ท่านผู้อ่านที่รัก, ถ้าท่านได้บังเอิญผ่านไปทางนครปักกิ่งในสมัยที่ได้มีการเดินขบวนคัดค้านการกระทำของรัฐบาลจีนครั้งนั้น ท่านคงจะได้พบความรู้สึกบางประการที่อาจทำให้ท่านเกือบเข้าใจไม่ได้ว่าในโลกนี้มนุษย์เราได้เป็นอะไรไปแล้ว ความเจริญของชีวิตกับความเจริญของจิตใจ ดูไม่มีโอกาสที่จะติดตามกันทันได้เลย เงินกับอำนาจยังเป็นสิ่งที่คนเป็นอันมากต้องการอยู่เสมอ ความรักชาติและการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นแต่เรื่องเหลว ๆ ของการสนทนาที่โต๊ะอาหาร นักปฏิวัติที่ตะโกนบอกว่าเขาเสียสละเพื่อชาติ–ประชาธิปไตย หลาย ๆ คนมักเป็นแต่เพียงตัวลครที่แสดงบทที่หลอกลวงที่สุดให้เราดู ประวัติของคนเหล่านี้ได้พิสูจน์ให้เราเห็นอย่างชัดแจ้งว่า เขาปฏิวัติเพื่ออะไร ในเมืองจีนเราได้พบนักปฏิวัติเป็นจำนวนมากมาย ทั้งที่ควรยกย่อง และควรเหยียดหยาม นักปฏิวัติที่ดีตายแล้วก็เกือบไม่มีอะไรติดตัว เขาเกิดมาด้วยความยากจน นั้นเป็นความยากจนที่คนดีอิจฉา เพราะเป็นความยากจนที่เต็มไปด้วยเกียรติอันสูงสุด คู่เคียงกับนักปฏิวัติผู้ตายด้วยเกียรติหล่านี้ เราก็ได้พบกับนักปฏิวัติจอมปลอมที่ต้องการแต่เงินกับอำนาจ ก่อนการปฏิวัติเขาเป็นคนอยู่ตามเรือนแถวสัปะรงเคมีชีวิตเกลือกกลั้วอยู่กับฝุ่นตามถนน แต่เมื่อได้ปฏิวัติแล้วคนพวกนี้ได้กลายเป็นเจ้าของปราสาทอันสวยงาม เลิกเดินถนนเพราะมีรถเก๋งชนิดต่าง ๆ ขี่, มีเงินฝากธนาคารเป็นจำนวนหมื่น แสน ล้าน, มีที่ดินซึ่งได้กว้านซื้อไว้เป็นจำนวนร้อยพันไร่ มีโรงงานอุตสาหกรรมที่จะช่วยให้เขากอบโกยเงินทองเข้าได้อีกโดยไม่จำกัดปริมาณ เขาปฏิวัติเพื่ออะไร ? ข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ด้วยตาอย่างชัดแจ้งเหล่านี้ไม่ได้บอกบรรดาราษฎรผู้ยากจนทั้งปวงดอกหรือว่า เขาปฏิวัติเพื่อกระเป๋าของเขาเอง ?

เท่านี้ยังหาพอไม่–ยังไม่ร้ายแรงพอที่จะทำให้เราหมดหวังในความเป็นผู้เป็นคนของคนเหล่านี้ นักปฏิวัติจอมปลอมที่ข้าพเจ้าพูดถึงเป็นแต่เพียงโกงราษฎร เรายังมีนักปฏิวัติที่ร้าายกาจยิ่งไปกว่านี้ คือนักปฏิวัติผู้ขายชาติ.

