บทที่ ๒๙

รุ่งขึ้นเช้า เกรินลุกขึ้นจากเตียงนอนยังไม่ทันจะรู้ตัวว่าจะเริ่มกิจวัตรยามเช้าด้วยอะไรก่อนดี ก็มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ เขาแปลกใจเพราะคนที่สนิทสนมคุ้นเคยล้วนไม่มีโทรศัพท์ในบ้าน แต่เมื่อไปรับโทรศัพท์ก็ได้ยินเสียงฉอเลาะพูดมา น้ำเสียงแจ่มใส ทำให้ใจเกรินชุ่มชื่นทันที

“คุณลุงคะ วันนี้ ถ้าคุณลุงหาเวลาว่างได้เมื่อไหร่ แม่ขอให้คุณลุงมาที่บ้านหน่อย คุณลุงจะว่างเวลาไหนคะ”

“ที่จริงน่ะลุงว่างทั้งวัน การงานอะไรไม่ค่อยได้ทำหรอก จะให้ไปเวลาไหนก็ได้” เกรินตอบ

“ถ้างั้นคุณลุงมาเวลาบ่ายสักโมงได้ไหมคะ วันนี้หนูจะรีบกลับจากโรงเรียนครึ่งวัน”

“มีธุระด่วนมากรึ เป็นเรื่องโศกหรือเรื่องสนุก” เกรินถาม

“ถ้าคุณลุงพูดดีๆ ก็คงเป็นเรื่องสนุก” ฉอเลาะว่า “เมื่อคืนนี้ หนูพูดกับแม่ ขออย่าให้แม่อยู่ในอดีตเลย อยู่ในปัจจุบันดีกว่า ให้คิดถึงหนูกับคุณไกรบ้าง แต่หนูก็จะต้องถามคุณลุงเรื่องคุณไกรเหมือนกัน หนูโมโหจังเลย คุณลุงคะ ประเดี๋ยวหนูออกจากบ้าน จะรีบไปบ้านน้าเฌอให้เขามาหาแม่เช้านี้ บ่ายคุณลุงไปนะคะ”

“เข้าใจว่าไปได้” เกรินตอบ “หนูอย่าโมโหซิ ค่อยๆ คิดค่อยพูดกันกับไกร เอะอะอะไรก็จะโมโห เดี๋ยวโกรธกันไม่เข้าเรื่อง จะเสียใจไปตลอดชีวิตนะหนู”

“หนูจะพยายามค่ะ” ฉอเลาะรับรองมาทางเครื่องมือวิทยาศาสตร์นั้น “หนูต้องไปแล้วนะคะ หนูมาอาศัยบ้านคุณหลวงอภัย พูดนานเกรงใจเขาค่ะ” แล้วยังไม่ทันเกรินจะพูดต่อไป ก็ได้ยินเสียงหูโทรศัพท์ของฉอเลาะวางลง เกรินจึงละจากเครื่อง และไปเข้าห้องน้ำทำกิจวัตรที่จำเป็นต่อไป

เขาไปถึงที่ทำงานด้วยรถตำแหน่งราชการ ซึ่งยังได้รับความกรุณาให้มีใช้ ทั้งที่ตำแหน่งของเขาออกจะเลื่อนลอย เกรินเข้าไปเปิดดูแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะดูว่ามีการนัดประชุมที่สำคัญอะไรบ้าง ได้นัดไว้ว่าจะพบกับใครเพื่อเจรจาเรื่องอะไร กำลังคิดว่า จะกะเวลาไปบ้านฉอ้อนตามที่ฉอเลาะขอร้องได้อย่างสบาย ก็มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ แล้วนายทหารเข้ามาเชิญให้ไปพูดโทรศัพท์ที่ห้องถัดไป

คนที่โทรศัพท์มาคราวนี้เป็นคนสำคัญในราชการคือเพื่อนเก่าของเขา พลโทเฉลิม ผู้ได้ร่วมรบญี่ปุ่นด้วยกันที่นครศรีธรรมราช และได้ช่วยเหลือให้เขาได้ดูแลฉอ้อนและลูกๆ และช่วยรับรองความซื่อสัตย์ของเขาอีกด้วย เสียงของเพื่อนเก่าฟังดูรื่นเริง เมื่อพูดไปกันได้สักครู่ เกรินจึงได้รับทราบว่า มีคำสั่งกระทรวงกลาโหมให้เขากลับไปทำหน้าที่เก่าที่โรงเรียนเสนาธิการ เพื่อนของเขาแสดงความยินดีแล้วก็กล่าวคำอำลาและอำนวยพร แล้วก็วางโทรศัพท์ เกรินเดินกลับมายืนใจลอยๆ อยู่กลางห้องทำงานของเขา

ต่อจากนั้น ก็มีคนโทรศัพท์มานัดแนะการงานต่างๆ เกือบไม่เว้นว่าง มีผู้นำเอกสารมาให้อ่าน นำหนังสือราชการมาให้เซ็นรับทราบการย้ายหน้าที่ มีคนมาขอคำแนะนำอะไรอีกหลายอย่างหลายประการ วันที่เคยว่างๆ เงียบๆ เหงาๆ กลายเป็นวันที่เต็มไปด้วยธุระการงานรีบด่วน เกรินเกือบจะลืมนัดกับฉอเลาะ จนกระทั่งลงมารับประทานอาหารกลางวัน จึงนึกขึ้นได้ รีบรับประทานอาหารแล้วรีบกลับขึ้นไปสั่งนายทหารหน้าห้อง ว่าถ้ามีผู้ติดต่อราชการด่วน ให้ส่งรถไปตามที่บ้านฉอ้อน เขาจะไปที่บ้านนั้นแล้วให้รถกลับมารอที่กระทรวง ลงมาจากห้องทำงานเรียกรถให้พาไปยังที่ต้องการไป สั่งให้คนรถเข้าใจการนัดหมายของเขากับคนที่ทำงานอยู่ทางกระทรวง แล้วจึงเอนตัวลงพิงพนัก อดแปลกใจกับเหตุการณ์ในชีวิตที่มักวุ่นวายไปมาไม่ค่อยได้

