๑๕

ในที่สุดเราก็ได้เผชิญหน้ากัน......เทวันกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าเป็นวันสำคัญเพราะจะได้รู้เรื่องกันเสียทีว่าเทวันจะไปทางไหนแน่ เทวันจะไปขวาไปซ้าย หรือขึ้นสวรรค์ลงนรก ไม่ใช่เรื่องของข้าพเจ้า เขามีสิทธิจะคิดจะทำทุกอย่าง แต่การที่ข้าพเจ้าต้องการรู้เรื่องของเขานี้มิใช่ข้าพเจ้าต้องการจะเข้าไปยุ่มย่ามกับสิทธิในการใช้เสรีภาพของเขา ข้าพเจ้าต้องการรู้ก็เพราะข้าพเจ้าจะได้จัดการกับตัวเองให้ถูกต้องกับกาละเทศะในการคบค้าสมาคมกับเพื่อนเก่าคนนี้

ข้าพเจ้าจะไปพบเทวันที่บ้านดาวคะนองในตอนเช้าวันหนึ่ง วันนั้นจำได้ว่ามีตลาดนัดที่วงเวียนใหญ่ ผู้คนไปเที่ยวกันคับคั่ง ข้าพเจ้าเดินวนเวียนอยู่รอบเดียวก็ตัดตรงข้ามทางรถไฟไปยังบ้านเทวัน ขณะที่ไปถึงก็พบเทวันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตามเคยที่ระเบียงเรือน เขาเรียกกาแฟมาให้ข้าพเจ้าด้วย เราสนทนากันด้วยเรื่องร้อยแปด ผลที่สุดก็หันมาหาเรื่องบ้านเรื่องเมืองตามเคย

เทวันพยายามเลียบเคียงถามเรื่องพายัพข้าหลวงนำเบอร์หนึ่งว่าไปถึงไหนแล้ว ข้าพเจ้าได้ตัดเทวันออกจากบัญชีของเราแล้ว เพราะเหตุที่เขาจะเอาเรื่องคอขาดบาดตายเรื่องนี้ไปปรึกษาเมีย ดังนั้นจึงมิได้เล่าอะไรมาก เป็นแต่บอกว่า เรายังไม่ได้คืบหน้าอะไรมากนัก เพราะยังไม่มีโอกาส ข้าพเจ้าแถมท้ายว่า บางทีเราอาจเลิกล้มความคิดเสียมิได้

“มันเป็นเรื่องใหญ่เกินที่จะทำได้ในวันสองวัน” เขาบอกข้าพเจ้า “ฉันพร้อมจะร่วมมือด้วยเหมือนกัน แต่เราต้องคิดกันให้ดี”

“เธออย่าไปกังวลให้เสียเวลา” ข้าพเจ้าตัดความ “เรื่องนี้เรายังไม่ได้คิดอะไรกันมาก อาจจะเป็นลม ๆ ไปก็ได้ ทำงานเขียนหนังสือของเธอไปดีกว่า”

เขาพยักหน้า

“หมู่นี้ออกเบื่อ ๆ ชอบกล ฉันไม่อยากจะคิดจะทำอะไรมาก ดูมันไม่แน่ไปเสียหมด มีคนมาหนุนให้สมัครผู้แทนแต่สตางค์ไม่มีจะสู้เขา”

“ชื่อเสียงเธอก็ดีอยู่นี่นา เห็นจะไม่ต้องใช้เงินมาก”

“อะไรได้ ฉันยังไม่ถึงยังงั้นดอก เงินเป็นพระเจ้า ถ้าไม่มีเงินก็อย่าโดดเข้าไป”

“ฉันอยากให้เธอเข้าไปนั่งในสภานักหนังสือพิมพ์ อย่างเธอเข้าสภาได้คงจะครึกครื้น”

“ก็คงจะสนุกพอใช้ แต่ยังหรอกระพินทร์ ฉันยังอยากอยู่เงียบๆ อ่านหนังสือไปก่อน เรายังมีเวลา”

“แต่ถ้าเข้าได้สมัยอย่างนี้ก็คงจะฝากชื่อไว้มาก ฉันต้องการให้เธอเข้าไปค้าน”

“หมายความว่าต้องการให้ฉันติดตรางเร็วเข้ายังงั้นหรือ ?”

