๑๐

เรื่องพ่อปกครองลูก เรื่องไม้เรียวที่เป็นบ่อเกิดของความดี เรื่องฮิตเล่อร์และมุสโสลินีเรื่องเหล่านี้ได้ไหลมาเทมาจากทุกทนทุกแห่ง ข้าพเจ้านั่งฟังด้วยความสนใจและประหลาดใจ

ข้าพเจ้ากลับประเทศไทยด้วยความหวังที่ลูกประชาธิปไตยทุกคนจะพึงหวัง แต่สิ่งที่ต้อนรับข้าพเจ้านับตั้งแต่เรือคาลกันเข้าเทียบท่าบอเนียวก็คือเงาอันดำมืดของลัทธิเผด็จการ

ข้าพเจ้าคิดว่าอย่างที่เขาว่าพ่อปกครองลูกเป็นการปกครองรูปที่ควรจะใช้การได้รูปหนึ่งนั้น อาจมีความจริงอยู่บ้าง ถ้าแม้พ่อคนนี้เป็นพ่อที่ดีพอ เหตุการณ์ที่แวดล้อมและบีบรัดอยู่อาจจะทำให้เรายอมสละเสรีภาพของเราได้บ้าง เป็นการชั่วคราว เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของชาติ แต่เราจะไม่สละเสรีภาพของเราเพื่อให้พวกเทวดาเอาเสรีภาพนั้นมาใช้กับเราตามอำเภอใจเป็นอันขาด มันยุตติธรรมแล้วหรือที่จะให้เราสละเสรีภาพมากินข้าววันละสามมื้อกับปูเค็ม และในเวลาเดียวกันพวกเทวดาเขากินกันวันละสามมื้อกับเป็ดไก่และยังแถมขนมปังน้ำชา เวลาบ่ายกับสัปเป้อร์หลังจากที่เขาได้เต้นรำกันแล้วอย่างสำราญใจในตอนกลางคืน ? เรายินดีจะสละเสรีภาพให้ถ้าพวกเทวดาและญาติพี่น้องมิตรสหายของเขามากินปูเค็มพร้อม ๆ กันกับเรา และอาบเหงื่อต่างน้ำกับเราเพื่อช่วยกันสร้างชาติของเรา แต่เราจะไม่ยอมเลยถ้าจะให้เรากินปูเค็มในขณะที่เทวดาเขากินเป็ดไก่กันอย่างสุขสำราญบานใจที่สุด

ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ข้าพเจ้ากลับมาเมืองไทยด้วยความผิดหวัง ข้าพเจ้าเข้าใจว่าข้าพเจ้าคงจะได้พบมนุษยภาพอันสวยงามตามแบบที่เราเคยฝันกัน แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบหาได้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบไม่ ข้าพเจ้าได้พบอะไร ? ข้าพเจ้ามีเสรีภาพพอแล้วหรือที่จะพูดประโยชน์ส่วนรวมที่ข้าพเจ้าควรจะพูด?

เมืองไทย–คนไทย...... บ้านเกิดเมืองนอนของระพินทร์ พรเลิศ.....บ้านที่ข้าพเจ้าเกิดและเชิงตะกอนที่ข้าพเจ้าจะดับไปสู่ความเป็นเถ้าถ่าน นี่คือเมืองไทยที่ข้าพเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกจนกระทั่งเมื่อวันตายมาถึง นี่คือแผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่งชีพซึ่งข้าพเจ้าจะต้องใช้ชีวิตต่อไปในความทุกข์กายและทุกข์ใจ ข้าพเจ้าก็จำต้องหัวเราะออกมา จะให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่าอย่างไร สำหรับบ้านเกิดที่ข้าพเจ้ากลับมาพบด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมและความหวังนั้นต้องพินาศไปสิ้น ?

เมืองไทย–คนไทย ! ข้าพเจ้ามีเรื่องจะพูดมากเหลือเกินก่อนที่ข้าพเจ้าจะตาย แต่ในที่นี้ข้าพเจ้าต้องการแต่จะพูดถึงเรื่องของเทวันเท่านั้น

เทวันก็เช่นเดียวกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้พบเขาใน พ.ศ. ๒๔๗๙ ในสภาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาผิดหวังเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าผิดหวัง เขาต้องการประชาธิปไตยที่สวยงามและบริสุทธิ์ เขาได้ใช้หน้าหนังสือพิมพ์ต่อสู้เพื่ออุดมคติอันนี้มานับเป็นเวลามากกว่า ๕ ปีก่อนจะเกิดการปฏิวัติ เขาเป็นผู้ที่รับผิดชอบผู้หนึ่ง สำหรับความคิดเรื่องการปฏิวัติ เขาเกลียดระบอบของการรวบอำนาจและเขาก็ได้พบระบอบที่เขาเกลียดเต็มตาแล้ว ณ บัดนี้

