เวลาผ่านไป ๑๓ ปี ก็ถึงยุคของเจียงเฟ (ค.ศ. ๑๙๓๒)

การเดินขบวนของเจียงเฟ กับเพื่อนนักศึกษาของเขา นับว่าเป็นงานใหญ่ไม่แพ้การเดินขบวนเมื่อ ๑๓ ปีก่อน การต่อสู้ระหว่างนักศึกษากับตำรวจก็มีสภาพใกล้เคียงกัน คือตำรวจได้พยายามทุกทางที่จะหยุดและทำลายขบวนอันประกอบด้วยผู้คนเรือนพันหมื่นเสียให้จงได้ โดยวิธีการที่เกือบไม่ต้องเลือก ถ้อยคำของเจียงเฟยังก้องอยู่ในหูของนักศึกษาทุกคน กล่าวคืออย่าให้มีการต่อต้านเกิดในทางด้านนักศึกษาเป็นอันขาด ให้เป็นไปด้วยความทรหดอดทน ให้ยอมสละเลือดทุกหยดเพื่อเป็นชาติพลี แต่ความรู้สึกอันแท้จริงของปุถุชนกับระเบียบวินัย ดูจะเป็นของคนละเรื่องอยู่บ้าง คำขอร้องของเจียงเฟประมุขผู้หนึ่งของนักศึกษาในจีนเหนือ เป็นเพียงระเบียบวินัยที่นักศึกษาควรจะปฏิบัติตาม แต่ความรู้สึกในจิตใจที่เป็นธรรมชาติของคนซึ่งยังจะต้องมัวเมาอยู่ในกองกิเลศ เป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ นักศึกษาทุกตัวคนรู้ดีว่า ตำรวจที่ตนจะต้องเผชิญในไม่กี่นาฑีข้างหน้านี้เป็นตำรวจของผู้มีอำนาจในจีนเหนือ ซึ่งตนสงสัยหรือแน่ใจว่ามีจิตใจเอนเอียงไปในทางที่จะขายชาติเพื่อเงินและอำนาจ ที่เขาจะพึงได้รับเป็นการส่วนตัว ต่อความรู้สึกเช่นนี้ชวนให้เกิดความดุเดือดขึ้นในใจ ฉะนั้นจึงเป็นการค่อนข้างยากที่จะหวังได้ว่า เมื่อเกิดการปะทะขึ้นแล้ว จะมีการกระทำตอบเพื่อป้องกันตัวบ้าง ข้าพเจ้าแน่ใจว่าการต่อสู้จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นในวันนั้น และบางที—เราอาจพบศพนักศึกษา และศพตำรวจตามถนนอันเคยสงบเงียบของปักกิ่ง.

แถวนักศึกษาอันยาวเหยียดสุดสายตาซึ่งเดินพุ่งตรงมาจากตุงซื่อผายโล่ว ได้เลี้ยวหักมุมไปทางถนนฉางอาน การต่อสู้ยังมิได้เปิดฉากออกเพราะยังไม่มีวี่แววว่าตำรวจได้มาตั้งกองสะกัดอยู่ที่ใด เจียงเฟและเพื่อนนักศึกษาของเขายังคงเดินต่อไปด้วยอาการสงบ เดินไป–เดินไป–เดินไปผจญกับดาบและปืนที่ทุกคนแน่ใจว่าจะต้องเผชิญ

