บทที่ ๔

นางสาวสุนทริกานาฏ โกศลทัต หรือที่คนรู้จักทั่ว ๆ ไปเรียกว่าคุณแจ๋ว ยืนอยู่ใต้กระโจมใหญ่ หลังอาคารอันงามสง่าซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าพระยาสุเรนทรามาตย์ผู้นับเป็นลุงเขย กระโจมนี้เป็นที่รวมอาหารคาวหวานซึ่งมีพนักงานลำเลียงมาจากโรงครัวบ้าง จากภัตตาคารหลายแห่งที่เจ้าภาพในงานเลี้ยงอันมโหฬารคราวนี้ไปสั่งมาบ้าง มาจากบ้านญาติและมิตรที่รับช่วยเหลือบ้าง จากร้านหรือบ้านที่รับจ้างประกอบอาหารสำหรับงานชนิดนี้บ้าง คุณแจ๋วยืนดูอาหารเหล่านั้นซึ่งอยู่ในภาชนะต่างๆ เป็นถาดบ้าง เป็นจานบ้าง และอื่นๆ อีก นัยน์ตากวาดไปทั่ว ปากก็สั่งให้ลูกมือจัดอาหารชนิดนั้นใส่ในภาชนะนี้ บรรจุในภาชนะนั้น ของเหลวใส่ชามลึกขนาดพอกับโต๊ะ ของที่ไม่เหลวไม่ไหลใส่จานเปลเนื้อดีสำหรับไปวางที่โต๊ะนั้นโต๊ะนี้ ของบางอย่างสำหรับโต๊ะรองๆ ลงมาไม่จำเป็นต้องใช้ภาชนะที่มีราคาและแตกเปราะง่าย คุณแจ๋วได้ยืนอยู่ในกระโจมนั้นประมาณ ๑ ชั่วโมงมาแล้ว ได้ใช้สายตา ใช้สมอง ใช้อวัยวะออกเสียงมานานกว่านั้น บัดนี้รู้สึกเมื่อยหน่อยๆ ทั้งที่ไม่ใช่คนเมื่อยง่ายเลย กำลังรู้สึกโล่งใจว่าอาหารทั้งหลายที่สั่งไว้มาครบแล้ว และได้จัดลงในภาชนะที่เหมาะสมที่จะไปวางตามโต๊ะสำหรับเลี้ยงแขกต่างๆ จนเกือบจะเป็นที่พอใจ จึงเที่ยวมองหาที่จะนั่งพักสักประเดี๋ยวก็พอดีมีสตรีสาวกับชายหนุ่มสองคู่ในเครื่องแต่งกายเหมาะแก่งานราตรีสโมสรเดินผ่านกระโจมอาหารนั้น สตรีสาวคนหนึ่งทำความเคารพคุณแจ๋วแล้วก็เดินเลยไปมีชายหนุ่มคนหนึ่งตามไป ท่าทางดูเป็นสามีภรรยา แต่สตรีอีกคนหนึ่งเมื่อเห็นคุณแจ๋วก็ทำทีกิริยายินดีและฉุดมือชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเข้ามาหาคุณแจ๋วในกระโจม

“คุณอาคะ นี่คุณพิสุทธิ์ค่ะ” เจ้าหล่อนผู้นั้นแนะนำชายหนุ่มกับคุณแจ๋ว “คุณสุทธิ์คะ นี่ไง คุณอาแจ๋ว อรพูดถึงเสมอๆ”

ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ญาติผู้ใหญ่ของมิตรสาวด้วยท่วงทีที่น่าดู คุณแจ๋วรับไหว้พลางมองดูเขาเต็มตา มีความรู้สึกว่าเขามีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใดแปลกจากที่เคยเห็นในชายหนุ่มทั่วๆ ไป พร้อมกันนั้นก็วิสาสะกับสตรีสาวที่เข้ามาปฏิสันถาร

“นื่อรมาเป็นแขกหรือมาช่วยงาน”

“ก็มาในงานของเจ้าคุณตาแหละค่ะ” หญิงสาวตอบ “แต่ก็มีหน้าที่คือให้เป็นคนรับแขกคุณฉอเลาะ ลูกสาวท่านผู้หญิง เพราะว่าเคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน เขาก็ดี๊ดีค่ะ ฉอเลาะนี่เพื่อนๆ ไม่นินทาสักคนเดียว”

คุณแจ๋วเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นในใจ นึกเห็นภาพของผู้ที่ถูกกล่าวถึงเป็นเด็กน้อยนอนอยู่ในเบาะที่ชานเรือนอันกว้างขวางเย็นรื่น ณ เมืองเพชรบุรี และเห็นภาพตัวคุณแจ๋วเมื่ออายุประมาณ ๑๙ ปี เข้าไปช้อนตัวเด็กขึ้นอุ้มด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับการจับต้องทารกอายุสามเดือน คุณแจ๋วก็ได้ปล่อยให้เด็กนั้นหลุดมือไปนอนตะแคงอยู่ข้างเบาะ มีแต่เสื่อจันทบูรผืนเดียวรองรับร่างเด็กไว้ไม่ให้โดนกระดาน เด็กร้องจ้า แต่ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีผู้ใหญ่คนใดมากล้ำกราย คุณแจ๋วได้ค่อยประคองเด็กพลิกตัวคว่ำลง แล้วก็เอามือดันตัวเด็กอีกทีหนึ่ง เพื่อให้กลับไปนอนหงายอยู่บนเบาะ คุณแจ๋วเข้าไปแลบลิ้นยาวให้เด็กดูสองสามที เด็กนั้นหยุดร้อง และกลับยิ้มกับคุณแจ๋วอีก คุณแจ๋วเองเป็นคนตั้งชื่อให้ว่าฉอเลาะ แต่การกระทำของคุณแจ๋วต่อเด็กในวันนั้น ไม่เคยแพร่งพรายให้แม่ของเด็กหรือผู้หนึ่งผู้ใดทราบเลย คุณแจ๋วได้แต่สวดมนตร์ภาวนาอธิษฐานก่อนนอนทุกคืน ขออย่าให้มีอะไรผิดปรกติเกิดแก่เด็ก “อย่าให้โง่อย่า ‘เซี้ยว’ ขอให้ฉลาด ขอให้ประเปรียวว่องไวเหมือนป้าแจ๋วนะฉอเลาะนะ”

คุณแจ๋วฟังผู้ที่เป็นหลานสาวพูดต่อไป “คุณพิสุทธิ์ นี่เขาเป็นญาติกับท่านรองห่างๆ ค่ะ คุณอา ท่านเป็นน้านับทางคุณยาย”

