หวังเพื่ออยู่

ที่บ้านนายพิริยกิจในตลาดบ้านดอน ดูเหมือนจะมีเหตุการณ์ผิดปรกติมาตั้งแต่เช้า เจ้าบ้านมีสีหน้ายิ้มแย้มกว่าทุกวัน นางพิริยกิจบงการคนใช้ให้จัดห้องทางด้านตะวันออก มีการรื้อตู้เก่า ๆ ออกมาปัดฝุ่นละอองตามฝา เปลี่ยนม่านหน้าต่างใหม่เอี่ยม รื้อกระดานเตียงเล็กออกลวกน้ำร้อนเพื่อฆ่าตัวเลือด จัดแจงเปลี่ยนมุ้งและที่นอนใหม่ นายพิริยกิจเดินไปเดินมาพยายามมองหาสิ่งที่ไม่ถูกตา เมื่อพบก็บอกคนใช้ให้จัดทำเสียให้ดีทันที เช่นย้ายไหกะปิน้ำปลาที่นอกชานไปไว้ในห้องหลังครัว รื้อราวตากผ้าออก เพราะดูอุจาดเต็มทน ยายจาดแม่ครัวออกไปจ่ายตลาดตั้งแต่เช้า เตรียมตัวจะแสดงฝีมืออันเก่าแก่ให้คุณชายทดลองดูอีกครั้งหนึ่ง แกงมสะหมั่นของโปรดจะต้องขาดไม่ได้ เมื่อเล็กเคยชอบ โตขึ้นก็คงจะชอบ ยายจาดเคยตั้งใจว่าจะอยู่ให้ถึงชมบุญคุณชาย ซึ่งบัดนี้ก็กำลังจะเดินทางกลับสุราษฎร์ธานีภายหลังที่ได้จากไปแล้วเป็นเวลาสิบแปดปีเต็ม.

อ่อนเข้านั่งประจำจักร์ตัวเก่าตั้งแต่โมงเช้า เมื่อคืนพวกสาวเกาะสมุยได้เอาเสื้อมาจ้างหลายตัว ได้ราคางามเพราะเป็นเสื้อด่วน ชาวเกาะเขาจะรีบเดินทางกลับในเวลาบ่ายเพื่อให้ทันเรือใบที่เกาะปราบ ปากน้ำตาปี เสื้อด่วนเช่นนี้อ่อนเรียกราคาสูงมาก แม่เคยสอนให้เรียก เพราะถือว่าเมื่อได้โอกาสต้องรีบฉวย เป็นของธรรมดาสำหรับพ่อค้าแม่ค้า ต้องพยายามคิดเล็กคิดน้อย เหนียวแน่นมัธยัสถ์ ทุก ๆ สตางค์เมื่อรวมกันเข้ามาก ๆ ก็เป็นเงินได้ตั้งร้อยตั้งชั่ง อ่อนได้รับการอบรมแต่ในทางค้าขาย ตั้งแต่ออกจากโรงเรียนประชาบาล ช่วยแม่ขายของหน้าร้าน ช่วยรับเสื้อเขามาจ้าง แม่เคี่ยวเข็นให้หัดเย็บจักร์ เมื่อเย็บเป็นแล้วก็เข้านั่งทำแทนแม่เนือง ๆ อ่อนเป็นลูกคนหัวปี เอียดเป็นลูกคนสุดท้อง ทั้งสองเติบโตมาในร้านสองคูหาติดกับบ้านนายพิริยกิจ มีความคุ้นเคยกับคนในบ้านนายพิริยกิเป็นอันดี แม่ของอ่อนชื่อกิมฮวย เป็นหลานจีน เตี้ยและอ้วน ชอบคาดอกด้วยผ้าขาวม้า แข็งงานไม่เคยท้อถอย พ่อของอ่อนเป็นหลานจีนเหมือนกัน ชื่อฮะ เป็นคนขยันขันแข็งตั้งตัวด้วยลำแข้งของตนเอง แต่บังเอิญอายุสั้น ด่วนตัดช่องน้อยหนีไปเมื่ออ่อนอายุได้หกขวบ นางกิมฮวยได้พยายามเลี้ยงลูกต่อมาจนกระทั่งอ่อนและเอียดโตเป็นสาว เวลานี้อ่อนอายุได้ยี่สิบสี่แล้ว เอียดอ่อนกว่าอ่อน ๓ ปี แต่ร่างโตกว่า เมื่อโตเต็มที่ก็ดูเหมือนว่าเอียดจะบังอ่อนมิด อ่อนช่วยงานหน้าร้าน เอียดช่วยงานหลังร้าน เช่น ทำครัวและซักรีด ส่วนนางกิมฮวยคอยดูแลทั่ว ๆ ไป บางทีก็ไปรับของมาใส่ร้าน บางทีก็เอาเรือเข้าไปในสวนเพื่อซื้อผลไม้มากวนแล้วส่งไปขายในกรุงเทพฯ แม่ลูกทั้งสามอยู่ด้วยกันมาด้วยความปรกติสุข มีเงินเหลือเก็บทุก ๆ เดือน แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่เมื่อหลายปีเข้าก็เป็นก้อนใหญ่พอดู

เช้าวันนั้นยายจาดกลับจากตลาดก็แวะซื้อน้ำตาลปึกที่ร้านอ่อนไปสองคู่ ก่อนจะกะเดียดกะจาดออกจากร้าน แกได้พูดเป็นเชิงล้อเล่นว่า

“หนูอ่อน คู่ตุนาหงันของหนูกำลังจะมาแล้วรู้ไหม ?”

อ่อนฟังไม่ถนัด มองหน้าบุคคลที่เคยดุว่ามาตั้งแต่เด็กอย่างไม่เข้าใจความหมาย แล้วถามว่า

“อะไรป้า เรื่องยี่เกเมื่อคืนน่ะหรือ?”

“ยี่เกยี่แกอะไร” ยายจากพูดเสียงดังแล้วหัวเราะอย่างสุขใจ “คู่ตุหาหงันของหนูจะมาแล้ว ไงจำไม่ได้หรือ คุณชายที่หนูพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ยังไงล่ะ”

มือขวาที่กำลังจะหมุนจักร์หยุดนิ่งอยู่กับที่ มือซ้ายที่คอยส่งผ้าก็พลอยหยุดทำงานไปด้วย อ่อนนั่งตลึงแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าได้ยินยายจาดพูดถึงบุคคลที่ตนนึกถึงอยู่เป็นประจำ

“คุณชายน่ะหรือป้า–จะมา ?” อ่อนถามเสียงสั่นผิดปรกติ.

“เออ จะมาถึงรถบ่ายวันนี้แหละ” พูดแล้วก็หัวเราะอีก “ผัดหน้าไว้ให้ดีน่ะ มอมแมมยังงี้แกไม่รัก ป้าไม่รู้ด้วย”

“พูดอะไรก็ไม่รู้” หน้าอ่อนแดงเรื่อ “อย่าล้อฉันดัง ๆ ข้างถนนอย่างนี้หน่อยเลย”

“หนอย อายหรือ พุทโธ่ ป้าเห็นแกแก้ผ้าอยู่เมื่อวานซืน”

“ใครเขาได้ยินเข้าจะหาว่าฉัน....ฮื้อ อย่าพูดเลยป้า”

ยายจาดหัวเราะหึ ๆ อย่างไม่เอาใจใส่

“ก็หรือไม่จริง เมื่อก่อนเห็นติดกันแจ จนเขาล้อกันทั้งตลาด” พูดแล้วก็กะเดียดกะจาดเดินดุ่มออกจากร้านไป ทิ้งให้อ่อนนั่งงงอยู่แต่ผู้เดียว.

ข่าวที่ยายจาดคาบมาบอกนี้ ทำให้อ่อนตื่นเต้นจนกะทั่งแทบจะทำงานต่อไปไม่ได้ นึกถึงเปรมหรือที่เขาเรียกกันว่าคุณชายแล้ว ใจก็พลุ่งพล่านไม่อยู่ที่ แปดปีมาแล้วที่เปรมได้จากไป... ไปเพื่อชุบตัวให้เป็นคนหนุ่มทันสมัย โรงเรียนประจำจังหวัดเป็นแต่การศึกษาขั้นต้น ซึ่งจะไม่ทำให้เขาได้เป็นอะไรขึ้นนอกจากจะเป็นเพียงพลเมืองที่รู้หนังสือคนหนึ่ง นายพิริยกิจเป็นพ่อค้าเก่า เคยผูกรังนกก็เคย มีเงินมากพอที่จะทำให้เปรมได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุด เปรมเรียนจบโรงเรียนประจำจังหวัดแล้ว นายพิริยกิจก็ส่งไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เปรมเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ ๔ ปีโดยไม่ได้กลับบ้านเลย ในปีที่ ๕ เขาได้ขออนุญาตบิดาออกไปเรียนที่อเมริกา นายพิริยกิจไม่เคยขัดใจบุตรเลย ยิ่งเป็นเรื่องการศึกษาด้วยแล้วยิ่งจะต้องตามใจใหญ่ ปีนั้นเปรมกลับมายังบ้านดอนเพื่อเยี่ยมบ้านเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะลงเรือไปอเมริกา เขาพักอยู่ที่บ้านเกิดเพียง ๑๕ วัน ได้พบอ่อนและได้ให้ความหวังแก่อ่อนอย่างมากมาย เป็นความหวังที่ทำให้อ่อนมีความสุข หวังเพื่อที่จะอยู่ต่อไป อยู่เพื่อที่จะรอเปรมผู้ซึ่งเคยเล่นหัวกับหล่อนมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก เปรมได้อยู่ที่อเมริกา ๔ ปี สำเร็จได้ปริญญาทางเศรษฐศาสตร์ เป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตอันสวยงาม พร้อมที่จะก้าวหน้าเป็นหลักของวงศ์ตระกูลต่อไปภายหน้า