ใกล้จะถึงถนน หวางฝูจิ่ง (Morrison Street) ซึ่งเชื่อมกับถนน ฉางอาน ตรงหน้าเขตสถานทูตนานาชาติ (Legation Quarter ) ข้าพเจ้าสังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งมีจำนวนหลายสิบ แต่งตัวสีดำยืนออกันอยู่ตรงหน้าโรงแรม ซีนจุงกวอ สีของเสื้อผ้าที่บอกชัดว่าเป็นเครื่องแบบทำให้ทุกคนแน่ใจว่าการทะปะจะต้องเกิดขึ้นในไม่กี่นาฑีนี้ ตำรวจปักกิ่งสวมเครื่องแบบสีดำ พันหมวกทรงหม้อตาลด้วยแถบขาว ถือดาบบ้าง ปืนบ้าง ไม้พลองตะบองสั้นบ้าง ยืนคุมเชิงกันอยู่เงียบ ๆ ขณะที่ขบวนนักศึกษาอันมีเจียงเฟเดินนำได้เคลื่อนใกล้เข้าไป–ใกล้เข้าไป เจียงเฟสังเกตเห็นกองตำรวจถนัดเมื่อเดินเข้าไปเหลือระยะประมาณ ๔๐๐ หลา เขาหันหลังไปบอกแก่นักศึกษา ซึ่งอยู่ในขบวนตอนที่หนึ่งว่าให้เดินด้วยความสงบ อย่าทำการต่อสู้แต่ประการใด นายตอนซึ่งคุมขบวนตอนหนึ่ง ๆ อยู่ก็ร้องบอกกันต่อ ๆ ไปจนถึงท้ายขบวน ดูเหมือนนักศึกษาทุกคนได้พยายามทำใจให้เยือกเย็นมั่นคง ไม่หวั่นไหวสะดุ้งสะเทือน พยายามเดินตรง, หนักแน่นทุกฝีก้าว, เคร่งขรึม, ตั้งใจมั่นว่าจะไม่ยกมือขึ้นต่อสู้เลยถ้าตำรวจเข้าโจมตี

ในท่ามกลางของความเงียบอันน่าสยดสยองใจ–ความเงียบที่มาก่อนลมพายุพัด–ได้มีเสียงผู้หญิงในขบวนตอนสองดังกังวานขึ้น–เป็นเสียงที่เปล่งออกมาอย่างเยือกเย็นปราศจากความสะทกสะท้าน เพลงเดินขบวนทำนองปลุกใจได้ดังขึ้นแล้ว เป็นสัญญาณที่เตือนใจให้ทุกคนทำใจให้มั่น ไม่ให้หวาดหวั่นพรั่นพรึง เมื่อนิสิตาผู้นั้นขึ้นต้นบทได้วรรคหนึ่ง ทุกคนก็ร้องรับขึ้นพร้อมกันดังกระหึ่มไปทั่วท้องถนน เนื้อเพลงและทำนองอันเร้าใจทำให้ทุกคนคึกคักขึ้นอีก, เดินคอตั้ง, จังหวะเท้าพอดีกับจังหวะเพลง ทำนองเพลงอันคึกคะนองใจนั้น ทำให้ประชาชนสองฟากถนนยืนนิ่งไม่ติงกาย ประหนึ่งว่าถูกสกดจิตให้หลับอยู่ในเนื้อเพลงอันลึกซึ้งตรึงใจ เกือบไม่มีผู้ใดพูดอะไรออกมา ดวงตาทุกคู่จ้องอยู่ที่ดวงหน้าอันอิ่มเอิบไปด้วยสายเลือดของชายหนุ่มหญิงสาว ผู้เป็นเนื้อแท้ของชาติในอนาคต ดวงหน้าเหล่านั้นเป็นดวงหน้าของผู้มีความหวัง–มีความแน่ใจในตัวเอง–เป็นดวงหน้าของผู้เสียสละ โดยมิได้นึกถึงตัวตนของตน ทุกคนยังร้องเพลงอย่างใจเย็น–ยังคงเดินไป–เดินไป เดินไปเพื่อเผชิญหน้ากับกองตำรวจอันเพรียบพร้อมไปด้วยอาวุธ

อีกประมาณอีก ๕๐ หลาก็จะถึงปากถนน หวางฝู่จิง เจียงเฟชำเลืองดูเครื่องมือของผู้มีอำนาจแห่งนครปักกิ่งด้วยสายตาอันกล้าแข็ง เขากัดกราม, ริมฝีปากเม้ม, เชิดหน้าขึ้น แล้วก็ก้าวเท้าต่อไปอย่างหนักแน่นมั่นคง—

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