“การติดตรางเพราะอุดมคติของเรา คือการสวมมงกุฎให้แก่งานหนังสือพิมพ์ที่เธอต่อสู้มาตลอด ๒๐ ปี”

เขามองหน้าข้าพเจ้า ดูเหมือนจะหยุดใช้ความคิดนิดหนึ่งจึงได้ตอบ

“เธอพูดถึงการต่อสู้ ทำให้ฉันนึกได้ว่าพวกเราได้สำบุกสำบันกันอย่างไร ยี่สิบปี...มันเป็นบทเรียนที่ดี”

“หมายความว่าอย่างไร ?”

“ฉันได้ต่อสู้มายี่สิบปี และไม่ได้รับความยุติธรรมเลย”

ข้าพเจ้านิ่งมองดูหน้าเขา กิริยาของข้าพเจ้าทำให้เทวันอธิบายต่อไปอีก

“ฉันมาสรุปความได้ว่า เราทำอะไรเป็นเด็กมากไป”

“ฉันยังไม่เข้าใจเลย” ข้าพเจ้าพูดอย่างรำคาญ

“มันเป็นเรื่องเข้าใจอยากสักหน่อย” เทวันหยุดคิดนิดหนึ่ง “เดี๋ยวนี้ฉันอายุ ๔๐ ปีแล้ว มาคิดได้ว่าความสำเร็จในโลกนี้อยู่ที่กาละเทศะ เราจะดันทุรังเอาหัวชนฝาให้ทะลุไปนั้นไม่ได้”

ข้าพเจ้ายังคงนิ่งอยู่

“ฉันเปิดหนังสือพระบ่อย ๆ หมู่นี้ได้สติว่ากาละเทศะ และสายกลางเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เราได้ต่อสู้มาด้วยเลือดคนหนุ่ม เรายอมที่จะยืนตายอยู่กับที่ เราจะไม่ถอยหลังเลยสักก้าวเดียว เราถือว่าเราเสียเกียรติถ้าทำเช่นนั้น แต่เธอคิดไหมว่า ทหารยังรู้จักถอย ?”

ข้าพเจ้าเริ่มมองเห็นจุดของเขา จึงตอบว่า

“การถอยหลังเป็นกลยุทธอย่างหนึ่ง เราไม่ปฏิเสธการถอย มันสำคัญอยู่ที่ว่าเราถอยเพราะยอมแพ้—ยอมทิ้งอุดมคติ—ยอมเป็นขี้ข้าเขา.....หรือว่าเราถอยหาชัยภูมิ เพื่อจะต่อสู้กับเขาใหม่”

“เธอเข้าใจดีเหมือนกัน” เทวันยิ้มพูด “ฉันไม่ได้หมายความว่าเรายอมแพ้ ในโลกนี้จะทำอะไรย่อมต้องการวิธี ถ้าไม่มีวิธีก็ทำไม่สำเร็จ เราใช้วิธีเพื่อความสำเร็จของอุดมคติ เมื่อเราต้องการความสำเร็จเราก็ต้องมีวิธี ฉันได้ต่อสู้มา ๒๐ ปี โดยวิธีของคนหนุ่ม เอาหัวชนฝาสู้ยอมตายอยู่กับที่ แต่ฉันได้รับอะไรบ้าง........ ? สันติบาลสะกดรอย... หวิดๆ จะนอนตราง........ ถูกเกลียดชัง........”

“การสะกดรอย และการติดตราง เพื่ออุดมคติเป็นการแสดงเกียรติของนักสู้ที่บูชาความจริง เธอไม่ได้ขาดทุนเลย”

“แต่ฉันไม่ได้รับความสำเร็จ”

“ความสำเร็จเธอได้รับอยู่แล้ว เธอเป็นเทพบุตรของประชาชนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

เขาส่ายหน้า

“การเป็นเทพบุตรของประชาชน แต่ไม่ได้รับความสำเร็จจริง ๆ เลย มันจะมีประโยชน์อะไร ทุกวันนี้ฉันรู้สึกว่าเราแข็งเกินไป เราพายเรือทวนน้ำ เราไม่มีกาละเทศะ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเป็นอย่างนี้ ฉันรู้สึกว่าจะต้องผ่อนเบาลงบ้าง เพื่อความสำเร็จของงาน”

“ผ่อนเบาอย่างไร ?” ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจเต็มที เพราะรู้สึกว่าจุดสำคัญของการสนทนากับเทวันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว.