เมื่อรถของเขาแล่นเข้าประตูบ้านของฉอ้อน เขาเห็นหล่อนยืนรอรับเขาที่หน้าบันได พอเขาเปิดประตูรถฉอ้อนก็ลงมาต้อนรับ เชิญให้เข้าไปในห้องนั่งเล่นที่นั่งเมื่อคืนก่อน สักประเดี๋ยวฉอเลาะก็วิ่งลงบันไดมานั่งอยู่กับมารดาและเพื่อนเก่าของบิดา

“ว่าไง” เกรินปราศรัยก่อน “ดูฉอ้อนหน้าตาสดชื่นดี” เขาว่าทั้งที่เห็นรอยของน้ำตาที่ฉอ้อนคงจะได้หลั่งตลอดคืนก่อน และอาจต่อในวันนี้

ฉอ้อนเริ่มน้ำตาไหลอีก แต่รีบเช็ดโดยเร็ว พร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ พูดว่า

“แหม ฉอ้อนนี่เสียจริงๆ มีอะไรนิดก็ไม่ได้ แต่ก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้ เฌอเขาว่าโรคประสาท”

“พ่อหมอเฌอนั้นก็เหลือเกินละนะ” เกรินทำเสียงครึ่งฉิวครึ่งขัน “คนที่ผ่านชีวิตอย่างฉอ้อนแล้วเป็นโรคประสาท ก็ไม่แปลกอะไรนักหรอก ยิ่งอาการเพียงร้องไห้เก่งก็เห็นจะไม่ต้องวิตกนัก”

ฉอ้อนยิ้มทั้งน้ำตายังไหลรินๆ แต่เช็ดให้แห้งหายไปโดยเร็ว พูดว่า

“คุณเกรินช่วยขอโทษคุณแจ๋วแทนฉอ้อนด้วยนะคะ เมื่อวานนี้คิดอะไรไม่ออก พูดอะไรก็ไม่ออก มันมีความรู้สึกหลายอย่างเหลือเกิน แต่รู้สึกสงสารคุณแจ๋วแหละมากกว่าอะไรหมด”

“อย่างงั้นรึ” เกรินทวนถามด้วยความประหลาดใจ “ก็ดีซิ เพราะเมื่อคืนนี้ คุณแจ๋วเขาก็รำพันแต่ว่า สงสารฉอ้อน ต่างคนต่างสงสารกันก็ดีแล้ว ไม่ต้องขอโทษขอโพยอะไรทั้งนั้นแหละ” เกรินรีบรวบรัดด้วยความยินดี

“คุณลุงคะ” ฉอเลาะเรียกเกรินขึ้นมา ตามธรรมดาของคนในวัยสาวย่อมจะรออะไรยาก “เรื่องคุณอ้นนี่คุณไกรเขารู้หรือเปล่า”

“ทีแรกเห็นจะไม่รู้ แต่ในตอนหลัง เมื่อมีข่าวมาว่าจะต้องรับพี่อ้นกลับนี่ พี่น้องคนไหนจะบอกไปหรือยังไง ลุงก็ไม่รู้” เกรินตอบ นัยน์ตาจับอยู่ที่หน้าฉอเลาะด้วยความห่วงใยตามเคย

“เอาละค่ะ หนูจะยอมละ จะถามไปว่าเขามีเรื่องอะไรในใจ แหม หนูหมั่นไส้จัง ว่าจะไม่เขียนถึงอีกเลย” ฉอเลาะพูดจบประโยคแล้วก็ค้อนไปกับอากาศธาตุ

“เรื่องมันเป็นยังไง ให้ลุงรู้บ้างได้ไหม ที่จริงลุงไม่ค่อยอยากยุ่งมากนักเรื่องหนูกับไกร ลุงอยากให้ทำความเข้าใจกันเองทุกอย่าง”

“อยู่ๆ ก็เขียนจดหมายถามว่า ถ้ามีเรื่องยุ่งกันระหว่างพ่อแม่พี่น้อง หนูจะเกณฑ์ให้เขารับบาปไหม ถ้าจะมีการเปลี่ยนอกเปลี่ยนใจ ขอให้เขารู้เนื้อรู้ตัว อย่าเงียบไปเฉยๆ มันทารุณ” ฉอเลาะเล่าด้วยอาการงอนซึ่งเกรินเห็นน่าเอ็นดูที่สุด เขาฟังพลางพยายามไม่แสดงความขบขันให้ปรากฏสีหน้า “ดูซีคะ พูดมาอย่างงี้แหละค่ะ เพียงแต่หนูไม่ได้ตอบจดหมายสองฉบับ เพราะหนูติดงานทำบุญคุณพ่อ ต้องไปค้างกับคุณปู่คุณย่าที่เมืองนนท์”

“เห็นจะไม่ใช่เพราะอย่างนั้นกระมัง” เกรินช่วยไกล่เกลี่ย “หนูต้องให้โอกาสคนอยู่เมืองไกลบ้างซี ใจคอเขาคงไม่ค่อยดี หนูอยู่ทางนี้มีคนสนใจตั้งหลายคน เขาอยู่ไกล เขาไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ รักๆ กันแล้วปุบปับก็จะโกรธกันมันก็น่าเสียดาย”

“ดิฉันไม่เข้าใจฉอเลาะเลยค่ะ” ฉอ้อนบอก “เรื่องกับคุณไกรนี่ เมื่อคืนนี้ฉอเลาะดูมีเหตุผลดีเหลือเกิน กลัวแม่จะโกรธคุณป้าแจ๋ว นั่งชี้แจงว่าแม่อย่าอยู่ในอดีตเลย อยู่ในปัจจุบันดีกว่า คุณพ่อตายไปตั้งปีแล้ว แม่ได้มีคุณลุงเกรินกับคุณป้าแจ๋วเป็นเพื่อน แล้วฉอเลาะก็จะแต่งงานกับคุณไกร แต่มาเช้านี้ ทำไมกลายเป็นอะไรไปอีก ดิฉันเห็นจะตกที่นั่งไม่เข้าใจลูกไม่เข้าใจผัวตลอดชาติ”

