๓
ใบไม้เริ่มมีสีแดง และร่วงปลิวไปตามสายลมเย็น ฤดูใบไม้ร่วงกำลังย่างกรายเข้ามาแล้ว ความเหี่ยวแห้งของชีวิตกำลังปกคลุมไปทั่วนครปักกิ่ง ธรรมชาติของฤดูใบไม้ร่วงก็วิเวกวังเวงใจพออยู่แล้ว มิหนำยังกระทบเรื่องการเมืองอันสกปรกโสมมอีกเล่า แผ่นดินจีนภาคเหนือถูกยึดไปผืนใหญ่ ราษฎรชาวจีนกำลังแตกฉานซ่านเซ็นหนีภัยกระเจิดกระเจิงลงมาในปักกิ่ง ความวุ่นวายของชีวิตที่ถูกบีบคั้นด้วยอำนาจของแสนยานุภาพกำลังปรากฏอยู่ในสีหน้าและแววตาของชาวปักกิ่งทุกคน แม้ว่าร้านค้าจะยังเปิดอยู่เป็นปรกติตลอดถนนที่ครึกครื้นที่สุดคือถนนหวังฝูงจึงต้าเจีย แต่ความสดชื่นของชีวิตแห่งถนนอันมีชื่อเสียงนี้ได้เจื่อนจางไปแทบหมดสิ้น ปักกิ่งกับสงคราม—ปักกิ่งกับการนองเลือด ความสงบของนครโบราณ อันมีสภาพประหนึ่งพื้นน้ำอันใสนิ่งในทะเลสาปคุนหมิงหู ได้ถูกทำลายลงในพริบตาเดียว ปักกิ่งกำลังวุ่นวาย สงครามกำลังใกล้เข้ามา !
ความตื่นเต้นกระวนกระวายอย่างสุดขีดได้ปรากฏตัวอยู่ในสำนักศึกษาทุกแห่งตลอดจีนเหนือ ในหมู่ประชาชนพลเมือง, ผู้ที่เกิดความรู้สึกไวที่สุดและร้อนที่สุดก็คือพวกนักศึกษา ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๑๙ เรื่อยมา นักศึกษาทุกคนถือตัวว่ามีส่วนอยู่ด้วยเสมอในเกมการเมืองของชาติ การเดินขะบวนค้านรัฐบาลใน ค.ศ. ๑๙๑๙ และได้ประสพชัยชำนะในที่สุด ได้ทำให้นักศึกษารุ่นต่อมาถือเอาการเดินขะบวนไปตามถนนพร้อมด้วยป้ายโฆษณาคัดค้านรัฐบาลเป็นการกระทำที่สมควรและได้กลายเป็นประเพณีนิยมไป องค์การศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยทุกแห่งได้มีการตั้งสภานิสิตและนิสิตา และมีการติดต่อเกี่ยวโยงกันระหว่างมหาวิทยาลัย ทุกคราวที่มีปัญหาส่วนเกี่ยวกับประเทศชาติเกิดขึ้น ก็มีการประชุมกันระหว่างผู้แทนนักศึกษา เมื่อที่ประชุมมีมติอย่างใด บรรดานิสิตและนิสิตา ตลอดจนนักเรียนชั้นรองๆ ลงมาก็ร่วมมือกันปฏิบัติตาม มติที่ฝ่ายรัฐบาลหวั่นเกรงที่สุดก็คือมติการเดินขบวน เพราะทุกคราวปรากฏว่ามากกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาทั้งเล็กใหญ่ได้ออกเดินแถวคุมกันไปตามถนนอย่างมีระเบียบเรียบร้อยลักษณะท่าทีมั่นคงประหนึ่งกำแพงเหล็ก ซึ่งตำรวจจะต้องใช้กำลังและมันสมองอย่างมากมายกว่าจะโจมตีขบวนอันยาวยืดให้แตกกระจายไปได้