เทวันดูดบุหรี่อย่างลึก ทอดศีรษะพิงพนักเก้าอี้ ตามองดูเพดานท่าทางใช้ความคิดอย่างสุขุม คำถามของข้าพเจ้าทำให้เขาต้องคิดอย่างระมัดระวัง เพราะการตอบทันทีทันใดอาจจะทำให้เขาต้องผูกมัดตัวเองจนแก้ไม่ออก เขาเป็นคนละเอียด เดินหมากรุกทีละหลายตา เขาคิดไปข้างหน้า, คิดทุกซอกทุกมุม, พยายามไม่ให้มีช่องโหว่เหลืออยู่เลย ถูกแล้วเขาเป็นคนละเอียด เป็นคนปากหวาน เป็นนักการทูตเหตุผลที่หว่านล้อม และถ้อยคำที่เคลือบด้วยน้ำตาลทำให้คนโดยมากยอมจำนนต่อคำพูด และหลงบูชาเขาเหมือนเทพบุตรผู้มีใจสูงเป็นนักบุญ ข้าพเจ้าได้คบค้าสมาคมกับเทวันมาแต่เด็ก เขามีแววเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน และระมัดระวังตัวมาก จะพูดจาก็ต้องไตร่ตรองเสียอย่างรอบคอบซึ่งเป็นลักษณะที่ข้าพเจ้าเคยนึกชมอยู่ในใจ เมื่อข้าพเจ้ามาพบเขาอีกครั้งหนึ่งในเวลาเกือบ ๑๐ ปี หลังจากที่เราจากกัน เขาก็ยังไม่ทิ้งแววเดิมมีแต่ทวีความละเอียดรอบคอบมากขึ้น เขามีท่าทีเต็มไปด้วยความกรุณาอารีย์ แต่ท่าทีเหล่านั้นข้าพเจ้าสังเกตได้ว่า เขาได้พยายามตบแต่งอย่างแนบเนียนน่าดูด้วยศิลปของการแต่งจริตกิริยาในการสมาคม ซึ่งเขาคงจะได้พยายามร่ำเรียนมาจากวงการสมาคมของเขา ระหว่างที่เราจากกันนานหลายปี การแต่งจริตเหล่านั้นอาจทำให้เขาน่าดูขึ้น สำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับข้าพเจ้ารู้สึกว่าเหมือนกับได้พบผู้หญิงทาปากทาเล็บสีแดงและเขียนคิ้วสีดำ ซึ่งมิใช่ความน่าดูที่เป็นไปโดยธรรมชาติ การตบแต่งจริตกิริยาเหล่านี้ทำให้เทวันผิดไปจากเทวันคนเก่า แววตาที่เต็มไปด้วยความราบรื่นบริสุทธิ์ของเขา บัดนี้ดูจะมีอะไรซ่อนอยู่ ซึ่งบางครั้งทำให้ข้าพเจ้าว้าเหว่ใจคล้ายกับอยู่ในป่าดงพงพี ซึ่งต้องระวังภัยอยู่ทุกฝีก้าว ข้าพเจ้าเริ่มพินิจเทวัน เริ่มศึกษากิริยาท่าทีใหม่ ๆ ของเขา แต่อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าก็ไม่มีความกล้าจะลงความเห็นได้ว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงไป ข้าพเจ้ายังรักเขาอยู่ เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ เพื่อนที่มีประวัติของมิตรภาพอันหอมหวานตลอดเวลายี่สิบปี