“ครับ คุณน้าวิทูรเป็นลูกน้องของคุณแม่ผม แต่ว่าอย่าเลยครับ เดี๋ยวนี้ผมไม่ชอบเอ่ยเรื่องนี้ เดี๋ยวถูกหาว่าเบ่ง” ชายหนุ่มกล่าว “เมื่อกี้ คุณเฉิดฉันก็มีเสียงแปลกๆ ใช่ไหม คุณอร”

“เออ เฉิดฉันเขากลับมาจากยุโรปแล้ว คุณอาได้พบแล้วหรือยัง เมื่อตะกี้เขาเดินไปกับสามีเขาไงคะ”

คุณแจ๋วไม่ตอบคำถามนั้น เพราะได้ปล่อยความคิดล่องลอยไปไกล เมื่อเรียกสติกลับมาได้ สาวและหนุ่มคู่นั้นก็กล่าวคำอำลา แล้วก็จูงมือกันเดินห่างกระโจมอาหารออกไป

คุณแจ๋วหาที่นั่งภายในกระโจมนั้น กำลังเหม่อมองดูลูกจ้างจัดการขนภาชนะที่ไม่ใช้แล้วไปทำความสะอาด ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป แต่อีกไม่นานก็มีคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าและอาภรณ์ราคาแพง ทำให้รู้ได้ว่ามาในงานนั้นในฐานะแขกไม่ใช่คนทำงาน แสงไฟฟ้าสว่างไสวที่เสาโคมริมสนามส่องมาต้องหน้าคุณแจ๋วเข้าพอดีขณะที่สองสตรีเดินผ่านมา คนหนึ่งจึงยุดแขนอีกคนหนึ่งไว้ แล้วทั้งสองคนก็เดินเข้ามาหา

“คุณแจ๋ว” คนที่เห็นก่อนเรียก “เอ๊อ นี่ยังไงมานั่งจุมปุ๊กอยู่นี่ ทำไมไม่ออกไปที่งาน”

คุณแจ๋วเงยหน้าขึ้นยิ้มกับผู้ทัก แต่ไม่เห็นความจำเป็นที่จะตอบว่าอย่างไร ผู้ทักก่อนพูดต่อไป

“นี่เธอจำรัชดาได้ไหม รัชดา ยุวนาพร เดี๋ยวนี้ท่านเป็นคุณหญิงริปูสยอง”

คุณแจ๋วหันไปยิ้ม คุณหญิงรัชดายกมือขึ้นไหว้คุณแจ๋วรีบไหว้ตอบ ผู้ที่ทักก่อนจึงกล่าวขึ้น

“เออ ฉันเห็นจะเป็นคนไม่ค่อยมีวัฒนธรรมกระมัง พบเพื่อนโรงเรียนเพื่อนมหาวิทยาลัย ไม่คิดจะไหว้เลย”

“โถ พี่ คุณแจ๋วเธอเป็นรุ่นพี่ของดานี่คะ จะไปเปรียบกับพี่ได้ที่ไหน คุณหญิงรัชดากล่าว ดวงหน้าของคุณหญิงยิ้มละไม ท่วงทีกิริยาดูน่วมไปทั้งตัว

“แล้วนี่ทำหน้าที่อะไรอยู่ คุณแจ๋ว” ผู้ที่เข้ามาทักถามต่อไป “แปลว่าจะไม่ออกไปใช่ไหมนี่ ไม่เห็นแต่งเนื้อแต่งตัว”

“โถ พี่ ทำไมว่าไม่แต่งตัว” คุณหญิงรัชดาค้านอีก “ก็ที่แต่งอยู่นี่ออกสวย”

คุณแจ๋วฟังสองสุภาพสตรีพูดกันไปมาด้วยสีหน้ายิ้มนิดๆ ผู้ทักก่อนกล่าวขึ้น “ดูซิ ไม่เปลี่ยนไปเลย เอะอะก็ยิ้ม เห็นเราน่าขันเสียเรื่อย”

“ไม่ได้พบคุณพี่นับได้สักยี่สิบปีกระมังคะ ตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัย” คุณหญิงรัชดาพูดต่อ “ดิฉันไม่ได้อยู่จนจบ ออกแต่งงานเสีย ฮิๆ” คุณหญิงทำเสียงหัวเราะเบาๆ ดูกระชดกระช้อยน่าเอ็นดู “คุณหญิงท่านรอง เอ๊ย เดี๋ยวนี้ท่านผู้หญิงซินะ ท่านชอบพูดบ่อยๆ ค่ะว่าท่านอิจฉาคนที่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่พวกเรารุ่นนั้นผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยสนับสนุนนะคะ เร่งแต่จะให้แต่งงาน ดิฉันก็เลยต้องออก”

“แล้วเธอล่ะ เดี๋ยวนี้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นไปยังไงแล้วล่ะ” คุณแจ๋วกล่าวทักเพื่อนผู้ที่เข้ามาแนะนำคุณหญิงรัชดาขึ้นบ้าง “ก็ได้รับตราเหมือนกันไม่ใช่เรอะ แต่ว่าไม่ถึงกับเป็นคุณหญิงเท่านั้น”

“คุณพี่สุมาลาน่ะ เป็นคนสำคัญที่สุดเลยค่ะ ในสโมสรสตรีของเรา” คุณหญิงรัชดาชิงตอบแทน “ได้รับตราอย่างนั้นซิคะ น่าภูมิใจ ไม่ใช่อาศัยเขา อย่างดิฉันนี่มันอาศัย” พูดจบประโยคแล้วก็หัวเราะฮิๆๆๆ อีกนิดหน่อย

“หือ ที่ไหนได้ อย่างเธอสิถึงจะน่าภูมิใจ อย่างฉันได้กันตั้งหลายสิบคน” คุณพี่สุมาลาค้าน

“ยินดีด้วยทั้งสองคนค่ะ” คุณแจ๋วรวบความ “เป็นไงคะ เรื่องอาหาร มีพอกันดี หรือขาดอะไรไปมั่ง แม่หลานๆ น้องๆ บ้านนี้ก็ไม่เห็นมาส่งข่าวสักคน”

“อ๋อ คุณพี่เป็นผู้อำนวยการเรื่องอาหารหรือคะ” คุณหญิงรัชดาถาม “โอ๊ย อร่อยทุกอย่างค่ะ แล้วก็คงพอสิคะ ถ้าทางเจ้าของบ้านไม่เข้ามาส่งข่าวก็ต้องแปลว่าไม่ขาด”