อ่อนนึกไปถึงสมัยเด็ก—สมัยเป็นหนุ่มสาว แล้วก็ถึงสมัยที่ต้องจากกัน คือ เปรมไปกรุงเทพฯ และอเมริกา ทุก ๆ สมัยหล่อนรู้สึกว่า โลกนี้เป็นของหล่อนโดยแท้ มีความอบอุ่นไม่มีอะไรเปรียบ มีความหวังอันสุขใสเป็นยาบำรุงชีวิต เมื่อเป็นเด็กเล็ก ๆ อ่อนเคยได้ไปเล่นที่บ้านเปรม และเปรมก็เคยมาเล่นที่ร้านและบางคราวก็รังแกกันถึงกับร้องไห้ เปรมเอาใจใส่ต่อหล่อนเหมือนน้อง แต่ไม่วายที่จะแย่งกันนั่ง แย่งกันเล่น เปรมเคยรังแกอ่อนหลายคราว และทุกคราวก็เป็นฝ่ายมาง้อขอคืนดีด้วย ในสมัยเป็นนักเรียน การรังแกกันได้หมดสิ้นไป ทั้งสองคนต่างขมักเขม้นในการเรียน อ่อนจบโรงเรียนประชาบาลแล้วก็ต้องลาออก เพราะแม่เห็นว่าช่วยทำงานในร้านจะมีประโยชน์กว่า ส่วนเปรมยังคงเรียนต่อจนจบโรงเรียนประจำจังหวัด ตอนปลายของสมัยนั้นอ่อนอายุ ๑๕ ปี เปรมอายุ ๑๗ ปี กำลังแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว ความสัมพันธ์อันสนิทเอาใจใส่รักใคร่กันเป็นทุนเดิมมาตั้งแต่เล็ก ทำให้คนทั้งสองทวีความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น แล้วก็ความในใจ มีความปรารถนาที่จะรักกันยิ่งกว่าเพื่อนตาย เปรมเคยพูดว่า เขาคงจะมีอายุอยู่ไม่ได้ถ้าเขาไม่มีอ่อน ส่วนอ่อนก็ตอบเขาด้วยความรู้สึกในแววตาจากหัวใจอันบริสุทธิ์ ว่าในโลกนี้ถ้าไม่มีเปรม หล่อนก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร อ่อนเอาใจใส่ต่อเปรมทุกอย่าง แอบเย็บเสือให้เขาใส่ ทำขนมของโปรดให้เขากิน เปรมจะต้องการ อ่อนเป็นต้องพยายามหามาให้ ความเอาใจใส่ของอ่อนที่มีต่อเปรมนี้ บรรดาบ้านใกล้เรือนเคียงต่างก็รู้กันทั่ว ต่างรู้สึกว่าเป็นสิ่งน่าเอ็นดู อ่อนเพิ่งจะแตกเนื้อสาว มีดวงหน้าที่ไม่เดียงสา ส่วนเปรมก็ยังเหลือความไม่เดียงสาอยู่อีกเป็นอันมาก ในดวงตาและคำพูดทั้งสองเป็นเด็กที่ไม่ขี้ริ้ว หล่อนหน้ารูปไข่ ผิวขาว นัยน์ตาหวาน มีลักยิ้มที่แก้มทั้งสอง ถึงแม้จะมีแผลเป็นที่หน้าผากนิดหนึ่งเพราะหกล้มฟาดกับขอบถนนเมื่อเป็นเด็ก แต่ความสดชื่นในวัยที่เป็นเสมือนดอกไม้แยกแย้ม ได้กลบตำหนิแห่งนี้เสียหมดสิ้น เปรมรูปร่างกำยำ ผิวกร้าน เพราะชอบเล่นกรำแดด วงหน้าค่อนข้างกลม คิ้วดก นัยน์ตาดำสีนิล กิริยาท่าทางองอาจสมเป็นลูกผู้ชาย เปรมงามอย่างลูกผู้ชาย ส่วนอ่อนงามอย่างผู้หญิง เมื่อยืนอยู่คู่กันก็ทำให้เป็นภาพที่น่าเอ็นดูสำหรับผู้ที่ได้เห็น นายพิริยกิจและภรรยาไม่ความรังเกียจที่เปรมกับอ่อนได้มีความรู้สึกผูกพันธ์กันอย่างใกล้ชิด นางพิริยกิจเป็นแม่บ้านที่เก่ง ทำงานคล่อง เมื่ออ่อนถูกแม่ฝึกงานจนคล่องเสียแทบทุกอย่าง มิหนำซ้ำยังมัธยัสถ์เหนียวแน่น นางพิริยกิจจึงมีใจเอ็นดูอ่อนอยู่เสมอมา.

แต่ใครจะรู้ว่าอ่อนกับเปรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด จนกะทั่งได้ถูกเนื้อต้องตัวกันแล้ว มันช่วยไม่ได้สำหรับเด็กหนุ่มสาวที่มีใจรักกันอย่างดูดดื่มและอยู่บ้านติดกัน สามารถเข้านอกออกในได้อย่างสะดวก เปรมไปเที่ยวที่ร้านอ่อนบ่อย ๆ เขาอาจขึ้นไปชั้นบนก็ได้โดยที่นางกิมฮวยมิได้นึกรังเกียจ เขารู้จักทุกซอกทุกมุมในร้านแห่งนี้ บางคราวเขาก็ช่วยอ่อนขายของ นั่งดูอ่อนเย็บผ้า ช่วยหยิบโน่นฉวยนี่ อ่อนทำงานอย่างเบิกบาน รู้สึกว่าไม่ต้องการอะไรอีกแล้วในโลกนี้ มีเปรมที่ไหนหล่อนก็สุขที่นั่น คราวหนึ่งหล่อนทำมีดบาดมือ เปรมกุลีกุจอเอายามาใส่และพันแผลให้อย่างประณีต เขาได้จับมือหล่อนเป็นครั้งแรกในชีวิต รู้สึกว่ามือนั้นอ่อนนุ่มและสั่น อ่อนหน้าแดง ใจเต้นจนแทบได้ยิน ลืมความเจ็บปวดจนหมดสิ้น ความในใจที่ต่างคนต่างเก็บไว้อย่างเงียบกริบได้แล่นเข้าหากันด้วยการสัมผัสครั้งแรกนั้น เปรมบีบมืออ่อนเบา ๆ กุมไว้ครู่หนึ่งแล้วจึงปล่อย เขามองดูตาหล่อน อ่อนหลบตาลงต่ำ ใจสั่นระริกพูดอะไรไม่ได้ เปรมก็ตื่นใจจนนิ่งงันไปเหมือนกัน วันนั้นเขาเดินกลับบ้านอย่างคนที่มีความสุขที่สุดในโลก นึกถึงมืออันนุ่มนิ่มตลอดเวลา

เย็นวันหนึ่งอ่อนยังจำได้ติดหูติดตา เปรมขึ้นไปชั้นบนอ่อนนอนป่วยอยู่ที่เตียง เป็นไข้เพราะกรำแดดเข้าไปในสวนกับแม่เมื่อวันอาทิตย์ ขณะนั้นแม่ขายของอยู่ที่หน้าร้าน ส่วนเอียดทำกับข้าวอยู่ในครัว เปรมขึ้นไปเยี่ยมโดยไม่ต้องขออนุญาตเสียแล้ว อ่อนนอนหลับตา แต่ไม่ใช่หลับอย่างไม่รู้สึก เปรมคิดว่า ผู้ที่เขาห่วงกำลังหลับ จึงจรดปลายเท้าเดินอย่างเบา ๆ จนอ่อนไม่รู้ว่าเขาได้ไปยืนอยู่ข้างเตียง เปรมพินิจดูดวงหน้าของอ่อน หัวใจสะท้านคล้ายกับกระทบความหนาว หน้านั้นสวยงามและบริสุทธิ์ไม่เดียงสา คิ้วจมูกแก้มริมฝีปากรับกับใบหน้าทุกส่วน ผมดำเป็นมันสยายยาวประบ่า ไม่ได้ถูกทำให้หยิกงอผิดธรรมชาติ ดวงหน้าของอ่อนทำให้เปรมลืมทุกอย่าง งงงวยเหมือนถูกสกดจิตยืนตลึงพิศดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงเข้าไปชิดขอบเตียง นั่งลงแล้วเอื้อมมือไปแตะแขนของหญิงสาว ทันใดนั้นอ่อนลืมตาขึ้น เมื่อเห็นเปรมนั่งอยู่ชิดก็ประหม่าและขวยเขิน แต่ก็มิได้ดึงแขนออกจากมือของเขา ดวงตาของเปรมเป็นประกาย เขาไม่พูดว่ากระไร แต่อ่อนรู้ว่าเขากำลังมีความรู้สึกอย่างไร อ่อนไม่ได้พูดว่ากระไรเหมือนกัน ความประหม่าทำให้หล่อนนึกหาคำพูดไม่ได้ แต่ในแววตาของคนทั้งสอง ได้มีคำพูดทุกคำอยู่พร้อมบริบูรณ์แล้ว เปรมก้มตัวลงจูบหล่อนที่ต้นแขน แล้วก็ที่แก้ม แล้วก็ที่ริมฝีปาก อ่อนอึดอัดเพียงจะขาดใจ แต่เพียงขณะเดียวเท่านั้น ความจังงังก็ค่อย ๆ หายไปเหลืออยู่แต่ความอบอุ่น รู้สึกตัวว่าหล่อนได้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้วด้วยประการทั้งปวง

นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ครั้งแรกที่หล่อนถูกผู้ชายจูบ และครั้งแรกที่เปรมจูบผู้หญิง แต่มันเป็นความต้องการของธรรมชาติ ความรักทำให้เหตุการณ์ต้องเป็นไปเช่นนั้น ไม่มีใครสอน ไม่มีใครกระซิบ ทำไปเองแทบจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป อ่อนตกอยู่ในวงแขนอันล่ำสันของเปรม ถูกเขาจูบทั่วบริเวณหน้า เขากระซิบบอกความรัก เป็นการบอกเล่าครั้งแรกทั้งๆ ที่หัวใจได้รู้กันอยู่แล้วโดยละเอียด อ่อนนิ่งเงียบ ไม่ได้พูด ไม่ได้ไหวกายแม้แต่ปลายนิ้ว แต่ทั่วสรรพางค์กายอ่อนระทวย รู้สึกคล้ายกับกำลังเคลิ้มหลับอยู่ในความฝัน

ตั้งแต่วันนั้นมา อ่อนก็ตกอยู่ในวงแขนของเปรมทุกคราวที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ต่างคนต่างพูดถึงความรัก พูดถึงความหวังอันสวยงามซึ่งทอดรออยู่ตรงหน้า เป็นความรักในวัยพิสวาท — — วัยอันรุ่นคะนอง มีความบริสุทธิ์ไม่เดียงสาทุกอย่าง แล้ววันคืนได้ผ่านไป....ผ่านไป จนกระทั่งถึงวันที่เปรมจะต้องลาจากไปสู่กรุงเทพพระมหานคร ไปหาความรู้ใส่ตัว เขาบอกว่าเพื่อเห็นแก่อ่อนทั้งสิ้น เขาจะต้องเตรียมตัวเป็นผู้ใหญ่ เตรียมตัวสำหรับชีวิตแต่งงานซึ่งจะต้องผ่านมาในวันหนึ่ง อ่อนจำคำพูดของเขาได้ทุกคำ จำดวงตาทั้งคู่ซึ่งเต็มไปด้วยความเป็นห่วงใย จำรอยจูบครั้งสุดท้ายในคืนที่เขาจะออกเดินทาง “ฉันจะรักอ่อนจนวันตาย” เปรมกระซิบที่ข้างหู “อ่อนต้องคอยฉันนะ ฉันจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีอ่อน” หล่อนตอบเขาว่า “อ่อนจะคอยคุณค่ะ คุณเปรม จะเป็นกี่ปีก็ตาม” แล้วเขาก็จากไป คืนนั้นอ่อนยืนอยู่ที่สะพานน้ำ มองดูเรือยนต์ที่พาเปรมล่องขึ้นไปตามลำน้ำตาปีเพื่อไปขึ้นรถไฟ ท่าข้าม เมื่อเรือนั้นลับตาไปแล้ว หล่อนก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น....ยืนอยู่จนกระทั่งเดือนค่อยๆ ตกลับหายไปจากยอดมะพร้าว

เปรมจากไปสี่ปี.... สี่ปีซึ่งยาวนานแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด อ่อนคิดว่าเขาควรจะกลับมาเยี่ยมบ้านทุก ๆ ปี เพราะในปีแรกเปรมได้เขียนบอกมาว่าเขาจะกลับมาพบหล่อนอีก แต่พอถึงฤดูร้อน เปรมก็หาได้มาไม่ เขาถูกอาว์ดึงตัวไปเชียงใหม่ เมื่อรู้ว่าจะต้องรออีกถึง ๑๒ เดือนจึงจะถึงฤดูร้อนอีกครั้งหนึ่ง อ่อนกระเหี่ยใจจนแทบจะทนอยู่ไม่ได้ แต่ก็ต้องทน พยายามทำตัวให้เพลิดเพลินอยู่กับการงาน และพยายามพอใจต่อสิ่งที่หล่อนพอจะมีได้ คือจดหมายของเปรมซึ่งหล่อนได้รับทุก ๆ วันพุธ แล้ววันคืนก็ผ่านไปอีก....ผ่านไปอย่างล่าช้า ในปลายเดือนมีนาคมอ่อนคิดว่าจะได้รับจดหมายฉบับสำคัญ คือฉบับที่เปรมจะกลับมาเยี่ยมบ้านดอนระหว่างหยุดฤดูร้อนเดือนครึ่ง แต่ในจดหมายฉบับนั้น อ่อนต้องทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ไม่มีกำลังแม้แต่จะพับจดหมายใส่ซองดังเก่า เปรมบอกมาว่า เขาถูกชวนไปน้ำตกพริ้วจันทบุรีและจะไปที่ไทรโยคด้วย จะไม่มีเวลามาสุราษฎร์ แปลว่าอ่อนจะต้องรอต่อไปอีก ๑๒ เดือน หล่อนแทบไม่รู้ว่าจะรอต่อไปได้อย่างไร ในเมื่อหล่อนได้รอมาแล้วทุก ๆ ชั่วโมงทุก ๆ นาที ความผิดหวังครั้งที่สองทำให้อ่อนรู้สึกว่า การมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก ๑ ปี เป็นของที่เป็นไปได้ยากเสียแล้ว หัวอกหล่อนจะระเบิดออกมาเพราะความพยายามอดกลั้นใจรอ แล้วอีกปีหนึ่งก็ได้ผ่านไป แต่อ่อนก็ยังคงตั้งตาคอยเปรมอยู่ได้เหมือนอย่างที่ได้ทนรอมาแล้ว ฤดูร้อนปีที่สามนี้อ่อนไม่กล้าแสดงความหวังล่วงหน้า เพราะกลัวว่าถ้าผิดหวังอีก หล่อนคงจะต้องอกแตกตายเป็นแน่แท้ หล่อนฉีกจดหมายเปรมออกอ่านอย่างไม่มีความหวังอะไรมากนัก อ่อนทำถูกแล้วที่ไม่แสดงความหวังล่วงหน้า เปรมยังคงมาไม่ได้อยู่ตามเดิม เขาติดการเรียนพิเศษในฤดูร้อนเพื่อกวดวิชา ๔–๕ อย่าง อ่อนถอนใจยาว ไม่เข้าใจว่าเปรมหมายความว่ากระไร ตามธรรมดาของคนที่รักกันใจจะขาด ย่อมมีความปรารถนาทีจะได้พบและอยู่ใกล้ชิดกัน แต่ทำไมเปรมจึงได้แต่เขียนจดหมายอย่างเดียว ไม่ดิ้นรนที่จะกลับมาพบหล่อนเสียเลย แต่ว่าถ้อยคำในจดหมายของเปรมมีอานุภาพพอที่จะทำให้หล่อนเชื่อมั่นในตัวเขาเสมอ คือ เชื่อว่าเปรมยังคงรักหล่อนอยู่....รักมากเท่าเดิม รักอย่างเต็มไปด้วยความหวังในชีวิตสมรสระหว่างหล่อนและเขาซึ่งจะต้องผ่านมาสักวันหนึ่งในเวลาข้างหน้า

อ่อนยังคงรอต่อไปอีก คราวนี้มีความอดทนมากขึ้น ไม่กระวนกระวายใจเมื่อคิดว่าหล่อนจะต้องรออีกนานสักเท่าใด จึงจะได้พบหน้าเปรม หล่อนยึดมั่นอยู่ในความคิดข้อเดียว คือคิดเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าเปรมรักหล่อนเท่าที่หล่อนรักเขา....รักจนวันตาย

แล้วหน้าร้อนปีที่สี่ก็ผ่านมาถึง โลกนี้ได้เป็นของอ่อนอย่างบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่งแล้ว เปรมกำลังเดินทางกลับบ้านดอน เขาบอกว่าเขามีของฝากที่จะทำให้อ่อนประหลาดใจ

อ่อนจำได้ว่า นาฑีแรกที่หล่อนพบหน้าเปรม หล่อนตื่นเต้นดีใจแทบน้ำตาไหล เปรมใหญ่โตขึ้นผิดตา ผิวนวลไม่เกรียมเหมือนแต่ก่อน แววตาฉลาดคล่องแคล่ว ความไม่เดียงสาสูญหายไปสิ้น เขาสูงขึ้นและสวยขึ้น กรุงเทพฯ ทำให้เปรมกลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม ว่องไว ปราดเปรียวและทันสมัยเสียทุกอย่าง ตั้งแต่การแต่งตัวไปจนถึงความคิดเห็น