ฉอเลาะทำหน้าที่พรรณนายาก มีทั้งความงอนความขันตัวเอง และความเศร้าอยู่ในแววตา ระหว่างที่ฉอเลาะกำลังแยกแยะความรู้สึกของตนเอง เพื่อจะได้โต้ตอบกับมารดาและบิดาของคู่รักให้หล่อนเป็นฝ่ายได้ชัยชนะมารดาก็พูดต่อ

“เรื่องคุณอ้นนี่ แปลกจริงๆ ค่ะ เขาทำเวรทำกรรมกันมาแต่ชาติก่อนหรืออย่างไร ดิฉันคงเป็นคนผิดมนุษย์มนาเขาบ้าง ที่ไม่นึกพยาบาทใครเลยอย่างงี้ มันมีสังหรณ์อยู่ลึกในใจ ดูเหมือนจะตั้งแต่วันที่คุณธราต่อยขุนเวทที่อุบล ดิฉันรู้ว่าคุณวิทูรสั่ง แต่ไม่กล้าพูดออกมา ไม่กล้ารับรู้ในใจด้วยซ้ำ คุณอ้นนี่ ตั้งแต่พบกันวันแรก คุณวิทูรก็พยาบาทไว้ในใจ คุณวิทูรมีพยาบาทใครๆ ในใจแรงบ้างอ่อนบ้างอยู่เรื่อย ดิฉันกลัวความพยาบาทนี่เองแหละเลยไม่กล้าจะพยาบาทใครอีก”

ฉอเลาะลืมเรื่องของตัวเสียชั่วขณะ หันมาฟังมารดาด้วยความสนใจ ฉอ้อนพูดต่อไป

“คุณอ้นพบกับคุณวิทูรครั้งแรกที่บ้านคุณแจ๋วที่ถนนสีลม ตอนฉอ้อนไปซื้อเสื้อผ้าจะแต่งงาน คุณอ้นไม่เอาใจใส่กับใคร จำไม่ได้ว่าใครมาทำอะไรที่บ้านของตัวและไม่เอาใจใส่กับวิทูร ดิฉันเห็นสายตาคุณวิทูรทันทีว่าไม่พอใจมาก ถ้าลงไม่พอใจอะไร คุณวิทูรต้องจำใส่ใจไม่มีลืม เช่นเรื่องที่ดินอาผ่องขายซื้อกับเจ้าคุณปู่คุณจำลอง คุณวิทูรก็จำไว้เรื่อย แต่พอดิฉันซักถามอาผ่อง ถึงได้รู้เรื่องว่าคุณวิทูรเข้าใจผิด นี่ดิฉันพูดกับอาผ่องและพูดกับคุณจำลองเข้าใจกันแล้ว อาผ่องจะแบ่งที่ขายคืนคุณจำลองบ้าง แต่ว่าคิดราคากันตามสมควร คุณจำลองก็ดูเข้าใจดี๊ดี พูดกันนี่มันดีนาลูกนา ไม่งั้นหนูไปผูกใจเจ็บกับใครไว้เป็นปีๆ แล้วที่จริงเรื่องมันไม่ใช่อย่างที่เข้าใจก็มี”

ฉอเฉาะสะบัดหน้านิดๆ ความงอนกลับมาอีก “หนูก็ไม่ใช่จะตัดเป็นตัดตายเมื่อไหร่ แต่หนูเกลียดผู้ชายแสนงอน มีอย่างรึ เรื่องของคนอื่นช่างสำคัญเสมอ หนูไม่อย่างงั้น ทำไมคุณไกรจะต้องยกเรื่องคนอื่นถาม มากลัว”

“เออ” เกรินถอนใจเบาๆ “นี่ลุงไม่ได้เข้ากับไกรนะ ลุงพูดสำหรับผู้ชายทั่วๆ ไป หนูจะเกณฑ์ให้ผู้ชายที่หนูรัก รู้ใจหนูเผงทุกอย่างน่ะมันยากนะฉอเลาะ ถ้าเขาไม่ถามมา หนูอาจว่าเขาถือสิทธิ์เอาว่าหนูจะต้องรักเขาเรื่อยไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

มีเงาของคนผ่านประตูห้อง แล้วนายแพทย์เฌอก็ปรากฏตัวภายในประตู เกรินรีบเรียก

“อ้อ เชิญ คุณหมอ มาพบกันเวลานี้พอดี”

เฌอเข้ามานั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เขาเปลี่ยนไปเพราะวัย แต่ยิ่งน่าดูกว่าเมื่อเป็นหนุ่มน้อย หน้าตาของเขาคมคาย และแววตาเป็นแววของคนที่มีความคิดกลั่นกรองมาดีอยู่เสมอ ฉอ้อนเงยหน้าขึ้นมองน้องชายด้วยสายตาแสดงความรักและไว้วางใจ

“อะไรๆ เรียบร้อยแล้ว ใช่ไหมครับ” เฌอถาม สีหน้าของเขายิ้มน้อยๆ “ผมมาถามข่าว กลัวพี่จะไม่สบาย หมู่นี้ประสาทไม่ค่อยดี ร้องไห้เก่ง”

“เผอิญมากระทบเรื่องใหม่นี่เข้าอีก” เกรินพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเห็นใจ แล้วเขาก็มองดูหน้าฉอ้อนด้วยความห่วงใย “แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องห่วงแล้ว ถึงร้องไห้แต่ใจไม่เสีย”

“ผมว่าคนเราต้องรู้จักแยก อดีตที่เราแก้ไขไม่ได้ไม่ควรจะมาทำความทุกข์ให้เราอีก” เฌอว่า “ความกระทบกระเทือนใจก็ต้องมีเป็นธรรมดา เพราะเรายังไม่บรรลุอรหัตหรืออะไรอย่างนั้นแต่เราควรหาความสุขเท่าที่เราจะหาได้”

“ถ้าไม่ต้องให้ญาติคุณวิทูรรู้ก็ดีเหมือนกัน” ฉอ้อนกล่าว น้ำตาเริ่มไหลรินๆ มาอีก ฉอเลาะสะบัดหน้านิดๆ ด้วยความรำคาญ ฉอ้อนรีบเช็ดน้ำตาโดยเร็ว เกรินรีบพูด