“แขกเพิ่มจำนวนขึ้นทุกที” คุณแจ๋วพูดเหมือนกับรำพึงกับตนเอง “แรกทีเดียวก็จะเป็นงานทำบุญประจำปีธรรมดาที่บ้านนี้ท่านทำทุกปี พอออกพรรษาแล้ว ก็จะมีแต่ลูกๆ หลานๆ กับญาติๆ แล้วก็เขยิบขึ้นไปฉลองดวงตราพิเศษอะไรของท่านเจ้าพระยา แล้วก็เลยมีการฉลองท่านผู้หญิงคนใหม่เพิ่มขึ้นมา แขกก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ นึกว่าคงจะมีการขาดอาหารกันบ้างละ คนนั้นเหลวบ้าง คนนี้ลืมบ้าง เจ็บเสียบ้าง อะไรบ้าง แต่ก็มาครบ ถึงยังงั้นก็ยังกลัวว่าอาหารจะแพ้แขก”

“ไม่แพ้หรอกเธอ” สุมาลารับรองกับเพื่อน “ถ้าแพ้คงมีคนมาโวยวายแล้ว แหม น่าชื่นใจ แขกเต็มบ้านไปหมด ท่านผู้หญิงฉอ้อนก็น่ารักตามเคย รูปร่างเล็กๆ กระฉับกระเฉง นะรัชดา” ตอนจบหันไปขอความเห็นชอบกับเพื่อน

“น่ารักค่ะ จริงๆ แต่งตัวก็ซ้วยสวย ดูราวกับสาวเด็กๆ” สุภาพสตรีผู้นั้นรับรอง แล้วก็ลดเสียงลงพูดเกือบเป็นเสียงกระซิบ “ว่าแต่พี่สุมาลาว่าจะพาไปห้องเล็กไงคะ อยู่ที่ไหนล่ะ”

“เออ จริงซี มาพบเพื่อนเก่าเลยลืม” พี่สุมาลากล่าว “เธอคงรู้ซีคุณแจ๋ว ข้างบนตึกคนยืนแน่นไปหมด ฉันเลยชวนคุณหญิงนี่เขาลงมา ฉันว่าข้างล่างคงมีบ้างหรอก สำหรับคนทำงานหรืออะไร”

“มีน่ะมี สำหรับคนในบ้านท่าน แต่จะสะอาดหรือสกปรกฉันก็ไม่รู้” คุณแจ๋วตอบ “แล้วแต่งตัวเต็มยศอย่างเธอจะปลดง่ายหรือยากก็ไม่รู้”

คุณหญิงรัชดารับรองว่าเครื่องแต่งกายนั้นปลดถอดสำหรับที่จะบรรเทาทุกข์ง่าย คุณแจ๋วจึงพาเดินห่างจากกระโจมไปเล็กน้อย แล้วเรียกคนใช้ในบ้านเจ้าภาพมาให้พาแขกสตรีผู้มีเกียรติทั้งสองไปตามที่ปรารถนา

พอสองหญิงนั้นไปแล้ว คุณแจ๋วก็ให้เกิดความเหนื่อยและเมื่อยขึ้นมาอย่างมาก เที่ยวมองหามุมที่ค่อนข้างมืดมาได้มุมหนึ่ง จึงยกเก้าอี้เหล็กพับได้สองตัวไปตั้งให้ได้ระยะที่จะนั่งตัวหนึ่ง และอีกตัวหนึ่งรองขาและเท้า แต่พอจักที่ได้เหมาะแก่ความต้องการลงนั่ง และยกขาขึ้นพาดเก้าอี้ตัวที่วางไว้สำหรับจะรับขา ก็มีเสียงหัวเราะคิกคักของดรุณีที่เพิ่งเข้าวัยสาวอยู่ใกล้ แล้วเจ้าของเสียงคิกคักก็วิ่งเข้ามาใกล้คุณแจ๋ว พลางอุทาน

“คุณน้า แหม คุณน้ากำลังจะหาความสบายเชียว อื้อฮือ หนูยังเมื่อยแทบแย่ เดินรับแขกเสียเท้าแทบหลุดแล้วกินข้าวก็ไม่อิ่ม” พอพูดจบผู้พูดก็มายืนทางด้านปลายเท้าของคุณแจ๋ว เป็นเด็กสาวแต่งกายราตรีสโมสร เสื้อแพรบางสีเขียวอมน้ำเงิน ปักลูกปัดเล็กๆ ระยิบระยับอยู่ตรงบริเวณเอว ที่ริมคอเป็นรูปรีไปตามขวางของทรวงอกและที่ปลายเสื้ออันยาวระเท้า สร้อยคอเพชรขนาดเม็ดเล็กซึ่งเป็นฝีมือของช่างชั้นเลิศ แพรวพราวอยู่บนทรวงอกอันเกลี้ยงขาว

“โอ๊ ก็ทำหน้าที่กันคนละอย่างนี่จ๊ะ” คุณแจ๋วประท้วง “น้ายืนน้าเดินมาตั้งแต่บ่ายกี่โมงล่ะ ดูโต๊ะ แล้วก็ดูอาหาร”

“คุณน้าไม่ออกไปดูเขาบ้างนี่ สนุกดี” สาวรุ่นว่า “มัวแต่มาเป็นแม่ครัว”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่แม่ครัว” คุณแจ๋วค้านอีก “งานคราวนี้ทำหน้าที่หัวหน้าบ๋อยต่างหาก” พูดพลางเหลือบตาดูญาติผู้น้อยทั่วกาย แล้วกล่าว “ลำไยสวยเหลือเกินวันนี้ ไปตัดเสื้อที่ไหน ใครเลือกแบบ”

หญิงสาวกวาดตาดูรอบๆ ตัว เห็นเก้าอี้เหล็กอย่างที่คุณแจ๋วนั่งอยู่ใกล้ๆ ตัวหนึ่ง จึงบอกให้คนงานที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นยกมาตั้งในระยะที่ตนจะนั่งคุยกับคุณแจ๋วได้ หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ก็พลางบ่น

“แหม อยากเอาเท้าขึ้นเหมือนคุณน้าบ้าง เมื่อยเมื้อยเมื่อย”

คุณแจ๋วพิจารณาญาติผู้น้อยตลอดทั้งตัว ดูตั้งแต่ทรงผม เสื้อ รองเท้า และอาภรณ์เครื่องประดับ ที่ติดใจคุณแจ๋วก็คือส้นรองเท้าของเจ้าหล่อนผู้นั้น ส้นนั้นสูงจนปลายเท้าเกือบจะวางลงบนดินไม่ได้ และเรียวเล็กเปรียบได้ดุจเข็ม คุณแจ๋วเห็นแล้วก็เกิดสังเวช ยกเท้าของตนลงจากเก้าอี้ที่ได้พาดไว้ เขยิบเก้าอี้ตัวนั้นไปในทางที่เจ้าหล่อนจะใช้วางเท้าได้ และว่า

“เอ้า วางเสีย ยกขึ้นวางพักเสียประเดี๋ยว ไม่งั้นเท้าจะหักกลาง”

