๑๕
ต่อจากที่ได้พบกับเจียงเหมยแล้ววันหนึ่ง ข้าพเจ้ากับไลแมนฮูเวอร์หมอสอนศาสนาชาวอเมริกันก็พากันไปสำรวจดูเหตุการณ์ที่ห้องโถงในจุงกวอต้าเฉือหรือ The China University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งหนึ่งในปักกิ่ง ในห้องโถงแห่งนี้คณะนักศึกษาในปักกิ่งได้รวบรวมเอาเสื้อผ้าของนักศึกษาทุกคนที่ถูกตำรวจทุบตีและฟันแทงมาแขวนไว้ เพื่อให้ประชาชนไปตรวจดูด้วยตาของตนเองว่าตำรวจได้ทำทารุณกรรมกับนักศึกษาที่มือเปล่าถึงขนาดไหน เราไปถึงห้องโถงเวลา ๑๐.๐๐ น. กว่า เห็นประชาชนไปมุงดูอยู่เป็นหย่อมๆ ภายในห้องอันกว้างใหญ่นั้น เสื้อผ้าของทั้งหญิงและชายแขวนอยู่เป็นระยะ ๆ โดยมากมีรอยฉีกขาดด้วยคมมีด หลายตัวเกรอะกรังไปด้วยโลหิต ซึ่งแห้งเป็นสีค่อนข้างดำ แผลตามเสื้อสังเกตได้ว่ามาจากคมดาบหน้ากว้างของตำรวจ เป็นแผลขนาดใหญ่หลายแผล แสดงว่าเจ้าของเสื้อได้ถูกฟันอย่างจังซึ่งอาจถึงตายได้ เราเดินดูรอบหนึ่งก็ออกมาข้างนอก ไลแมนฮูเวอร์พูดกับข้าพเจ้าเป็นภาษาอังกฤษว่า
“ฉันไม่เคยเห็นตำรวจที่ไหนทารุณเหมือนที่นี่ ดูไม่ผิดตำรวจในเมืองขึ้นซึ่งเป็นเครื่องมือของลัทธิจักรพรรดินิยม”
ข้าพเจ้าพยักหน้า
“มันช่วยไม่ได้ เขาถูกใช้ให้ทำเช่นนั้น ตำรวจควรเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร เมื่อมาถูกใช้เป็นเครื่องมือของคนบางคนเช่นนี้ก็น่าเสียดายอยู่ แต่มันบีบกันมาเป็นทอด ๆ มหาอำนาจเขาบีบรัฐบาล รัฐบาลก็มาบีบทางตำรวจ ฉันว่ามันเป็นเรื่องของมหาอำนาจ ถ้ามหาอำนาจตั้งอยู่ในความยุติธรรม เรื่องเช่นนี้ก็ไม่เกิด แต่มหาอำนาจหลายมหาอำนาจมีนโยบายแต่จะกอบโกยหาประโยชน์ทำนองทีใครทีมัน ประเทศเล็กหรือประเทศที่อ่อนแอกว่า จึงหาความสงบสุขไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีนโยบายชนิด to have and to hold อยู่เช่นนี้ ฉันว่าขอให้เราเลิกพูดถึงสันติภาพถาวรเสียเถิด มันเสียเวลาเปล่า ๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
ฮูเวอร์ยิ้มด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขาตอบด้วยวิญญาณของนักการศาสนาว่า
“ตราบใดที่คนเรายังไม่รู้จักรักและเห็นใจกัน ตราบนั้นเราก็จะจะไม่พูดถึงสันติภาพถาวร”
ออกจากมหาวิทยาลัยจุงกวอต้าเฉือ เราตรงไปยังโรงพยาบาล พี. ยู. เอ็ม. ซี. (Peiping Union Medical College) ที่นั่นเราได้พบนักศึกษาหลายสิบคนกำลังนอนสงบอารมณ์อยู่บนเตียงคนไข้ โดยมากมีผ้าขาวพันศีรษะแสดงว่าถูกตีถูกฟันที่ศีรษะเป็นส่วนมาก นักศึกษาหญิงคนหนึ่งถูกฟันจมูกขาด เรายืนดูด้วยความสลดใจเหลือประมาณเพราะตลอดชีวิตของเธอ ความสวยงามที่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงแสนจะหวงแหนจะไม่มีอีกแล้วสำหรับสตรีผู้นี้ ผู้ชายบางคนถูกฟันแก้มเหวอะหวะ บางคนถูกที่หน้าผาก บางคนตัดริมฝีปากและคาง