ข้าพเจ้าได้พบกับเจียงเฟในเช้าวันหนึ่งที่ห้องพักในหอพักนิสิตแห่งมหาวิทยาลัยฝู่เหริน เราคุยกันถึงปัญหาการเมืองในจีนเหนือและเหตุการณ์ทั่ว ๆ ไปซึ่งกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ตอนหนึ่งเจียงเฟได้กล่าวขึ้นว่า
“ผมถือว่าคุณเป็นรุ่นพี่ชาย แต่ที่คุณให้ความเห็นมาทั้งหมดนี้ ผมยังเห็นตรงกันข้ามอยู่”
ข้าพเจ้ายิ้มละไม นิ่งคิดครู่หนึ่งจึงได้ตอบ
“ฉันเห็นใจ เพราะเมื่อฉันอายุเท่าเธอ ฉันก็รู้สึกเหมือนเธอนี่แหละ แต่เรื่องนี้ฉันอาจผิดก็ได้ เพราะเกี่ยวกับข้อเท็จจริง”
“ผมยังเชื่อเสมอว่า เรายังไม่ได้ดำเนินการเท่าที่เราควรจะทำ” เจียงเฟพูดอย่างมั่นใจ “มีประโยชน์อะไรที่เราจะไปหวังเอาตัวรอด ผมยังไม่คิดว่านโยบายการเมืองของประเทศที่เราหวังพึ่งจะมีการเสียสละเพื่อความปลอดภัยส่วนรวมอย่างแท้จริง อุดมคติที่เราฝันถึงยังอยู่ไกลนักผมไม่เชื่อว่าจะมีการเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ผมจะมีความเห็นรุนแรงอย่างไรก็ตามเถิด แต่ผมปักใจเชื่อเสียแล้วว่า สันดานของมนุษย์ยังหนาแน่นไปด้วยความเห็นแก่ตัว เมื่อเป็นเช่นนี้นโยบายการเมืองก็ย่อมจะขาดความเห็นแก่ตัวเสียไม่ได้ เมื่อตัดความเห็นแก่ตัวออกไปไม่ได้ ใครเล่าเขาจะเสียสละเพื่อ Collective security ? ผมไม่คิดว่าจะมีองค์การใดที่สามารถให้ความยุติธรรมแก่ชาติเราได้ ทุกวันนี้เรากำลังเกี่ยงกันอยู่ว่า ใครจะเป็นผู้เอาลูกกระพรวนไปผูกคอแมว ผมว่าคงหาตัวฮีโร่ของเราไม่พบอย่างแน่ ๆ”
ข้าพเจ้าพยักหน้า
“เธออาจพูดถูก แต่เธอไม่คิดบ้างหรือว่าการเดินนโยบายของชาติเป็นเรื่องที่ควรจะทำกันอย่างละเมียดละไม”
“ผมคิดว่าเราละเมียดละไมพออยู่แล้ว” เขาพูดด้วยความแน่ใจตามเคย “เราละเมียดละไมจนเกือบจะงุ่มง่ามไปเสียแล้ว ผมเป็นคนหนุ่ม เลือดผมไม่เย็นจนกระทั่งจะทนรอการเดินนโยบายแบบนี้ได้ ถ้าขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ในที่สุดมันก็จะสายจนแก้อะไรอีกไม่ได้”
“ฉันเห็นใจเธอเสมอ” ข้าพเจ้าพูดเสียงเบา “เธอจะทำอย่างไรต่อไป ?”
เจียงเฟเม้มริมฝีปาก สักครู่จึงได้ตอบ
“เราจะบังคับให้รัฐบาลใช้กำลัง”
“เลียนแบบ ค.ศ. ๑๙๑๙”
เขาพยักหน้า
“เราได้ประชุมกันเมื่อวานนี้ ที่ประชุมได้ลงมติให้มีการเดินขบวนคัดค้านความล่าช้าของรัฐบาลแล้ว”
ข้าพเจ้าจ้องหน้าเขาด้วยความสนใจ การเดินขบวนเป็นข่าวใหญ่ที่ไม่มีใครจะขาดความสนใจเสียได้
“เธอจะเริ่มเมื่อใด ?”
“พรุ่งนี้เช้า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น