ท่าทีของเทวันที่ปรากฏต่อหน้าข้าพเจ้า ณ บัดนี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกไปถึงนักหนังสือพิมพ์เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งซึ่งเคยปรารภกับข้าพเจ้าถึงเรื่องราวของเทวัน ตลอดเวลาเกือบ ๑๐ ปีที่ข้าพเจ้าจากไป เขาบอกข้าพเจ้าว่า เทวันไม่ใช่เทวันคนเก่าเสียแล้ว เขากล่าวหาว่าข้าพเจ้าเป็นคนโง่ ไม่ประสีประสากับโลกมนุษย์—เป็นคนที่เชื่อคนง่ายมองอะไรดีไปหมด เขาสงสารความโง่งมงายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่พอใจที่เขาหมิ่นเอาเช่นนั้น และความไม่พอใจของข้าพเจ้าได้ทวีขึ้นเมื่อเขาพูดถึงเทวันในแง่ที่ไม่ดี เช่นกล่าวหาว่าเทวันคิดแต่เรื่องของตัว หวังแต่ความเป็นใหญ่ของตัวไม่ต้องการจะให้เพื่อนฝูงคนใดล้ำหน้าเขาหรือแม้แต่เท่ากับเขา เพื่อนคนนั้นถามข้าพเจ้าว่า เคยเห็นเทวันชมใครหรือเปล่า, ยกย่องเพื่อนคนใดหรือเปล่า, ส่งเสริมเพื่อนที่มีท่าทางจะก้าวหน้าคนใดหรือเปล่า ข้าพเจ้าตอบว่าเขาอาจส่งเสริมอยู่ในใจก็ได้ ข้าพเจ้าโกรธเพื่อนคนนั้นที่กล่าวร้ายต่อเทวัน ข้าพเจ้าคิดว่าเขาคงจะผิดใจหรือริษยาเทวันก็ได้.

อย่างไรก็ดี, เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าอดที่จะต้องตั้งข้อพินิจเทวันไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมปล่อยใจให้เชื่อว่าเทวันได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว.

แล้วเหตุการณ์ที่ได้ผ่านไปจนกระทั่งถึงวันนี้—วันที่เรามาเผชิญหน้ากัน เพื่อทำความรู้จักกันให้แน่นอนเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของเรา มันไม่ประหลาดหรือท่านที่เราเพิ่งมารู้จักกันเมื่ออายุเข้ารอบ ๔๐ ปี ?

คำถามของข้าพเจ้าทำให้เทวันนิ่งคิดอยู่ขณะหนึ่ง แต่ครั้นแล้ว เขาก็ตอบออกมา.

