนเก้าอี้ผ้าใบ ที่ใต้ถุนเรือน ฉอ้อนทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ บนเรือนอยู่สักประเดี๋ยวก็อาบน้ำบ้าง แล้วก็ลงไปนั่งเล่นกับสามี นานเหลือเกินที่จะได้นั่งอยู่ด้วยกันที่บ้านเวลาเย็นๆ บ่ายๆ โดยมากเขามักไปอยู่ที่สโมสรจนค่ำ บางวันก็เลยไปรับประทานอาหารที่บ้านผู้บัญชาการ ฉอ้อนก็เห็นใจว่าเรือนเล็กคับแคบและหล่อนกำลังมีลูกเล็กสองคน อยู่ในวัยซนและว่ายาก ทำให้หล่อนเองก็มีภาระมาก ไม่ค่อยมีเวลาจะเอาใจใส่กับสามี วันนี้หล่อนให้พี่เลี้ยงพาลูกไปเล่นที่บ้านเพื่อนในเขตทหารนั่นเอง เพราะเจ้าของบ้านจะไม่อยู่ขอแรงให้หล่อนส่งคนไปช่วยเฝ้าบ้านและดูแลสุนัขที่เจ็บอยู่จนเวลาค่ำ ฉอ้อนเห็นเป็นโอกาสดีมาก รีบจัดการตามที่เพื่อนขอร้อง

แต่สามีนั่งเล่นอยู่กับหล่อนไม่ถึง ๕ นาที เขาก็พูดขึ้น

“อยู่ที่โรงทหารนี่ บ้านมันติดๆ กันหมด พูดอะไรไม่ได้เลย ไปแต่งตัวเถอะฉอ้อน เราจะไปเที่ยวกัน ดูหนังดูเหนิงไปตามเรื่อง”

ฉอ้อนรู้สึกแปลกใจ แต่เป็นนิสัยของหล่อน ถ้าไม่จำเป็นไม่ชอบซักถามจุกจิก ในเมื่อหล่อนจะได้อยู่กับสามีตามความปรารถนาก็เป็นที่พอใจแล้ว การไปดูภาพยนตร์หล่อนก็ชอบอยู่ด้วย

สองคนแต่งตัวสำหรับออกไปนอกเขตทหาร วิทูรแต่งพลเรือนอย่างสบาย คือนุ่งกางเกงสากลอย่างพลเรือน สวมเสื้อเชิ้ต คาดเข็มขัดเรียบร้อย ฉอ้อนลอบพิศดูเขา สามีของหล่อนน่าภาคภูมิใจจริงๆ กิริยาอาการสมเป็นทหารทุกกระเบียดนิ้ว แต่เมื่อแต่งพลเรือนก็ดูไม่ขัดเขิน หล่อนเห็นนายทหารหลายคนที่ดูโอ่อ่าเวลาอยู่ในเครื่องแบบแต่พอแต่งพลเรือนแล้วก็ดูไม่เข้าที และบางคนก็กลับกันไม่สมเป็นทหาร เวลาแต่งพลเรือนก็พอค่อยยังชั่วละ

ออกมานอกบริเวณค่ายทหาร วิทูรพาฉอ้อนไปหยุดยืนรอรถประจำทาง ระหว่างรอภรรยาของเขาก็ปรารภขึ้น

“เรามีรถยนต์ของเราเองก็ดีนะ แหม จะไปเที่ยวหาใครก็ได้ง่ายๆ คิดถึงใครขึ้นมาก็เรียกรถมานั่งไป”

“ฉอ้อนอยากมีรถยนต์รึ ได้ซิ อีกไม่กี่มากน้อยหรอก แต่ใช้รถยนต์ทหารไปก่อนนะ” สามีว่าทันที

“แหม เรานี่ก็เซ้อเซ่อ อยากได้อะไรก็ไม่พูด ลืมเสียเรื่อยเรื่องสามีเรามีมนตร์ โอเปินเซซามี”

“อะไรนะ” วิทูรถาม

“ก็ในเรื่องอาลีบาบากับขโมยสี่สิบคนที่คุณเคยว่าไง” ฉอ้อนเตือนความจำ “มนตร์สำหรับเปิดประตูถ้ำ”

