๘
จดหมายของเทวันทำให้ข้าพเจ้าต้องนั่งคิดอยู่นานที่ขอบหน้าต่างข้างต้นห่ายถาง ข่าวการปฏิวัติในเมืองไทยได้มาถึงข้าพเจ้า โดยทางโทรเลขซึ่งปรากฏอยู่ในหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ ทั้งจีนและอังกฤษ ทุกฉบับ ประมาณวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่ยิ่งข่าวหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตกตะลึงเมื่อสหายผู้หนึ่งมาบอกว่าหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเมืองไทยปฏิวัติแล้ว. ในที่สุดเมืองไทยก็เป็นประชาธิปไตย ! ข้าพเจ้ามีความยินดีที่คนไทยจะได้มีสิทธิ์ดีขึ้นในการปกครองตัวเอง ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ข้าพเจ้าจะใช้สิทธิของข้าพเจ้าได้เต็มที่ภายในขอบเขตของกฎหมาย
จดหมายของเทวันฉบับแรก ดูจะตื่นเต้นจนลืมเล่าถึงตำแหน่งของพระเจ้าแผ่นดินอยู่–คือพระเจ้าแผ่นดินในระบอบรัฐธรรมนูญ
ข้าพเจ้าถอนหายใจยาวเมื่อได้ข่าวล่าที่สุดนี้ เมืองไทยยังมีพระเจ้าแผ่นดินอยู่ ข้าพเจ้าคิดว่าผู้ก่อการทุกคนได้คิดถูกต้องแล้ว ทุกคนมีความสุขุมรอบคอบพอที่จะเข้าใจว่าเมืองไทยยังไม่พร้อมที่จะขาดพระเจ้าแผ่นดินเสียได้ในขณะนี้ ดินฟ้าอากาศของเรายังไม่เปลี่ยนจนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินไม่มีความจำเป็น ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าถือว่าพระเจ้าแผ่นดิน (ในภาวะเช่นนี้) เป็นศูนย์กลางของความเป็นปึกแผ่นของชาติ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าการลบล้างประเพณีโดยวิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่าจะเกิดผลดี ในเมื่อเจ้าของประเพณี–คือราษฎร–ยังไม่พร้อมที่จะทิ้งประเพณีของเขา เมื่อรากฐานคือราษฎรยังไม่พร้อมที่จะรับรองลัทธิประชาธิปไตยที่ไม่มีเจ้าแผ่นดิน การปฏิวัติที่จบลงด้วยการรักษาเจ้าแผ่นดินไว้ เพื่อประโยชน์ในด้านความเป็นปึกแผ่นของชาติ จึงย่อมเป็นการกระทำที่ชอบด้วยเหตุผลส่วนรวม ข้าพเจ้าคิดว่าเมืองไทยเหมาะที่จะเป็นประชาธิปไตยแบบนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าเองเป็นนักประชาธิปไตยผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าพอใจที่เมืองไทยได้มีระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย ข้าพเจ้าไม่มีความลำเอียงเป็นการส่วนตัวว่าประชาธิปไตยควรจะเป็นรูปใด สิ่งข้าพเจ้าต้องการก็คือความสำเร็จของลัทธิประชาธิปไตย ที่เรานำมาปลูกไว้ในแผ่นดินของคนไทย ความสำเร็จของงานทุกชนิดในโลกนี้อยู่ที่ความพอดีหรือกาละเทศะ รูปของประชาธิปไตยควรจะเป็นไปตามกาละเทศะมากกว่าสิ่งอื่นใด ความเจริญก้าวหน้า, ความสงบร่มเย็น, ตลอดจนความเป็นปึกแผ่นของชาติเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนา ข้าพเจ้ามิได้เคยตั้งความปรารถนาไว้ในส่วนตัวบุคคลหรือในหมู่หนึ่งคณะใด ข้าพเจ้ามีความซื่อตรงต่อตนเองมากพอที่จะพูดได้อย่างเปิดเผยว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าเคารพก็คือ หลักการ ไม่ใช่บุคคล ตราบใดที่หลักการที่ข้าพเจ้าเคารพยังมิได้ถูกลบล้างไปโดยเหตุผลที่ดีกว่า ตราบนั้น, สำหรับข้าพเจ้า หลักการนี้ก็ยังคงใช้ได้อยู่. หลักการของข้าพเจ้าในเรื่องนี้ก็คือ ความสำเร็จของลัทธิประชาธิปไตยในเมืองไทย โดยวิธีที่เหมาะสมกับชีวิตจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ในภาวะความเป็นอยู่ที่แวดล้อมอยู่ณปัจจุบันกาล ข้าพเจ้าสนใจเฉพาะความสำเร็จของประชาธิปไตยของคนไทย ข้าพเจ้ามิได้สนใจต่อบุคคลผู้ใดหรือชนหมู่ใด ข้าพเจ้าไม่เดือดร้อนว่าใครจะเข้าใจข้าพเจ้าไปในทางใด เพราะอย่างน้อยก็คงจะมีดวงตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์ชั้นบนที่เป็นพยานให้ข้าพเจ้า ว่าข้าพเจ้าซื่อตรงต่อความสำเร็จของชาติไทยที่ข้าพเจ้ารักและบูชา
แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง.