สาวน้อยยกมือขึ้นไหว้ “คุณน้าขา ช่างใจดีจริ๊ง หนูวางจริงๆ ด้วย” พูดแล้วก็กระทำตามพูด แล้วก็ระบายลมหายใจอย่างรู้สึกสบาย

“ว่าแต่เมื่อตะกี้ลำไยว่าหิวข้าว น้าอยากรู้ว่ากับข้าวไม่พอหรือไง” คุณแจ๋วถามขึ้นด้วยความห่วงใยในหน้าที่

“ไม่ใช่ไม่พอค่ะ เราไม่มีเวลาจะกิน มัวแต่ดูท่านผู้ใหญ่คนนั้น ผู้โตคนนี้” ผู้ถูกเรียกว่าลำไยตอบ ชื่อจริงของหล่อนไม่ยาวเท่าของคุณแจ๋ว แต่ก็ไม่มีญาติมิตรใช้เช่นเดียวกัน “โธ่ จริงนะคุณน้า หนูอยากให้คุณน้าเห็นบ้าง แต่ว่า ท่านผู้หญิงคนใหม่ ที่จริงเขาน่ารักนะคะ แต่ว่าเออ จะว่ายังไง แต่ก่อนมีท่านผู้หญิงคนเดียว เอ่ยว่าท่านผู้หญิงเป็นรู้กันละว่าใคร ทีนี้เกิดมีสองคน จะเรียกกันยังไงนี่ หรือจะเรียกท่านผู้หญิงรอง ท่านผู้หญิงใหญ่”

“อะไรกันมีท่านผู้หญิงคนเดียว” คุณแจ๋วค้าน “แล้วคุณยายของเราล่ะ เลิกเป็นท่านผู้หญิงเสียตั้งแต่เมื่อไหร่”

“โอ๊ย อย่างคุณยายไม่นับแล้ว” ลำไยว่า “คุณยายเป็นท่านผู้หญิงอยู่แต่ในบ้าน หนังสือพิมพ์ไม่ลง โทรทัศน์ไม่ออก เอ่ยว่าท่านผู้หญิงสุเรนทรามาตย์ เปรียบเหมือนคนในพงศาวดาร ไม่ต้องนับละ แล้วก็ท่านผู้หญิงแก่ๆ อีกสองสามคน รุ่นคุณยาย ก็ไม่นับเหมือนกัน”

“เออ ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป” คุณแจ๋วกล่าวอนุโมทนา “แล้วก็ท่านผู้หญิงรุ่นปัจจุบันที่ยังไม่เข้าไปอยู่ในพงศาวดารนี่ เขาก็มีชื่อเสียงของเขา ทำไมจะเรียกท่านผู้หญิงฉอ้อนยังงี้ไม่ได้เหลอ”

“อู๊ย คุณน้า” ลำไยทำเสียงให้ท่านผู้ใหญ่รู้ถึงความไม่ทันสมัยอีกครั้งหนึ่ง “เดี๋ยวนี้เขาเอ่ยชื่อเอ่ยเสียงกันได้เมื่อไร ราวกับพระยะโฮวาห์แน่ะ ออกพระนามไม่ได้ เจ้าพระยาสุเรนทร์ก็เรียกเกือบไม่ได้ เพราะคุณตาน่ะพวกราชการใหม่นี่เขาแสดงว่าเขาเคารพยกย่องกันนี่ เขาต้องเรียกตำแหน่งท่านทุกคำเลย หนูบางทีก็คั้นขัน คนเขาถามว่าเจ้าคุณตาสบายดีเหรอนี่ หนูไม่รู้ว่าเขาพูดถึงใคร บางคนก็เรียกท่านประธาน บางคนก็เรียกท่านที่ปรึกษา หนูจะไปรู้ได้ยังไงว่าคือคุณตา พูดกันได้ตั้งหลายนาทีถึงรู้ว่าเขาพูดถึงคุณตา หนูตอบเปะปะไปตามเรื่อง แล้วก็แอบหัวเราะอยู่กับตัวเอง”

คุณแจ๋วนิ่งฟังอย่างเพลิดเพลิน หัวเราะหึๆ เบาๆ และใช้ความคิดเลยจากที่ญาติสาวพูดไปไกล ลำไยพูดต่อไป

“นี่คุณน้า พูดถึงท่านผู้หญิงฉอ้อน หนูว่าน่ารักน่ะนะ แต่วันนี้หนูนั่งรับแขกเขาอยู่ ประเดี๋ยวขนลุกซู่”

“อะไร ทำไม” คุณแจ๋วซักอย่างเร่าร้อนทันที

“ก็สายสร้อยทับทิมที่เขาใส่มาวันนี้ มันสร้อยพระศอเสด็จนี่ ที่ท่านย่าขายไปยังไงล่ะ โธ่ เขาช่างไม่รู้เลยนะว่าบ้านเรากับเสด็จเป็นอะไรกัน หรือว่าเขารู้แต่เขาอยากอวดก็ไม่รู้”

“น้าก็ยังตามไม่ทันเหมือนกันละ ว่าหนูขนลุกซู่ทำไม” คุณแจ๋วบอก

“โธ่ ก็มันใจหาย” ลำไยอธิบาย “เจ้านายท่านก็ตายกันไป สมบัติแบ่งไปกับลูกๆ หลานๆ ทีนี้ก็ยากจนกันลง จะทำยังไง มันก็ต้องขายของปู่ย่าตายาย คนพวกเราก็ไม่มีปัญญาซื้อ ก็ต้องขายให้พวกเหล่านี้แหละ”

“นี่ละที่พระท่านสอนไว้ว่าอะไรๆ มันเป็นอนิจจังไงล่ะ” คุณแจ๋วว่าด้วยเสียงชวนหัวเราะหน่อยๆ “ไปใจหายทำไม”

“พอหนูอายุเท่าคุณน้าก็คงไม่ใจหายกระมัง” ลำไยว่า “แต่นี่มันเป็นไงไม่รู้ เราเคยเห็นอยู่กับพระทรวงเจ้านายของเรา แล้วมาเห็นอยู่บนหน้าอกใครที่ไหนก็ไม่รู้”

“ก็เขาเป็นคนชั้นผู้นำประเทศคนหนึ่งไงล่ะ” คุณแจ๋วว่า “มิดีกว่าไปอยู่บนหน้าอกคนชนิดอื่นรึ”