ที่ถูกฟันตามหลังและแขนก็มีไม่น้อย ภาพเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดไปไกล ข้าพเจ้าคิดถึงการดิ้นรนของมนุษยชาติ ทุกคนกำลังดิ้นรวมทั้งตัวข้าพเจ้าเอง เราดิ้นเพื่อหลายสิ่งหลายอย่างแต่ไปรวมอยู่ที่จุดเดียวกัน คือความสวัสดิภาพของชีวิต ทุกคนต้องการความสุข ทุกคนต้องการความเสมอภาค ไม่มีใครต้องการเป็นทาษ ไม่มีใครต้องการถูกกดขี่ย่ำเหยียบ เราทุกคนอยู่ในกฎธรรมดา คือเมื่อร้อนก็ต้องดิ้น เมื่อเย็นก็อยู่ได้ ปัญหาของโลกมนุษย์เดี๋ยวนี้อยู่ที่ว่าแต่ละคนไม่พยายามปฏิบัติตนให้อยู่ในหลักที่เรียกว่า Golden Rule คือจงอย่าทำอะไรแก่ผู้อื่นในสิ่งที่ท่านไม่ต้องการให้ผู้อื่นทำแก่ท่าน หรืออย่างที่ขงจื๊อกล่าว ซึ่งแปลได้ในใจความอันเดียวกัน ความทุกข์ยากของมนุษยชาติทุกวันนี้อยู่ที่ความละโมภโลภหลง ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ต้องการพอกพูน ต้องการมีมากกว่าจำเป็นต้องมี แทบทุกคนพยายามใช้วิธีเอาเปรียบกัน ยื้อแย่งกดขี่กันเพื่อจะมีให้มากที่สุดที่จะมากได้ ระหว่างคน, ระหว่างครอบครัว, ระหว่างหมู่คณะ, ระหว่างประเทศชาติ การยื้อแย่งกดขี่เอาเปรียบเห็นแก่ตัวเพื่อกอบโกยให้มากที่สุดได้มีอยู่เป็นกิจวัตรตั้งแต่สมัยโลกเริ่มมีสัตว์ที่เรียกว่ามนุษย์ จนถึงสมัยของท่านและข้าพเจ้า ประชาธิปไตยที่เราท่านเทิดทูนไว้เหนือหัวทุกวันนี้เป็นเพียงลัทธิแห่งความเสมอภาคที่ พยายาม จะให้มนุษย์เสมอภาค เป็นเพียงบันไดคั่นแรกที่อาจนำไปสู่สันติสุขแห่งความเสมอภาคได้สำเร็จ ประชาธิปไตยของชาติมนุษย์ทุกวันนี้เป็นเพียงการเตรียมทางไปสู่แดนแห่งความเสมอภาคเท่านั้น ความเสมอภาค อันเป็นหัวใจของ สันติภาพถาวร ยังอยู่อีกไกล ยิ่งประชาธิปไตยที่ซ่อนลัทธิจักรพรรดิ์นิยม อันสกปรกโสมมไว้ข้างในด้วยแล้ว ก็ยังไม่มีหวังจะเตรียมสู่ทางแห่งความเสมอภาคไว้ให้ได้เลย เราต้องการประชาธิปไตยที่สูงขึ้นไปอีก–ประชาธิปไตยที่เราต้องสร้างขึ้นด้วยแนวทางของราษฎร หรือด้วยหัวใจของชาวโลกที่ไม่ถือเอาชาติเป็นใหญ่กว่าโลก เราต้องการประชาธิปไตยที่สุขสมบูรณ์–คือประชาธิปไตยของโลกไม่ใช่ประชาธิปไตยของแต่ละชาติ เราต้องการธรรมนูญของโลก ซึ่งมีอำนาจสูงสุดที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกตัวคนไม่เลือกชาติ, ไม่เลือกชั้น, ไม่เลือกศาสนา, ไม่เลือกผิว, สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความเสมอภาคในปริมาณที่เหตุการณ์แวดล้อมจะอำนวยให้ได้ โดยไม่มีประโยชน์ส่วนตัวของผู้ใดเข้ามาขัดขวางหรือลดปริมาณแห่งความเสมอภาคนั้นลงอย่างไม่มีความจำเป็น ประชาธิปไตยในรูปนี้แหละคือ แม่ของสันติภาพถาวร แต่ว่า–ท่านผู้อ่านที่รัก–ท่านคิดหรือว่าในสมัยของท่านและข้าพเจ้า โลกจะเจริญมากพอจนกระทั่งสามารถจะมีประชาธิปไตยชนิดนี้ได้ ?