๒
เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงหัวใจรักชาติของเจียงเฟ ข้าพเจ้าก็อดที่จะนิยมเขาไม่ได้ หัวใจรักชาติของเขาไม่ใช่หัวใจรักชาติของผู้หลงชาติ เจียงเฟรักบ้านเกิดเมืองนอน แต่เขาไม่ได้เอาความรักนั้นมาเป็นเครื่องมือสำหรับเหยียบย่ำชาติอื่น เขาเป็นตัวอย่างของชาวจีนรุ่นใหม่ที่ดี ถือความยุติธรรมเป็นหลักสำคัญในการรักชาติ ไม่ก้าวร้าวระรานผู้ใด ไม่เห่อหื่นตื่นเต้นปล่อยอารมณ์เอะอะโวยวายอย่างคนชั้นต่ำ ไม่เย่อหยิ่งอวดดีหลงคิดไปว่า ประเทศจีนเป็นมหาอำนาจซึ่งควรที่จะคิดข่มขี่ประเทศที่เล็กกว่าได้ง่ายๆ ความบีบคั้นที่จีนได้รับจากมหาอำนาจต่างชาติมาเป็นเวลาร้อยกว่าปี ได้สอนให้เขารู้จักเห็นอกเห็นใจมนุษยชาติอื่นที่ถูกบีบคั้นเช่นเดียวกัน เจียงเฟได้มรดกของความสุภาพถ่อมตัวมาจากบรรพบุรุษของเขา มรดกก้อนนี้เป็นมรดกเก่าแก่มีอายุพันๆ ปีขึ้นไป ชาติจีนเป็นชาติที่สุภาพ ไม่ใช่ชาติที่รุกรานผู้อื่น ประวัติศาสตร์ชนชาติจีนตลอดเวลาหลายพันปีก็ยืนยันอยู่เช่นนี้ เจียงเฟพูดให้ข้าพเจ้าฟังเสมอว่า เขาถือคติว่ามนุษย์ในโลกนี้ยังจะรวมกันเป็นชาติเดียวไม่ได้ เพราะขนบธรรมเนียมประเพณีและประโยชน์มิได้กลมกลืนกัน มนุษย์แต่ละชาติจำเป็นที่จะต้องรักชาติของเขา ป้องกันชาติของเขาให้พ้นจากอันตรายที่จะมาเบียดเบียน แต่ในฐานะที่ได้เกิดมาร่วมโลกกัน ก็จำเป็นจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไปมาหาสู่ติดต่อกันอยู่เสมอ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ชอบที่มนุษย์ทั้งปวงจะพึงหันหน้าเข้าพูดกันแลกเปลี่ยนประโยชน์ซึ่งกันและกันในทางที่ควร แต่ทุกวันนี้มนุษย์ทั้งหลายทำเช่นนั้นหรือ ? เจียงเฟถามข้าพเจ้าเมื่อ ๑๐ ปีกว่ามาแล้ว ในเวลานั้นมนุษย์เขาไม่ทำเช่นนั้น คือไม่หันหน้าเข้าพูดจาปราศรัยกัน เขาถือว่าการพูดกันไม่มีประโยชน์ เมื่อได้โอกาสเขาก็ปล่อยให้ปืนพูดทันที โดยเหตุนี้เราจึงได้เห็นสงครามที่ไม่ประกาศ (Undeclared war) มีอยู่ทั่วไป ชาติเล็กหรือชาติที่อ่อนแอถูกย่ำเหยียบเบียดเบียนหาความสุขมิได้ มันเป็นโลกของใครดีใครได้ ทีใครทีมัน มันเป็นโลกของการเอาเปรียบเห็นแก่ตัว ไม่ใช่โลกที่เจริญแล้วด้วยมนุษยธรรมความเป็นคน เรา เจียงเฟกับข้าพเจ้า ได้มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกเศร้าใจเกินที่จะพูดอะไรได้ แต่เจียงเฟเป็นคนเคราะห์ร้ายเกินที่จะได้แลเห็นแสงสว่างของความหวัง เขาตายไปก่อนที่จะได้แลเห็นโลกมีสันติภาพ ข้าพเจ้าอาจเป็นคนเคราะห์ดีที่ได้มีชีวิตรอดลูกปืนลูกระเบิดมาได้จนถึงเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าเสียดายเจียงเฟที่ไม่มีโอกาสได้รอดชีวิตมามองดูโลกสันติภาพด้วยความพากภูมิใจ แต่ว่า–ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราต้องไม่ลืมว่าสันติภาพจะมีอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่ได้รับความพึงพอใจตามควรในสิทธิแห่งการมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นสิทธิที่มนุษย์ทุกคนควรจะมี สันติภาพจะยั่งยืนอยู่ได้ก็เพราะเราพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา ขออย่าพูดถึงหลักวิชาของท่านนักปราชญ์เลย ขอให้เรามาพูดถึงของจริงๆ ที่เผชิญหน้าเราอยู่–นั่นคือทำอย่างไรจึงจะทำให้มนุษย์เคารพสิทธิ์แห่งการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน และมีความเห็นอกเห็นใจกัน เยี่ยงผู้เจริญทั้งหลาย เอากันเท่านี้ก่อนเถอะท่าน ! ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นอยู่ข้อหนึ่งคือว่า ตราบใดที่เรายังมีการสอนให้มนุษย์หลงชาติของตนอยู่ ตราบนั้นโลกก็ยังจะมีสันติภาพไม่ได้ ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความเฉพาะประเทศเล็ก ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าหมายถึงประเทศมหาอำนาจ ข้อนี้ข้าพเจ้าขอชี้แจงไว้ให้ชัดเจน เพราะในสมัยที่พึ่งจะผ่านไปแล้วชั่วครู่ยามนี้เอง ข้าพเจ้าก็จวนเจียนจะเอาตัวไม่รอด เพราะพูดถึงสันติภาพและการหลงชาติ ท่านผู้มีอำนาจไม่ต้องการจะให้ข้าพเจ้าพูดเช่นนั้น ท่านไม่ได้ศึกษาให้ละเอียดว่าข้าพเจ้าพูดเช่นนั้น ข้าพเจ้าหมายถึงประเทศไหน ท่านได้แต่ฟังบรรดาอำมาตย์ผู้จงรักภักดีซึ่งแวดล้อมท่านอยู่ตามโต๊ะอาหาร เมื่อฟังแล้วท่านก็ลงความเห็นว่า ข้าพเจ้าเป็นคนใช้ไม่ได้–เป็นคนที่เมืองไทยไม่ต้องการ หรือจะพูดให้สั้นเข้าอีกก็พูดได้ว่า เป็นคนที่ท่านไม่ต้องการ เพราะฉะนั้นผลที่สุด ชื่อของข้าพเจ้าก็ไปปรากฏอยู่ใน “บัญชีดำ” (Black List) ข้าพเจ้าประหลาดใจตัวเองอย่างยิ่งว่าทำไมข้าพเจ้าจึงรอดชีวิตมาได้จนบัดนี้ ข้าพเจ้าควรจะถูกอำนาจคร่าห์เอาตัวไปยิงเป้าเสียนานแล้ว เพราะการชอบพูดถึงสันติภาพและความอัปรีย์ของการหลงชาติ ระพินทร์ พรเลิศ ควรจะตายเสียเมื่อหลายปีก่อน แต่เขาก็ยังไม่ตาย บางทีสวรรค์อาจจะยังใจบุญอยู่ที่จะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอีก เพื่อเขียนความในใจให้จบเรื่องเสียก่อน ความในใจของระพินทร์เป็นเรื่องยืดยาว เป็นเรื่องหลายเรื่อง มันอาจจะจบลงได้พอดีเวลากับความตายที่สวรรค์ประทานมาให้