ข้าพเจ้าเห็นใจเจียงเฟ เขาบอกข้าพเจ้าว่า เขาพร้อมแล้วที่จะเอาชีวิตเข้าแลกกับชีวิตของนักปฏิวัติผู้ขายชาติซึ่งมีอยู่ไม่น้อยในเมืองจีน ข้าพเจ้าอยู่เมืองจีนนานพอที่จะเห็นใจชาวจีนผู้รักชาติของเขาด้วยความสงบเสงี่ยมและสุจริตใจ ชาวจีนที่ดีเหล่านี้ต้องขมขื่นเพียงไรที่ได้เห็นพี่น้องผู้มีอำนาจบางคนใช้อำนาจในหน้าที่ทำการขายชาติของตนให้แก่ต่างประเทศ เจียงเฟรู้ดีว่าจีนเหนืออาจจะต้องหลุดไปเป็นของต่างชาติในไม่ช้าโดยวิธีการอันโสมมของนักการเมือง ที่กำลังวางแผนการเตรียมจะยื่นมณฑลภาคเหนืออย่างน้อย ๕ มณฑลให้แก่ต่างประเทศ เพื่อจะแลกเปลี่ยนกับอำนาจหน้าที่และประโยชน์ส่วนตัว ความรู้สึกของเขากับของนักศึกษาทั้งปวงมีความดุเดือดไม่แพ้ความรู้สึกของนักศึกษาที่เดินขบวนรุ่นแรกเมื่อประมาณ ๓๐ ปีมาแล้ว (ค.ศ. ๑๙๑๙) ในสมัยนั้นก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นคล้ายคลึงกัน ประเทศจีนกำลังพร้อมที่จะฉลองสันติภาพ เพราะเหตุที่สงครามในยุโรป ซึ่งสมัยนั้นเขาเรียกกันว่า “สงครามเพื่อความเสมอภาคแห่งมนุษยชาติ” ได้สงบลงแล้ว ประเทศจีนได้มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมที่ได้รับประโยชน์จากการเข้าสงครามโดยวิธีส่งกุลีจำนวนหมื่นแสนคนเข้าไปขุดดินในยุโรป แต่ความหวังย่อมเป็นที่เกิดของความผิดหวัง เพราะฉะนั้นจึงเกิดปัญหาแหลมชานตุงขึ้น ซึ่งถ้าจีนแก้ตก แหลมนี้ก็จะต้องตกไปเป็นของต่างชาติ บรรดาประชาชนชาวจีนพากันโกรธแค้นมาก เพราะการที่จะต้องเสียแหลมชานตุงอันเป็นบ้านเกิดของศาสดาจารย์ขงจื๊อไปเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคาดหมายของชาวจีนทั้งปวง พวกนักศึกษาจีนซึ่งมีมหาวิทยาลัยปักกิ่ง (The National University of Peking) เป็นมหาวิทยาลัยนำ ได้ทุ่มเทความโกรธแค้นไปให้รัฐบุรุษจีน ๓ คน โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้ชายชาติเพื่อเงินและอำนาจ พวกนักศึกษาได้นัดเดินขบวนกันในตอนเช้าวันอาทิตย์ที่ ๔ เดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๑๙ วันนั้นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีจำนวนประมาณสามพันคนได้พากันเดินขบวนไปยังสถานทูตต่างชาติ เพื่อขอร้องให้พิจารณาปัญหาเรื่องแหลมชานตุง ซึ่งกำลังจะหลุดลอยจากอธิปไตยของจีนไปอยู่ในร่มธงชาติอื่น เมื่อเดินไปถึงหน้าสถานทูต ตำรวจก็เข้าขัดขวางอย่างเข้มแข็ง นักศึกษาไม่สามารถจะยื่นคำร้องทุกข์ของตนได้ จึงหันไปทางบ้านของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าชายชาติ คือนายเฉารู่หลิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และลงมือทำลายบ้านเรือนเสียยับเยิน ตำรวจได้เข้าขัดขวางและจับนักศึกษาไป ๓๓ คน แต่มติมหาชนที่นักศึกษาจุดให้ลุกสว่างขึ้น ณ บัดนั้นได้ทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีความครั่นคร้ามยำเกรงเสียงประชาชนอยู่มาก จึงไม่กล้าหักหาญกับนักเรียน ๓๓ คนที่ตนจับเอาไป พอกักได้ ๓ วันก็ปล่อยตัวกลับบ้าน เหตุการณ์ที่ปักกิ่งขณะนั้นได้กลายเป็นอาณัติสัญญาที่ปลุกให้นักศึกษาตามหัวเมืองต่างพากันลุกขึ้นขวางนโยบายการเมืองของรัฐบาลอย่างเต็มที่ ในเมืองไคเฟิงตำรวจกับนักศึกษาได้ปะทะกันอย่างร้ายแรง เป็นผลให้เกิดการกักกันนักศึกษา ๒ โรงเรียนไว้ในเขตโรงเรียน ไม่ยอมปล่อยให้ออกมาตะโกนชักชวนประชาชนไปในทางให้ขัดแย้งกับรัฐบาลได้ต่อไปอีก แม้แต่จะถูกกักกันนักศึกษาก็สามารถส่งความรู้สึกทางใจไปยังบรรดาพ่อค้าทั้งหลายได้โดยทั่วถึง และปลุกปั่นให้พ่อค้าเลิกทำการค้าขายกับชนบางชาติ (boycott) ในเวลาเดียวกันก็พยายามส่งเสริมสินค้าพื้นเมือง โดยจัดนักเรียนที่ชำนาญในทางอาชีวะศึกษาออกไปช่วยสอนวิธีทำสินค้าต่าง ๆ ออกขายแก่ประชาชน การบอยคอตต์และวิธีการส่งเสริมสินค้าพื้นเมืองได้แพร่หลายออกไปทั่วประเทศ ซึ่งทำให้สถานะการณ์ในประเทศจีนขณะนั้นตึงเครียดแทบจะรักษาความสงบไว้ไม่ได้ รัฐบาลได้พยายามทุกทางที่จะทำลายองค์การนักศึกษาเสียให้หมดสิ้น แต่การกระทำของรัฐบาลกลับเป็นการให้นักศึกษาทั่วประเทศพากันโกรธแค้นมากขึ้นทุกวัน วันคืนผ่านไปด้วยความอบอ้าวเร่าร้อนอย่างน่าสดุ้งสะเทือน พอถึงวันที่ ๔ ที่ ๕ เดือนมิถุนายนปีเดียว (ค.ศ. ๑๙๑๙) นักศึกษาในกรุงปักกิ่งก็นัดกันออกไปยืนแสดงปาฐกถาตามถนนหลวงเป็นแห่ง ๆ ทั่วบริเวณอันกว้างขวางของมหานครปักกิ่ง ปาฐกทุกคนได้ชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบถึงสาเหตุอันไร้ความยุติธรรมที่จีนจะต้องเสียแหลมชานตุงไป และชักชวนให้ทุกคนพยายามลุกขึ้นต่อต้านเพื่อรักษาฟ้าแลดินผืนสำคัญนี้ไว้ การกระทำของนักศึกษาเป็นการก่อความไม่สงบอย่างร้ายแรง ตำรวจจึงเข้าจับนักศึกษาไปขังไว้ประมาณ ๙๐๐ คน ในเวลาเดียวกันนครเซี่ยงไฮ้ก็เกิดอลหม่านขึ้นอย่างน่ากลัว นักศึกษาได้ออกเดินขบวนและชักชวนให้ประชาชนลุกขึ้นคัดค้านรัฐบาล ซึ่งเดินนโยบายไม่เข้มแข็งพอจนกระทั่งชานตุงจะต้องหลุดลอยไปเป็นของต่างประเทศ การเดินขบวนของนักศึกษาในเซี่ยงไฮ้ได้จุดชนวนแห่งความยุ่งยากขึ้นอีกชะนวนหนึ่ง ไฟแห่งความไม่สงบได้ลุกลามไปทั่วเมืองท่าอันใหญ่ยิ่งของตะวันออก พ่อค้าจีนได้ทำการสไตรค์พร้อมใจกันปิดร้านหยุดทำการค้าขาย เป็นผลให้ธุระกิจในมหานครแห่งนี้หยุดนิ่งเหมือนหนึ่งไม่มีชีวิต การเคลื่อนไหวในด้านอาชีพแน่นิ่งไปหมด ทุกคนไม่ยอมทำอะไรแม้แต่ขอทานกลางถนน และพวกหัวขะโมยก็พากันนั่งอยู่เงียบ ๆ ซึ่งเป็นผลดีสำหรับประชาชน คือสามารถนอนหลับได้อย่างสบายเป็นเวลาถึง ๕ คืนโดยไม่มีการโจรกรรมเลย ความสงบในเซี่ยงไฮ้ได้แผ่ออกไปนอกเมือง และกระจายไปตามเมืองต่าง ๆ โดยรอบ ยิ่งนานวันก็ยิ่งตีกว้างออกไปทุกที จนกระทั่งผลที่สุดประเทศจีนทั้งประเทศก็ตกอยู่ในกะทะน้ำมันใบใหญ่ ซึ่งเดือดพล่านอยู่ด้วยความโกรธ