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เรื่องร้องไห้ แล้วมันค่อยๆ หายไปเอง ใช่ไหมหมอ” เขาหันไปหาเฌอ

“ก็ค่อยๆ ระงับไปก็ดีเหมือนกันครับ ไม่งั้นเดี๋ยวเคยตัวแย่ จะแก่เสียก่อนที่ยังไม่ควรแก่” เฌอพูดหัวเราะๆ แล้วเกรินรู้สึกว่า ฉอเลาะจะขัดใจเพราะเรื่องของฉอเลาะดูจะได้รับความสนใจน้อยไป ซึ่งที่จริงเกรินกังวลอยู่มากจึงรีบชิงพูดต่อ

“ว่าแต่ฉอเลาะ รู้สึกเชื่อลุงบ้างหรือเปล่า ลุงออกจะเห็นใจผู้ชายด้วยกัน จริงไหม เฌอ ถ้าฉอเลาะจะมีความรู้สึกเป็นยังไง มีเหตุผลอย่างไร มันควรต้องให้ไกรเขารู้ให้เขาเข้าใจ ถ้าฉอเลาะเงียบไปเฉยๆ มันก็ทารุณจริงๆ”

ฉอเลาะค้อนอากาศธาตุอีกครั้งหนึ่ง “ทำไมเขาต้องคอยกลัวหนูจะเปลี่ยนใจเรื่อยล่ะคะ หนูว่าเขาดูหมิ่นหนู” หล่อนกล่าว

“ผมว่าหนุ่มสาวสมัยนี้ออกจะมีเกียรติยศสูงไปหน่อย” เฌอเอ่ยขึ้น “ธรรมดาผู้ชาย ก็มีห่วงอยู่เรื่อยว่าผู้หญิงจะรักเขาแน่นอนไหม ทำนองเดียวกันกับผู้หญิงพอแต่งงานแล้ว ก็ตั้งหน้าไม่ไว้ใจสามีเรื่อยไป สามีก็น่าจะรู้ธรรมชาตินี้เหมือนกัน”

เกรินหัวเราะหึๆ รู้สึกเบาใจลงไปทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับฉอเลาะ และเรื่องของฉอ้อน และในทันใด เขานึกอะไรขึ้นมาได้ในใจของเขา เขาผุดลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว

“คุณเกรินมีธุระหรือคะ จะรีบไปละหรือคะ” ฉอ้อนถาม

“ที่จริงธุระน่ะมี แต่ที่ยืนขึ้นเพราะไม่มีสติ” เกรินตอบเมื่อรู้สึกตัวว่าเขาได้ทำอะไรค่อนข้างจะไม่เข้าที “แต่ไหนๆ ยืนขึ้นแล้ว จะกลับนั่งอีกก็ยิ่งเก้อใหญ่ ก็เห็นจะลาเลย”

“คุณลุงช่วยว่าคุณไกรด้วยนะคะ” ฉอเลาะขอร้องแก่เกริน “หนูใจไม่ดีเวลาเขาเขียนมาอย่างนี้ เหมือนใครไปยุแหย่ว่ายังไง”

เกรินขยับตัวออกไปยืนข้างหลังเก้าอี้ตัวหนึ่ง ใจเขาก็ไม่ค่อยปรกติ จะกลับนั่งลงก็ทำไม่ได้ ยืนพูดอย่างคนใจร้อน ซึ่งผิดวิสัยของเขา ทำให้เฌอมองดูอย่างแปลกใจ

“ลุงว่า ฉอเลาะก็ยังอยู่ในอดีตโดยไม่รู้ตัว” เกรินพูดกับฉอเลาะ “หนูคอยระแวงว่าใครจะรักหนูเพราะเหตุอื่นไม่ใช่เพราะรักตัวหนู เพราะเคยผ่านชีวิตอย่างนั้นมา แต่สำหรับไกร เขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขารักหนูอย่างเจียมตัว ไกรเขาเหมือนลุง รู้สึกตัวว่าไม่ค่อยจะมีอะไรเด่นถึงได้คอยห่วงคอยถาม หน้าที่ของหนูก็คือ รู้สึกอย่างไรก็พูดกันให้ตรงๆ กันไป ไม่ชอบให้ถามมาอย่างนั้นก็บอกไป แต่จะหาว่าเป็นการดูหมิ่นน่ะไม่ได้ เพราะเป็นธรรมดา คนเราเปลี่ยนใจกันได้ ถ้าหนูจะเปลี่ยนใจไม่รักไกร ลุงก็ไม่ว่าอะไร คนเรานานๆ ไป เหตุการณ์เปลี่ยน ใจคนเราก็เปลี่ยนไปได้” พูดแล้วก็ชำเลืองดูฉอ้อน แล้วเพื่อจะไม่ให้คำพูดของเขาเป็นงานเป็นการเกินไป เกรินจึงสัพยอกลูกสะใภ้ในอนาคต “ว่าแต่หนูจะเขียนถึงไกรเร็วๆ นี้ใช่ไหมล่ะ ช่วยบอกเขาด้วยว่า ทีหลังเขียนจดหมายถึงลุงไม่ต้องบอกว่า หาเวลาเขียนถึงคุณพ่อไม่ค่อยได้เลย การเรียนหนัก หนาวก็หนาว มือถือปากกาไม่ค่อยถนัด”

ผู้ฟังทั้งสามคนยิ้มอย่างรื่นเริงตามน้ำเสียงของเกรินไปด้วย เขาเห็นได้จังหวะ จึงบอกลา พร้อมกับกล่าวฝากกับเฌอ “เฌอช่วยให้อะไรต่ออะไรเรียบร้อยไปด้วยเถิดเป็นการช่วยเหลือจิตใจของทุกคน”

“ผมว่าเรื่องที่เป็นไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ไม่ควรจะก่อความทุกข์กันใหม่” เฌอว่า “แต่ก็เห็นจะไม่ต้องห่วงละครับ ทั้งพี่ฉอ้อนทั้งฉอเลาะ คุณเกรินมีธุระก็เชิญเถิดครับ”

