บทที่ ๒
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถึงคราวโรงเรียนปิด คุณแต๋ว คุณแป๋ว และคุณแจ๋ว มาพักที่บ้านท่าน เร็วกว่าที่เคยมาทุกๆ ปี ทุกคราวที่โรงเรียนปิดภาคใหญ่ฤดูร้อน คุณๆ ทั้งสามออกมาอยู่เพชรบุรี “ท่าน” ก็จะสอน “งานลูกผู้หญิง” เป็นต้นว่า ทำขนม จัดดอกไม้ ปีก่อนท่านสอนให้จัดดอกไม้พาน และเย็บดอกไม้แบบด้วยกลีบดอกบานบุรี ปีนี้ ท่านจะให้เรียนเย็บแบบด้วยกลีบกุหลาบ เพราะคุณแต๋วและคุณแป๋วโตแล้ว และยังมีแปลกกว่าเดิมก็คือ ท่านชวนให้ฉอ้อนค้างอยู่ที่บ้านท่าน ไม่ต้องกลับไปบ้านของฉอ้อน เพราะได้เรียนทำอะไรหลายอย่างที่ฉอ้อนไม่ได้คิดว่าจะได้รู้ได้เห็น ทั้งในทางดอกไม้ใบตองของกินแห้งและกับข้าวต่างชนิด
ความสนุกของฉอ้อนเกิดจากการเรียนเพราะฉอ้อนเป็นคนชอบเรียน แต่ที่สนุกมากเป็นพิเศษคือการฟังคุณแจ๋วคุย คุณแต๋วพี่ใหญ่นั้นไม่ช่างคุยเลย นั่งทำอะไรได้วันยังค่ำโดยออกปากเพียงสองสามประโยค คุณแต๋วใจดี “บ่าวไพร่” รัก ไม่ดุ ไม่ค่อนใคร คุณแป๋วเป็นคนสวยช่างสังเกตและช่างเล่า คุณแจ๋วเป็นคนสวยในสายตาของฉอ้อน แต่ถ้าฉอ้อนชมขึ้นมักไม่มีใครเห็นด้วย เขามักว่า “ขำๆ ดีเหมือนกัน” และ ป้าจ่าง ต้นห้องของท่านว่า “ซนยังกับอะไรดี เหมือนเด็กผู้ชาย จะสวยได้ยังไงกัน” คุณแจ๋วก็ช่างคุยกับฉอ้อน แต่คนละแบบกับคุณแป๋ว คุณแป๋วเล่าเรื่องเพื่อนฝูงญาติมิตร โดยเฉพาะเล่าถึงคุณน้าหรืออีกนัยหนึ่ง มารดาเลี้ยง ซึ่งเป็นญาติสนิทของมารดาแท้ผู้ล่วงลับไปแล้ว คุณแป๋วชอบกล่าวถึงคุณน้าในทำนอง “อย่างนี้ ให้คุณน้าเห็นก็ค่อนเนื้อขาดเลย” แล้วก็มักจะถูกคุณแจ๋วขัดคอว่า “อะไร ค่อนจนเนื้อขาด แจ๋วถูกทุกวัน ไม่เห็นขาดไปสักชิ้น” ซึ่งคุณแป๋วไม่ค่อยถือเป็นอารมณ์ เพราะถ้าใครโกรธคุณแจ๋ว มักตกอยู่ในฐานะลำบาก คุณแจ๋วไม่โกรธตอบ และจะพูดอะไรตลกๆ ทำให้คนที่โกรธกลายเป็นคนน่าขันไปเสีย ส่วนเรื่องที่คุณแจ๋วคุยให้ฉอ้อนฟังนั้น โดยมากเป็นเรื่องที่คุณแจ๋ว “ทำเปิ่น” ต่างๆ รวมเรื่องที่ทำให้คุณน้าดุหรือค่อนนั้นด้วย คุณแจ๋วพูดอย่างเห็นใจคุณน้าว่า ควรดุ ควรค่อน คุณแจ๋ว แต่คุณแจ๋วไม่สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวคุณแจ๋วให้พ้นจากการถูกดุถูกค่อน ซึ่งตรงกันข้ามกับคุณแป๋ว คุณแป๋วจะไม่เล่าเรื่องที่คุณแป๋วเองเป็นคน “ทำเปิ่น” เลย
ในเมื่อคุณจำลองเป็นญาติสนิท คุณปู่ของคุณจำลองเป็นตาน้อยของคุณๆ ทั้งสาม ฉอ้อนจึงชอบถามถึงสำรวยชาวบ้านเดียวกัน คุณแป๋วดูเหมือนจะชอบเล่าเรื่องสำรวยมากพอใช้ ถ้าฉอ้อนถามถึงแล้ว ไม่เคยผิดหวังคุณแป๋วมักเล่าในทำนองนี้
