๑๔

ข้าพเจ้าพบพายัพแล้ววันนั้นก็กลับมานอนก่ายหน้าผากอยู่หลายวัน “เพื่อประชาธิปไตย เราจะไม่ทำอะไรกันบ้างหรือ?” คำถามประโยคนี้ยังก้องอยู่ในหู วันนั้นเราคุยกันจนค่ำ และเลยไปรับประทานอาหารกันที่ห้อยเทียนเหลา ขณะที่จะเข้าประตูภัตตาคาร ข้าพเจ้าเหลือบเห็นองครักษ์ยืนเบิ่งอยู่ข้างรถอ๊อสตินเก๋งสีดำ ซึ่งจอดอยู่หน้าภัตตาคาร ข้าพเจ้ากระซิบบอกพายัพ แล้ว เราก็หัวเราะอยู่ในคอ “เธอเป็นคนมีบุญ” พายัพว่า “ไปไหนมีคนตามหลังเสียเรื่อย”

เราสรุปความกันว่า เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ให้ความบีบรัดกดขี่เช่นนี้ มันเป็นปัญหาเรื่องเวลา–เวลาเท่านั้น

ข้าพเจ้านึกถึงเทวัน เขาเป็นเพื่อนของพายัพเหมือนกัน เขาควรจะได้ทราบเรื่องของเราบ้าง อย่างน้อยเทวันก็เป็นนักประชาธิปไตยที่ได้ต่อสู้มามากคนหนึ่ง เขาคงจะต่อสู้ต่อไป

ข้าพเจ้าไปหาเทวันที่บ้านในเย็นวันหนึ่ง พบเขาอยู่กับกระดาษดินสอตามเคย.

“มากินเหล้ากันสักเย็นหนึ่งเถิด กำลังเหงาอยู่ทีเดียว” เขาพูดอย่างยิ้มแย้ม “นี่นึกยังไงจึงโผล่มา”

“มีเรื่อง” ข้าพเจ้าพูดพลางนั่งลง “นี่ไม่ออกไปไหนบ้างหรือ ?”

“ก็ไปบ้าง เราก็ยังติดต่อกับคนอยู่ ถ้าไม่เล่นการเมือง การเมืองมันก็เล่นเรา”

ข้าพเจ้าสดุ้งใจ วันนั้นเทวันบอกว่าเบื่อชีวิตด้วยการอยู่เงียบ ๆ แต่วันนี้เทวันจะเล่นการเมืองเสียอีกแล้ว ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า เขาหมายความว่ากระไร หรือว่าเขาจะพูดเล่นอย่างที่เคยพูดเมื่อเขามีอารมณ์สนุก

“นี่จะเล่นการเมืองกันอีกหรือ ?” ข้าพเจ้าถามทีเล่นทีจริง

“ก็มันจะเล่นเราไม่ใช่หรือ ?” เขาย้อนถาม “หรือเธอเห็นว่าเราหนีมันพ้น”

“จะออกหนังสือพิมพ์อีกกระมัง?” ข้าพเจ้าอดที่จะถามไม่ได้

เขาไม่ตอบว่ากระไรเป็นแต่ยิ้ม ๆ เทวันมักยิ้มเมื่อเขาต้องเผชิญกับปัญหาที่ตอบไม่ได้ หรือไม่อยากจะตอบ อาการยิ้มของเขามักมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังเป็นนิจ

“ไหนว่าเมื่อกี้มีเรื่องอะไรหรือ?” เขาเปลี่ยนคำถาม

ข้าพเจ้าลากเก้าอี้เข้าไปใกล้ เทวันทำท่าผิดปรกติ ดูเหมือนจะสงสัยในอากัปกิริยาของข้าพเจ้า

“บ้านเมืองของเราทุกวันนี้ เธอมีความเห็นอย่างไรบ้าง ?” เสียงของข้าพเจ้าเบามาก

เทวันสบตาข้าพเจ้าคล้ายกับจะถามว่านี่จะมาไม้ไหนกันแน่ ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นเพื่อนพูดเล่น ๆ กับเขา ดังนั้น คำพูดประโยคนี้จึงมีความหมายหนักมากสำหรับเทวัน

“นี่เรามากินเหล้าหรือมาคิดขบถกันแน่” เขาหัวเราะและไม่ความสนใจกับอากัปกิริยาที่เอาจริงของข้าพเจ้า

“ไม่ใช่ขบถดอก เธอใช้คำหนักไปอย่างพวกเราไม่มีวันกบถ ฉันไม่ชอบคำเช่นนี้”