สามคนลุกขึ้นมาส่งเกรินที่หน้าตึก เกรินบอกข่าวดีเรื่องที่เขาได้กลับไปทำงานตำแหน่งเดิม สามคนก็แสดงความยินดี แล้วเกรินก็ขึ้นรถที่กลับมารอรับเขาและออกจากบ้านไป แม่ลูกน้าหลานกลับไปนั่งในห้องนั่งเล่น ฉอเลาะอารมณ์ดีขึ้นมาก ออกไปสั่งน้ำชาให้น้าชาย และกลับมาพร้อมกับถาดรองจานของขบเคี้ยวสองสามอย่างที่ฉอ้อนชอบทำติดบ้านไว้เสมอ เฌอไม่ยอมพูดถึงเรื่องคุณแจ๋ว ซึ่งเขาได้ชี้แจงปลอบโยนพี่สาวแต่ตอนเช้าแล้ว เขาถามทุกข์สุขของญาติทางสามีของพี่สาว คุยแลกเปลี่ยนความคิดกับหลานอีกสักครู่ใหญ่แล้วก็ลาไป

เมื่อเฌอลาไปแล้ว ฉอเลาะก็ขึ้นไปเขียนจดหมายถึงไกรที่ห้องของตัวชั้นบน ฉอ้อนไม่อยากนั่งว่างๆ อยู่คนเดียวจึงไปที่สวนดอกไม้เที่ยวเดินถอนหญ้าและพืชไม่พึงประสงค์ในแปลงดอกไม้และสนามหญ้า ตัดขลิบกิ่งและใบเท่าที่จะทำได้เป็นการบำรุงใจของตน และรักษาสถานที่อยู่ไม่ให้ความคิดหวนกลับไปถึงอดีตตามคำแนะนำของน้องชายและมิตรรัก ฉอ้อนอยู่ในสวนดอกไม้ประมาณหนึ่งชั่วโมงจนแดดลบจึงไปจัดแจงสาวสายยางสำหรับรดน้ำต้นไม้ คิดจะทำความสดชื่นให้แก่พืชพันธุ์ที่ปลูกไว้ในบริเวณบ้าน เรื่องความคิดบังคับได้สำเร็จบ้าง เมื่อภาพที่เศร้าเกิดขึ้นก็ขจัดออกไปจากสมอง ถ้าหากภาพที่งดงามเกิดขึ้นก็ปล่อยให้อยู่ไปนานพอสมควร กำลังคิดว่า น่าจะถึงเวลาหาครูสอนในเรื่องการบังคับจิตใจอย่างจริงจัง ตามที่ได้ยินว่าเพื่อนคนนั้นญาติคนนี้เขาทำกัน ในความแนะนำของอาจารย์วัดนั้นวัดนี้ หรืออุบาสกผู้นั้น อุบาสิกาผู้นี้ ก็เห็นรถคันใหญ่แล่นเข้าประตูบ้าน เป็นรถของเกริน ฉอ้อนยืนดูรถแล่นรอบสนามกลมหน้าตึกด้วยความแปลกใจ เห็นรถจอดข้างสนามแล้วเกรินเปิดประตูรถลงมา ฉอ้อนเดินเข้าไปหา เกรินก็นำทางที่มีที่นั่งใต้ต้นไม้ที่เพิ่งยืนต้นต้นหนึ่ง เขาพยักหน้าให้ฉอ้อนลงมานั่งข้างเขา สีหน้าของเขายิ้มแย้มชื่นบาน

ฉอ้อนขยับปากจะถามว่าเกรินไปไหนมา แลกลับมาด้วยธุระอะไร แต่หล่อนเป็นคนออกเสียงช้ากว่าความคิดเสมอ เกรินจึงเป็นคนพูดก่อน หลังจากที่เขาได้พิศดวงหน้า และรูปร่างของหล่อนตลอดกายระหว่างที่ฉอ้อนเคลื่อนตัวเพื่อจะนั่งข้างเขา

“ฉอ้อนนี่ ฉันว่าอายุมากขึ้นนี่จะสวยกว่าเมื่อรุ่นสาวเสียอีก”

สีหน้าฉอ้อนเผือดไปทันที เกรินมีความรู้สึกไวและความคิดไว เขาเดาออกในทันใด มือของเขาจับที่เหนือหัวเข่าของหล่อนอย่างปลอบโยน

“ฉอ้อนคิดว่าไม่มีประโยชน์ใช่ไหม ในเมื่อคนที่ฉอ้อนอยากให้เห็นสวยไม่มีอยู่แล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นดูในดวงตาของหล่อน เห็นอาการแดงเรื่อๆ ปรากฏ เขารีบพูด “อย่าคิดอย่างนั้นเลยฉอ้อน กลอง หนูเป๊าะ ฉอเลาะ แกยังเห็นความสำคัญที่จะต้องมีแม่สวย ฉันก็ชื่นใจที่เห็นฉอ้อนสวย แต่ที่ฉันมาบอกฉอ้อนตอนนี้ คิดว่าฉอ้อนคงอยากรู้เร็ว และที่จริงดูเหมือนฉันอยากอวดเร็ว ทนเก็บไม่ได้ ต้องมาอวดแก่คนที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน”

สายตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความกังวล เร่งให้เกรินรีบพูดยิ่งขึ้น “ที่ฉอ้อนขอร้องให้ฉันทำที่ปีนังน่ะ ตกลงแล้วละ คุณแจ๋วเขายอมจะแต่งงานกับฉัน”

ฉอ้อนยิ้มออกมาอย่างยินดีทันที “รึคะ ทำไมถึงตกลงได้ล่ะ ไหนคุณเกรินว่าทำไม่ได้”

“ฉันกำลังจะทำอะไรแปลกที่สุด ฉอ้อน ฉันกำลังจะมาบอกฉอ้อนว่าฉันหายเป็นโรครักฉอ้อน แต่รักเฉยๆ มากขึ้นอีกเยอะ” เกรินบอก เขามีแววขบขันตนเอง และจับดูสีหน้าหล่อนด้วยความอยากรู้ปฏิกิริยา