“เหลือรับละ แม่สะใภ้เมืองเพชร คุณจำลองเขาเรียกแม่เขาแม่หยิบ แม่สำรวยก็เรียกบ้าง เออ จะเคยเดาะเรียกพี่จำแลงเฉยๆ มั่งหรือเปล่านะ พี่จำลองกับพี่จำแลงน่ะ เขาเรียกกันเฉยๆ เหมือนเพื่อนกัน”
“มันจะเกินไปมั้ง พี่แป๋ว” คุณแจ๋วขัดขึ้นทันที “ก็สำรวยเขารู้จักพี่จำแลงตั้งแต่อยู่เมืองเพชรก่อนแต่งงานจะไปเรียกตามพี่จำลองได้ยังไง”
“ใครจะไปรู้ ป้าหยิบเล่า บอกว่าแม่สำรวยน่ะ นอนก็สาย” คุณแป๋วเถียง
“เรื่องไม่เห็นต่อกัน” คุณแจ๋วว่ามีเสียงหัวเราะปนอยู่ด้วย คุณแต๋วผสมโรงหัวเราะกับน้องคนเล็กด้วยทำให้คุณแป๋วโกรธมากจนถึงขยี้ดอกรักที่กำลังร้อยเป็นตาข่ายเสียหายหลายดอก
เสียงหลานเถียงกันทำให้ “ท่าน” ถามถึงเรื่องสนทนา คุณแป๋วกับคุณแต๋วจะไม่เล่าเรื่องที่กำลังคุยกันให้คุณป้าฟัง แต่คุณแจ๋วมักจะเล่าละเอียดทุกถ้อยทุกคำ คราวนี้ได้โอกาสให้ท่านสอน
“ไปเป็นสะใภ้บ้านใคร ต้องทำตัวให้ญาติข้างสามีรัก เรื่องกินข้าวร้อนนอนสาย ต้องเป็นสาวทึนทึกอยู่กับบ้าน เป็นเจ้าบ้านของเราเอง”
“เออ แจ๋วรู้แล้วละ แจ๋วจะอยู่เป็นสาวทึนทึกจะได้นอนสายนอนเช้าตามใจของเรา”
คุณแต๋วร้อง ฮื้อ รำคาญน้องสาว “ท่าน” รีบพูดขึ้นทันที “แม่แจ๋ว คนอายุนี้เขายังไม่พูดคำอย่างนี้กันหรอกจ้ะ”
คราวปิดภาคฤดูร้อนนี้ เป็นระยะเวลาที่ฉอ้อนจารึกอยู่ในสมองด้วยเหตุหลายประการ แต่ดูเหมือนจะเกี่ยวเนื่องกับนายทหารคนที่ไปพบหล่อนในแอ่งน้ำเป็นส่วนใหญ่ ฉอ้อนจำได้ถึงวันที่ “ท่าน” บอกว่าจะเลี้ยงแขกคนคุ้นเคยกันสัก ๑๐ คน ขอให้หลานทั้งสามและฉอ้อนเป็นผู้จัดการ ตั้งแต่ไปจ่ายตลาดทำกับข้าว เตรียมภาชนะเลี้ยงอาหาร และเตรียมการรับแขก ท่านห้ามไม่ให้แม่ครัวหรือคนที่เคยรับใช้ในบ้านเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนอกจากจะเป็นการขอแรงปลีกย่อย คุณแต๋ว คุณแป๋ว คุณแจ๋ว และฉอ้อนจึงไปจ่ายตลาดด้วยกัน ใช้รถจักรยานสามล้อเป็นพาหนะ มีป้าจ่างเป็นผู้ใหญ่ควบคุมไปด้วย และมีแม่เติมคนครัวประจำ ไปดูแลในเรื่องการกะปริมาณสิ่งของที่ควรซื้อ พอไปถึงตลาด ก็เกิดการโต้เถียงระหว่างคุณแป๋วกับแม่เติม คุณแป๋วเป็นผู้ที่สนใจในการเรือน เมื่ออยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ก็เคยไปจ่ายของกับคุณน้าอยู่เสมอๆ คุณแป๋วจึงคิดว่าตนกำหนดปริมาณสิ่งของได้ถูกต้องพอสมควร แต่แม่เติมว่า ถ้าท่านว่าจะเลี้ยงแขก ๑๐ คน ต้องซื้อของสำหรับคน ๕๐ คน ฉอ้อนไม่ร่วมในการโต้เถียง แต่ทำหน้าที่สื่อสัมพันธ์ระหว่างชาวตลาดกับเพื่อนชาวกรุงเทพฯ คือฉอ้อนรู้จักคนทั่วทั้งหมด ขอลดราคาจากป้าคนนั้น น้าคนนี้ มีคุณแจ๋วเดินตามฉอ้อน คุณแจ๋วไม่ค่อยสนใจกับราคากับข้าว ไปเที่ยวชวนแม่ค้าคุยเรื่องนอกเหนือจากนั้น เช่นราคาน้ำตาลโตนดในฤดูไหนถูกแพง เป็นเพราะเหตุใด เรื่องการคมนาคมทางเรือทางบก ใครมาจากอำเภอไหน มาอย่างไร ใช้เวลาเท่าใดและได้กำไรขาดทุนมากกว่าคนที่ขายอยู่กับที่ในตลาด หรือผู้ที่ปลูกหรือเลี้ยง สิ่งใดจะลำบากกว่ากันอย่างไร
ในที่สุด คุณแป๋ว คุณแต๋ว กับแม่เติม ก็จ่ายกับข้าวและของที่จะใช้ในการเลี้ยงแขกของท่านเสร็จเรียบร้อย ทั้งคณะจึงออกจากตลาด เพื่อจะไปหารถสามล้อนั่งกลับบ้าน พอออกมาถึงถนนใหญ่ ฉอ้อนก็ใจหายวาบห่อของที่ช่วยหิ้วเกือบหลุดจากมือ มีรถขนสัมภาระขนาดเล็กของกองทหารจอดอยู่ตรงช่องตลาดพอดี “เขา” ยืนอยู่ใกล้รถ ตาจับดูฉอ้อน ยิ้มนิดๆ ยิ่งฉอ้อนมีอาการสะทกสะเทิ้น ดูเหมือนเขาจะแกล้งจ้องดู ระหว่างที่ฉอ้อนหัวใจเต้นระรัว ได้ยินเสียงคุณแต๋วเรียกใครคนหนึ่ง “แน่ะเกริน” และคุณแจ๋วเรียกอย่างลิงโลด “คุณเกริน คุณเกริน” แล้วนายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาคณะจ่ายตลาด “เขา” ยังคงยืนนิ่งจ้องดูฉอ้อนอยู่ที่ใกล้หน้าหม้อรถอย่างเดิม
นายทหารหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อ เกริน ช่วยรับห่อและชะลอมจากมือคุณทั้งสาม และจากป้าจ่างและแม่เติมอย่างคล่องแคล่ว ไปวางบนรถขนของที่เขาคงจะขับมาเพราะไม่เห็นคนรถ เขาบอกให้ทุกคนขึ้นนั่งตอนในของรถ “เขา” ขึ้นนั่งที่คนขับ ผู้ที่ชื่อเกรินขึ้นนั่งเคียงไปกับเขา ฉอ้อนขึ้นนั่งท้ายสุด ไกลจากคนขับที่สุด คุณแจ๋วชะโงกหน้าไปพูดกับคนที่ชื่อเกรินอย่างไม่เกรงใจผู้ใด จนคุณแต๋วใช้มือดึงเสื้อให้กลับเข้ามาในส่วนที่เป็นที่นั่ง คุณแจ๋วประหยัดกิริยาขึ้น แต่พูดกับ คุณเกริน ไม่หยุดปาก จนคุณเกรินหันมาพูดแก่คุณแต๋วว่า “ที่เขามารับกันนี่ไม่ได้มาสำหรับคุณแจ๋วหรอก คุณแต๋วบอกให้หายตื่นเต้นเสียบ้าง” คุณแจ๋วแลบลิ้นให้คุณเกรินทันที ต่อจากนั้นทุกคนก็นั่งนิ่งๆ ฉอ้อนนั่งใจเต้นมาตลอดทางจนถึงบ้าน “ท่าน”
ช่วยกันขนของลงจากรถ เมื่อทุกคนลงมายืนที่หน้าบันไดเรือนเรียบร้อยแล้ว คุณเกรินจึงแนะนำเพื่อนของเขาให้คุณผู้หญิงทั้งสามรู้จักว่า “นี่เพื่อนผม คุณวิทูร” คุณผู้หญิงทั้งสามทำท่ากระดากๆ และเพื่อแก้กระดากหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ คุณแจ๋วหันมาแนะนำบ้าง “คุณเกริน นี่เพื่อนแจ๋ว ฉอ้อน” คุณเกรินทำท่าเรียบร้อยก้มศีรษะนิดๆ
ฉอ้อนยกมือไหว้แล้วไม่รีรอ รีบวิ่งขึ้นบันไดรู้สึกร้อนสลับหนาวเหมือนจะจับไข้ แลเห็นดวงตาดำขลับของคนที่ขับรถนั้นติดมาในความทรงจำ “เขาชื่อวิทูร เขาชื่อวิทูร” ฉอ้อนท่อง ไม่ใช่เพราะกลัวลืม แต่เพราะลืมไม่ได้ต่างหาก
ต่อจากนั้นก็ถึงเวลาที่สาวทั้งสี่ต้องเข้าครัวทำกับข้าว “ท่าน” ยินยอมให้สาวใช้คนหนึ่งช่วยขูดมะพร้าว แต่นอกนั้นให้ทำกันเองทุกอย่าง คุณแป๋วผู้มีความรู้ความชำนาญในเรื่องการครัวมากกว่าเพื่อนไม่ยอม “ทำปลา” คุณแจ๋วและฉอ้อนจึงรับหน้าที่นี้ คุณแจ๋วทำงานพลางก็คุยหยอกล้อคนในครัวไปพลาง เสียงแม่เติมกับผู้ช่วยหัวเราะกันเป็นระยะๆ คุณแต๋วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำทุกอย่างที่มีจะทำ เช่นหั่นเนื้อ หั่นผัก ข้างฝ่ายคุณแป๋ว พอดูแลจนรู้ว่างานที่จะต้องทำมีผู้รับทำเรียบร้อย แม้การตำน้ำพริกแกง คุณแจ๋วก็รับหน้าที่ไปแล้ว คุณแป๋วก็หายไปจากครัว หายไปจนจวนได้เวลารับประทาน คุณแป๋วจึงกลับเข้ามาใหม่ มาชิมสิ่งที่ควรชิม เช่นแกงที่กำลังจะสุก และรับหน้าที่จะผัดสิ่งที่ต้องผัดก่อนรับประทานพอดี การทอดที่ต้องการฝีมือ คือใช้ไฟแก่ไฟอ่อนพอเหมาะ ผู้ทอดต้องใจเย็นยอมอยู่หน้าเตานาน ตกเป็นหน้าที่ของฉอ้อน
คุณแจ๋วกล่าวแก่ฉอ้อนว่า “อย่างพี่แป๋วนี่เขาแม่ครัวจริงๆ อย่างเรานี่ลูกครัว” แล้วพร้อมๆ กับที่คุณแป๋วกำลังทำงานให้ลุล่วงเป็นกับข้าวขึ้นมาจริงๆ ภายหลังที่คนอื่นได้ใช้แรงตระเตรียมไว้ให้แล้วนั้น ก็มีเสียงเรียกให้ใครคนหนึ่งไปปอกผลไม้ คุณแจ๋วผู้ทำหน้าที่ลูกครัว เสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงรับหน้าที่นั้น ส่วนของหวานที่เป็นขนมไม่ต้องทำ เพราะมีคนจะนำมาช่วย
พอใกล้เวลาแขกจะมาตามคำเชิญของเจ้าของบ้าน “ท่าน” ก็ให้คนใช้เข้ามาในครัว มาเรียกฉอ้อนออกไปหาและยังความแปลกใจให้ฉอ้อนด้วยคำถามว่า จะแต่งตัวอย่างไร “อย่าแต่งตัวมัวซัวไม่ได้นะ” เมื่อฉอ้อนรับคำ ท่านก็เตือนให้ไปอาบน้ำแต่งตัวให้ “หมดจด” หลานๆ ของท่านก็อาบน้ำแต่งตัวพร้อมๆ กับฉอ้อน แล้วไม่ช้าแขกก็ทยอยกันมา
ถึงเวลารับประทานอาหาร ปรากฏว่าแม่เติมมีชัยชนะอย่างแจ่มชัด คือคนที่นั่งลงรับประทานมีจำนวนทั้งสิ้น ๓๒ คน ฉอ้อนรู้ว่าคนที่นั่งลงตามที่ที่จัดอาหารไว้ไม่ได้รับเชิญหมดทุกคน เพราะได้ยินหลายคน เมื่อมาถึงก็เข้ามาแสดงคารวะ “ท่าน” และเรียนต่อท่านว่า ได้ยินว่าท่านมีงาน จึงมาช่วย เหตุการณ์อย่างนี้เป็นธรรมดาของชาวเพชรบุรี แต่คุณแป๋วกับคุณแจ๋วเห็นแปลกมาก คุณแป๋วทำท่าสะบัดสะบิ้งนิดหน่อย คุณแจ๋วทำสีหน้าขบขัน
