๖
เราสำเร็จประโยคมัธยมบริบูรณ์ ใน พ.ศ. ๒๔๖๘ เทวันออกไปเรียนกฎหมาย ส่วนข้าพเจ้าเรียนซ้ำต่อไปเพื่อเข้าสอบชิงทุนรัฐบาลในปีรุ่งขึ้น
เหตุการณ์ในปีต่อมา–พ.ศ. ๒๔๖๙ ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าเมืองไทยจะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ คือปีที่ข้าพเจ้าตากหิมะอยู่ในนครปักกิ่ง ข้าพเจ้ามุ่งหน้าไปในการเรียนและการเขียนหนังสือ การออกหนังสือพิมพ์ในชั้นเรียนตั้งแต่สมัยเด็กๆ ได้ทำให้ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าข้าพเจ้าเกิดความสนใจในเรื่องการแต่งหนังสือและการเป็นนักหนังสือพิมพ์ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าข้าพเจ้าจะเขียนอะไรได้ เพราะเรื่องที่ส่งไปให้บรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางฉบับในสมัยนั้นได้กลายเป็นเศษกระดาษไปในตะกร้าใบโตของเขา ข้าพเจ้าสงสัยตัวเอง และเกือบไม่กล้าที่จะเขียนอะไรส่งไปอีก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงไม่เลิกล้มความพยายามเสียในบัดนั้น เวลาผ่านไปและในตะกร้าบรรณาธิการก็มีเศษกระดาษลายมือของข้าพเจ้ามากขึ้นทุกที ไม่ต้องสงสัยเลย—การใช้เวลาทุ่มเทไปในการเขียนหนังสือในระยะเวลาที่เราจำต้องเตรียมตัวไปสู้กันในสนามสอบไล่สกอล่าชิบ ได้เป็นเครื่องถ่วงอย่างสำคัญในการชิงชัยเมื่อชั่วโมงสุดท้ายมาถึง ข้าพเจ้าไม่เสียใจ ในเมื่อความปราชัยได้เป็นของข้าพเจ้าในชั่วโมงสุดท้ายนั้น.
อย่างไรก็ดี ใน พ.ศ. ๒๔๗๑ ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางไปยังประเทศจีน ข้าพเจ้าอาจเป็นคนโชคดีหรือโชคร้ายได้ทั้งสองทาง แต่จะอย่างไรก็ตามเถิด, ข้าพเจ้าพอใจในเส้นชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพอใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพเจ้าได้รับ เพราะข้าพเจ้าถือว่าในชีวิตของทุกคน ธรรมชาติได้กำหนดกฎเกณฑ์ไว้ให้อย่างตายตัวแล้ว เรามีหน้าที่แต่ทำ–ทำไปด้วยความหวังอันมั่นคง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและความล้มเหลวซึ่งคอยเราอยู่ตลอดระยะทางที่เต็มไปด้วยความลุ่มดอน เราจะไม่ร้อนใจกับความสำเร็จ เพราะความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้าดิน.
คืนวันนั้น–คืนซึ่งวันเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องอำลาเมืองไทยที่รัก–เทวันไปพบข้าพเจ้าที่บ้านถนนบันทัดทอง เรานั่งคุยกันอยู่ที่ปากบ่อน้ำ จนนาฬิกาที่ ๑๑ ตอนหนึ่งเทวันพูดว่า
“เราจะจากกันอย่างน้อยแปดปี ฉันเข้าใจว่าเธอคงจะต้องเห็นเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเธอกลับมา”
ข้าพเจ้าพยักหน้า
“ก็คงจะต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เพราะมันนานถึงแปดปี”
เทวันโยนก้อนดินลงไปในบ่อน้ำดังต๋อม ดวงจันทร์ที่เห็นลอยอยู่บนพื้นน้ำแตกกระจายกลายเป็นริ้วเงิน
“เธอไปเมืองจีน ฉันดีใจอยู่ข้อหนึ่ง เธอจะได้ได้เห็นระบอบการปกครองของเขาด้วยตาของเธอเอง–ระบอบที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน”
“ฉันก็พอใจอย่างเธอว่า แต่เมืองจีนยุ่งกันเหลือเกิน ออกวิตกว่าเห็นจะต้องเอาเสื้อยันต์ไปด้วย”
เขาหัวเราะเสียงค่อนข้างดัง
“ยังงั้นเทียวหรือ ? นี่เธอคงคิดว่ากำลังไปผจญภัยมากกว่าไปเรียนหนังสือ”