ฉอ้อนมีสีหน้าที่อธิบายยาก แต่ริมฝีปากยิ้ม แล้วหล่อนพูด “ฉอ้อนดีใจสำหรับคุณแจ๋ว ฉอ้อนยังไม่ได้บอกคุณเกรินเมื่อกลางวันใช่ไหมคะ ว่าที่สงสารคุณแจ๋วเพราะอะไร สงสารเพราะคุณแจ๋วไม่ได้อะไรเป็นของคุณแจ๋วเลย ทุกอย่างเป็นของคนอื่น ทำให้คนอื่น ตั้งแต่เป็นเด็กสาวมาจนจะแก่ แต่คุณเกรินยังไม่แก่หรอกค่ะและคุณแจ๋วก็คงเป็นสาวไปอีกนานละ อย่างนี้ คุณแจ๋วกำลังจะได้อะไรบ้างละ แต่ช้าจัง ไหนจะดีกว่ากัน ได้เสียตั้งแต่หนุ่มสาว เสียหมดเมื่อจะแก่ หรือไม่ได้มาเรื่อยแต่จวนจะแก่ก็ได้บ้าง”

“ก็จะไปคิดว่าใครดีกว่าใครทำไม ได้อย่างไรก็อย่างนั้น อีกหน่อยฉอ้อนจะได้หลานย่า หลานยาย”

“แต่คุณเกรินดูจะได้ไปเสียทุกอย่างนี่คะ” ฉอ้อนค้าน หัวเราะน้อยๆ อย่างน่าเอ็นดู “อีกหน่อยคุณเกรินก็จะได้หลานปู่เหมือนกัน แล้วยังได้คุณแจ๋วอีก ว่าแต่พูดยังไงคุณแจ๋วถึงตกลง”

“ก็เมื่อหนุ่มฉันก็ไม่ได้ ลืมเสียแล้วหรือ” เกรินพูดพลางยิ้มดูฉอ้อน “เรื่องพูดกับคุณแจ๋ว พูดอย่างเลวที่สุดคือเมื่อคืนฉันถามเขาเรื่องเหงาหรือไม่เหงา ฉันบอกว่าฉันอยู่บ้านคนเดียวๆ เหงาเต็มที คุณแจ๋วเขาว่าเขาไม่ค่อยมีเวลาจะเหงา งานเต็มมือไปจนดึก แล้วก็ยังจะขยายกิจการอีก แต่วันนี้ฉันไปบอกว่า จะขยายกิจการก็ตามทีเถอะ แต่ขอให้กลับไปนอนที่บ้านกับฉันบ้าง แล้วฉันจะไปนอนที่ร้านกับคุณแจ๋วบ้าง ทีแรกเขานึกฉันจะให้ไปอยู่เฉยๆ เขาบอกว่ามันออกจะแหวกแนวเกินไป คุณน้ากับคุณแป๋วคงจะเดือดร้อนมาก แม้แต่คุณแต๋วก็เห็นจะทนไม่ไหว” เกรินหัวเราะแซงเรื่องที่เล่า แล้วพูดต่อ “ดูเถอะ พูดกันไปอีกประเดี๋ยวถึงเข้าใจว่าต้องแต่งงานกัน ทีแรกเขาก็ไม่ค่อยจะปลงใจ แต่ฉันบอกว่า เดี๋ยวนี้ฉันรักคุณแจ๋วแปลกไป คือใจจดใจจ่ออย่างผิดธรรมดา ในที่สุดเขาตกลงเหมือนกับเรื่องเช่าร้านหรืออะไรอย่างนั้นละ”

ฉอ้อนหัวเราะคิกๆ “คุณแจ๋วชอบพูดแปลกๆ ทำอะไรแปลกๆ มาตั้งแต่เด็ก แต่ในใจจริงฉอ้อนรู้มานานแล้ว คุณแจ๋วไม่นึกถึงตัวเองเลย คิดถึงใจคนอื่นก่อนเสมอ แล้วก็ฉลาด เข้าใจอะไรทุกอย่างก่อนคนอื่นๆ นึกแล้วเสียดาย ถ้าคุณวิทูรมีภรรยาอย่างคุณแจ๋ว หรือฉอ้อนไม่เป็นอย่างที่เป็น มีความรู้น้อยเกินไป รักเขามากไป ถึงโต้แย้งไม่ได้เตือนสติไม่ได้ ถ้าฉอ้อนเป็นเมียดีกว่าที่เป็นสักหน่อย ป่านนี้คุณวิทูรอาจมีชีวิตอยู่ เป็นนายพลธรรมดาๆ อย่างคุณเกริน”

“เลิกคิดแบบนั้นเสียทีเถิดฉอ้อน” เกรินพูดอย่างอ่อนโยน “ฉันเคยพูดกับฉอ้อนนานมาแล้ว คงจำไม่ได้กระมัง คนอย่างวิทูรเขาต้องเป็นแบบเขานั่นแหละ ถ้าเขาไปเกิดในประเทศที่ต้องรบทัพจับศึกใหญ่โตจริงจัง เขาอาจเป็นแม่ทัพใหญ่มีชื่อเสียงเป็นแมกอาเธอร์ หรือมอนตกอมะรี่ แต่นี่เขาเกิดในประเทศที่เผอิญเรื่องใหญ่จริงๆ มันมีไม่ได้ ประกอบกับยุคสมัย เข้าจังหวะที่ต้องทำปฏิวัติรัฐประหาร เขาก็เลยเป็นอย่างที่เขาเป็น คนอย่างวิทูรเป็นอย่างฉันไม่ได้หรอก คนอย่างฉันอยู่บ้านไหนเมืองไหนก็เงียบๆ ไป สบายๆ ไป ถ้าไปเกิดอังกฤษหรืออเมริกาก็อาจเป็นผู้จัดการฝ่ายขายบริษัทเล็กๆ อะไร หรือเป็นกรรมการท้องถิ่นเมืองอะไรสักเมือง” แล้วเขาก็หัวเราะน้อยๆ ขันคำพูดของตัวเอง

ฉอ้อนไม่ขันคำพูดของเกริน เพราะไม่เข้าใจตัวอย่างที่เขายกในตอนสุดท้าย และความคิดก็แล่นไปไกล ไปเห็นภาพวันที่หล่อนพบวิทูรกับคุณเกริน วันแรกที่ในแอ่งน้ำใต้ต้นจิก วันที่หล่อนจับภาพของคุณวิทูรประทับไว้ในใจ ทั้งรูปร่าง วงหน้าและแววตา แต่คุณเกรินหล่อนไม่เห็นเลย หน้าตาเป็นอย่างไร กว่าจะจำได้ก็หลังจากที่พบกันตั้งหลายครั้ง แต่แล้วได้ยินเกรินพูดขึ้นอีก