คนที่นั่งรับประทานอาหารแบ่งออกเป็น ๔ วง ผู้ชาย ๓ วง รับประทานอาหารนอกชานใหญ่ด้านแม่น้ำ ไม่มีหลังคาปกคลุม ผู้หญิงมีฉอ้อน คุณผู้หญิงสามคน และภรรยาข้าราชการอีก ๔ คน รวมเป็น ๘ คน นั่งรับประทานที่บนยกพื้นหน้าห้องพระ ในหลังคา “ท่าน” ไม่รับประทานร่วมกับแขกหรือลูกหลาน รับประทานต่างหากก่อนแขกจะมาถึงตามที่เคยปฏิบัติ ก่อนรับประทาน ท่านให้ฉอ้อนทำหน้าที่เลี้ยงเครื่องดื่ม กำชับให้นำเบียร์เย็นๆ ให้คุณหลวงกล้าฯ ข้าราชการบำนาญ ซึ่งสนิทสนม มาคุยที่บ้านท่านบ่อยๆ และคุณพระอีกคนหนึ่ง ซึ่งฉอ้อนจำชื่อไม่ได้ ระหว่างที่ฉอ้อนยกถาดเครื่องดื่ม มีทั้งน้ำเมาและไม่เมาไปส่งให้แขก สายตาก็ไปประสบกับดวงตาคู่ดำขลับเข้าอีก ฉอ้อนเกือบปล่อยถาดตกจากมือ เขาได้รับเชิญด้วยรึ อาจเป็นได้ คุณเกรินเป็นญาติกับท่านแน่ ฟังจากถ้อยคำสนทนาระหว่างคุณเกรินกับคุณแต๋ว คุณแป๋ว และคุณแจ๋ว เขาคงมากับคุณเกริน แหม ทำไมเขาต้องมองดูฉอ้อนอย่างนั้น ทำให้ใจของฉอ้อนเต้นไม่สม่ำเสมอ รับประทานอาหารโดยไม่รู้รส และใครคุยก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ฉอ้อนเลือกที่นั่งหันหลังให้เขาในวงรับประทาน
เสียงชมรสกับข้าวในเมื่อได้ทราบกันว่าหลานท่านทั้งสามเป็นคนปรุงมีขึ้นอยู่ตลอดเวลา ฉอ้อนไม่ได้ยินเสียงของ “เขา” เลย ครั้นรับประทานอิ่มแล้ว คนรับใช้ของท่านมายกภาชนะออกไป มีใครขึ้นมาเรียนต่อท่านว่า หมื่นชำนาญมาแล้ว ฉอ้อนแปลกใจ ไม่ทราบว่าคุณพ่อจะมาด้วย “ท่าน” พูดแก่ฉอ้อนว่า “ฉอ้อนลงไปรับคุณพ่อมาไป๊ คุณพ่อจะมาสนุกกับคุณหลวงกล้า ชวนให้มากินข้าวด้วยกันก็ไม่มา คนอื่นเขายังมาได้”
ฉอ้อนลงไปที่ท่าน้ำ คุณพ่อขนเครื่องพิณพาทย์มาทางเรือ คุณพ่อนั่งอยู่แล้วบนม้านั่งในศาลาท่าน้ำของท่าน บงการให้ลูกศิษย์ขนเครื่องดนตรี มิให้มีความกระทบกระเทือนเกินจำเป็น ฉอ้อนบอกคุณพ่อว่า “ท่าน” ให้มาเชิญขึ้นไปบนเรือน แล้วก็รีบกลับ พอจะก้าวบันไดหลังเรือนขึ้นไป ก็เห็นนายทหารหนุ่มสองคนนั่งอยู่ด้วยกันที่ขอบเตียง ซึ่งตั้งประจำอยู่ใต้ถุนเรือนนั้น ตรงที่เขานั่งไม่มีแสงสว่าง หล่อนได้แต่เดาว่าเป็น “เขา” คนสำคัญของหล่อน และคุณเกริน “คงเป็นเพื่อนคู่หูกัน ไปไหนด้วยกัน” หล่อนนึกในใจพลางก็ขึ้นบันไดโดยมิได้รั้งรอ
ต่อจากนั้นแขกของท่าน ๔ - ๕ คนก็เล่นดนตรีร่วมวงกับนักดนตรีของคุณพ่ออย่างเพลิดเพลิน กลางนอกชานที่กินอาหารเมื่อครู่ก่อน คุณหลวงกล้าฯ เข้าตีฆ้องวง ภรรยาข้าราชการคนหนึ่งทำหน้าที่ร้องส่ง “ท่าน” นึกสนุกบ้าง มานั่งห้อยเท้าที่ขอบชานยกพื้นตีฉิ่งร่วมวงดนตรี ฉอ้อนแอบหลังคุณแจ๋วอยู่ใกล้ๆ คอยรับใช้เผื่อท่านจะเรียกร้องให้หยิบฉวยสิ่งหนึ่งสิ่งใด คุณแต๋วและคุณแป๋วอยู่ที่ไหน ฉอ้อนไม่ได้สังเกต และชายหนุ่มสองคนที่หล่อนเห็นนั่งอยู่ใต้ถุนจะได้ขึ้นมาบนเรือนหรือไม่ ก็ไม่มีโอกาสดู
