ข้าพเจ้านอนรอชั่วโมงสำคัญอยู่ด้วยความตื่นเต้น พรุ่งนี้เช้าจะมีการเดินขบวน นั่นหมายความว่าจะมีการปะทะกับตำรวจตามเคย เลือดจะต้องนอง ห้องขังจะต้องเต็มไปด้วยเด็กหนุ่มและหญิงสาวซึ่งมีหัวใจรักชาติอันร้อนแรง ความสงบของปักกิ่งจะถูกทำลายพินาศในวันพรุ่งนี้ !

ท้องฟ้าสาง ลมเย็นพัดมาเบา ๆ เสียงใบหวูถุงซึ่งเสียดสีกันแกรกกรากข้างหน้าต่างห้องนอน ปลุกให้ข้าพเจ้าตื่นจากการหลับอันเต็มไปด้วยการฝันร้าย คนใช้นำกาแฟมาให้ตรงตามเวลา ข้าพเจ้าแต่งตัวค่อนข้างรีบ จิบกาแฟหมดถ้วยกออกจากบ้านขึ้น หยางเชอ ตรงไปยังมหาวิทยาลัยปักกิ่ง (The National University of Peking) ข้าพเจ้าเป็นคนไทย ไม่มีส่วนได้เสียอะไรกับเขา แต่ข้าพเจ้าต้องการจะจารึกเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นนี้ไว้ในความจำ เพื่อว่าจะได้เป็นพยานประกอบการบันทึกประวัติแห่งการต่อสู้ดิ้นรนของชาติมนุษย์สมัยหนึ่ง

มหาวิทยาลัยปักกิ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวแห่งนิสิตและนิสิตาครั้งสำคัญยิ่งใน ค.ศ.๑๙๑๙ ฉะนั้นเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงนัดชุมนุมกัน ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อนจะมีการเดินขะบวน ขณะที่ข้าพเจ้าไปถึงมหาวิทยาลัย มีนิสิตมหาวิทยาลัยแห่งอื่นมาชุมนุมรออยู่ก่อนแล้วในสนามฟุตบอลล์ มีจำนวนประมาณพันกว่าคน หลังจากนั้นอีกไม่ถึงสองชั่วโมง นิสิตนิสิตาแห่งมหาวิทยาลัยอื่นอีก ๕-๖ แห่งก็มารวมกันพร้อมสรรพ ทำให้สนามฟุตบอลล์นองแน่นไปด้วยนักกีฬาทั้งหญิงชาย แผ่นป้ายโฆษณาซึ่งเต็มไปด้วยถ้อยคำปลุกใจ และคำเรียกร้องรัฐบาลให้ใช้กำลังป้องกันดินแดนที่เสียไปได้อยู่สลอนเหนือศีรษะเด็กหนุ่มสาวอันมีจำนวนอย่างน้อยห้าพันคน ข้อความเหล่านั้นเขียนต่าง ๆ กัน แต่มีใจความพุ่งไปหาจุดเดียวกัน นั่นคือการใช้กำลังป้องกันประเทศ และให้เลิกการเจรจาทางการทูตเสีย ป้ายบางอันบรรจุข้อความเผ็ดร้อนรุนแรงจนเกือบเป็นภัยต่อความสงบสุข แต่ข้าพเจ้าเห็นใจคนเหล่านี้ ข้าพเจ้ารู้ดีว่า เลือดของความเป็นหนุ่มสาวเป็นเลือดที่ร้อนแรง ยากที่จะมีอะไรมาหยุดยั้งได้ หนุ่มสาวทุกชาติทุกภาษาย่อมมีความร้อนแรงแห่งความรู้สึกนึกคิดปาน ๆ กัน ยิ่งมากระทบเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประเทศชาติเข้าเช่นนี้ ความร้อนแรงนั้นก็ย่อมจะเพิ่มพูลยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ จนกระทั่งเกือบจะไม่มีอะไรมาสกัดกั้นไว้ได้ ข้าพเจ้าเคยเป็นคนหนุ่ม ข้าพเจ้าเคยปล่อยให้เลือดแห่งความเป็นหนุ่มลากข้าพเจ้าไปเมืองสวรรค์และเมืองนรกมาแล้ว มันเป็นธรรมชาติของคน–คนที่เกิดมาด้วยอาการ ๓๒ เหมือนกัน คนที่เกิดมาในกองกิเลศ และก็จะตายไปในกองกิเลศนั้น มันช่วยอะไรไม่ได้ดอกท่าน ตราบใดที่โลกยังเต็มไปด้วยความกดขี่เบียดเบียฬเช่นนี้ เลือดของคนหนุ่มก็จะต้องเดือดพล่านต่อไป เดือดต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา เพราะความอยุติธรรมของโลกและชีวิตก็ยังจะต้องมีอยู่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา !

ข้าพเจ้าพบกับมิตรสหายชาวมหาวิทยาลัยหลายคนทั้งหญิงและชาย เขาแสดงความแปลกใจที่ข้าพเจ้าแอบไปเดินเกะกะอยู่กับเขาด้วย “ถือว่าฉันมาเป็นพยานเถิด” ข้าพเจ้าบอก “กล้องถ่ายรูปอันนี้จะเป็นพยานให้พวกเธอเป็นอย่างดีว่า การต่อสู้ในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้จะมีความยุติธรรมเพียงใด”

ข้าพเจ้าพบเจียงเหมยน้องสาวของเจียงเฟ เธอสวมกระโปรงสีน้ำเงินแก่ ท่อนบนใส่เสื้อขาว หน้าตาแจ่มใสชื่นบานเต็มไปด้วยความพากพูมใจที่จะได้ทำหน้าที่สำคัญต่อประเทศชาติ ความตื่นเต้นปรากฏอยู่ในแววตา แต่ไม่ใช่ความหวาดสดุ้งต่ออันตรายอันจะพึงเกิดขึ้นเพราะดาบและปืนของตำรวจ

“พร้อมแล้วหรือ?” ข้าพเจ้าถาม

“พร้อมทุกอย่างแล้ว” เจียงเหมยตอบแล้วยิ้มอย่างหวานตามเคย “นั่นเธอจะไปเดินขบวนกับเขาด้วยหรือ ?”

“ฉันคงจะเข้าไปยุ่มย่ามด้วยไม่ได้” ข้าพเจ้าตอบ “แต่จะไปดูเหตุการณ์”

“ก็จะมีอะไรนอกจากเลือดฝ่ายเราจะต้องไหล” เด็กหญิงอายุ ๒๐ ปีพูดอย่างแน่ใจ “ฉันเตรียมใส่เสื้อมารับดาบของตำรวจคงจะได้สีแดงกลับไปโรงเรียน หรือมิฉะนั้นก็โรงพยาบาลหรือหลุมฝังศพ”

ข้าพเจ้าจ้องหน้าเจียงเหมยเฉยอยู่ ในใจนึกไปถึงเจียงไน่อาน บรรพบุรุษของพี่น้องคู่นี้ เลือดของเจียงไน่อานทหารเอกของราชบัลลังก์มังกรผู้ปราบขบถท่ายผิง Taiping Rebellion ยังคงไหลอยู่ในร่างกายของเจียงเฟและเจียงเหมยอย่างพร้อมบริบูรณ์

ข้าพเจ้าไม่ได้พบเจียงเฟ แต่ข้าพเจ้าเห็นเขาขณะที่บรรดาหัวหน้านักศึกษามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ผลัดกันขึ้นไปแสดงสุนทรพจน์ปลุกใจบนเวทีที่ทำเตรียมไว้ โดยรอบเวทีกลางแจ้งนี้ นิสิตและนิสิตาของมหาวิทยาลัยกว่า ๑๑ แห่งได้ยืนล้อมอยู่โดยรอบทุกคนมีกิริยาตื่นเต้นและเร่าร้อน ทุกครั้งที่ผู้แสดงสุนทรพจน์พูดถูกใจก็โห่ร้องปรบมือกันเสียงสนั่นหวั่นไหวโดยมิได้สนใจต่อตำรวจมากกว่า ๑ โหลที่ทางการส่งมาคอยระวังเหตุการณ์อยู่ที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยด้านตะวันตก พร้อมด้วยปืนสั้นและปืนยาวครบมือ.

ข้าพเจ้าถ่ายรูปที่ประชุมใหญ่ของนักศึกษาทั่วกรุงปักกิ่งไว้ ๑ รูปโดยปีนขึ้นไปบนหน้าต่างชั้นที่ ๔ ของตัวตึกหอนอนหลังใหม่ซึ่งเพิ่งปลูกเสร็จไม่กี่เดือนมานี้ เจียงเฟเป็นหัวหน้านักศึกษาคนที่สาม ซึ่งขึ้นไปแสดงสุนทรพจน์ เขาก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยท่าทางอันแช่มช้ามั่นคง ดวงหน้าไม่มีรอยยิ้ม ดวงตาแข็งกร้าวมองตรงไปทางเบื้องหน้า กิริยาท่าทางของเขาเหมือนราชสีห์ที่มีหัวใจเบ่งพองเต็มไปด้วยความองอาจถือตัว เขายืนตระหง่านนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มิได้พูดหรือแสดงกิริยาอย่างใด รอจนกระทั่งเสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือเบาบางลงไปแล้วจึงได้เริ่มสุนทรพจน์ด้วยน้ำเสียงอันห้าวหาญหนักแน่นและเด็ดขาด.

 

  1. ๑. ดูเรื่อง เมื่อหิมะละลาย ในหนังสือพิมพ์สวนอักษร

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