“คำว่าผ่อนเบา ฉันหมายความถึงกาละเทศะ หรือจังหวะ, ไม่ได้หมายความว่าเราจะเลิกทำงานกัน” หยุดเว้นระยะนิดหนึ่ง “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ต้องการจังหวะสิ้น ความสำเร็จต้องการ จังหวะ ต้องการความพอดี เราปฏิเสธความจริงข้อนี้ไม่ได้ ขอให้ดูการแทงบิลเลียด การตีปิงปอง, การตีเทนนิส, การเต้นรำ, การเล่นดนตรี สิ่งเหล่านี้ต้องการจังหวะเสมอ ถ้าเราตีเทนนิสผิดจังหวะ ลูกจะไม่วิ่งและแขนจะเคล็ดเปล่า ถ้าเราสีซอผิดจังหวะ เพลงจะฟังไม่รู้เรื่อง และหาความไพเราะไม่ได้ จังหวะเป็นของสำคัญเหลือเกินในการดำเนินชีวิต ในการสมาคม ในการงานทุกอย่าง จังหวะเป็นเครื่องบันดาลความสำเร็จ ถ้าเราคบคนผิดเวลา หรือไปหาคนผิดเวลาเราก็จะได้ประโยชน์น้อย หรือไม่ได้ประโยชน์เลย ในโลกนี้วิธีเป็นของสำคัญ เรามีชีวิตอยู่กันมาก็ ๔๐ ปีแล้ว เราควรจะรู้ดีว่า ทำอะไรต้องมีวิธี จะทำอย่างคนอื่น ๆ เหมือนคนละเมอเวลานอนหลับนั้นไม่ได้ เหล่านี้คือประเด็นของคำว่าผ่อนเบา แต่ก่อนเราทำอะไรกันรุนแรงนัก ยอมเอาหัวชนกำแพงเสมอ แม้จะมีภูเขาขวางหน้าอยู่ลูกเบ้อเร่อ ถ้าลงจะไปแล้วก็ต้องไปให้ได้ เราพยายามจะเป็นนะโปเลียน, เป็นฮันนิบัล, เป็นผู้ชนะดินฟ้าอากาศ เราคิดว่าเป็นเช่นนั้นเป็นของดี แสดงว่าเราเป็นคนทำอะไรทำจริง ใจคอเด็ดเดี่ยวไม่ย่นย่อท้อถ้อย เรายอมตายเพื่ออุดมคติของเรา นั่นมันเลือดของคนหนุ่ม—เลือดที่ไม่มีเหตุผลและความพอดี เราต้องการอะไร? ความสำเร็จไม่ใช่หรือ ? เมื่อเรารู้ว่าจังหวะและความพอดีเป็นเครื่องบันดาลความสำเร็จ ก็เหตุไฉนเราจึงจะไม่ทำเล่า ? เรายังหลงอยู่ตามเคยหรือว่า การเอาหัวชนกำแพงเป็นของดี—เป็นเครื่องบันดาลความสำเร็จ ? เหตุการณ์ที่แล้ว ๆ มาได้พิศูจน์ให้เห็นหมดแล้วว่า ถ้าเราขืนเอาหัวชนกำแพงบ่อย ๆ เราจะสำเร็จไม่ได้ เราควรจะรู้ว่าการเอาหัวชนกำแพงเป็นการแสดงความบ้าบิ่น ไม่ใช่การใฝ่หาความสำเร็จ ถ้าเราต้องการความสำเร็จเราก็ต้องมีจังหวะ แต่ถ้าเราต้องการจะแสดงความบ้าบิ่น เราก็อาจจะเอาหัวชนกำแพงต่อไปได้ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ฉันได้ค้นพบใหม่ แม้จะพบเมื่อมีอายุได้ ๔๐ ปี แต่ก็ยังไม่นับว่าสายจนเกินไป ฉันมีความเห็นว่าเราควรเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เราต้องรับของจริง เราจะฝันต่อไปไม่ได้แล้ว เรามีเวลาเหลือเป็นของเราอีกไม่ถึง ๒๐ ปี”

ข้าพเจ้านิ่งฟังเทวันด้วยความสนใจ คำพูดอันยืดยาวของเขาทำให้ข้าพเจ้าต้องคิด และคิดนานทีเดียว นั่นคือปรัชญาแนวใหม่ของเทวัน–ปรัชญาของความสำเร็จ—ปรัชญาที่จะสร้างความรุ่งเรืองให้แก่ชีวิตบั้นปลายของเขา—ปรัชญาของจังหวะที่สร้างความสำเร็จให้แก่ชีวิตของคนตามคติของเทพบุตรนักหนังสือพิมพ์ผู้นี้ ปรัชญาใหม่! ท่านเข้าใจว่าอย่างไร ? หมายความว่าเราจะต้องทำอะไรให้มีจังหวะ, ต้องรู้โอกาส, ต้องรอน้ำขึ้นน้ำลง, ต้องคอยสมัยเวลา, ดูฟ้าดูดิน, เช่นนั้นหรือ ? ฟังดูแล้วก็น่าเลื่อมใส ข้าพเจ้ายอมรับว่า จังหวะเป็นของสำคัญ ข้าพเจ้าเป็นนักเทนนิสคนหนึ่ง คือ หมายความว่าชอบเล่นเทนนิส ไม่ใช่เก่งเทนนิส ข้าพเจ้ารู้ดีว่า จังหวะในการที่ลูกสำคัญนัก ถ้าผิดจังหวะลูกไม่วิ่งและแขนเคล็ดด้วย ข้าพเจ้าลองเปรียบการตีลูกเทนนิสกับการตีหัวคน การตีของสองสิ่งนี้ต้องการจังหวะเหมือนกัน การตีหัวคนถ้าผิดจังหวะหัวอาจไม่แตก เช่นเดียวกับตีลูกเทนนิส ถ้าตีผิดจังหวะลูกอาจไม่วิ่ง แต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย, การตีลูกเทนนิสกับการตีหัวคน อาจต้องการจังหวะคล้าย ๆ กัน แต่ผลการตีนั้นต่างกันมาก การตีเทนนิสให้ความสนุกสนานรื่นเริง แต่การตีหัวคนทำให้เลือดไหลหรือหัวโน ท่านต้องการจังหวะในการตีหัวคนด้วยเหมือนกันเช่นนั้นหรือ ? แน่นอน, ไม่ผิดเลย, มันเป็นปรัชญาของคนฉลาด—ปรัชญาของนักสู้ที่เริ่มมีชีวิตใหม่ในรอบ ๔๐ ปี.