นักดนตรีสมัครเล่นทำความรื่นเริงบันเทิงใจให้กันและกันไปได้สองสามเพลง ภรรยาข้าราชการที่ร้องส่งก็บอกว่าเหนื่อยแล้ว หมดแรงที่จะร้องต่อไป มีเสียงเรียกร้องให้คนนั้นคนนี้ร้องแทน และมีเสียงซัดทอด เกี่ยงและถ่อมตัว ท่ามกลางเสียงนั้น ฉอ้อนได้ยินคุณแจ๋วอาสาขึ้น
“คุณหลวงคะ แจ๋วร้องแขกสาหร่ายได้นะคะ ร้องส่งให้เอาไหมคะ”
ฉอ้อนตื่นเต้นยินดีจริงๆ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณแจ๋วร้องเพลงได้ถึงขนาดจะร้องส่งเพลงแขกสาหร่าย คุณหลวงกล้าฯ และคนอื่นอีกสองสามคนก็สนับสนุน “เอาซีครับ แหมดีจริงเลย ไม่นึกเลยว่าคุณแจ๋วจะร้องได้เหมือนกัน” แต่ระหว่างที่คนหลายคนส่งเสริม “ท่าน” หันมาดูคุณแจ๋วด้วยสายตาขุ่นเขียวอย่างที่ท่านไม่เคยดูใครเลย และพูดเสียงชาเย็น
“ไม่เอาหรอกค่ะ ร้องไม่ได้หรอก ไปไป๊ แจ๋ว”
ฉอ้อนมองหน้าคุณแจ๋ว ใจหายและรู้สึกกลัวท่านจนมือเย็น คุณแจ๋วถอยไปจากที่นั่ง ค่อยๆ เขยิบตัวไปทางด้านหลังของท่าน แล้วลุกขึ้น เดินไปอย่างกระปรี้กระเปร่าลงบันไดทางหน้าเรือน ฉอ้อนอยากรู้ว่าคุณแจ๋วจะไปหาที่ร้องไห้หรืออย่างไร จึงรีบขยับตัว แล้วก็ตามคุณแจ๋วลงไปทางบันไดนั้นบ้าง
ฉอ้อนลงบันไดมาถึงพื้นดิน ได้ยินเสียงชายหนุ่มหัวเราะเป็นกังวานทุ้มน่าฟัง ฉอ้อนมองไปทางเสียงนั้นเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงที่เดิมคนเดียว แต่ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนอยู่นอกชายคาเรือน แสงไฟฟ้าจากข้างบนเรือนฉายจับหน้าเขา ฉอ้อนจำได้ว่าใคร และใจเริ่มเต้นเร็ว เสียงหัวเราะมีกังวานเป็นเสียงของเขาใช่ไหมหนอ แล้วฉอ้อนก็รู้ว่าใช่แน่ เพราะชายคนที่นั่งที่ขอบเตียงหัวเราะขึ้น เสียงไม่เหมือนกับที่หล่อนได้ยินในครู่ก่อน แล้วฉอ้อนจึงเห็นคุณแจ๋วยืนตรงหน้าชายที่นั่งอยู่ซึ่งฉอ้อนรู้แน่แล้วว่า คือคุณเกริน
“ไม่มีกิริยา” เสียงคุณแจ๋วว่า “เลดี้มายืนก็ยังนั่ง ดูคุณวิทูรซิ เขาเป็นสุภาพบุรุษ เขาลุกขึ้นทันที”
“ถูกดุแล้วมาพาล” คุณเกรินพูดพลางหัวเราะอีก “คุณวิทูรเขาลุกหนีน่ะไม่ว่า”
“อ้าว แล้วกัน เกริน เปล่านะครับ” เสียงเพื่อนของเกรินออกตัว ฉอ้อนจึงได้ฟังเขาถนัดเป็นครั้งแรก เสียงของเขาน่าฟังจริงๆ เป็นเสียงกลม ทุ้ม อย่างที่คุณพ่อมักใช้เรียกเสียงดนตรีของลูกศิษย์บางคนที่ตีระนาดดี