แต่ใจเปรมไม่ได้เปลี่ยนแปลง อ่อนพูมใจตัวเองที่ความเชื่อมั่นของหล่อนไม่ได้ทำให้หล่อนผิดหวังเลยจนนิดเดียว เปรมยังคงเป็นของหล่อนอยู่ เขายังรักหล่อนมากเท่าที่หล่อนรักเขา ในคืนวันแรกที่เขาถึงบ้านดอน เปรมได้แอบมาพบอ่อนสองต่อสองที่ร้าน เขากอดหล่อนแนบไว้กับทรวงอกเป็นเวลานาน คล้ายกับจะดื่มความพิสวาทเสียให้สมกับที่ได้อดกลั้นใจรออยู่ตลอดสี่ปี เปรมบรรจงสวมสร้อยคอให้แก่หล่อน มีแผ่นทองเล็ก ๆ จารึกอักษร ป.อ. ไขว้กัน นั่นเป็นพยานรักของเขา พยานที่ช่วยให้อ่อนทวีความแน่ใจยิ่งขึ้นว่า ความหวังที่เปรมสร้างไว้ให้แก่หล่อน เป็นความหวังที่มีชีวิตอยู่เสมอ

แต่ว่าในวันที่สอง สิ่งที่เปรมบอกแก่อ่อน ทำให้ความดีใจลดลงไปกว่าครึ่งค่อน เปรมจะต้องไปเรียนที่อเมริกาอีกสี่ปี

อ่อนใจหาย เมื่อเขากระซิบบอกอย่างไม่เต็มปาก “จำเป็นจริง ๆ ที่เราจะต้องจากกันอีก เพื่อความสุขของเรา ฉันจะต้องหาความรู้ให้มากกว่านี้” เขาจูบหล่อนเบาๆ “อ่อนคอยฉันนะ คอยฉันอีกสี่ปีเท่านั้น แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องจากกันอีก”

อ่อนถอนใจ ซบหน้าลงกับอกของเปรม “นานเหลือเกิน เปรมขา นี่เราจะต้องถูกทรมานถึงแปดปีเชียวหรือคะ ?”

เขาลูบผมหล่อนอย่างเอ็นดู

“จงคอยวันข้างหน้านะ อ่อน วันของเรายังมีอีกมาก” เขาปลอบเบา ๆ “ขอให้คิดว่า การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราจะต้องเสี่ยงบ้าง เราต้องลงทุน ความทุกข์ที่เราได้รับในวันนี้ จะทำให้เรามีความสุขจนตลอดชีวิต”

“แล้วจะไม่จากกันอีกเลยนะคะ เปรม นี่เป็นสี่ปีสุดท้ายที่เราจะทนรอต่อไป”

“สี่ปีสุดท้าย” เขากล่าวอย่างมั่นใจ “เมื่อฉันเรียนสำเร็จกลับมาแล้ว เราจะไม่จากกันอีก”

ครั้นแล้วคืนที่ต้องจากเปรมเป็นครั้งที่สองก็มาถึง เปรมอยู่ที่บ้านดอน ๑๕ วันก็ต้องกลับพระนครหลวง เพื่อขอหนังสือเดินทางลงเรือไปอเมริกา อ่อนไปส่งเขาที่สะพานน้ำ ยืนอยู่ที่ราวลูกกรง ซึ่งเมื่อสี่ปีก่อนหล่อนได้ยืนดูเขาจากไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ เรือยนต์ลำเก่าได้พาเปรมแล่นหายไปในความมืด บ่ายหน้าไปยังสถานีรถไฟที่ท่าข้าม อ่อนยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม พระจันทร์ไม่ได้ฉายแสงสุกใสเหมือนวันที่หล่อนยืนคอยส่งเขาเมื่อสี่ปีก่อน ท้องฟ้ามืดเป็นสีนิล ลมพัดค่อนข้างแรง เสียงลมกับเสียงสุนัขเห่าหอนที่วัดใกล้ ๆ นั้น ทำให้หล่อนเปลี่ยวใจจนทนยืนอยู่ไม่ได้ เปรมจากหล่อนไปอเมริกา จากไปไกลกว่าเมื่อครั้งก่อนหลายพันเท่า หล่อนไม่รู้ว่าอเมริกาอยู่ที่ไหน ทราบแต่เพียงว่าเป็นที่อยู่ของพวกฝรั่ง อเมริกาทำให้เปรมเป็นคนเก่ง มีหน้ามีตา สี่ปีคงจะผ่านไปจนหมดสิ้นในวันหนึ่ง แล้วเปรมก็จะกลับมาหาหล่อน....มาเป็นของหล่อน อ่อนฝันถึงอนาคตที่สวยสดงดงามมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม... ความหวังที่ช่วยทำให้หล่อนมีชีวิตอยู่ต่อไป....

สี่ปีที่เปรมจากไป เป็นเวลานานสำหรับอ่อน นานกว่าสี่ปีแรกที่เขาจากไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ สิ่งที่อ่อนเชื่อมั่นอยู่เป็นนิจก็คือ ความหลังระหว่างหล่อนและเขา ความหลังซึ่งมีอายุตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก ความหลังอันนี้มีความเก่าแก่มากพอที่จะทำให้อ่อนเลิกระแวงสงสัยถึงอะไรทั้งหมด และอนึ่งก็ไม่น่าจะมีอะไรมาทำให้อ่อนระแวง เพราะเหตุว่าในชีวิตที่ผ่านมาแล้ว อ่อนไม่เคยพบเห็นสิ่งที่ไม่เป็นจริง ชีวิตของอ่อนเป็นที่อยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือน ไม่เคยติดต่อกับใครมากกว่าบรรดาบ้านใกล้เรือนเคียง และก็เป็นเหตุบังเอินเหลือเกินที่บุคคลซึ่งแวดล้อมอ่อนอยู่โดยรอบข้าง ล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในสัจทั้งสิ้น มีความซื่ออย่างชาวชนบทที่ดีจะพึงซื่อ แม้แต่ในเรื่องของความรักก็เป็นความรักอย่างคู่ผัวตัว เมีย รักตั้งแต่อยู่ด้วยกันจนแก่ชราไปด้วยกัน ไม่เคยมีผัวเมียเพื่อนบ้านคู่ไหนที่หย่าขาดแตกร้าวกันให้อ่อนเห็น นายพิริยกิจกับนางพิริยกิจเป็นตัวอย่างอันดียิ่งที่แสดงให้อ่อนเห็นว่าความรักที่แท้เป็นของยืนนาน ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้ อ่อนได้พบแต่ความจริงและความบริสุทธิ์ของชีวิต ไม่เคยพบสิ่งที่หลอกลวงไร้แก่นสาร เปรมเป็นคนดี ดีอย่างไม่ทิ้งเลือดพ่อ อ่อนคบกับเขามาตั้งแต่เด็ก ไม่มีใครในโลกที่รู้ใจเปรมดีเท่าที่อ่อนรู้ หล่อนเชื่อเขาอย่างมั่นคง...เชื่อเท่าที่เชื่อตัวเอง ความเชื่อนี้ทำให้เกิดความหวังอันสวยงามซึ่งเป็นเครื่องประคับประคองให้อ่อนมีชีวิตอยู่ต่อมา... อยู่เพื่อรอเปรม....รอวันที่วิมานแห่งความฝันจะกลายเป็นวิมานแห่งความจริง

ตลอดเวลาสี่ปี เปรมได้เขียนจดหมายมาติดต่อกับอ่อนเรื่อย ๆ ในปีแรกเขาเขียนถึงหล่อนทุก ๆ สัปดาห์ แต่ในปีที่สองเนื่องจากต้องมีงานเล่าเรียนหนักมือขึ้นจึงต้องเว้นระยะห่างไปบ้าง แต่ก็ไม่น้อยกว่าเดือนละสองฉบับเสมอ แม้ในปีที่สี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการจากกัน เปรมก็ยังติดต่อกับอ่อนโดยสม่ำเสมอเหมือนเดิม ถ้อยคำของเขายังคงหวานสนิท เต็มไปด้วยความหวังอันมั่นคงในอนาคต เขายังคงพูดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านดอนที่เขาเคยเอาใจใส่ สิ่งที่อ่อนพอใจอย่างยิ่งก็คือ เปรมไม่เคยลืมถามถึงแผ่นทองเล็ก ๆ มีอักษร ป.อ. ซึ่งเขามอบให้หล่อนห้อยคอไว้ดูต่างหน้า ความเอาใจใส่ต่อของเล็ก ๆ สิ่งนี้ได้แสดงว่า เปรมมิได้ลืมเลือนความรักที่เขามอบไว้ให้แก่หล่อน ถ้อยคำของเปรมในจดหมายตลอดเวลาสี่ปี ทำให้อ่อนยิ่งทวีความเชื่อมั่นในตัวเขามากขึ้นเสมอ หล่อนรอต่อมา....รอด้วยความรู้สึกที่ว่าโลกนี้ได้เป็นของหล่อนแล้ว

ก็ในบัดนี้เปรมกำลังจะมาถึงบ้านดอน เปรมกำลังจะมาโอบหล่อนไว้ในแขน มีอะไรอีกในโลกที่อ่อนพอใจ และเป็นสุขมากกว่าข่าวที่ยายจาดนำมาบอก หล่อนได้รับจดหมายฉบับสุดท้ายของเขาเมื่อเขากำลังจะออกจากบอสตัน เขาบอกว่า เขาไม่แน่ว่าจะมาถึงกรุงเทพ ฯ เมื่อใด เพราะจะต้องผ่านโตเกียวเพื่อดูงานบางอย่าง แต่ว่า...จะอย่างไรก็ตามเถิด เปรมกำลังจะมาถึงบ้านดอนรถบ่ายวันนี้