ญี่ปุ่นเข้ายึดแมนจูเรียในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๗๕ สงครามระหว่างญี่ปุ่นกับจีนฉากแรกได้เปิดแย้มกว้างออกทุกที รอเวลาที่จะเปิดออกอย่างเต็มฉากใน พ.ศ. ๒๔๗๙
ในระหว่างที่ปักกิ่งเต็มไปด้วยความอลเวง......ในระหว่างที่โลกสะเทือนไปด้วยคลื่นของความไม่สงบ......ในระหว่างที่ข้าพเจ้าได้พบวารยา ราเนฟสกายา และจางหลิน..... ประนุทก็เขียนจดหมายมาอีกฉะบับหนึ่ง ใจความตอนหนึ่งว่าดังนี้
“........นุทอยากจะได้ไปเรียนแพทย์ที่ปักกิ่ง ถ้าไม่มีอะไรที่น่าห่วงจนเกินไป เรื่องภาษาไม่รู้สึกตกใจนักเพราะเมื่อมีความตั้งใจที่ไหนก็คงจะมีความสำเร็จที่นั่น สิ่งที่คนอื่น ๆ เขาเป็นห่วงก็คือเรื่องสงครามจีนญี่ปุ่น นุทเข้าใจว่าคงจะอดมากกว่าสำเร็จ คุณแม่ท่านคัดค้านเต็มที่ แต่นุทเชื่อว่าเมื่อพี่อยู่ได้ ทำไมนุทจะอยู่ไม่ได้ ทุกวันนี้นุทคิดถึงพี่เสมอ เป็นห่วงร้อยแปด แต่นุทจะไม่ห่วงเลยถ้าแม้ได้ไปอยู่ใกล้ ๆ กับพี่.
เมืองไทยในระบอบประชาธิปไตยกำลังแตกตื่นกันด้วยเรื่องของเสรีภาพ มีคนหลายคนเข้าใจว่าทุกวันนี้ใครจะทำอะไรก็ได้ ทุกคนเท่ากัน มีเสรีภาพกันเต็มที่ ใช้เสรีภาพกันเต็มที่ เด็กผู้ชายเกี้ยวผู้หญิงเป็นตั้งแต่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เขาว่าเขามีเสรีภาพจะทำเช่นนั้น เรากำลังเป็นโรคบ้าเสรีภาพกัน ถ้าพี่กลับมา คงจะเห็นเมืองไทยแปลกตาไป ดูเหมือนเรากำลังพยายามจะก้าวหน้าอยู่ทุกทาง นุทเข้าใจว่าลัทธิประชาธิปไตยคงจะทำให้เมืองไทยเจริญรุ่งเรืองได้เป็นอย่างดี ถ้าแม้เราปฏิวัติกันจริงๆ ตอนนี้เป็นระยะเริ่มแรก ดูขยันขันแข็งกันดีอยู่ ขอให้ขยันและซื่อตรงเหมือนอย่างที่พูดเถิด ประชาชนจะแซ่สร้องสรรเสริญ
“กำลังคอยจดหมายของพี่ เดือนนี้ดูเงียบไป บางทีจะกำลังติดธุระ.........”
เมืองไทยปฏิวัติแล้ว เมืองไทยกำลังมีเสรีภาพในการพูด ในการเขียนและในการโฆษณา ข้าพเจ้าตื่นเต้นในลัทธิประชาธิปไตยของเมืองไทย ข้าพเจ้าพอใจในอุดมคติของนักปฏิวัติ เขาเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของราษฎร......ไม่ต้องการกอบโกยยศศักดิ์และเงินทองเป็นการส่วนตัวเลย...... ข้าพเจ้าเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ........เชื่อว่าอุดมคติของนักปฏิวัติเป็นอุดมคติที่สูงส่ง ลาภยศเงินทองจะไม่ฉุดอุดมคตินี้มาเกลือกกลั้วกับความโลภหลงอันโสมมได้เลย ตลอดชีวิตอันมีค่าของเขาแต่ละคน