“ถูกดุเมื่อไหร่ ถูกหวงน่ะไม่ว่า นี่ อย่ามาทำกับฉันอย่างเด็กๆ อีกนะ คุณป้าหวงไม่ให้ใครได้ยินเสียงแปลว่าเป็นสาวเต็มที่แล้ว เป็นเลดี้”
“คุณแจ๋วรู้ด้วยรึว่าเลดี้เขาเป็นกันยังไง กลับไปโรงเรียนไปถามครูเสียให้แน่ๆ” เสียงคุณเกรินยั่ว
“รู้จักคำว่าสุภาพบุรุษไหมล่ะ ยังไม่ทันไร เราอยากจะมาหา มาคุยด้วย สงสารมาอยู่บ้านนอกคอกนากลับมาพาล” คุณแจ๋วย้อน
“ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่คนพาล ฉันเป็นพลเมืองดี ถามใครก็ได้ทั้งเพชรบุรี”
“เชอะ พลเมืองดี ไม่เห็นจะมีประโยชน์” คุณแจ๋วทำเสียงเยาะ “พลเมืองดีก็ต้องแหยะๆ แหยๆ แจ๋วว่าเป็นโจรดีกว่าเป็นพลเมืองดี ยังมีชื่อเสียง”
ฉอ้อนสนใจอยากรู้ว่าคุณเกรินจะตอบว่าอย่างไร และคุณวิทูรจะมีส่วนในการสนทนาชนิดแปลกประหลาดนี้ด้วยหรือไม่ แต่เกิดมีเสียงใครเรียก “ฉอ้อน ฉอ้อน” อยู่บนระเบียงเรือนทางด้านหน้าใกล้บันไดนั้นเอง ฟังเสียงดูเหมือนจะเป็นคุณแต๋ว ฉอ้อนจึงจำใจกลับขึ้นเรือน พบว่าถูกตามสันนิษฐาน คุณแต๋วง่วง จะหลบไปนอน กำชับให้ฉอ้อนอยู่ใกล้ๆ คุณป้า เผื่อจะเรียกใครใช้หยิบสิ่งของที่ท่านต้องการ พร้อมกันนั้นก็ห้ามว่า อย่าตามคุณแจ๋ว “ให้ปล่อยคุณแจ๋วไปตามเรื่อง” ประเดี๋ยวจะถูกดุ “กินแถว” ฉอ้อนจึงกลับไปรับหน้าที่ที่คุณแต๋วมอบหมายตามอุปนิสัยช่างเกรงใจ และชอบเอาใจคนของฉอ้อน
ประมาณ ๑ สัปดาห์ก่อนจะเปิดภาคเรียนต้นปีใหม่ จึงเป็นที่เปิดเผยขึ้นว่า คุณแป๋วมีคู่หมั้น และกำหนดจะแต่งงานภายในเดือนหนึ่งนั้น และคุณแป๋วกับคุณแจ๋วจะกลับไปกรุงเทพฯ ด้วยกัน ส่วนคุณแต๋วจะยังไม่กลับ ฉอ้อนไม่ดีใจเลยที่รู้ว่าคนที่จะยังไม่กลับกรุงเทพฯ คือคุณแต๋ว ด้วยเหตุที่ต่างวัยกันหลายปี ไม่ถูกใจกันเหมือนกับคุณแจ๋ว ก่อนจะกลับไปบ้านในพระนคร คุณแจ๋วบอกฉอ้อนรีบหาความสนุกสำราญให้มากที่สุดที่จะทำได้ มีการนัดกันไปกินข้าวห่อที่เขาบันไดอิฐ เวลาเย็นเดินไปเขาหลวงและแข่งกันเดินกลับ ฉอ้อนแพ้ทุกคราว ทั้งที่เป็นชาวชนบท เพราะคุณแจ๋วเดินโดยไม่ต้องพักเลย นอกจากนั้นยังหัดขี่จักรยานด้วยกัน มีคุณเกรินมาวิ่งจับตัวรถให้เวลาที่เริ่มขึ้นในวันแรกๆ ทุกครั้งที่เห็นคุณเกรินเดินเข้าบ้าน ฉอ้อนใจวับๆ หวำๆ กลัวจะมี คู่หู ของคุณเกรินตามเข้ามาด้วย แต่ คู่หู ไม่ตามมาทุกโอกาส คุณแจ๋วมักถามถึงเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ แม้กระนั้นก็ยังถูกคุณแต๋วดุ “เอ แจ๋ว ไปถามถึงเขาทำไมบ่อยๆ เขาเป็นผู้ชายหนุ่ม เราเป็นผู้หญิงสาว” คุณแจ๋วมักแอบแลบลิ้นให้ฉอ้อนเห็นคนเดียว