เมื่อรู้สึกว่าความตื่นเต้นอย่างสุดขีด ทำให้หล่อนหมดความตั้งใจจะทำงานต่อไปได้ อ่อนก็เรียกเอียดมาเย็บเสื้อแทน เพื่อให้ทันเวลาที่นัดกับผู้จ้างไว้ เอียดต้องทิ้งเสื้อผ้าแช่สบู่ไว้ในอ่างรีบมารับงานจากพี่สาว เอียดได้ข่าวเรื่องเปรมจะกลับก็พลอยดีใจไปด้วย และเข้าใจดีว่าทำไมอ่อนจึงทำงานไม่ได้ อ่อนมอบงานให้เอียดทำแทน แล้วก็ปลีกตัวไปยังบ้านนายพิริยกิจ เพื่อดูลาดเลาว่ามีการเตรียมรับรองอย่างไรบ้าง ยายจาดเล่าให้ฟังว่าได้รับโทรเลขเมื่อตอนกลางคืน พอรุ่งเช้าจึงต้องเตรียมกันใหญ่โต อ่อนมองดูในบ้านเห็นผู้คนพลุกพล่าน ช่วยกันหยิบโน่นฉวยนี่ ดูราวกับว่าจะเตรียมรับรองข้าหลวงตรวจการก็ไม่ปาน อ่อนได้ยินนายพิริยกิจพูดว่า ที่ต้องเตรียมกันอย่างผิดปกติเช่นนี้ ก็เพราะที่บ้านติดจะโบราณมากไป ไม่ได้ตบแต่งขัดถูกันนานมาก ตามซอกลึก ๆ มีใยแมลงมุมค้างอยู่ก็มี เปรมเป็นคน “หัวนอก” เมื่อได้มาเห็นเข้าก็จะรำคาญตา ถ้อยคำของนายพิริยกิจทำให้อ่อนมองเห็นภาพเปรมเปลี่ยนแปลงไปมาก เปรมคงจะเป็นฝรั่งไปทั้งตัวก็ได้ คงจะนั่งกับพื้นไม่เป็น คงจะไม่ชอบกับข้าวไทย จนกระทั่งจะแตะต้องน้ำพริกไม่ได้ คงจะสูบกล้องปราดเปรียวว่องไวจนหล่อนอาจตามไม่ทัน ยิ่งคิดอ่อนก็ยิ่งวิตก แต่จดหมายฉบับสุดท้ายของเปรมช่วยให้อ่อนคลายความกังวลลง หล่อนเข้าไปช่วยยายจาดทำกับข้าวอย่างสนุกมือสนุกใจ นางพิริยกิจชื่นชมยินดีที่เห็นอ่อนมาช่วยงานในบ้าน ยายจาดถึงกับล้อเอาอ่อนหน้าแดงไปหลายครั้ง ดูเป็นการเปิดเผยมากทีเดียวสำหรับเรื่องรักระหว่างคนทั้งสอง

เวลา ๓–๔ ชั่วโมงผ่านไปอย่างล่าช้าสำหรับอ่อน หล่อนคอยนับนาทีรอเวลาที่เรือยนต์จะมาถึงท่าน้ำ และก็ดูเหมือนเข็มนาฬิกาจะหมุนไปช้าเหลือเกิน พอเที่ยงเล็กน้อย เรือยนต์ก็ออกจากบ้านดอนแล่นทวนลำน้ำตาปีขึ้นไปยังท่าข้ามเพื่อรอรับเปรม อีกสามชั่วโมงต่อมา มีพวกน้อง ๆ ของเปรมไปยืนรออยู่ที่ท่าน้ำสองสามคน อ่อนอยากจะไปยืนรออยู่ด้วย แต่เกรงจะเป็นเป้าให้คนอื่นคิดมากไป จึงสงบใจช่วยยายจาดอยู่แต่ในครัว พอจวน ๑๖ นาฬิกา อ่อนก็ทนเก็บตัวอยู่ไม่ได้ ในใจนึกขึ้นได้ว่าตัวออกมอมแมมไป ผมก็ไม่ได้เกล้าเรียบร้อย ไม่ได้ดัดเพราะอ่อนไม่เคยดัดผมเลย หน้าก็มันไปด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าที่ชุดอยู่กับบ้าน ดูไม่เหมาะที่จะออกไปรับเปรมอย่างนี้ เขาจากไปสี่ปี นานมาก เพราะฉะนั้นการพบปะครั้งแรกก็ควรทำตัวให้สวยสดงดงามบางตามควร อ่อนรีบปลีกตัวออกจากครัวยายจาด พอถึงบ้านก็รีบอาบน้ำแต่งตัว ไม่ใช่แต่งอย่างที่จะให้เขาล้อเอา เพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และผัดหน้าให้นวลขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ผมก็หวีเรียบ ๆ เกล้าเป็นมวยไว้ข้างหลัง อ่อนไม่ชอบดัดผม ชอบให้สวยงามอยู่ตามธรรมชาติ เปรมก็เคยชมหล่อนว่าสวยโดยไม่ต้องดัดผม และว่าถ้าไปดัดเข้าจะพิลึกไป ความจริงแม้จะไม่ต้องดัดผมเลย อ่อนก็งามพอ ใบหน้ากับเรือนผมที่หวีไว้อย่างธรรมดารับกันสนิท อ่อนงามโดยธรรมชาติ งามเรียบ ๆ เย็น ๆ เมื่อพิศก็จับตาจับใจอย่างลึกซึ้ง

ที่สพานน้ำ พอ ๑๖ นาฬิกากว่า ก็แน่นไปด้วยคนในบ้านนายพิริยกิจ ในจำพวกคนเหล่านี้มีอ่อนรวมอยู่ด้วย ทุกคนคอยมองดูทางเกาะลอยหัวแหลม กระวนกระวายใจเพราะรออยู่นานแล้ว เรือยนต์ก็ยังไม่โผล่หัวมาให้เห็น อ่อนยืนอยู่ข้างนางพิริยกิจ คอยตั้งตามองไม่น้อยกว่าคนอื่น ที่จริงเรือควรจะมาถึงนานแล้ว คราวนี้รถอาจมาผิดเวลาจึงล่าไป อย่างไรก็ดีพอจวน ๑๗ นาฬิกา เรือล่องคลื่นของนายพิริยกิจก็โผล่หัวพ้นน้ำออกมาให้เห็น ทุกคนตื่นเต้นชะเง้อคอมองพยายามค้นหาตัวเปรมในเรือลำน้อยนั้น อ่อนลืมตัวแทรกพวกน้องๆ ของเปรมออกไปยืนอยู่ติดราวลูกกรง มองเข้าไปในลำเรือซึ่งบ่ายหน้าใกล้เข้ามา ก็รู้สึกว่าแลเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ตอนท้าย รูปร่างคล้ายเปรม แต่ก็ไม่ควรจะเป็นเปรม เพราะใหญ่โตกว่า เรือแล่นใกล้เข้ามา....ใกล้เข้ามา แล้วก็ชลอเครื่องเข้าเทียบบันได สายตาทุกคู่จับอยู่ที่บุรุษผู้นั่งมาตอนท้ายเรือนั้น ชายผู้นี้น่ะหรือคือเปรมคนเก่าที่จากไป อ่อนนึกฉงนอยู่ในใจ เปรมคนเก่าของหล่อนผิวคล้ำอย่างคนไทย ผอมเกร็งอย่างนักกีฬา ตัดผมสั้น และไม่เอาใจใส่มากนักในการหวีผม แต่เดี๋ยวนี้ เปรมคนใหม่ได้เปลี่ยนไปคนละคน ผิวของเขาขาวนวลและละเอียด สูงและอ้วนขึ้น ผมเส้นละเอียดบันจงหวีไว้อย่างเรียบร้อย กิริยาท่าทางก็แช่มช้าเป็นสง่า เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็เลือกสรรค์อย่างประณีต ทั่วทั้งบ้านดอนดูเหมือนว่า เขาได้เป็นช้างเผือกที่คนจะต้องมองดู อ่อนยืนตลึง ในใจคิดว่านี่หรือเปรมของหล่อน เขาอาจจะกลายเป็นช้างเผือกไปเสียแล้ว อ่อนน่ะหรือจะตามเขาทัน.