“ฮึ่ม” เขาทำเสียงในคออย่างดุๆ แต่แววตายิ้มพอดีรถประจำทางมา เขาก็พาหล่อนขึ้นรถและก็พาเข้ามายังในส่วนในของพระนคร

ต่อรถอีกต่อหนึ่ง สองสามีภรรยาก็เข้ามาถึงย่านเฉลิมกรุง มีร้านอาหารจีนที่ขายในราคาพอสมควรหลายร้าน ทั้งสองไปนั่งรับประทานบะหมี่และเกี๊ยวอย่างเอร็ดอร่อยตามวัยหนุ่มสาว แล้ววิทูรแนะให้ไปหาร้านที่มีขนมและไอศกริมขาย เมื่อพากันเดินไปไม่ไกลก็พบร้านที่มีโต๊ะเก้าอี้นั่งอย่างสบาย วิทูรบอกว่าให้เลือกร้านที่มีคนน้อยและเมื่อเลือกได้แล้ว ฉอ้อนจะเข้าไปนั่ง ณ ที่มีที่กั้นสูงบังตาคน วิทูรก็บอกว่า “อย่านั่งที่ซ่อนจากตา นั่งที่ว่างๆ เราไม่อายใคร แต่จะพูดอะไรที่ไม่ให้ใครได้ยิน”

ฉอ้อนมองดูสามีอย่างแปลกใจ แต่เขายิ้มและพาหล่อนไปหาที่นั่งได้ตามความประสงค์

เมื่อนั่งลงและสั่งของรับประทานแล้ว เขาก็กล่าวแก่หล่อน “ฉอ้อน ถ้าพี่จะไปเมืองนอกสักปีหนึ่งหรือสองปี น้องจะอยู่ได้ไหม”

ฉอ้อนสะดุ้ง “พี่จะไปทำไม”

“ไปชุบตัวซิ” เขาตอบ “สมัยนี้กำลังคลั่งชาตินิยมกัน แต่ถึงยังไงก็ไม่วายนิยมนักเรียนนอก เราไปเมืองฝรั่ง อย่างน้อยเราก็รู้ภาษาดี แล้วก็พอกลับมา ยังพูดข่มขู่คนได้บ้าง”

“พี่จะไปประเทศไหน ใครจะให้พี่ไป”

“พื่อยากไปหลายประเทศ แต่ที่จะได้ไป เห็นจะเป็นเยอรมัน” วิทูรตอบ “มีอะไรบอกว่า จะเกิดสงครามแน่ มันจะขู่กันไปอย่างนี้ไม่ได้นาน อ่านหนังสือพิมพ์เห็นชื่อมุสโซลินีกับฮิตเล่อร์บ้างไหม แล้วก็เรื่องศึกกลางเมืองในสเปญ”

“แหม ไม่ได้ใส่ใจจำเลย” ฉอ้อนทำเสียงออด “ไม่รู้ว่ามันจะมาเกี่ยวกับเรา”

“ก็จะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว เพราะน้องเป็นผู้หญิง” สามีว่า “แต่อะไรๆ มันจะต้องมาเกี่ยวกับพี่ และกับเราเป็นส่วนรวม แต่ว่า ถ้าพี่จะต้องไปเมืองนอกฉอ้อนจะอยู่ไหน ไปอยู่เพชรบุรีซินะ”

“เฌอล่ะ” ฉอ้อนถามใจคอชักจะไม่ค่อยสงบ

“เฌอไม่ต้องห่วงเขาหรอก กว่าพี่จะได้ไป เฌอก็คงจบชั้นแปด พอเข้ามหาวิทยาลัย เราก็ให้อยู่หอเสียหรือจะอยู่กับอาผ่องต่อไป ดูอาผ่องก็ไม่เคยแสดงรังเกียจเลย ดีซี พ่อแม่ไม่มีลูกอยู่เมืองเพชร ฉอ้อนไปอยู่ก็ได้เป็นเพื่อนพ่อแม่”

ดูเขาช่างคิดอะไรๆ ไว้เรียบร้อย เขามีนิสัยเหมาะที่จะเป็นเจ้าคนนายคน ฉอ้อนคิดถึงสำนวนที่ “ท่าน” ชอบใช้ ฉอ้อนจำนนต่อเหตุผลของเขา ไม่เห็นช่องจะขัดได้เลย

