คำนำของผู้แต่ง
ในการพิมพ์ เรื่องเจียงเฟ กับ ชีวิตคือละคร ครั้งนี้ ข้าพเจ้ามีข้อที่ควรจะกล่าวไว้เพียงประการเดียว คือความมุ่งหมายของการแต่งนิยายชีวิตจริงสองเรื่องนี้ ในกาละเช่นนี้. นิยายชีวิตจริงในบทบาทของความรักระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ได้มีผู้แต่งออกมามากแล้วในตลาดหนังสือไทย แต่นิยายชีวิตจริงในบทบาทของผู้รักชาติ และรักโลก อันเป็นชีวิตที่เกี่ยวกับความเสื่อมความเจริญของสังคม ยังมีผู้แต่งออกมาไม่มากเท่ากับนิยายรักดังกล่าว ข้าพเจ้าได้เลือกแต่งนิยายชีวิตที่เกี่ยวกับชาติและสังคมออกมา ไม่ใช่เพราะว่าข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าแต่งนิยายประเภทนี้ได้ดี แต่หากเพราะข้าพเจ้าคิดว่านิยายเช่นนี้, จะแต่งได้ดีไม่ดีอย่างไรก็ตาม, คงจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมที่เราอาศัยบ้าง ไม่มากก็น้อย เฉพาะในยุคที่ฟ้ามืด และ แผ่นดินสะเทือน. ข้าพเจ้าได้ตั้งความปรารถนาไว้เป็นเวลานานปีมาแล้วว่า ข้าพเจ้าจะใช้สิทธิ์ของความเป็นมนุษย์ผู้ร่วมบาปกรรมกับมนุษย์อื่น ๆ ทุกชาติทุกภาษา ทำทุกอย่างที่จะส่งเสริมให้สังคมของมนุษย์ชาติมีความเป็นธรรมและความสงบสุข ข้าพเจ้าเชื่อว่า ธรรม คือ อำนาจ. ไม่เชื่อว่า อำนาจ คือ ธรรม. และข้าพเจ้าเชื่อว่า ความจริงจะครองโลก, ไม่เชื่อว่าความเท็จจะทำให้โลกมีสันติสุขได้ ข้าพเจ้าแน่ใจว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่หันเข้าเคารพความจริงของชีวิตซึ่งกันและกัน, เพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน และเห็นใจกัน, ตราบนั้นโลกจะสันติไม่ได้, ปัญหาของการดำรงชีพอยู่ในโลกที่ยังขาดความสมบูรณ์อยู่เป็นอันมากนี้ เป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาร่วมกัน, ไม่ใช่ต่างคนต่างคิดตามทิษฐิมานะของตน มนุษย์ได้ถือทิษฐิเป็นใหญ่มาหลายพันปีแล้ว และตลอดหลายปีนี้ เลือดก็ได้นองแผ่นดินอยู่เรื่อยมา นั่นคือผลของความดื้อถือดีของแต่ละฝ่าย ตลอดจนความโลภ ความหลง และความมุ่งมั่นจะยึดเอาอำนาจเป็นธรรมให้จงได้ ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่ามนุษย์ทุกวันนี้ แม้จะมีอารยธรรมความเจริญสูงสักเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังไม่สูงจนกระทั่งจะหันหน้ามาเคารพความจริงของชีวิตซึ่งกันและกันได้ เพราะเหตุนี้เอง เราจึงได้พบแต่สงคราม ทั้งๆ ที่มนุษย์แต่ละคนต้องการสันติสุข.
พญาไท
๑ กรกฎาคม ๙๖