“เมื่อกลางวันนี้ ฉันมีอะไรที่ควรพูดกับฉอ้อน แต่ไม่ได้พูดอีกอย่างหนึ่ง ฉันเห็นฉอ้อนทำทีท่า มีกิริยาวาจาเหมือนกับคนที่เล่นบทของตัวจบแล้วในโลกนี้ แต่ถึงฉันกับเฌอจะไม่ต้องการให้ฉอ้อนเอาอดีตมาให้ความทุกข์ซ้ำซาก แต่ฉอ้อนจะต้องไม่ลืมว่า ฉอ้อนยังเป็นสตรีบรรดาศักดิ์ชั้นสูง ฉอ้อนยังเป็นท่านผู้หญิงฉอ้อน เมื่อคนค่อยลืมเรื่องในส่วนที่ไม่ดีของวิทูรไปแล้ว ฉอ้อนยังมีบทที่จะแสดงได้อีกเพื่อให้ลูกได้ภาคภูมิใจเฉพาะตัวฉอ้อน ฉอ้อนยังทำประโยชน์ได้อีกมาก ขอให้สนใจกับโลกในด้านที่ฉอ้อนอาจช่วยเหลือให้ดีขึ้นได้ อย่าเอาใจใส่กับปากหอยปากปู ออกทุกข์แล้วไม่ต้องเก็บตัวอีกต่อไป ใครมาชักชวนให้ทำอะไรได้ก็ทำไป”

“ฉอ้อนก็ไม่ได้นึกจะหนีโลกหรอกค่ะ แต่ใจยังไม่ค่อยดี ทนฟังอะไรทนเห็นอะไรไม่ถูกหูถูกตายังไม่ค่อยได้ แต่ก็คงจะค่อยๆ หายไป เคราะห์ดีค่ะ ที่ตลอดเวลาที่คุณวิทูรมีวาสนาก็ไม่ลุ่มหลงไปกี่มากน้อย มีอะไรสะกิดๆ อยู่ในใจ ดูเหมือนจะเป็นเพราะได้เคยอยู่กับท่าน และได้เป็นเพื่อนเล่นคุณแจ๋วนั้นแหละค่ะ”

“วันนี้เป็นวันความสุขอย่างยิ่งวันหนึ่งในชีวิตของฉัน” เกรินกุมมือฉอ้อนไว้ในมือของเขา มองหน้าหล่อนด้วยแววตาอ่อนโยน ฉอ้อนก็มองตอบอย่างเดียวกัน “ฉันจะลาไปก่อนละ เราก็คงจะพบประกันเรื่อยๆ ไป แล้วยังจะมีหลานปู่หลานยายด้วยกันอีก”

น้ำตาออกมากบตาฉอ้อน ทำให้เห็นหน้าของคุณเกรินพร่าไป แต่หล่อนพยายามยิ้มให้คุณเกริน ในใจอวยพรให้คุณเกรินได้เป็นสุข แต่รู้ตัวว่าถ้าให้ออกเสียงพูด ก็จะกลายเป็นร้องไห้ จึงนิ่งเสีย เมื่อเกรินลุกขึ้นจากที่นั่ง หล่อนจึงลุกขึ้นบ้าง และตามไปส่งถึงรถ ยกมือไหว้เขาตามธรรมเนียม แล้วยืนดูรถเคลื่อนออกจากบ้านไป

เมื่อคุณเกรินลับตาไปแล้ว ฉอ้อนก็ขึ้นไปห้องนอน ตรงไปที่ตู้ที่เซาะเข้าไปในกำแพงห้อง เอากุญแจเปิดประตูทำด้วยไม้ ทาสีเคลือบเหมือนสีผนัง เมื่อประตูเปิดมีประตูชั้นในอีก มีปุ่มเล็กๆ ซึ่งฉอ้อนบิดเลื่อนไปมา จนประตูนั้นเปิดออก ในตู้นั้นฉอ้อนเก็บของมีค่าเป็นต้นว่า เครื่องเพชรที่ต้องมีติดตัวไว้ใช้ในโอกาสที่จำเป็นตามความเรียกร้องของสังคมมนุษย์ ฉอ้อนไม่เอาใจใส่กับหีบเครื่องเพชร หล่อนเอามือเลื่อนของต่างๆ ตรงหน้า จนถึงตอนในของตู้ ยื่นมือเข้าไปหยิบวัตถุเป็นกระดาษแข็งสองแผ่นพลิกหน้าขึ้นจึงเห็นรูปถ่ายสองรูป รูปหนึ่งมีตัวหล่อนแต่งกายด้วยผ้ายกดิ้นทอง ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มีดวงตราและสายสะพาย ยืนเคียงกับสามี ในเครื่องเต็มยศพลเอก ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เช่นเดียวกับหล่อน ซึ่งฉอ้อนถ่ายร่วมกับเขาหลังจากที่ได้รับเครื่องยศท่านผู้หญิงแล้วไม่กี่วัน ดวงหน้าของสามีในรูปนี้เป็นดวงหน้าที่มีสัดส่วนน่าดู แววตาเป็นแวววาววับ เต็มไปด้วยความมั่นใจ รูปร่างผึ่งผายสมกับเครื่องยศที่ประดับกาย ฉอ้อนพิศดูรูปนี้อยู่ประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็วางคว่ำลง หยิบอีกรูปหนึ่งขึ้นมาดู เป็นรูปที่น้ำยาค่อนข้างจะลดคุณภาพเลือนรางไปบ้างเป็นบางส่วน แต่ก็ยังเห็นชัดว่าหญิงสาวน้อยในภาพนุ่งซิ่นใส่เสื้อแบบเรียบๆ มีรูปร่างค่อนข้างเล็ก ดวงหน้าและแววตาอ่อนหวาน เต็มไปด้วยความหวังในโลกอันสดชื่น และชายหนุ่มก็เป็นคนรูปงาม ดวงหน้าคมสัน แววตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอีกนั่นเอง เขาแต่งกายด้วยเครื่องแบบนายร้อยโท เป็นเครื่องแบบปรกติและไม่ประดับเหรียญตราอันใด ฉอ้อนพิศดูรูปนี้แล้วก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา หล่อนหยิบรูปนั้นมาวางที่โต๊ะสำหรับวางของกระจุกกระจิกใกล้ตู้ขณะที่ย้ายรูปนั้นจากตู้ในกำแพงซึ่งอยู่ค่อนข้างสูง วัตถุกระดาษอีกชิ้นหนึ่งปลิวมาด้วย ฉอ้อนเก็บขึ้นดูแล้ว หน้าก็ยิ้มน้อยๆ กลายเป็นยิ้มอย่างเปิดเผยเหมือนของหญิงรุ่นสาว วัตถุนั้นเป็นรูปถ่ายที่ไม่ได้ติดบนกระดาษแข็ง เป็นรูปถ่ายก่อนวันแต่งงานฉอ้อนสองสามวัน ในภาพ “ท่าน” นั่งอยู่บนบันไดเรือนของท่านชั้นบนสุด แม่ของฉอ้อนนั่งพับเพียบอยู่ข้างหลังท่าน ฉอ้อนคุณวิทูรคุณเกรินนั่งเรียงกันบนบันได ต่อจากท่านลงไป คุณแจ๋วยืนที่พื้นดิน เกาะราวบันได และยื่นหน้าเข้ามาหัวเราะใกล้ๆ ศีรษะคุณเกริน และยังมีเฌอยืนปลายบันไดอีกคนหนึ่ง ฉอ้อนพิศดูรูปนี้นาน น้ำตาชักจะเริ่มไหลอีกแล้ว ไม่เอาละ ประเดี๋ยวติดตัวเรื่อยไปอย่างที่เฌอว่า หล่อนบังคับตัว เช็ดหน้าให้สะอาด หยิบรูปถ่ายสองรูปนั้น และออกจากห้องของตนไปที่ห้องของฉอเลาะ