สองปีในเมืองไทยหลังจาก พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้เปิดลครแห่งการต่อสู้ในหลายฉาก ข้าพเจ้าอาจจะไม่ได้แสดงอยู่ในฉากเหล่านี้ด้วยตัวของข้าพเจ้าเองทุกๆฉาก แต่ข้าพเจ้าได้ดูลครเหล่านี้อย่างใกล้ชิดในบางฉาก เทวันได้แสดงลครของเขาอย่างเลือดคนหนุ่ม ลครของชีวิตที่บอกเราว่าชีวิตคือลคร หาใช่อื่นใดไม่

การต่อสู้เพื่อจะช่วงชิงเอาประชาธิปไตยกลับคืนมาได้ดำเนินไปด้วยความดุเดือด ผลที่เกิดจากการต่อสู้นี้ ก็คือชื่อของเขาได้ไปปรากฏอยู่ใน “บัญชีดำ” ซึ่งเป็นบัญชีชุมนุมรายชื่อของราษฎรหลายคนที่พวกเทวดาเขาจงเกลียดจงชังนัก

มันจะประหลาดหรือไม่ประหลาด ข้าพเจ้าไม่ทราบที่ชื่อของข้าพเจ้าก็บังเอิญไปมีอยู่ในบัญชีดำเล่มนี้ด้วย ข้าพเจ้าคิดว่าบางทีจะเป็นเพราะข้าพเจ้าไปไหนมาไหนกับเทวันบ่อย ๆ เหตุผลที่แน่ที่สุดเหตุหนึ่งของการถูกลงบัญชีในครั้งนั้นก็คือ ข้าพเจ้าชอบเขียนเรื่องอุดมคติของลัทธิประชาธิปไตย ข้าพเจ้าบอกว่าประชาธิปไตยนั้นดีแน่ แต่ถ้าเป็นประชาธิปไตยจอมปลอมแล้ว–มันก็เป็นเรื่องความเลวทรามที่ควรจะสลดใจ

ผลของการแสดงความเห็นในหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ ในสมัยที่เขาว่าเมืองไทยเป็นประชาชาธิปไตยแล้วก็คือ ข้าพเจ้าเกิดมีองครักษ์ติดตามไม่ว่าจะหันตัวไปทางไหน ข้าพเจ้าขอบใจเทวดาผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ที่ให้ความอารักขาข้าพเจ้าเป็นอย่างดีตลอด ยุคทมิฬนั้นเทวันดูเหมือนจะหนักกว่า ข้าพเจ้า เขาริม ๆ จะเอาตัวไม่รอดทีเดียว เขาทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่ของค่ายประชาธิปไตย เขาได้กลายเป็นคนชั่วคนเลวของคนพวกหนึ่ง คือพวกเทวดาผู้มีบุญ

วันหนึ่งในฤดูร้อนค่ายประชาธิปไตยค่ายหนึ่งก็ทะลายลง หนังสือพิมพ์ของเราถูกกวาดล้างสิ้นชื่อไปจากเมืองไทย ธงของเราถูกกระชากลงมาจากเสา แต่ว่าเรายังคงโบกธงประชาธิปไตยอยู่ในหัวใจของพวกเราเสมอ

เมืองไทยเป็นเมืองประชาธิปไตย แต่หนังสือพิมพ์พูดอะไรมากไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ประชาธิปไตยของเมืองไทยในสมัยนั้นอาจมีรูปร่างคล้ายประชาธิปไตยในประเทศของผู้เผด็จการฮิตเล่อร์ก็ได้

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นคนเคราะห์ดีที่ได้เกิดมาในสมัยที่โลกมีละครเรื่องแปลก ๆ ให้ดู ข้าพเจ้าฉลาดขึ้นเมื่อได้ดูละครหลายฉากในเมืองไทย ละครเรื่องเทวดาเดินดิน ละครเรื่องของการถ่มน้ำลายออกมาแล้วก็กลับกลืนคืนกินเข้าไปใหม่ ละครเรื่องการเซ็งลี้ครั้งใหญ่ ๆ ของเทวดาหลาย ๆ องค์ ละครเรื่องสกปรกโสมมร้อยแปดที่แทบจะทนดูไม่ได้ ในวันดีคืนดีข้าพเจ้าก็พบสัตว์ประหลาดนั่งในรถเก๋งคันโต ๆ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ซึ่งประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวง แต่สัตว์ที่ข้าพเจ้าพบนี้เป็นแต่เพียงสัตว์ประหลาดเท่านั้น หาใช่สัตว์ประเสริฐไม่ ฉะนั้นโลกจึงได้มีสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่เราเพิ่งเคยเห็นในสวนซู