“ดูมีอารมณ์แปลกไปหน่อยวันนี้” เขาหัวเราะในคอ

“ฉันเคยพูดกับเธอมาหลายคราวแล้วว่า ความอดทนของเรามีขอบเขตทุกคน ตราบใดที่เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ เราก็ต้องมีขอบเขตของการให้, การเสียสละ, และการอดทน ฉันอยากจะบอกว่าการอดทนของฉันหมดไปนานแล้ว แต่ยังไม่มีทางออก ก็ปล่อยมันไปก่อน”

“แล้วยังไง” เขาถามแสดงความสนใจเพิ่มขึ้น

“เมื่อวันก่อนพบกับเจ้าพายัพของเรา จำพายัพได้ไหม ?”

“ข้าหลวงนำเบอร์หนึ่งน่ะหรือ ? ทำไมจะจำไม่ได้ เราเคยเรียนหนังสือมาด้วยกัน”

“นั่นแหละ เจ้าพายัพคนนี้แหละที่ทำให้ฉันคิดว่าบางทีเวลาของเราอาจจะใกล้เข้ามา”

“ไม่เข้าใจเลย” เขายกสายตาในตรวจดูดวงหน้าของข้าพเจ้า

“พายัพมาชวนปฏิวัติ” ข้าพเจ้าพูดรวดเดียวจบประโยค

มีเสียงดังอยู่ในลำคอของเทวัน เขาอึ้งไปขณะหนึ่ง แววตามีความตกอกตกใจเล็กน้อย แน่นอน เทวันคงไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้จากปากของข้าพเจ้า เขาไม่ได้เตรียมตัวฟังจนตะลึงไป

“พูดเป็นเล่นไป ไม่กลัวบางขวางหรือ ?”

“นี่พูดจริงๆ ไม่ใช่เล่นตลกเพื่อจะกินเหล้า” ข้าพเจ้ามิได้ลดเสียงที่เอาจริงลง

“พายัพว่าอย่างไร ?”

“เขาทนไม่ไหวเช่นเดียวกับเรา”

เทวันนิ่งอั้น

“เธอว่าอย่างไร ?” ข้าพเจ้าถามอย่างใจเร็ว

“มันเป็นเรื่องใหญ่ คิดกันรวดเร็วนักไม่ได้ อีกประการหนึ่งเวลานี้เราจะทำอะไรยุ่งขึ้นอีกไม่ได้ อ้ายเตี้ยมันเอาเราแย่”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“เราได้คิดกันแล้วข้อนั้น พายัพเขาเตรียมไว้มากกว่าที่เราคาด จุดของเขาอยู่ที่อ้ายเตี้ย เท่ากับยิงนกทีเดียวได้สองตัว ปัญหาอยู่ที่เวลา เราต้องรอจนกระทั่งมันร่อแร่เสียก่อน”

เทวันแสดงกิริยาอึดอัดในใจจนเห็นได้ถนัด ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดถึงอะไรแต่เดาเอาว่า เขาคงวิตกมากกว่าอื่น

“มันเป็นงานที่ต้องเสี่ยง พลาดเราตาย แต่เราก็เบื่อเต็มทีแล้วไม่ใช่หรือ ที่ต้องมีชีวิตอยู่ใต้ระบอบอ้ายเตี้ยและระบอบเทวดาองค์เดียว”

เทวันนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งจึงได้ตอบ

“ขอให้ฉันได้ตรึกตรองดูก่อน มันเกี่ยวกับลูกเมีย”

ข้าพเจ้าเม้มริมฝีปากอย่างไม่รู้สึกตัว มองดูหน้าเขาด้วยความสงสัย ความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งดูเหมือนจะลดลงไปจากชีวิตจิตใจของเทพบุตรนักหนังสือพิมพ์ผู้นี้ ข้าพเจ้าเกือบไม่เข้าใจว่าเทวันได้เป็นอะไรไปแล้ว

“นี่เธอหมายความว่า เรื่องคอขาดบาดตายอย่างนี้ เธอจะเอาไปปรึกษาลูกเมียทีเดียวหรือ?”

“ก็.... ต้องให้เขารู้ตัวไว้บ้าง”

“มันไม่ใช่เรื่องของเด็กและผู้หญิงนะเทวัน”

“เธอไม่ไว้ใจเมียฉันงั้นหรือ?”