ไปถึงห้องลูกสาวประตูปิดอยู่ ฉอ้อนค่อยๆ จับลูกบิดขยับไปมา ฉอ้อนจำมารยาทฝรั่งที่ให้เคาะประตูบอกเจ้าของห้องไม่ได้ เมื่อไม่มีเสียงว่าอย่างไรจากในห้อง หล่อนก็เปิดประตูอย่างเบาๆ เข้าไป เห็นฉอเลาะนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ มีจดหมายสีฟ้าบอกว่าเป็นจดหมายส่งทางอากาศจากต่างประเทศ อยู่ตรงหน้าหลายฉบับ ฉอเลาะทำหน้าบึ้ง คิ้วขมวด และค้อนใครที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วก็ยิ้มคนเดียว ฉอ้อนนึกขันแต่ทำไม่เห็น เดินให้ดังขึ้น ฉอเลาะหันมาดูและรวบจดหมายที่อยู่ตรงหน้าใส่ลงในลิ้นชัก ฉอ้อนเข้าไปยื่นรูปสองรูปให้ดู และบอก

“หนูเข้าเมืองเมื่อไหร่ ช่วยเอารูปไปใส่กรอบให้แม่ด้วย”

ฉอเลาะรับมาดูแล้วหัวเราะกิ๊กๆ “ตอนนี้แม่จะทำอะไรจ๊ะ” หล่อนถามโดยไม่ได้ตั้งใจมากนัก

“แม่จะไปเขียนหนังสือถึงกลอง บอกเรื่องคุณป้าแจ๋วจะแต่งงานกับคุณลุงเกริน”

“อุ๊ย จริงๆ หรือจ๊ะแม่” ฉอเลาะทวนถาม “ต๊าย ตาย น่าขันจัง”

“เอ ทำไมน่าขัน” ฉอ้อนถามเสียงครึ่งไม่พอใจและครึ่งอยากรู้

“หนูเห็นภาพคุณป้าแจ๋วแต่งงาน แล้วจะทำร้านยังไงจ๊ะ เวลาจะไปงานการกับคุณลุงเกรินจะเป็นยังไง”

“โถ ฉอเลาะ หนูเห็นภาพคุณป้าแต่ในร้านขายอาหารเท่านั้นเรอะ” ฉอ้อนอุทาน พลางนึกในใจว่า ตัวหล่อนกับลูกคงจะไม่มีการเห็นภาพอะไรตรงกันในชีวิต “คุณป้าแจ๋วเธอเป็นลูกพระน้ำพระยา เป็นผู้ดีมีตระกูล ที่เธอทำร้านเพราะเธอเป็นคนไม่หลง ไม่เห็นว่าสัมมาอาชีพน่าอาย” พูดไปแล้ว ฉอ้อนก็เกิดกระดากเพราะไม่เคยชินกับการพูดจาโต้แย้งกับลูก ได้แต่เสริมว่า “หนูคิดอะไรเสียให้ถูกๆ นะลูก”

ฉอเลาะดูรูปต่อไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ฉอ้อนเดินออกจากห้องลูกสาวลงไปที่ห้องหนังสือชั้นล่าง ดึงลิ้นชักหยิบกระดาษเขียนจดหมายขึ้นมาวาง หยิบปากกาจะเขียนแต่หยุดประเดี๋ยวหนึ่ง เพื่ออธิษฐานในใจ

“กลองลูกรัก กลองกับแม่ก็คงจะเห็นภาพอะไรไม่ตรงกันเพราะเกิดกันคนละยุค ต่างวัยต่างรุ่นกัน แต่แม่ขอให้กลองเป็นลูกของแม่ ให้เหมือนคุณพ่อเฉพาะที่ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว อย่าถูกโชคชาตาพาไปให้มีบุญวาสนาเกินกว่าที่คุณสมบัติอื่นๆ ของลูกจะช่วยรักษาไว้ได้ นะลูกนะ”

จบเรื่อง “ทุติยะวิเศษ”

ธนบุรี ๑ พ.ย. ๐๙

เริ่มเขียนที่นครสวรรค์

๕ ก.พ.๐๙

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