หลังจากที่ประตูแห่งอิสรภาพของการเขียนการโฆษณาได้ปิดลงแล้วโดยน้ำมือของเทวดาผู้มีอำนาจ เรานักหนังสือพิมพ์ก็เร่ร่อนไปในโลกอันประหลาดพิศดารของเมืองไทยพักใหญ่ เทวันนอนอยู่กับบ้านใช้เวลาส่วนใหญ่ค้นคว้าหาความรู้อยู่ในความสงบ แต่บางเวลาเขาก็วิ่งไปวิ่งมา เข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ซึ่งทำให้องครักษ์ผู้สวมเครื่องแต่งกายแบบแปลก ๆ ต้องเสียค่ารถติดตามเขาไปวันละหลาย ๆ บาท เทวันยังมีเลือดของนักสู้อยู่อย่างเต็มเปี่ยม เขายังไม่ได้แสดงความอ่อนแอให้ข้าพเจ้าได้เห็นแม้แต่น้อย เขายังคงเคารพอุดมคติของเขาอยู่โดยสม่ำเสมอ เขาคงยืนหยัดอยู่ในที่ของเขา ยอมกัดก้อนเกลือกินโดยมิได้ออกปากบ่น ยอมตายอยู่กับที่ด้วยความทรหดในหัวใจ เขายังกอดกระหวัดหลักการแห่งอุดมคติของเราไว้อย่างแน่นแฟ้น หลักการสำคัญกว่าสิ่งอื่น หลักการสำคัญกว่าบุคคล หลักการคือเกียรติยศ ข้าพเจ้าพอใจที่เทวันมิได้ทอดทิ้งหลักการของเขา เขายังเคารพตัวของเขาอยู่–เคารพเกียรติ–เคารพถ้อยคำที่ได้พูดไว้ เขาเป็นคนจริง! ข้าพเจ้าเชื่อว่าเขาเป็นคนจริง! เขาบอกว่าเขาต่อสู้เพื่อประชาชนเพราะเขาเป็นของประชาชน เขาบอกว่าเขาไม่มีความทะเยอทะยานอะไรเป็นการส่วนตัว สิ่งที่ได้ทำมาแล้วและจะทำต่อไปก็เพื่อประชาชนทั้งสิ้น เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่เป็นปากเสียงแทนประชาชนเพื่อประโยชน์ของประชาชน เขาเป็นพวกของประชาชน เขาได้ใช้เวลาไปแล้วร่วมยี่สิบปีก็เพื่อประชาชน ประชาชมคือเลือดเนื้อของเขา เพราะฉะนั้นเขาจะต้องต่อสู้จนนาฑีสุดท้ายเพื่อเลือดเนื้อของเขาเอง ข้าพเจ้าฟังเขาพูดก็ลงมือฝันต่อไปอีก–คือฝันว่าโลกนี้เป็นโลกที่บริสุทธิ์สวยงาม, มีแต่ความจริงแท้แน่นอน, ไม่มีการโป้ปดมดเท็ต, ไม่มีการถ่มน้ำลายออกมาแล้วก็กลับกลืนคืนกินเข้าไปใหม่ !