“ก็ไม่รู้ละ เห็นรบกันไม่เว้นแต่ละวัน”
“มันเป็นเรื่องของการปฏิวัติ”
ข้าพเจ้านิ่งคิดก่อนจะตอบเขา
“จริง มันเป็นเรื่องของการปฏิวัติ เมืองจีนยังปฏิวัติไม่จบ ยังจะต้องปฏิวัติต่อไปอีกนาน เราไม่รู้ว่าจะจบเกมลงอย่างไรกัน แต่มีคนเคยพูดกับฉันว่าเมืองจีนเลี้ยวเร็วเกินไปจึงเสียหลัก”
“เลี้ยวเร็วอย่างไร” เทวันหันมาถามอย่างสนใจ
“ฉันก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร ฉันยังไม่มีความรู้พอสำหรับเมืองจีน แต่เขาให้ความเห็นว่าเมืองจีนขาดความเป็นปึกแผ่นเพราะขาดประมุขของชาติ ซึ่งควรจะเป็นคนเดียวจะเป็นใครก็ได้ เมืองจีนมีประเพณีของการมีเจ้าแผ่นดินมาหลายพันปี ถ้าเมืองจีนเอาอย่างญี่ปุ่นหรืออังกฤษ บางทีจะรบกันน้อยลง และคงจะรุ่งเรืองเร็วมาก เพราะไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาเสียชีวิตไปในสงครามกลางเมือง”
เทวันนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง
“แต่อย่างไรก็ตาม ฉันชอบริปับลิค มันเท่ากันดี”
ข้าพเจ้าพยักหน้า
“ก็เป็นจริงอย่างเธอว่า แต่การปกครองรูปใดจะเหมาะนั้นต้องแล้งแต่ดินฟ้าอากาศ ขนบธรรมเนียมประเพณีตลอดจนภาวะความเป็นอยู่ของบ้านเมือง ฉันเห็นว่าเราจะหักล้างขนบธรรมเนียมประเพณีในวันเดียวเป็นของทำได้ยาก ต้องค่อยเป็นค่อยไป จึงจะราบรื่นและไปถึงจุดหมายได้อย่างรวดเร็ว”
“เธอคิดเช่นนั้นหรือ ?” เทวันถามอย่างไม่พอใจ
“ฉันมั่นคงในความเห็นของฉัน” ข้าพเจ้าตอบโดยไม่แสดงกิริยาตื่นเต้น “ฉันก็เชื่อว่าเมืองไทยจะต้องเป็นประชาธิปไตย, เราต้องการความเสมอภาค, ต้องการสิทธิที่จะเป็นเจ้าของเมืองไทยในฐานะที่ฉันเป็นคนไทยคนหนึ่ง แต่ฉันไม่รักการหักโค่น ในเมื่อรากฐานของบ้านเมืองยังไม่แข็งแรงพอ อเมริกาเป็นรีปับลิคได้ในวันแรก ก็เพราะเขามีรากฐานความเจริญมาพร้อมสรรพจากยุโรป เหตุการณ์และภาวะความเป็นอยู่ในขณะนั้นบังคับให้เขาต้องเป็นริปับลิค จะเป็นอื่นไม่ได้ ความเห็นของฉันกับของเธอที่จริงก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก เราต้องการประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน–ประชาธิปไตยที่บริสุทธิ–ไม่ใช่ประชาธิปไตยจอมปลอม แต่วิธีจะไปให้ถึงประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์อย่างราบรื่นและมั่นคงนั้นบางทีความเห็นของเธออาจจะต่างกับของฉัน”
เทวันจากข้าพเจ้าไปในคืนวันนั้นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องที่เราโต้เถียงกันเสียหมดสิ้นในตอนเช้าที่เขาไปส่งข้าพเจ้าลงเรือที่ท่าบอเนียว
คุณพ่อเป็นคนแรกที่ยื่นมือของท่านให้ข้าพเจ้าจับ เป็นการมอบหมายความเป็นผู้ใหญ่ให้ข้าพเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย–และครั้งเดียว ข้าพเจ้าก้มลงกราบลงแทบเท้าท่าน
เทวันเกือบเป็นคนสุดท้ายที่บีบมือข้าพเจ้าด้วยความรักและอาลัย
“อย่าลืมนะระพินทร์” เขากระซิบ “เธอไปดูให้ละเอียดว่าเมืองจีนเขาปฏิวัติกันอย่างไร”
แล้วเรือคาลกันก็แล่นออกจากท่าไปในท่ามกลางสายฝนซึ่งพรมลงมาจากท้องฟ้าสีเทา
จุด ๆ หนึ่งบนเขื่อนบอเนียวที่ข้าพเจ้าไม่อาจละสายตาไปเลยได้ก็คือร่างอื่นแบบบางของประนุทเพื่อนต่างเพศที่รักคนหนึ่งของข้าพเจ้า ไม่มีปัญหาเลย, น้ำตาของเธอคงกำลังไหลรินอยู่ในหัวใจ.