ลำไยถอนใจ แต่ดวงหน้ายิ้ม แสดงว่าไม่มีความทุกข์อะไรลึกซึ้งนัก การปรารภทุกข์เมื่อครู่ก่อนเป็นการกระทำที่ต้องด้วยความนิยมของคนในสังคมของหล่อนเท่านั้นเอง “ก็จริงนะคะคุณน้า” เจ้าหล่อนรีบเห็นด้วย พลางก็ยกเท้าลงจากที่พาด “หนูมาแย่งคุณน้านานแล้ว ดูซีแล้วยังมาคุยเสียเพลิน ป่านนี้คุณป้าใหญ่หรือคุณแม่หาตัวจะใช้ก็ไม่พบ หนูไปก่อนละค่ะ เสียดายคุณน้าไม่ออกไปดูเขาบ้าง” แล้วหล่อนก็จับผมให้เข้าทรงให้เรียบร้อยเอาผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยอันมีกลิ่นหอมระรื่นขึ้นมาซับหน้าเบาๆ ลุกขึ้นยืนจับเสื้อให้เข้ารูปรอยที่สมควร ยกมือขึ้นไหว้คุณแจ๋วแล้วเดินกลับไปทางหน้าตึก

คุณแจ๋วกำลังนึกฉิวญาติสาวในข้อที่ไม่เลื่อนเก้าอี้ให้ได้พาดเท้าตามเดิม ทำให้ต้องลุกขึ้นเลื่อนเองทั้งที่มีความเหน็ดเหนื่อยอยู่มากแล้ว พอยกเก้าอี้กลับมายังที่และกำลังเอนตัวลงจะพักผ่อนให้คลายเหนื่อย ก็มีคนเดินเข้ามาหาอีกคนหนึ่ง คราวนี้เป็นญาติผู้ใหญ่ซึ่งทำให้คุณแจ๋วต้องเปลี่ยนอิริยาบถให้เรียบร้อย คือพี่สาวแท้ๆ ของคุณแจ๋วเอง ผู้ซึ่งคนที่รู้จักมาตั้งแต่เล็กมักจะเรียกว่าคุณแป๋ว แต่คนที่ไม่คุ้นเคยมาแต่เดิมเรียกว่า คุณหญิงศิริมา โดยที่คุณแป๋วยังไม่ได้รับราชอิสริยาภรณ์อันใด ทั้งนี้เพราะสามีดำรงตำแหน่งอธิบดี และเป็นคนใกล้ชิดกับหัวหน้าผู้บริหารประเทศ และทุกคนคาดว่าจะเป็นคุณหญิงในอนาคตอันใกล้

“เออนี่ว่ายังไง แม่ค้า ทำไมมานั่งแอบอยู่นี่” คุณแป๋วหรือคุณหญิงศิริมาทักน้อง “ทำไมไม่ออกไปดูแขกเขาบ้างล่ะ เพื่อนเก่าของน้องแจ๋วเขาก็เป็นนางเอกในวันนี้”

คุณแจ๋วพยักหน้า “ต้องดูแลอะไรหลายอย่างแล้วก็ขี้เกียจ”

“นี่มาทำให้ยังงี้น่ะ ตกลงจะได้ค่าแรงหรือเปล่า” พี่สาวถาม

“ไม่รู้ ถ้าตามยุติธรรมมันก็ควรจะได้ แต่ถ้าไม่ได้ ก็นึกสละไป” คุณแจ๋วตอบ

“รวยกว่าเราไม่รู้จักกี่เท่า แต่จะเก็บบิลก็คงไม่ได้มั้ง” ผู้เป็นพี่ปรารภ “ดี ใครขี้เหนียวตืดมักได้ดี ใครเป็นยังไงๆ ก็มักได้ดี ดูแต่นายวิทูรเสียก่อนเถอะ ได้ดีเพราะความบ้าบิ่นแท้ๆ”

“ฮื้อ” คุณแจ๋วทำเสียงค้านเบาๆ นิ่งไปหลายวินาทีระหว่างปรึกษากับตัวเองว่า จะเลิกนิสัยออกรับแทนใคร เพื่อสิ่งที่ตนเองเรียกว่าความยุติธรรมหรือไม่ แต่แล้วก็เอาชนะธรรมดาของตนเองไม่ได้ กล่าวต่อไป “เขาดีอื่นหลายอย่าง รูปร่างก็แสนสม้ารต พูดจาก็ไม่เลว แล้วก็เป็นทหาร ไม่ให้กล้าแล้วจะให้เป็นยังไง”

พี่สาวสะบัดหน้าน้อยๆ ทำสีหน้าให้เห็นว่าคร้านจะโต้เถียง “สนุกดีหรอกงานวันนี้” คุยกับน้องสาวต่อไป “ท่านผู้หญิงฉอ้อนเขาก็น่าเอ็นดูตามเคย ใครๆ ชมกันเปาะ ใส่สร้อยพระศอทับทิมของเสด็จอันเบ้อเร่อ สามีคอยชำเลืองดูเรื่อย ไม่ใช่ดูหน้าเมียหรอกนะ ดูสายสร้อย แล้วก็มีแม่สำรวยของเราพยายามใหญ่จะเข้าไปใกล้ๆ พี่ต้องคอยกันแทบตาย กลัวจะไปทักท่านผู้หญิง ว่าไงอ้อน เข้า ทุกวันนี้เขาก็ยังเรียกอยู่ยังงั้นแหละ แล้วก็อยากจะให้ใครๆ รู้ว่าเขารู้จักกันมาดั้งเดิม น่าหัวเราะพี่จำลอง ต้องหาอุบายสายสนร้อยแปดที่จะไม่ให้เมียเข้าไปในปะรำใหญ่ พี่ก็เลยช่วยขู่ว่าเจ้าคุณลุงท่านจะเล่นงานทุกคนที่เข้าไปโดยท่านไม่ได้เรียก สำเร็จ แม่สำรวยไม่กล้าเพราะเอ่ยคุณลุงบ้านนี้ละแกกลัวลาน”

คุณแจ๋วหัวเราะหึๆ เบาๆ ไม่ตอบพี่สาวเพราะคิดไปหลายแง่หลายมุม อีกไม่นานพี่สาวก็พูดต่อ “อย่างน้อยวันนี้เราก็ได้โฆษณากิจการพอสมควรนะ เสียงคนถามกับข้าวมาจากไหน แล้วก็เสียงพวกคุณๆ บ้านนี้บอก ร้านแจ่มแจ๋ว ร้านแจ่มแจ๋วกันใหญ่ ถ้าไม่ได้ค่าแรงก็นึกว่าได้โฆษณาก็แล้วกัน”

“พี่แป๋วจะนั่งไหมนี่” คุณแจ๋วถามขึ้นเพราะเห็นพี่สาวยืนพูดอยู่นานแล้ว

“อยากนั่งก็อยาก อยากออกไปก็อยาก มีอะไรดูแยะ เพิ่งได้เห็นคนใหม่ปนกับคนเก่าวันนี้ สนุกดี บังเอิญเราเข้าได้ทั้งเก่าทั้งใหม่”