ข้าพเจ้าไม่พยายามพูดอะไรเลยได้แต่ฟัง เทวันพูดต่อไปว่า

“ฉันได้ต่อสู้มาแล้ว ๒๐ ปีเต็ม พอกันทีสำหรับการเอาหัวชนกำแพง ฉันจะต้องมีชีวิตใหม่ที่ถูกต้องตามกาละเทศะ ฉันต้องยอมว่ากาละเทศะเป็นของสำคัญมาก คนเราถ้าอยู่ไปในโลกนี้โดยไม่แยแสต่อกาละเทศะเสียเลยแล้ว ก็จะมีชีวิตรุ่งเรืองไม่ได้ พวกเราได้ทิ้งกาละเทศะเสียนาน เราได้อวดดีกันเรื่อยมา ตั้งตัวเป็นคนหัวแข็ง ต้องการแต่จะอยู่ตรงกันข้ามกับฝ่ายมีอำนาจ เราชอบขวางเรือเวลาน้ำเชี่ยว มันจะมีประโยชน์อะไร มันก็ล่มเท่านั้นเอง และเมื่อเราล่มแล้ว ก็ไม่เห็นมีใครพุทโธ จะหาคนเห็นใจสักคนก็ไม่มี นี่เป็นเมืองไทย ไม่ใช่เมืองสวรรค์ที่เต็มไปด้วยอุดมคติของการเสียสละ พวกเราหลายคนเคยชินกับการรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีมานาน จนมองเห็นการเสียสละเป็นการอวดดี...เป็นการแสดงความบ้าบิ่น...เป็นการเล่นละครตลก, คนที่ยอมเสียสละเพื่ออุดมคติ ถ้าทำสำเร็จก็เสมอตัวหรืออาจถูกยกย่องเป็น เทวดาชั่วคราว ก็ได้ แต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็ถูกกระทืบซ้ำและลืมเลย พวกเราไม่ชอบอนุสาวรีย์, ไม่ชอบจดจำความดีของคน เราต้องการแวบเดียวยามเดียว, ชอบกอปี้แบบ, ชอบเอาอย่าง, ชอบทิ้งของเก่าทั้ง ๆ ที่ของเก่าก็เกือบไม่มี เราเห็นชีวิตเป็นของง่าย เพราะมีศาลาวัดเหลืออยู่มาก เราเห็นการต่อสู้, การขับเคี่ยวเพื่ออุดมคติ เป็นงานของคนบ้า ๕๐๐ จำพวก เมื่อพวกเราหลายคนเป็นเสียเช่นนี้ เราจะไปนั่งเสียสละอยู่เพื่ออะไร ? เราไม่มีเหตุผลเลยไม่ใช่หรือที่จะไปเที่ยวกวาดบ้านให้คนอื่นโดยที่เจ้าของบ้านเขาไม่ต้องการ และไม่เข้าใจว่าเหตุใดเราจึงทำเช่นนั้น ? เธออย่าด่าฉันเลย ระพินทร์ ขอให้พยายามเข้าใจฉันสักหน่อยเถิด ฉันไม่ว่า ถ้าเธอจะเที่ยววิ่งเอาหัวของเธอชนกำแพงต่อไป เพราะนั่นเป็นสิทธิ์ของเธอ แต่โปรดเคารพสิทธิ์ของฉันบ้าง คือสิทธิ์ที่จะคิดจะทำตามที่ฉันเห็นว่าควรจะคิดจะทำ เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่สมัยที่เราจะเที่ยวย่ำไปตามถนนเพื่อหาพล๊อตแต่งเรื่องและซื้อเต้าฮวยกินกันคนละชามอย่างที่เคยทำเมื่ออายุ ๑๗ ขวบ เหตุการณ์เหล่านั้นเราฝังมันไว้ในหลุมฝังศพของเวลาจนหมดสิ้นแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก สมัยนี้เป็นสมัยของเรื่องจริงและของจริง เราต้องพบกับความเหนื่อยยากที่ไม่มีการตอบแทน, ต้องพบกับความขมขื่นที่สังคมได้ทำให้แก่เรา, ต้องพบกับเล่ห์เหลี่ยมและความหลอกลวงร้อยแปดพันประการ ซึ่งแต่ก่อนเราเห็นว่าเป็นของประหลาดที่สุด อันที่จริงมันธรรมดาที่สุดและไม่ประหลาดเลย สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องคิดบ้าง โลกที่เราพบทุกวันนี้ ไม่ใช่โลกที่เราจะนั่งฝันเล่นได้สนุก ๆ เหมือนแต่ก่อน มันเป็นโลกของการต่อสู้ที่ไม่มีกฎกติกาอะไรเลย สิ่งที่ฉันได้พบมา ได้สอนบทเรียนให้แก่ฉัน เธอคงไม่รู้ว่าการที่หนังสือพิมพ์ของเราถูกปิดคราวนี้ ทำให้ฉันตัดสินใจได้เด็ดขาด ฉันมองเห็นได้ตลอดปลอดโปร่งว่าการเอาหัวเที่ยวชนกำแพงไม่มีประโยชน์เลย เพราะถ้าหัวไม่แตกก็ต้องโนเท่านั้นเอง เราต้องเลิกวิธีเอาหัวชนกำแพงเสียที เราต้องมีวิธีการใหม่ที่แนบเนียนสุขุมสมกับอายุ ๔๐ ปีของเรา เรามีเวลาเหลือน้อยแล้วที่จะสร้างตัว เราต้องมองดูให้ดีก่อนที่จะทำอะไรเราต้องบวกลบคูณหาร เราไม่มีเวลาแล้วที่จะยอมขายของขาดทุนเพื่ออุดมคติ หรือเพื่อความโง่ความบ้าของเรา เธอคงคิดว่าฉันเห็นแก่ตัว แต่ฉันขอบอกว่าฉันต้องอยู่ในโลกนี้อย่างผู้ที่เผชิญกับความจริงและของจริง”