“เปล่า ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เรื่องอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง ถ้าเธอจะต้องบอกเมียก่อนละก็ ฉันก็ต้องขอให้เธออยู่นิ่ง ๆ ดีกว่า”

เทวันไม่ตอบว่ากระไร ความอึดอัดของเขาทวียิ่งขึ้นจนแต่เห็นได้ถนัด เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกเลย นิ่งจนข้าพเจ้าอึดอัด

ข้าพเจ้าออกจากบ้านเทวันด้วยความงวยงง ทุกสิ่งทุกอย่างได้ผิดหวังไปหมด ข้าพเจ้าไม่ได้พบเทวันนักสู้ที่ข้าพเจ้าเคยบูชา เขาเปลี่ยนไปมาก ดูจะมีความคิดอะไรใหม่ ๆ ที่ซ่อนอยู่ในใจ “ฉันจะตายเพื่อราษฎร เพราะฉันได้ต่อสู้เพื่อราษฎรมาแล้วเกือบยี่สิบปี” ถ้อยคำประโยคนี้ยังก้องอยู่ในหูข้าพเจ้า เทวันเคยพูดเช่นนี้ เคยเอากำปั้นทุบกับที่ทำงานในออฟฟิตแล้วก็พูดเช่นนี้ ก็บัดนี้ข้าพเจ้าเอาความตายมายื่นให้กับเขา เพื่อแลกกับความพินาศของอ้ายเตี้ย และเพื่อเอาเจ้าแม่ประชาธิปไตยกลับคืนมา แต่เทวันกลับบอกว่า “ขอปรึกษากับเมียดูก่อน” ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ และไม่คิดว่าจะเข้าใจ Life Begins at forty ถ้าจะจริงของเขา ชีวิตของข้าพเจ้าอาจจะกำลังเริ่มต้นแล้วก็เป็นได้ !

เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพายัพข้าหลวงผู้มีชื่อเสียงเป็นเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ซึ่งควรจะบันทึกไว้อีกเรื่องหนึ่งต่างหาก สำหรับเรื่องชีวิตคือละครนี้ ข้าพเจ้าขอขีดวงไว้เพียงการเล่าฉากหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้พบ ละครที่สอนข้าพเจ้าว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแท้เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะแปรเปลี่ยนไปตามสมัยเวลา ตราบใดที่น้ำยังไหลขึ้นไหลลงอยู่ ตราบใดที่ภูเขายังรู้จักทลาย ตราบนั้นหัวใจของคนจะเข้มแข็งยืนกรานอยู่ได้ยากนัก เราควรจะให้อภัยคนเหล่านี้ คนที่ปากกับใจไม่เหมือนกัน คนที่พูดอย่างหนึ่งและทำอย่างหนึ่ง คนที่ถ่มน้ำลายออกมาในวันอาทิตย์แล้วก็กลืนกินเข้าไปใหม่ในวันจันทร์ เราจะไม่จริงจังกับคนเหล่านี้ และเราก็ต้องรู้ตัวไว้เสมอว่าโลกนี้ไม่ใช่เวทีสำหรับตัวตลกงิ้วซึ่งเต้นไปคนเดียวและร้องไปคนเดียว ในท่ามกลางคนดูที่ไม่ได้แยแสต่อการเต้นการร้องของเขา เราอาจจะต้องออกเป็นตัวโจโฉ ถ้าเราประสงค์จะได้รับความเอาใจใส่จากคนดูบางส่วนบ้างตามสมควร ก็ทุกวันนี้โลกไม่ได้เต็มไปด้วยโจโฉดอกหรือ ? ข้าพเจ้าไม่คิดว่าอายุ ๔๐ ปี จะต้องทำให้คนเป็นโจโฉได้เสมอไป โจโฉเป็นตัวของเขาเองมาตั้งแตเกิด มันเป็นเรื่องของนิสัยสันดาน

ข้าพเจ้าได้ความคิดว่า อันอายุ ๔๐ ปีนี้ อาจจะเป็นเครื่องขีดคั่นอย่างสำคัญสำหรับความนึกคิดของตน คนเรามักชอบเปลี่ยนความคิดเมื่ออายุ ๔๐ ปี ข้าพเจ้าไม่มีพยานหลักฐานที่พิสูจน์ได้อย่างแน่นอน เป็นแต่ได้สังเกตมาด้วยตาของตนเองว่า เมื่อวัย ๔๐ ย่างเข้ามาถึง ความคิดของคนมักจะเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็น จากหยาบเป็นละเอียดสุขุม จากวงกว้างเป็นวงแคบ คนที่มีพื้นเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว ก็มักใช้ความเป็นความสุขุมไปในทางเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น บางคนก็ปลีกตัวออกไปจากสังคม เพราะความเบื่อหน่ายแล้วก็ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยไปในทางอภิรมย์กับตนเองในป่าเขาลำเนาไพร บางคนก็กระโจนเข้าวงสังคม และเริ่มลงมือกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่ตนเอง เพื่อที่จะทำให้เขาเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมา อุดมคติอันมั่นคงสวยงาม เพื่อนั้นเพื่อนี่ที่มิใช่ประโยชน์ของตนแต่ผู้เดียวได้สิ้นสุดในวัย ๔๐ นี้ พอแล้วสำหรับคนอื่นตลอดเวลา ๔๐ ปี มันนานพอสำหรับการให้ เขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีก ๒๐ ปี และ ๒๐ ปีนี้ต้องเป็นของเขาแต่ผู้เดียวเท่านั้น! Life Begins at forty ท่านเข้าใจว่าอย่างไร ?