คุณแจ๋วนิ่งไม่ตอบคำปรารภนั้น ก็ได้ฟังพี่สาวคุยต่อ “พวกคุณหญิงใหม่ๆ บางคนก็ไม่เลวเลย แต่งเนื้อแต่งตัววางท่าทางเหมาะเจาะ พี่ยังอดแปลกใจไม่ได้เลยมีคุณหญิงเสน่หา สามีเป็นผู้บัญชาการอะไรใหญ่โต แกเรียนหนังสือน้อยกว่าฉอ้อนอีก แต่พูดภาษาอังกฤษได้ทำท่าทางเข้าที้” ลงเสียงที่สุดท้ายเพื่อแสดงความนิยม “แล้วแกก็อ้วนกลม ยิ้มเรื่อย แต่บางคนก็ไม่ไหว คุณหญิงสุรพลพลากร แกหึงคุณอังกาบซึ่งๆ หน้า แหม ถ้าด่าได้แกคงด่าออกมาต่อหน้าแขกนะวันนี้”

“ชักสนุกแฮะ” คุณแจ๋วแสดงความสนใจคึกคักกว่าที่ฟังใครๆ มาตลอดราตรีนี้ “นั่งสิ พี่แป๋ว นานๆ ถึงจะพบพี่แป๋วสักที ชีวิตไปกันคนละทาง เล่าไปซิ อีเรื่องนี้สนุก”

“แหม แกมันก็มาแบบเดิม” พี่สาวว่า “คุณอังกาบ หม่อมราชวงศ์หรือหม่อมหลวงก็ไม่รู้ ดูเหมือนจะหม่อมราชวงศ์ ได้ยินคนเรียกคุณหญิง แต่ก็เอาแน่ไม่ได้สมัยนี้ เขาลือกันทั้งเมืองว่าคุณหลวงสุรพลไปติดเฟี้ยวไปเลยเชียว กลับจากอเมริกา ไม่รู้อายุเท่าไหร่ แต่ดูสาวพริ้ง แต่ก็ไม่ใช่สาวเด็กๆ แกไม่มีกลัวใครเลย ใครมาแบบไหน ฉันก็ไปแบบนั้น วันนี้แกก็เต้นรำกับคุณหลวงสุรพลไม่รู้กี่เที่ยว แล้วก็ออกจากที่เต้นรำ ไปนั่งคุยกันตรงน้ำพุทางโน้น โอย พี่นั่งอยู่กับคุณหญิง แกแทบจะหายใจไม่ออก เสียงเหมือนหอบ ตาล่อกแล่ก พอสามีเดินมาใกล้ แกลุกขึ้นทันที แกบอก คุณหลวง ท่านรัฐมนกี แกเรียกผัวแกยังงี้ทุกที คุณหลวง ท่านรัฐมนกี กลับบ้านกันเถอะ ฉันไม่สบาย”

“แกอาจเป็นโรคหืดก็ได้” คุณแจ๋วว่า “มีอะไรนิดหนึ่งก็หอบ”

“ไม่รู้แก” คู่สนทนาแบ่งรับแบ่งสู้ “โอย แล้วคุณหลวงยังไปยืนตีฝีปากกับสาวนักเรียนนอกอีกหลายนาที แกเลยเข้าไปดึงแขนเดินออกประตูไปเลย แหมกลั้นหัวเราะกันแทบจะไม่ไหว พี่กลางถึงกับต้องลุกไปจากโต๊ะ เพราะกำลังนั่งอยู่กับคุณหญิงรัฐมนตรีอีกหลายคน พวกนั้นบางคนก็ค้นผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋า บางคนก็ก้มลงเก็บอะไรใต้โต๊ะ ให้วุ่นกันไปหมด”

“คุณหญิงสุรพลนี่ชื่อตัวแกชื่ออะไร พี่แป๋ว” คุณแจ๋วถามด้วยความสนใจ

“ไม่รู้เหมือนกัน” พี่สาวตอบ แล้วทันทีก็ร้องขึ้นอย่างที่คนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได้ “ตายจริง ฉันลงมานี่จะหาตัวแม่ต้นห้องของคุณป้าให้ท่าน ขึ้นไปหาท่านบนตึกท่านกำลังอยากได้ตัวต้นห้อง แล้วมาพบแจ๋วเลยมัวคุย ตาย ต้องไปละนะ ทำไมไม่ไปหาพี่บ้างล่ะ แจ๋วน่ะ คุยกับพี่เขยก็ถูกคอกันยังกับอะไรดี”

พูดจบก็ผละจากน้องสาวเดินอย่างรีบร้อนไปทางเรือนคนใช้ของบ้านเจ้าพระยาสุเรนทรฯ ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากกระโจมซึ่งเป็นที่ทำงานของคุณแจ๋วไปหลายเมตร

หมดเวลาพักผ่อนสำหรับคุณแจ๋วแล้ว คนใช้และลูกจ้างหลายคนกำลังยกจานอาหารกลับมาจากโต๊ะที่เลี้ยงแขก และคุณแจ๋วจะต้องบงการควบคุมในเรื่องการเก็บภาชนะต่างๆ เป็นหมวดหมู่เพื่อจะส่งให้เจ้าของ ทั้งที่เจ้าภาพได้ขอยืมมา และที่ภัตตาคารบ้าง ร้านอาหารย่อยๆ บรรจุอาหารส่งมาบ้าง ภาชนะบางอันก็ล้างสะอาดแล้ว บางอันก็ยังไม่ได้ล้าง ต้องมีการตักเตือนให้เอาไปทำความสะอาดที่สถานที่จัดไว้ และคุณแจ๋วยังต้องดูแลว่ามีอาหารชนิดใดเหลือจากการเลี้ยงในปริมาณที่ควรแจกจ่ายต่อไปอย่างไร หรือควรจะทิ้งจะถ่ายอย่างไรอีก คุณแจ๋วหมกมุ่นอยู่กับเหล่าหญิงชายในความรับผิดชอบของตนเองอยู่นาน สักประเดี๋ยวจึงได้ยินคล้ายเพลงสรรเสริญบารมี คุณแจ๋วเงยหน้าจากสิ่งของที่ต้องดูแล ใช้ความคิดนิดหน่อยแล้วก็ออกปากว่า “อ้อ แตรวงเลิกไปละซี” แล้วก็ก้มหน้าและกวาดตาดูภาชนะต่างๆ ในกระโจมนั้นต่อไปอีก แต่อีกประมาณ ๑๕ นาทีต่อจากนั้น คุณแจ๋วก็สะดุ้งพลั้งออกมาว่า “อีลูกหมาดก” เพราะมีมือกระด้างมาจับข้อมือไว้อย่างนุ่มนวล