ข้าพเจ้านั่งฟังด้วยความสนใจ และเมื่อเขาปิดปากลงแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตามเดิม ชั่วขณะหนึ่งต่อมา ข้าพเจ้าจึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า

“แปลว่า เราเลิกคิดเลิกพูดถึงอุดมคติกันได้แล้ว”

“เราก็จะคิด” เทวันพูดโดยน้ำเสียงอันมั่นคง “แต่เราจะต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ การใช้วิธีเก่าสู้กับอำนาจเป็นวิธีของการเอาหัวชนกำแพง เราจะไม่พบความสำเร็จอะไรเลย ถ้าเราต้องการให้อุดมคติได้รับความสำเร็จ เราก็ต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้ และวิธีนั้นก็คือการทำอะไรให้ถูกกาละเทศะ”

“นั่นเป็นปรัชญาใหม่ของเธอ ?” ข้าพเจ้าชะโงกหน้าเข้าไปนิดหนึ่ง ขณะที่ถาม

“มันไม่ใช่ของใหม่ มันเป็นของปุถุชนคนทั่วไป เขาปฏิบัติกันอยู่ทุกวัน”

“เออ” ข้าพเจ้าไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น.

“วันแห่งความเพ้อฝันของฉันได้สิ้นสุดลงไปแล้ว” เทวันพูดต่อไป “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันจะมีชีวิตใหม่ ฉันจะอยู่เพื่อของจริง ๆ ที่ล้อมอยู่รอบตัวของฉัน ฉันแลเห็นตลอดแล้วว่าทุกวันนี้ โลกเราต้องการแต่ของปลอม ใครรักจะเล่นของแท้ก็ต้องเสียใจไปเอง เมื่อเราอยู่ในดงของปลอม เราก็ต้องเดินวิธีให้เรามีชีวิตอยู่ได้ เราไม่ต้องการจะรุกรานใคร เราต้องการป้องกันตัวและช่วยตัวเองมากกว่า”