ข้าพเจ้าเกือบจะลืมเทวัน พ่อเทพบุตรนักหนังสือพิมพ์เพื่อนเก่า หลังจากที่เราได้พบกันครั้งสุดท้ายวันนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้ใส่ใจกับตัวเขาอีก ข้าพเจ้าตัดเขาออกจากบัญชีของเราอย่างเด็ดขาด เพราะข้าพเจ้าถือหลักว่า คนที่จะทำงานเกี่ยวกับความเป็นความตายของประเทศชาติและญาติมิตร ครอบครัวได้นั้น ต้องไม่ใช่คนที่ชอบปฤกษาเมียของเขา การตัดสินใจเด็ดขาดอย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับปัญหาที่มีทางออกแต่เพียงทางเดียว เป็นการแสดงความมั่นคงที่ควรเชื่อถือได้ ส่วนการขอตัวไปคิดดูก่อน เช่นขอหารือกับลูกเมียเสียก่อนนั้น เป็นการแสดงความโลเลและความขลาดกลัว นี่เป็นความจริงที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดเทวันออกจากบัญชีของเรา

พายัพกับข้าพเจ้าได้พบกันอีกหลายคราว และงานของเราก็คืบหน้าไปทีละน้อยด้วยความระมัดระวัง ระบอบเผด็จการกับระบอบซามูไรเป็นสิ่งที่เราไม่ปรารถนา แต่ระบอบทั้งสองนี้มันใหญ่โตจนเกินที่เราจะทำอะไรได้ในเวลาอันสั้น เราก็ได้แต่เตรียมตัววางแผนการและคืบหน้าต่อไปอย่างปลิงและทาก

ความเหนื่อยและความซึมหมดความเด็ดเดี่ยวของเทวันทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจอะไรไม่ได้ วันหนึ่งข้าพเจ้าหยิบเอาจดหมายของเทวันสมัยที่ข้าพเจ้ายังอยู่ในจีนขึ้นมาอ่านทุกฉบับ นอกจากจดหมายเหล่านี้ก็ยังมีข้อเขียนของเทวันอีกปึกใหญ่ซึ่งข้าพเจ้าตัดเก็บไว้ ทุกคำที่เขาเขียนไว้ได้แสดงว่า ชีวิตวิญญาณของเขาได้เต็มไปด้วยความหอมหวลแห่งลัทธิประชาธิปไตย เขาต้องการจะปลดอำนาจที่เป็นของคนคนเดียว หรือเป็นของพรรคพรรคเดียว เขาไม่ต้องการความบีบคั้นรีดประโยชน์ในการปกครองเพื่อคนคนเดียว หรือพรรคพรรคเดียว เขาได้กล่าวความในใจของเขาไว้อย่างมั่นคง ดูประหนึ่งว่าจะจารึกไว้ในแท่งศิลา เขาได้พูดในนามของประชาชนคนไทยทั้งชาติ–พูดในฐานที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ผู้มีเกียรติ–พูดในฐานที่เป็นผู้ต่อสู้เพื่อเสรีภาพแห่งหนังสือพิมพ์ แต่บัดนี้เทวันได้เห็นตรงกันข้ามกับที่เขาได้พูดไว้เสียแล้วหรือ ?

ข้าพเจ้ายังไม่สามารถจะเข้าใจอะไรได้ แต่ข้าพเจ้ายังไม่ปักใจเชื่อลงไปอย่างแน่นอนว่า เทวันได้เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไปแล้ว อย่างไรก็ดี, ข้าพเจ้าคิดว่าควรจะพบกับเขาอีกสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อจะดึงเขาเข้ามาในงานกำจัดอ้ายเตี้ยที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของเรา แต่เพื่อจะได้เรียนรู้หัวใจของเขาเป็นครั้งที่สุด

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