“ตาย คุณเกริน นึกว่าแดรกคูล่าหรืออะไรมาจับมืออีก” คุณแจ๋วทัก บุรุษในเครื่องแต่งกายราตรีสโมสรในวัยใกล้เคียงกับตน และเช่นเดียวกับคุณแจ๋ว เขาดู “หนุ่ม” เพราะแววตาแสดงถึงความสนใจในชีวิต

“เอ้อเฮอ เปรียบกับแดรกคูล่าเทียวรึ แสงไฟออกสว่างไสว” คุณเกรินออกปาก “เอ้อ ได้ยินแต่อาหารร้านแจ่มแจ๋ว แจ่มแจ๋ว ไม่รัเลยว่าเจ้าของร้านคือคุณสุนทริกานาฏ”

คุณแจ๋วหัวเราะเบาๆ อย่างเบิกบาน “นี่เข้ามากรุงเทพฯ แต่เมื่อไหร่”

“ย้ายเข้ามาได้เกือบ ๓ เดือนแล้ว ตัวมาจริงๆ สักเดือนหนึ่ง” ฝ่ายบุรุษตอบ

“เป็นนายพลแล้วไม่ใช่รี แล้วพบกับเพื่อนเก่ารีเปล่าล่ะ” คุณแจ๋วถาม

“ฮึ อยู่ไปๆ ไม่ถูกไล่ออกมันก็ได้เป็นไป” คุณเกรินตอบ “เพื่อนเก่าน่ะหมายถึงท่านวิทูรหรือยังไง”

คุณแจ๋วมองหน้าพลตรีเกรินเต็มตา ด้วยสายตาแหลมและกวาดรวดเร็ว คุณแจ๋วพิศดูหน้า คิ้ว และโดยเฉพาะดวงตาของเขาได้ถี่ถ้วนตามที่ปรารถนาจะดู และปรารถนาจะอ่านความรู้สึกของเขา แล้วตอบด้วยเสียงที่ราบเรียบ พยายามไม่ให้ความรู้สึกของตนเข้าไปอยู่ในเสียง

“หมายถึงท่านวิทูรด้วย ท่านผู้หญิงฉอ้อนด้วย”

“หมายถึงในงานวันนี้หรือก่อนนั้น” ฝ่ายชายถาม

“เอ้อ งานวันนี้ และก่อนงานวันนี้” คุณแจ๋วบอก

“ให้มันยังงี้ซิเรา” นายพลว่า “ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ อยากรู้อยากเห็นตามเคย”

“โอ๊ ถ้าว่าในเรื่องนั้นเปลี่ยนไปแยะ เดี๋ยวนี้อยากรู้แต่ไม่อยากเห็น” คุณแจ๋วบอก

“ฮึ มันชักจะเหมือนๆ กัน แต่...” เขาหยุดไปอึดใจหนึ่ง เขาเคยใช้สรรพนามกับสตรีผู้นี้ว่าอย่างไร เขาควรใช้อย่างเดิมหรือไม่ พอดีกับคุณแจ๋วเอ่ยขึ้น

“นี่ ไม่ได้พบเห็นกันหลายปี เหตุการณ์อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ถ้าผิดพลาดก็ขออภัย ที่จริงเคยนับถือเป็นพี่ยังไงก็ยังงั้นนะ”

“ฉันก็กำลังคิดจะเรียกคุณแจ๋วยังไง และจะพูดยังไงเหมือนกัน”

“ก็อย่ามาถือกันเลยเรื่องอย่างนี้” คุณแจ๋วยิ้มอย่างชื่นบาน “เรื่องยิ่งกว่านี้ยังไม่ถือกันนี่”

เกรินมองหาที่นั่ง เห็นเก้าอี้เหล็กตัวหนึ่งอยู่ใกล้ๆ เขาก็ยกมาตั้งใกล้คุณแจ๋ว ผู้ซึ่งยืนมองลูกมือนับจานใส่อาหารอยู่ แต่ที่ใกล้ตัวคุณแจ๋วมีเก้าอี้ตัวหนึ่งตั้งอยู่เหมือนกัน เขาจึงเอามือตบลงที่เก้าอี้นั้นพลางว่า

“ไม่รู้จักแก่เลยนะ ยืนอยู่ได้ ไม่เห็นจำเป็นสักนิด หรือว่านั่งมาตลอดเวลา เพิ่งจะยืน”

“นั่งบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง มาตั้งแต่บ่าย” คุณแจ๋วตอบพลางหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ แล้วพิศดูหน้านายทหารคู่สนทนาอีก เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกพิศ รู้สึกว่าเลือดวิ่งขึ้นหน้า แล้วเขาก็กล่าวกลบเกลื่อนความรู้สึก

“จริงนะ คุณแจ๋ว นี่เราไม่ได้พบกันกี่ปีแล้ว แต่เธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย”

“คุณเกรินก็ไม่เปลี่ยน นอกจากในทางดีขึ้นเดี๋ยวนี้ก็หล่อขึ้นอีก พูดจริงๆ นะ”

“แล้วยังไงถึงไม่โผล่ออกไปที่งานบ้างเลย จนจวนจะกลับแล้วถึงได้พบคุณแป๋ว ถึงได้รู้ว่าคุณแจ๋วอยู่ที่นี่”

คุณแจ๋วยิ้มอย่างสดใสอย่างที่ไม่ได้ยิ้มกับใครเลยตลอดวัน “เทวดากรุณาแจ๋ว เอ้อ เรื่องไม่ออกไปน่ะมันขี้เกียจ แล้วก็ที่มานี่ ไม่ได้รับเชิญมางาน ทีแรกท่านเจ้าภาพ ก็เห็นจะเป็นคุณพี่ใหญ่น่ะแหละ ไปติดต่อที่ร้านว่าให้มารับจัดอาหาร แล้วเมื่อพบว่าเจ้าของร้านแจ่มแจ๋วเป็นใคร ก็เลยเพิ่มหน้าที่ กลายเป็นอำนวยการเรื่องการเลี้ยงทั้งหมด”

“เจ้าคุณที่นี่ท่านไม่มีบริวารหรอกหรือ ไม่มีคุณหญิงคุณนายมาเป็นแม่ครัว แม่ห้องรับแขก แม่ดอกไม้อะไรๆ” เกรินถาม