และทำหน้าม่อยว่ารู้ผิดให้คุณแต๋วเห็น คุณเกรินตอบแทนเพื่อนว่า “เขาอยากมาจะตายไป แต่เขาเกรงใจท่าน” แต่วันก่อนที่คุณแจ๋วและคุณแป๋วจะกลับกรุงเทพฯ คุณเกรินพาเขามาด้วย ท่านชวนคุณเกรินให้กินข้าวเย็นที่บ้านและชวนเขาด้วยแต่คุณเกรินไม่รับชวน เขาก็ต้องกลับไปพร้อมกับคุณเกริน ระหว่างที่คุณเกรินและคุณวิทูรนั่งพูดกับท่านที่ระเบียงหน้าเรือนด้านถนน คุณๆ ทั้งสามไม่ออกไปคุยด้วย คุณแจ๋วพยักพเยิดคุณเกรินอยู่ข้างหลังฉากไม้มะเกลือประดับมุก ซึ่งกั้นระหว่างส่วนหน้าของเรือน กับชานหน้าห้องพระ ซึ่งเป็นส่วนหลังหรือด้านที่ลงแม่น้ำ คุณแต๋วไปดึงแขนคุณแจ๋วออกไปจากที่นั้น พร้อมกับพยากรณ์ว่า “ประเดี๋ยวคุณป้าเห็นเข้าเถอะ” ฉอ้อนไม่เคยโผล่หน้าออกไปเลย
รุ่งขึ้นคุณแป๋วและคุณแจ๋วก็กลับไปพระนคร คุณเกรินขับรถทหารสำหรับขนสัมภาระคันที่เคยมาส่งที่บ้านและรับญาติหญิงสองคนขึ้นรถไป จากกิริยาของ “ท่าน” และของคุณแต๋ว ฉอ้อนสังเกตว่าตัวหล่อนไม่มีโอกาสจะขอไปส่งคุณแจ๋วที่สถานี ครั้นคุณแจ๋วและคุณแป๋วขึ้นรถไปกับคุณเกรินแล้ว ท่านก็เรียกฉอ้อนไปหาที่ชานหน้าห้องพระ ซึ่งเป็นที่พักผ่อนและที่ทำงานของท่านด้วย มีการนั่งจัดดอกไม้บูชาพระ หรือห่อขนม หรือเย็บสบงจีวร ท่านให้ฉอ้อนช่วยสนเข็มให้ท่าน หยิบสิ่งของบางอย่างที่ท่านต้องการใช้ เช่นถาดวางถ้วยน้ำร้อน และระหว่างที่ฉอ้อนเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ ท่าน ท่านก็ถาม “ฉอ้อนนึกอยากไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ บ้างไหม” ถ้าคำถามนี้มาเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ ฉอ้อนคงจะตอบรับทันที แต่ขณะนั้นฉอ้อนเริ่มไม่รู้ใจตนเองเสียแล้วคำตอบจึงแบ่งรับแบ่งสู้
“คุณพ่อไม่ให้ไปหรอกเจ้าค่ะ”
“ฉันถามถึงใจฉอ้อน คุณแจ๋วเขาจะเรียนจบมัธยมแปดปีนี้ แล้วเขาจะเข้ามหาวิทยาลัย ฉอ้อนก็ฉลาดเท่าๆ คุณแจ๋ว จะเรียนดีกว่าเสียอีก เพราะไม่กังวลทำอะไรแปลกๆ ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เขาเรียนกันสูง ๆ”
“คุณพ่อว่าทุกวันว่าฉอ้อนเรียนมากเกินแล้วเจ้าค่ะ” ฉอ้อนตอบบ่ายเบี่ยงอีกครั้ง “ที่จริงใจดิฉันชอบเรียน แต่แม่ก็ว่า ให้ลูกผู้หญิงเรียนมากแล้วประเดี๋ยวจะร้อนใจ”
“เออ ก็อาจจะจริงกระมัง” ท่านพูดเปรยๆ เหมือนพูดกับตนเองมากกว่าพูดกับฉอ้อน “วันนั้นนั่งคุย พ่อเกรินกับเพื่อนของเขา ยังพูดกันเรื่องนี้ ฉันเป็นคนบอกให้พ่อแม่แจ๋วน้องชายฉันว่า ขอให้แม่แจ๋วเรียน แล้วฉันก็ว่า ถ้าฉันมีลูกผู้หญิง จะให้เรียนทุกคน”