“เธอพูดความจริงที่ไม่มีใครจะกล้าเถียงเธอได้” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น

“ฉันได้ใช้เวลามากกว่า ๒๐ ปีค้นหาความจริงข้อนี้ และบัดนี้ฉันได้พบแล้ว เราหนีความจริงข้อนี้ไม่ได้ดอก, ระพินทร์, ขอให้เชื่อเถิด เรื่องของจังหวะ... เรื่องของกาละเทศะเป็นของสำคัญเหลือเกิน เราต้องทำอะไรให้ถูกจังหวะ, ให้ถูกกาละเทศะ, เราต้องไม่ขวางโลก, ต้องไม่ทำอะไรให้ผิดเวลา เราจะเถรตรงยืนตายอยู่กับที่ไม่ได้ เราจะยึดมั่นอะไรไม่ยอมเปลี่ยนก็ไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนไปตามสมัย ฉันมีความเห็นว่าหากเราจะยึดมั่นอะไรไม่ยอมแพ้ไม่ยอมเปลี่ยนเสียเลยแล้ว ก็เท่ากับเราหลอกลวงตัวเองด้วยมารยาที่เราอาจคิดไม่ถึงว่าเป็นมารยา ทั้งนี้ก็เพราะว่าโลกนี้เป็นโลกของความเปลี่ยนแปลงเป็นโลกของอนิจจัง, เป็นโลกที่ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เมื่อไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนเช่นนี้ ถ้าเราจะไปมัวเที่ยงแท้แน่นอนอยู่, เราก็จะต้องเต้นงิ้วไปคนเดียว และนอนตายอยู่คนเดียว เราต้องหันเหไปตามสายน้ำและสายลมบ้าง เราจะมัดตัวเองอยู่กับเสาตะพานโดยไม่ยอมแก้เชือกนั้นไม่ได้ เพราะว่าขืนทำเช่นนั้นก็จะถูกน้ำท่วมตายอย่างไม่มีปัญหา”

ข้าพเจ้าพยักหน้า สองตาเพ่งพิจารณาดูอากัปกิริยาและสีหน้าของเทวัน หน้านั้นเคร่งเครียดเต็มไปด้วยความเอาจริง เขาพูดความในใจของเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ก็ดีเหมือนกันที่เราจะอยู่กันไปด้วยความเป็นจริง” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น “ความเป็นจริงของโลกมนุษย์ที่เธอว่า ฉันเห็นด้วย แต่ฉันเห็นว่า ถ้าเราไม่ต้องการจะช่วยกันแก้ความเป็นจริงที่กลับกลอกเหล่านั้นให้ดีขึ้นแล้ว โลกก็คงไม่มีทางจะดีขึ้น”

“เราไม่มีทางจะแก้มันได้เลย” เทวันพูดอย่างตรึกตรอง “เดี๋ยวนี้โลกเต็มไปด้วยของปลอม คนทั้งโลกเขาชอบของปลอม ไอ้แมวอะไรคนหนึ่งอาจมีคนนับหน้าถือตาทั่วเมือง ถ้าเขาบังเอิญมีเงินหรือมีอำนาจมากพอ ทุกวันนี้คนโดยมากเขาคบกันที่ไหนเธอรู้ไหม? เขาคบกันที่รถเก๋ง, ที่ตึก, ที่เสื้อผ้าอาภรณ์, ที่ตำแหน่งหน้าที่การงาน, ที่เงินและอำนาจ, เขาไม่ได้คบกันที่หัวใจ ส่วนมากเขาเอาหน้ากากสรวมเข้าไว้แล้วก็โค้งให้กันด้วยมารยาทที่สวยงามสุดจะพรรณาได้ ก็เมื่อโลกมันเต็มไปด้วยของปลอมเช่นนี้ เราก็ต้องคิดถึงตัวบ้าง, เราต้องเลี่ยงเอาบ้าง, หลีกเอาบ้าง, เพื่อรักษาตัวของเราไว้ก่อน ขอให้เชื่อเถิดระพินทร์, ในโลกนี้การใส่หน้ากาก และการทำอะไรให้ได้จังหวะจะโคน ยังเป็นของจำเป็นอยู่”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