เรา–เทวันกับข้าพเจ้า–ดูเหมือนจะเป็นคนชั่วของประเทศไทย–เป็นคนที่ชาติไทยไม่ปรารถนาเรา เทวดาผู้มีอำนาจในสมัยนั้นกล่าวหาว่าเป็นคนขัดขวางชาติ เป็นผู้ที่คอยแต่จะทำลายความก้าวหน้าของชาติ เทวดาเขาถือว่าชาติไทยเป็นของเขาแต่ผู้เดียว คนอื่นไม่มีสิทธิจะออกความเห็นอะไร เขาต้องการให้เรานั่งเป็นหุ่นให้เขาเชิด เป็นท่อนไม้ที่ต้องไม่มีแม้แต่ความรู้สึก เราไม่ประหลาดใจว่าทำไมเขาจึงคิดและทำเช่นนั้น เราเข้าใจดีว่าในโลกนี้ความแน่นอนมันไม่มี นักปฏิวัติได้พากันตะโกนบอกประชาชนว่าเขาปฏิวัติเพื่อราษฎรจะได้มีโอกาสเข้ารับใช้ชาติได้ตามความสามารถ ไม่ต้องมีการจำกัดพวกจำกัดพ้องเหมือนสมัยก่อน เสียงตะโกนเหล่านั้นทำให้เราผู้เป็นราษฎรเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เป็นเสียงที่ให้ความหวังแก่เรา คือทำให้รู้จักคุณค่าของตัวเราดีขึ้น เราไม่ต้องเป็นไพรเมืองที่ไม่มีปากไม่มีมือต่อไปแล้ว เราเป็นคนอิสระ เป็นเจ้าของประเทศไทย เป็นผู้รับผิดชอบในความเจริญความเสื่อมของประเทศไทย เราพอใจที่จะได้มีส่วนในการสร้างชาติได้อย่างเต็มที่ อย่างน้อยเราก็สามารถออกความเห็นได้คือพูดได้เขียนได้ โฆษณาได้ ภายในขอบเขตกฎหมายบ้านเมือง

แต่ว่ารูปการปกครองที่เผชิญหน้าเราอยู่ ณ บัดนั้นหมายความว่ากระไร ? นี่หรือที่เราเรียกว่าระบอบประชาธิปไตย? นี่หรือที่เทวดาเขาพูดกันว่าความเสมอภาค ? ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเสรีภาพของการขีดเขียนสมัยรัชกาลที่ ๖ ยังจะดีเสียกว่า กษัตริย์จอมปราชญ์พระองค์นั้นมิได้สะทกสท้านต่อการติชมของหนังสือพิมพ์ พระองค์นับถือความคิดเห็นของราษฎร ยอมให้ราษฎรมีความเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ได้เสมอ เมื่อพระองค์ทรงเห็นไม่ตรงกันก็มิได้ส่ง “องครักษ์” ออกติดตามผู้เขียนไปทุกหนทุกแห่ง และมิได้จับผู้เขียนเข้าตรางหรือส่งไปปล่อยเกาะ สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำก็คือ เขียนออกมาโต้กันตามทรรศนะของเหตุผล นั่นเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช แต่แม้กระนั้นแล้วหนังสือพิมพ์ก็ยังพูดอะไรได้มากกว่าในสมัยของเทวันและข้าพเจ้า มันเป็นเรื่องเศร้าที่เราต้องกล้ำกลืน มันเป็นละครของความสลดใจ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคนไทยที่รักเสรีภาพทุกคนจะต้องรู้สึกเศร้าหมอง แม้แต่นักปฏิวัติหลายท่านผู้ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมชนิดที่ไม่รู้จักเสื่อมถอย ก็ย่อมจะต้องอนาถใจในเมื่อบางคนในกลุ่มของเขาได้กลายเป็นเทวดาไป ข้าพเจ้าเห็นใจนักปฏิวัติที่ซื่อตรงต่ออุดมคติของเขา เขาจะไม่กลืนกินเข้าไปอีก เราเป็นคนตงฉิน เป็นราษฎรไทยที่มีเกียรติและรักเกียรติ คนเหล่านี้เป็นคนจริง เราเคารพเขาและพร้อมที่จะส่งเสริมเขาทุกทาง เพื่อธำรงไว้ซึ่งอุดมคติของประชาธิปไตยที่แท้ เขาจะช้ำใจในเมื่อผู้ตั้งตนเป็นเทวดาหลายองค์ ได้พากันสร้าง “ราชบัลลังก์” ขึ้น เหนือพานทองของเสรีภาพ และความเสมอภาค นักปฏิวัติตงฉินเหล่านี้เป็นคนจริงต่อถ้อยคำ เมื่อประชาธิปไตยที่เขาได้มีส่วนในการก่อรูปขึ้น ต้องแปรธาตุไปจนกระทั่งเป็นประชาธิปไตยในเยอรมันนีเขาก็ย่อมทนไม่ได้ เขาเป็นนักสู้ แต่เมื่อการต่อสู้ในกาละเช่นนั้นย่อมเป็นผลร้ายแก่ประเทศ, เขาก็เลือกเอาทางหนึ่ง คือหลบเข้าป่าไปชั่วคราว.

เราเคารพเขา เพราะเขาเหล่านี้เป็นสุภาพบุรุษประชาธิปไตย ชีวิตจิตใจของเขายังคงเป็นของราษฎร เขาเกิดมาเพื่อราษฎร และจะตายเพื่อราษฎร ขอให้นักปฏิวัติเหล่านี้จงเจริญ!

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