รัฐบาลจีนไม่สามารถจะต่อต้านอิทธิพลของนักศึกษาทั้งประเทศได้เลย เพราะเสียงของเด็กหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้นได้ดังเข้าไปถึงจิตใจของประชาชนทุกตัวคน ซึ่งก่อให้เกิดเป็นมติมหาชนก้อนมหึมา ยากที่รัฐบาลจะต้านทานไหว เมื่อได้เห็นชัดแล้วว่าขบวนของนักศึกษาเป็นกำแพงเหล็กที่รัฐบาลไม่อาจจะพังให้ทลายลงไปได้แม้แต่น้อย รัฐบาลก็ต้องยอมแพ้ต่อเลือดของเด็กหนุ่มในท้ายที่สุด โดยยอมให้นักศึกษาออกยืนแสดงปาฐกถาตามถนนได้อย่างอิสระเสรี ยอมขออภัยต่อนักศึกษาที่ถูกจับ ยอมปล่อยตัวนักศึกษาที่ขังไว้ออกเป็นอิสระ และยอมขับไล่รัฐมนตรีซึ่งถูกกล่าวหาว่าขายชาติออก ๓ คน

เมื่อได้ชัยชำนะแล้วเช่นนี้ องค์การนักศึกษาก็ดำเนินงานคืบหน้าออกไปอีกก้าวหนึ่งคือ ประกาศให้ประชาชนเลิกซื้อสินค้าของประเทศที่มุ่งหวังจะยึดครองชานตุง การบอยคอตต์ครั้งนั้น ได้ตีวงออกไปกว้างขวางกว่าครั้งใด ๆ ตลาดทั่วประเทศจีนได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก การตัดสินใจอย่างแข็งแรงของคณะนักศึกษาซึ่งมีกำลังกระจายอยู่ทั่วประเทศตั้งแต่ปักกิ่งจนถึงกวางเจาได้กลายเป็นกำลังใจส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง ที่ทำให้รัฐบาลตกลงใจไม่ยอมลงชื่อในสัญญาแวร์ไซลส์.

นั่นคือความสำเร็จครั้งแรกของนักศึกษาทีมใจกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับดาบและปืน ตลอดจนคุกตราง.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