“บ้านนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่มีอย่างนั้น ตั้งแต่ท่านเป็นเสนาบดีก่อนเปลี่ยนการปกครองท่านก็ไม่เคยมีลูกน้องแบบนั้น” คุณแจ๋วอธิบาย “มีมาบ้างเหมือนกันละ คนภักดีแบบนั้น แต่จดไม่อยู่ เพราะลูกหลานของท่านเองมันเยอะแยะ แล้วก็แม่เลี้ยงท่าน พวกหม่อมๆ เจ้าคุณพ่อท่าน ก็ตั้งสามสี่คน ใครโผล่เข้ามาท่านก็เชิญขึ้นตึก เชิญขึ้นตึก แล้วลูกน้องทางราชการของท่านสมัยนั้นหัวนอกโดยมาก เฟี้ยวๆ กันทั้งนั้น แล้วเมียเขาก็พวกที่จะต้องเป็นแขกของท่านนั่นเอง หรือถ้าจะช่วยงานท่าน ก็รับใช้จ้าวนาย จ้าวนายจริงๆ น่ะนะ เจ้านายลูกหลานพระเจ้าแผ่นดินน่ะ ไม่ใช่อย่างที่เรียกกันสมัยนี้”

“แหม ไม่ต้องอธิบายหรอกจ้ะ ราวกับฉันจะไม่รู้ศัพท์ของเธอเชียว” คู่สนทนาว่า “แล้ววันนี้ลูกหลานท่านออกไปเป็นแขกกันหมด นอกจากเธอคนเดียวรึ”

“เขาก็ทำงานเกี่ยวกับการตระเตรียม แล้วก็จัดดอกไม้อะไรเทือกนั้น” คุณแจ๋วตอบ “แล้วก็ยังมีหม่อมแม่เลี้ยงคนสุดท้องของท่าน ยังเหลืออยู่อีกคน ก็เป็นแม่กองปอกผลไม้ ส่วนขนมก็สั่งเอาตามร้าน เดี๋ยวนี้มันง่ายนี่นะ เขามีทำขายกันทุกอย่าง”

เกรินหัวเราะพลางกล่าว “ไอ้ศัพท์แปลกๆ ก็ไม่เปลี่ยน แม่เลี้ยงคนมีที่ไหนบ้าง เขามีแต่น้องสุดท้อง ลูกสุดท้อง แม่เลี้ยงไม่ได้ออกจากท้องนี่นะ”

“จริงละ” คุณแจ๋วหัวเราะยอมรับผิด แต่ยังไม่ทันจะว่าอะไรต่อไปเกรินก็ชิงพูดขึ้น

“ก็แล้วทำไมถึงไม่โผล่ออกไปบ้างเลย คงพอหาเวลาได้บ้างหรอกน่ะ”

“นั่นฉันตอบแล้ว” คุณแจ๋วค้าน ลากเสียงให้คำพูดห่างกัน “แต่ว่าคุณเกรินละซิ ฉันถามตั้งแต่ต้นว่าพบเพื่อนเก่าหรือเปล่า ยังไม่ได้ตอบ”

“เอ้อ จริง” เขารับผิดบ้าง “แต่มันสำคัญเหลือเกินเชียวรึ พบหรือไม่พบ เพื่อนเก่าคู่นี้”

“เอ ไม่รู้ซี ถ้าเห็นไม่สำคัญ ไม่ตอบก็ได้” คุณแจ๋วตกลงอย่างง่ายดาย

เงียบกันไปนานพอใช้ แล้วเกรินกล่าวขึ้น “ที่จริงก็สำคัญมาก เพื่อนเก่าของเรา เขาเป็นคนสำคัญมากของเราทุกคน เกือบๆ จะว่าชีวิตของเราทั้งหลายอยู่ในมือเขา แต่พูดอย่างนี้บางทีก็ไม่ค่อยถูกใจคนบางคน”

คุณแจ๋วจ้องจับตาผู้พูดด้วยความสนใจ “ทำไม ที่ไม่พอใจเรื่องอะไร”

“ก็พวกเราก็มีหลายพวก พวกที่เขาว่าให้ทหารปกครองอย่างนี้ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้ก็มี และพวกที่เขาไม่ชอบส่วนตัวก็มี ทหารด้วยกันอยากเป็นเหมือนเขาแต่ยังเป็นไม่ได้ก็มี”

“เป็นยังไง ส่วนตัวเขาเป็นยังไง ที่ไม่ชอบน่ะ” คุณแจ๋วซัก

“หลายเรื่อง แต่ว่าอย่าเพิ่งพูดเดี๋ยวนี้เลย ยังไม่อยากพูด” คู่สนทนาตัดความ “อยากรู้เรื่องคุณแจ๋วมากกว่า เขาว่าเธอทำแก่นออกไปอยู่คนเดียวไม่พะพิงพี่น้อง” ระหว่างพูดทั้งน้ำเสียงและสายตาแสดงความเอ็นดูมากกว่าจะติเตียน

คุณแจ๋วมองเขาอย่างอ่อนโยน “ไม่มีอะไรมากหรอก แต่คนเรามันต้องรู้จักโตบ้าง ไม่ใช่เป็นเด็กจนตาย แต่ว่า ขอรู้อะไรต่อไปอีกหน่อย แล้วก็ฉอ้อน คุณเกรินได้พบไหม ดูเขามีความสุขบริบูรณ์นะ”

ดวงตาของเพื่อนสนทนาเปลี่ยนแววไปเล็กน้อย คุณแจ๋วยังมองดูเขาอย่างอ่อนโยน เขาตอบภายหลังที่ตรึกตรองสักครู่หนึ่ง “วันนี้สวยพิเศษ ดูกระชดกระช้อย และไม่เปิ่นเลย และ และ น่ารัก” เขาพูดด้วยเสียงที่หายลงไปในลำคอ “คงจะมีความสุขบริบูรณ์อย่างที่เธอว่า” เขาหยุดไปอีกนิด แล้วเสริม “และเธอล่ะ คุณแจ๋ว เธอก็มีความสุขดีนะ”

“ค่ะ แจ๋วมีความสุขดี” คุณแจ๋วตอบ น้ำเสียงเหมือนเมื่อยังเป็นเด็กสาว และแววตายิ่งอ่อนโยนยิ่งขึ้น และทันใดทั้งสองชายหญิงในมัชฌิมต้องสะดุ้ง มีชายหนุ่มสองคน แต่งกายด้วยชุดกางเกงและเสื้อขาวอย่างเรียบร้อย ผ้าผูกคออย่างหูกระต่ายสีดำเพื่อจะให้ดูคล้ายเครื่องราตรีสโมสร ทั้งสองหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายนายพลเกริน คุณแจ๋วเดาได้ทันทีว่าเขาคือใคร ถึงแม้จะไม่ได้ออกปากเรียกขึ้นพร้อมกัน

“นี่ไง คุณพ่อ คุณพ่ออยู่นี่”

คุณพ่อหันไปดูชายหนุ่มรูปงามทั้งสองคน “แน่ะ เจ้าสองคนนี่มาแต่ไหน มาเรียกพ่อราวกับลูกแกะ มา มา ไหว้คุณอาเสีย คุณอาของแกคนนี้ จะว่าไปแกจะเรียกว่าแม่ของแกก็ได้”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