“ตั้งแต่นี้นะ พี่จะต้องไปเรียนภาษา เรียนภาษาเยอรมันที่เขาสอนที่สถานทูตของเขา แล้วก็จะหาครูสอนภาษาอังกฤษให้มันพูดได้อีกสักหน่อย ตอนนี้คิดถึงเกริน ถ้าเขาอยู่ใกล้ ๆ เรา คงอาศัยให้เขาช่วยแปลช่วยอ่าน”

“ก็ทำไมไม่ใช้มนตร์เปิดถ้ำเอาเข้ากรุงสักพักล่ะ” ฉอ้อนแนะ

“อาจจะได้” เขาพูดอย่างไตร่ตรอง «เจ้าเกรินมันเสียอย่างเดียว เอ่ยชื่อมัน มักถูกคนว่าเป็นพวกเจ้า”

ฉอ้อนจ้องหน้าสามี อยากถามอะไรในใจสักข้อหนึ่งที่สำคัญมาก แต่เพราะมันสำคัญนี่เอง ฉอ้อนจึงไม่สามารถจะถามได้ แต่หล่อนกล่าวว่า “ก็ตอนนี้ก็ไม่เห็นมีเรื่องอะไรน่ากลัวไม่ใช่รึ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ” สามีว่า “แต่อาจทำได้ จริงด้วย เห็นจะไม่เป็นไร”

ในระยะใกล้เคียงกับที่เฌอเข้ามหาวิทยาลัย สามีของหล่อนก็จากหล่อนไปยุโรป คือไปศึกษาวิชาทหารที่เยอรมันสองปี ระหว่างนั้น เขาไปเที่ยวดูงานที่อังกฤษและฝรั่งเศสด้วย ฉอ้อนไปอยู่กับคุณพ่อและแม่ด้วยความสุขที่บ้านเดิมที่เพชรบุรี คุณเกรินได้ย้ายมาอยู่ในเขตทหารใกล้ชิดกับสามีของหล่อนก่อนที่เขาจะจากไป คุณเกรินเข้ามาได้สักสี่ห้าเดือน สามีของหล่อนจึงออกเดินทาง คุณเกรินไปส่งวิทูรด้วยกันกับหล่อนที่ท่าเรือวัดพระยาไกรเขาจะไปเดนมารคก่อนโดยเรือของบริษัทอีสต์เอเชียติก และคุณเกรินยังเป็นผู้พาฉอ้อนกับลูกสองคนไปส่งที่บ้านที่เพชรบุรีด้วยความเอื้อเฟื้อด้วย

วิทูรกลับมาเมื่อสงครามยุโรปเกิดแล้ว พอเขากลับมา เขาก็ไปรับฉอ้อน แต่ไม่ได้กลับเข้ามาอยู่ในพระนคร เขาไปประจำการที่อุบลราชธานี วิทูรแน่ใจว่าเยอรมันจะต้องชนะสงครามในยุโรป และเมื่อถึงคราวที่ประเทศไทยเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส เขาเป็นคนหนึ่งที่เตรียมใจไว้พร้อมก่อนคนอื่นว่าจะทำสงคราม และเขาก็ได้ทำหน้าที่ในสนามรบอย่างสมเกียรติลูกผู้ชาย เมื่อเสร็จการพิพาทอินโดจีน เขามียศเป็นนายพันโท

ระหว่างที่มีการรบเรียกร้องดินแดนคืน วิทูรได้จัดแจงส่งฉอ้อนกลับภูมิลำเนาเดิมอีก ทั้งนี้ นอกจากจะทำให้เขาไม่ต้องห่วงหล่อนแล้ว หล่อนยังได้อยู่ใกล้มารดาในเวลาคลอด ลูกคนที่สามเป็นชาย วิทูรตั้งชื่อว่า ชัยวิชิต ซึ่งคุณเกรินขอเปลี่ยนให้เป็น ไชยเภรี คุณเกรินอ้างว่า ก่อนที่เด็กจะคลอด คุณเกรินฝันเห็นคุณวิทูรเดินตีกลองศึกไปข้างหน้าทหารหมวดใหญ่ คุณวิทูรจึงตกลงคล้อยตาม

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