เปรมก้าวขึ้นไปบนท่าน้ำ มองดูคนนั้นคนนี้อย่างตื่นใจ เขาตรงเข้ากราบผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง ทักทายน้อง ๆ และคนในบ้าน อ่อนจับตาอยู่ที่เขา ยืนรอว่าเมื่อไหร่เขาจะหันมาหาหล่อน เปรมกำลังมองหาคน ๆ หนึ่งเหมือนกัน พอผละจากญาติผู้ใหญ่หันหน้ามาทางลูกกรง เขาก็เผชิญหน้ากับอ่อนอย่างจัง อ่อนใจเต้นรัว ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลก นอกจากดวงตาคู่นั้น.... ดวงตาที่จ้องมองดูหล่อนอย่างแปลกตาแปลกใจ เปรมสบตาหล่อนเฉยอยู่ขณะหนึ่ง มีความรู้สึกอย่างเริ่มแรกว่า อ่อนไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ดวงตาหล่อนยังหวาน ผิวหน้ายังนวล ผมยังหวีเรียบ และรูปร่างก็ยังอ้อนแอ้นเอวบางเหมือนเมื่อก่อน ๆ

ในที่สุด เปรมก็ทักอ่อนเป็นคำแรกว่า “อ่อนสบายดีหรือ ?” เป็นคำถามสั้น ๆ แต่น้ำเสียงกลมกล่อมอ่อนโยน ทำให้อ่อนรู้สึกคล้ายกับกำลังตกอยู่ในวงแขนของเขา หล่อนนึกไม่ออกว่าจะพูดว่ากระไรจึงยืนนิ่งอยู่ แต่อาการยิ้มและแววตาได้บอกเปรมอย่างถี่ถ้วนว่า หล่อนต้องการจะพูดอะไรบ้าง ทักกันด้วยการมองและการยิ้ม แล้วเปรมก็หันไปทางผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง ญาติพี่น้องรุมล้อมเปรมอยู่โดยรอบ...ล้อมเสียจนกระทั่งอ่อนเกือบจะมองไม่เห็นตัวเขา อ่อนยังยืนอยู่ที่เดิม.....ยืนฟังเสียงเขาพูด รู้สึกคล้ายกับว่า โลกนี้ได้เป็นของหล่อนแล้วอย่างพร้อมบริบูรณ์ ที่สพานน้ำแห่งนี้หล่อนได้มายืนดูเปรมจากไปสองครั้ง ๆ ละสี่ปี เดี๋ยวนี้แปดปีได้ผ่านไปแล้ว และเปรมกำลังยืนอยู่ที่สพานน้ำนี้..ยืนอยู่ใกล้กับหล่อน ห่างกันไม่ถึงวา แน่นอนเปรมจะไม่จากหล่อนไปอีกเลยจนตลอดชีวิต!

ค่ำวันนั้นเปรมแอบไปเยี่ยมอ่อนที่ร้าน เอียดกับแม่รู้ใจอ่อน จึงปลีกตัวไปทำงานอยู่หลังบ้าน เปรมนุ่งกางเกงแพรสีเขียวแก่และเสื้อชั้นในผ้าป่าน เขาบอกว่าไม่สู้จะคุ้นกับการแต่งตัวเช่นนี้นัก เพราะไม่ได้แต่งตัวเสียนาน ดูเปรมไม่เปลี่ยนแปลงเลยในเรื่องความนึกคิด เขายังคงเป็นเปรมคนเก่า ไม่กรีดกรายถือตัว ไม่รังเกียจว่าที่ร้านของอ่อนรกรุงรังไปด้วยสินค้าจุกจิก มีทั้งตั้งเรียงอยู่กับพื้นและแขวนอยู่กับเพดาน เขายังคงคุ้นกับสถานที่เก่า ๆ อยู่ตามเดิม.

ในสายตาของอ่อน เปรมแจ่มใสชื่นบาน พูดกับอ่อนอย่างที่ควรจะพูด ถ้อยคำเต็มไปด้วยความรู้สึกของผู้ที่ได้จากไปนานแล้ว และได้กลับคืนมาพบหน้ากันอีก ในแววตาของเปรม อ่อนคิดว่าได้แลเห็นความเป็นห่วงใยและความรักอันเปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจของเขา เปรมถามถึงชีวิตของอ่อนซึ่งได้ผ่านไปแล้ว ตลอดเวลาที่เขาอยู่ในอเมริกา อ่อนบอกเขาเพียงสั้น ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากตัวหล่อนจะแก่ลง เปรมหัวเราะอย่างขบขัน พลางพูดว่า

“เธออายุเท่าไรแล้วอ่อน ถึงบอกว่าแก่ ผู้หญิงเมืองไทยมักจะชอบแก่เร็วเสมอ เธอยังสวยเหมือนกับอะไรดี”

อ่อนก้มหน้าซ่อนความกระดาก ในที่สุดก็ถามว่า “คุณยังรักอ่อนเหมือนแต่ก่อนไหมคะ อ่อนรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับคุณเสียเลย”

เปรมก้มหน้า คล้ายกับจะซ่อนความรู้สึกบางอย่างซึ่งอ่อนไม่เข้าใจ นิ่งอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งจึงตอบว่า “อะไรทำให้อ่อนคิดเช่นนั้นเล่า ฉันคิดถึงอ่อนเสมอ”

อ่อนตอบเขาว่า “เป็นพระคุณแล้วที่ยังคิดถึงอ่อนอยู่ อ่อนรอคุณทุกขณะลมหายใจ คุณทำให้อ่อนมีหวัง ถ้าไม่มีคุณเสียแล้ว อ่อนก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”

เปรมถอนใจเบา ๆ เขาบีบมืออ่อนแน่นแล้วก็ไม่ได้พูดว่ากระไรอีก จนกระทั่งเอียดกลับออกมาจากหลังร้าน

เจ็ดวันได้ผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็ว สำหรับอ่อน หล่อนรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เต็มไปด้วยความสวยงาม จะพิสดูอะไรก็เป็นที่ถูกใจเสียหมด เปรมมาหาหล่อนวันละหลาย ๆ ครั้ง ดูเขาช่างเป็นห่วงใยในตัวหล่อนเสียเหลือเกิน มีบางสิ่งในดวงตาของเปรมที่อ่อนรู้สึกฉงนในบางครั้ง ดูเหมือนเปรมจะมองดูหล่อนด้วยความเศร้าอันลึกซึ้ง.....มองดูคล้ายกับจะมองให้เต็มตา...มองอย่างอาลัยรัก ดังที่เขาได้มองมาแล้วทุกครั้ง เมื่อเขาจะจากหล่อนไป อ่อนไม่เข้าใจเลย แต่คิดเอาเองว่าเปรมคงไม่มีอะไรนอกจากจะมองดูด้วยความคิดถึง ซึ่งยังจับหัวใจอยู่ เพราะพึ่งจะได้พบปะกัน ในวันแรก ๆ หล่อนไม่คิดว่าเขาจะต้องไปไหนอีก เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

แล้วก็ถึงคืนวันหนึ่งที่พระจันทร์ข้างแรมฉายแสงหรุบหรู่อยู่ที่ชายมะพร้าวริมฝั่งน้ำตาปี เปรมนัดอ่อนไปพบกันชายน้ำท้ายตลาด ที่นั่นเขาเตรียมเรือเล็กไว้ลำหนึ่ง พออ่อนมาถึงเขาก็บอกให้ลงเรือ แล้วพายทวนน้ำขึ้นไปยังเกาะลอย ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๕ เส้น เปรมเกยเรือไว้ที่หาด แล้วก็อุ้มอ่อนขึ้นไปบนเนินหญ้าเตี้ยๆ ซึ่งมีหญ้าแพรกขึ้นเรียบประหนึ่งมีคนมาตัดไว้ เขาวางหล่อนลงกับพื้นหญ้า แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งเบียดอยู่ชิดกายอันร้อนผ่าวของหญิงสาว ทั้งสองไม่ได้พูดจาอะไรกันเลย เพราะเพียงแต่คำพูดคำเดียว ก็จะทำลายความเป็นจริงในหัวใจเสียอย่างน่าเสียดาย เปรมโอบหล่อนไว้ด้วยแขนขวา ศีรษะเขาซบอยู่กับบ่าของหล่อน อ่อนใจเต้นแรง ซึ่งตรงกันข้ามกับเขา หัวใจของเปรมกำลังเหี่ยวเล็กลงทุกขณะ เต็มไปด้วยความปวดชาทรมาน อ่อนไม่มีโอกาสจะมองดูดวงตาของเขา เพราะเปรมซบศีรษะแนบอยู่กับแก้มของหล่อน อ่อนคิดว่าเขาคงมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม เช่นเดียวกับที่ตนเองกำลังประสบอยู่ นานเท่าใดไม่ปรากฏ ในที่สุดอ่อนได้ยินเสียงเปรมกระซิบที่ข้างหูเบา ๆ ว่า

“อ่อนจ๋า ขอให้ฉันกอดเธอนาน ๆ สักหน่อยนะ ฉันอยากจะกอดอยู่อย่างนี้ ไม่อยากจะปล่อย เชื่อไหมอ่อน ฉันอยากจะกอดอยู่อย่างนี้”

อ่อนไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น นอกจากจะคิดว่าเขากล่าวด้วยความพิสวาทกันดูดดื่ม หล่อนสท้านใจและงวยงงประดุจถูกสกดจิต แนบศีรษะลงกับหน้าผากของเขา แล้วกระซิบว่า

“อ่อนเป็นของคุณเสมอ คุณจะกอดไว้นานเท่าไหร่ก็ได้ค่ะ เปรม”

ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ยันตัวลุกขึ้น แล้วก็รวบร่างหล่อนไว้ในวงแขนทั้งสอง อ่อนปล่อยตัวปล่อยใจ ไม่ตะขิดตะขวง ไม่บิดพริ้ว หล่อนทอดกายอยู่ในวงแขนของเปรม ศีรษะหนุนอยู่ที่ต้นแขนอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เปรมพิสดูดวงหน้าอันงามครู่หนึ่ง แล้วก้มลงจูบหล่อนอย่างดูดดื่ม อ่อนลืมตัวแทบจะหมดสติ รู้สึกว่าในโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเขาและหล่อน เงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงลมพัดต้องทางมะพร้าว และเสียงระลอกว่ากระทบตลิ่ง ท้องฟ้าสีค่อนข้างดำ เพราะจันทร์แรมกำลังหรี่แสง บนเกาะน้อยกลางน้ำปราศจากผู้คน มีอยู่แต่เขาและหล่อนเท่านั้น อยู่กันลำพังสองต่อสองในความมืดและความสงัดแห่งเวลาค่ำคืน แสงไฟบนฝั่งน้ำค่อย ๆ ดับไปทีละดวงสองดวง แสดงว่าผู้คนกำลังจะหลับนอนกันแล้ว เข็มนาฬิกาข้อมือของเปรมชี้บอกเวลา ๒๒ นาฬิกากว่า สำหรับชนบทบ้านนอกเวลา ๒๒ นาฬิกา นับว่าดึกโขทีเดียว แต่เปรมกับอ่อนน่ะหรือจะรู้ว่าดึก แปดปีที่ต้องจากกัน แปดปีที่อ่อนคอยเปรม มันนานพอที่จะทำให้หล่อนและเขาเพลิดเพลินอยู่ในความสุขกายสุขใจอันสูงสุด เพื่อจะชดเชยกับความทรมานตลอดระยะเวลาแปดปี อ่อนลืมเอียดลืมแม่ ลืมว่าคนทั้งสองจะคอยเพราะหล่อนไม่เคยออกไปไหนในเวลาค่ำคืน เปรมลืมบ้าน และลืมเรือ ลืมคิดว่า น้ำกำลังไหลเอ่อท่วมชายหาดขึ้นมาทีละน้อย จนกระทั่งถึงลำเรือที่ลากขึ้นมาเกยหาดไว้แล้ว ถ้าเรือลำน้อยนี้ถูกน้ำพัดพ้นเกาะไป....? คิดดูเถิด แล้วเปรมกับอ่อนจะทำอย่างไร ? ใครจะกล้าว่ายตัดสายน้ำอันเย็นยะเยือกไปขึ้นฝั่ง ? ใคร ๆ ก็รู้ว่าลำน้ำตาปีเต็มไปด้วยฝูงจรเข้ เวลากลางคืนเป็นเวลาที่มันออกหากิน และทุกๆ ปีชาวบ้านดอนจะต้องตกเป็นเหยื่อของมันเสมอ

หลับอยู่ในความฝันอันสวยสดงดงาม แล้วเปรมก็ได้สติขึ้น เขาสดุ้งคล้ายกับกำลังเผชิญหน้ากับภาพอันน่าหวาดกลัวของชีวิต ภาพแห่งความหลังที่ทำให้เกิดอุปสรรคที่ทรมานใจ พิสดูดวงหน้าอันเต็มไปด้วยความซื่อของอ่อน แล้วก็สท้อนใจแทบจะถอนสอื้นออกมา หน้านั้นเต็มไปด้วยความสุข และความเชื่อมั่นในตัวเขา เชื่อด้วยความไม่เดียงสาต่อชีวิต อนิจจา อ่อนที่รัก ช่างไม่คิดถึงอะไรเสียเลย ช่างไว้ใจชีวิตอะไรเช่นนี้

เปรมกอดร่างอันแน่นิ่งนั้น แนบไว้กับทรวงอก บรรจงจูบที่หน้า และที่คอ จูบด้วยหัวใจที่เหี่ยวแห้ง ประหนึ่งว่าจะเป็นการจูบครั้งสุดท้ายในชั่วชีวิตนี้ อ่อนจูบตอบเขา หัวใจของหล่อนเบิกบานล่องลอยอยู่ในสวรรคของความพิสวาท อ่อนหารู้ไม่ว่าเปรมกำลังรู้สึกอย่างไร มันมืดจนเกินที่หล่อนจะสังเกตเห็นหน้าของเขาได้

น้ำได้เอ่อท่วมชายหาดแล้ว เรือน้อยกำลังถูกสายน้ำพัดเคลื่อนออกไปสู่เขตน้ำลึก จากนั้นก็ลอยไป....ลอยไป...จนกระทั่งหายลับไปในความมืด

จันทร์แรมเสี้ยวเล็กได้ลับยอดมะพร้าวไปนานแล้ว แต่หนุ่มสาวทั้งสองยังคงนั่งอยู่เดิม นั่งอยู่ชิดกันประหนึ่งว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรจะมาแยกให้ห่างออกจากกันได้ ตราบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต อ่อนทอดกายอยู่ในวงแขนอันแข็งแรงของเปรม... ชายที่หล่อนคิดว่าได้เป็นเจ้าของร่างกายและวิญญาณของหล่อนแล้ว เป็นผู้ที่จะให้ความสุขและความปลอดภัยแก่ชีวิตของหล่อนชั่วกาลอวสาน อ่อนอบอุ่นใจไม่มีอะไรจะเปรียบ รู้สึกคล้ายกับว่าในโลกนี้ไม่มีเศษของความทุกข์เหลืออยู่เลย เป็นโลกของความสมหวังที่ไม่มีอะไรจะมาทำให้กลายเป็นความผิดหวังไปได้ หล่อนได้ใช้เวลา ๘ ปีเต็มในการรอเปรม และบัดนี้เขาได้มาอยู่แนบข้างหล่อน มาเป็นของหล่อนแต่ผู้เดียว หล่อนได้เป็นเจ้าของร่างกายและวิญญาณของเขาแล้วอย่างเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรจะมาพรากเปรมไปจากหล่อนได้ นอกจากความตาย

ลมพัดทางมะพร้าวเสียดสีกันดังกราว เสียงสุนัขหอนดังมาจากฝั่งทางท้ายตลาด เป็นเสียงที่เยือกเย็นจับหัวใจ เสียงเหล่านี้เตือนให้คนทั้งสองตื่นจากความฝัน ซึ่งเต็มไปด้วยความสุขอันละเอียดอ่อน เปรมเอามือลูบผมอ่อนเบา ๆ จูบให้ที่หน้าผากแล้วก็กระซิบบอกว่า

“ดึกมากแล้วที่รัก เรากลับกันเถิด”

อ่อนคลายตัวออกจากวงแขนของเขา นั่งตัวตรงแหงนดูท้องฟ้าอันโปร่งปราศจากเมฆ ดวงตาของหล่อนมีประกายที่แสดงให้เห็นความสุขความพอใจในชีวิต ซึ่งเปรียบประดุจดอกไม้ที่เพิ่งแย้มบานในเวลาเช้าตรู่ อ่อนถอนใจเบา ๆ แล้วก็กล่าวว่า “ถ้าเรามีอิสรภาพพอ เราคงไม่กลับนะคะเปรม เราจะนั่งอยู่อย่างนี้จนรุ่งเช้า”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างฝืนความรู้สึก

“แม่เธอคงคอยแย่ ป่านนี้คงจะปิดร้านแล้ว นี่เราจะแก้ตัวว่าอย่างไร”

“ก็พูดไปตามเรื่อง แต่อ่อนไม่เห็นแปลก เรารักกัน ใครเขาว่าก็ช่างเขาปะไร”

ถ้อยคำอันเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของอ่อนทำให้เปรมสท้านใจ สีหน้าเขาเคร่งขรึม ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง มือขวาที่โอบไหล่หล่อนอยู่รัดแน่นยิ่งขึ้น ดูประหนึ่งว่าจะรัดให้ร่างอันแบบบางนั้นละลายหายเข้าไปในร่างของเขา ความซื่ออย่างไม่เดียงสาของอ่อน ทำให้เปรมรู้สึกคล้ายอยู่ในที่อันเต็มไปด้วยความบีบรัด เขาถอนใจยาว ซึ่งอ่อนคิดว่าเขากำลังมีความสุขใจอย่างเปี่ยมล้น เปรมนั่งนิ่งมิได้พูดว่ากระไร จนกระทั่งอ่อนเอ่ยขึ้นอีก

“เราจะมีบ้านเล็ก ๆ นะคะ...เปรม, คุณไปทำงาน อ่อนอยู่ทางบ้านจะจัดให้เรียบร้อย อ่อนเห็นคุณต้องรับประทานน้ำชาตอนบ่ายทุกวัน อ่อนจะหัดทำบ้าง จะเตรียมไว้ให้พร้อมเวลาคุณกลับจากงาน เราจะมีคนใช้เพียงคนเดียว อ่อนรับรองว่าจะไม่ให้มีอะไรบกพร่องเลย แต่เราจะอยู่กันที่ไหนเล่าคะ ?”

คำถามอย่างไร้เดียงสาของหล่อนยิ่งทำให้เปรมกระวนกระวายใจมากขึ้น เขาตบไหล่หล่อนเบา ๆ แล้วกล่าวว่า

“เราอย่าเพิ่งพูดถึงเลยปัญหาเหล่านี้ ฉันคิดว่าเราควรจะรีบกลับบ้าน”

อ่อนมองหน้าอย่างประหลาดใจ

“คุณเป็นห่วงมากหรือคะ ? กลัวแม่จะรู้...กลัวทำไมคะ แม่อ่อนใจดี แม้รู้หมดแล้วว่าเราเป็นอะไรกัน อ่อนคอยคุณแปดปี แม่ก็รู้ แม่ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ”

เปรมถอนใจอีกครั้งหนึ่ง

“คุณจะทำงานที่นี่ หรือจะต้องไปอยู่กรุงเทพฯ อ่อนไม่เคยไปกรุงเทพฯ เลย คุณจะต้องสอนอ่อนให้รู้จักขนบธรรมเนียมในกรุง ต้องให้อ่อนเข้าสมาคมได้ สอนอ่อนให้เต้นรำด้วยนะคะ อ่อนเป็นห่วงเหลือเกิน คุณเป็นนักเรียนนอก ส่วนอ่อนเป็นแต่แม่ค้าชาวบ้านนอก ห่างไกลกันตั้งโยชน์”

เปรมเอามือลูบผมหล่อนด้วยความเอ็นดู

“อย่าพูดว่าเราห่างไกลกัน ถึงตัวเราจะห่าง แต่ใจเปรมอยู่ที่อ่อนเสมอ”

อ่อนรู้สึกงงงวยเพราะคำพูดของเขาจึงถามว่า “ก็เราจะไม่ห่างกันแล้วไม่ใช่หรือคะ เปรม ?”

เขาพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้

“เปล่า เราอยู่ใกล้กัน ฉันหมายความว่าฉันไม่คิดว่าเธอต่างกับฉันที่ตรงไหน เธอก็คืออ่อนคนเก่า มีความดี มีความสวยงาม ฉันจะไม่ลืมอ่อนของฉันเลย”

หล่อนยิ้มอย่างมีสุข เอาศีรษะพิงกับไหล่ของเขา ทอดสายตาดูพื้นที่แลเห็นอยู่สลัว ๆ ตรงเบื้องหน้า

“เมื่อไหร่คุณจะมาขออ่อนคะ เปรม ?” ถามเสียงเบาจนเกือบเป็นกระซิบ

เปรมสดุ้ง เพราะไม่คิดว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาชนิดนี้ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตอบ

“รอให้เรียบร้อยเสียสักหน่อยก่อน”

“ก็ดีเหมือนกัน รอให้คุณทำงานเป็นหลักแหล่งเสียก่อน อ่อนจะรอต่อไปนะคะเปรม คงไม่นานไม่ใช่หรือ ?”

“ไม่นาน” เขาตอบเสียงสั้นและห้วน น้ำเสียงเบาเกือบไม่ได้ยิน

เสียงตีเกราะที่ดังข้ามน้ำมาจากตลาด ทำให้เปรมตัดสินใจเด็ดขาดว่าถึงเวลาจะต้องกลับแน่แล้ว เขาดึงตัวอ่อนลุกขึ้น กระซิบว่า

“กลับกันเถิด อ่อน ดึกมากแล้ว”

อ่อนโผเข้ากอดคอเขา เปรมจูบทั่วหน้าแล้วประคองหล่อนเดินจากเนินหญ้ามายังชายหาด เมื่อถึงตลิ่ง เขาหยุดชงักด้วยความแปลกใจ หาดทรายทั้งหาดหายไปสิ้น น้ำได้ท่วมขึ้นมาจนถึงเขตหญ้าและต้นอ้อ

“น้ำขึ้น” เปรมร้องเบา ๆ “นี่เรือเราลอยไปไหนเล่า ? ไม่นึกเลยว่าจะขึ้นมากถึงเพียงนี้”

“อ่อนก็ลืมบอกไปว่าฤดูนี้น้ำขึ้นมาก” อ่อนพูดอย่างปราศจากความร้อนรน “ลองหาดูทางข้างตลิ่งซีคะ เผื่อจะลอยมาติดอยู่บ้างกระมัง ?”

เปรมส่ายตามองหาเรือด้วยความกระวนกระวายใจ เขาเดินเลาะไปตามตลิ่ง จนกระทั่งถึงดงต้นลำพูก็หาพบไม่ เบื้องหน้าล้วนแต่ป่าอ้อ ไม่มีทางจะเดินต่อไปได้ เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีหวังจะได้เรื่อ เปรมก็ยิ่งใจเต้นมากขึ้น ทำอย่างไรจึงจะกลับบ้านได้ ? ปัญหาอันนี้ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเขา ถ้ารออยู่บนเกาะนี้จนรุ่งเช้าก็จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ อ่อนกับเขาค้างคืนอยู่บนเกาะเรื่องคงจะแซ่ไปทั้งบ้านดอน เกียรติยศของอ่อนซึ่งเป็นผู้หญิง คนเขาจะนึกอย่างไร เปรมมองเห็นภาพทุก ๆ ภาพในตอนรุ่งเช้าเมื่อได้อาศัยเรือที่พายผ่านมาขึ้นฝั่งได้แล้ว เขาและอ่อนก็คงจะเดินหน้าม่อยกลับบ้าน และเมื่อถึงบ้านก็จะถูกซักถามอย่างยากที่จะแก้ตัวได้ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่อ่อนและเขาได้หายไปทั้งคืน นอกจากเหตุผลของความรัก และก็เป็นจริงเช่นนั้นเสียด้วย ไม่มีประโยชน์ดอกที่จะปฏิเสธ เปรมคิดแล้วก็ยิ่งเป็นทุกข์ หันหลังเดินกลับมายังที่เดิม พบอ่อนนั่งรออยู่บนลำต้นพุดซาซึ่งถูกโค่นนอนอยู่กับพื้น สีหน้าและน้ำเสียงของเปรมทำให้อ่อนนึกขัน หล่อนรู้ว่าเขาหวาดกลัวโดยไม่มีเหตุผล เรื่องของเขาและหล่อนก็เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วทั้งตลาด เหตุไฉนจึงจะต้องมานั่งเป็นห่วงจนกระทั่งถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนี้ อ่อนฉุดมือเขาให้นั่งลงข้างๆ หล่อน เปรมไม่ยอมนั่งบนขอนไม้ เลื่อนตัวลงนั่งยังพื้นหญ้า อ่อนเห็นดังนั้นก็ลดตัวลงมานั่งเสมอกับเขาบ้าง เอามือจับแก้มรั้งให้เขาหันหน้ามาหา เปรมไม่ขัดขืนที่จะทำตาม แต่เขามิได้เอนตัวมาหาด้วย ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ตามเดิม

“ทำไมคะ เปรม เรื่องเท่านี้ก็เป็นทุกข์เป็นร้อนไปได้ อ่อนไม่เห็นจะน่าห่วงสักนิด”

เขาพยายามยิ้ม แต่อ่อนรู้ว่าอาการยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความฝืน

“สำหรับฉันไม่เป็นไร ฉันเป็นห่วงแต่เธอ”

“ดิฉันไม่กลัวหรอกค่ะ เปรม”

“เธอเป็นผู้หญิงอ่อน คิดให้ดี มันเสียหายมากนัก”

“ ใครเขาจะว่าก็ช่างเขาปะไร ดีเสียอีกให้เขารู้ว่าเรารักกันเพียงไร เราไม่รักกันเล่น ๆ อย่างพวกเด็ก ๆ เราจะแต่งงานกัน จะอยู่ด้วยกัน เราจะไม่ยอมจากกันเลย”

เปรมเบือนหน้ากลับมาดังเดิม ทอดสายตาดูพื้นน้ำตรงหน้าโดยไม่รู้ว่าเป็นภาพอะไรแน่ นัยน์ตาพร่า หูอื้อ สมองตัน นั่งนิ่งเหมือนท่อนไม้ ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะพูดอะไร หรือจะทำอะไร อ่อนหวังแน่วแน่เหลือเกินในเรื่องการแต่งงาน เปรมรู้ว่าหล่อนเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยม เขาได้กลับมาแล้ว....กลับมาภายหลังที่ได้จากไปแปดปี...กลับมาเพื่อแต่งงานกับหล่อน อ่อนคิดเช่นนี้ ไม่มีอะไรจะทำให้หล่อนคิดเป็นอย่างอื่นได้ ความเชื่อมั่นของหล่อนทำให้เปรมตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกว่าเขาจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของอ่อน อ่อนจะดีหรือเลวอยู่ที่การกระทำของเขา เปรมได้มีภาระขึ้นใหม่แล้ว ภาระที่หนักอย่างประมาณมิได้ เขาจะต้องรับผิดชอบในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง เสียง ๆ นี้ดังก้องอยู่ในหู เขาจะหนีความรับผิดชอบไม่ได้เลย มันเป็นเรื่องของเกียรติยศ เรื่องของมนุษยธรรม เปรมเป็นสุภาพบุรุษ และร้ายที่สุดก็คือเปรมรักอ่อน อเมริกาไม่ได้ทำให้เขารักอ่อนน้อยลง เขาชอบความงามของหล่อนที่เป็นไปโดยธรรมชาติ มิได้รับการตกแต่งอย่างสาวชาวกรุง เขาชอบความละมุนลม่อมอ่อนโยนทางอุปนิสัยใจคอ ชอบแววตาทเต็มไปด้วยความซื่อและความจริง แต่โลกนี้เป็นโลกของเคราะห์กรรม ความผิดมีมากกว่าความถูก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เปรมชอบและต้องการ จึงเป็นแต่เพียงความฝัน ซึ่งแทบจะไม่มีโอกาสที่จะกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้เลย

แลเห็นเปรมนั่งกอดเข่านิ่งคล้ายกับหลับใน อ่อนก็รำคาญใจ เอื้อมมือไปเขย่าหัวเข่าเขาแล้วยื่นหน้าเข้าไปชิดจนกระทบลมหายใจของชายที่รัก

“หลับหรือคะ หรือว่ายังกลุ้มใจไม่หาย” หล่อนถามอย่างอ่อนโยน

“เปล่า” เขาตอบอย่างแทบไม่รู้สึก “ฉันออกจะง่วง”

“นอนเสียไหมล่ะคะเปรม ถ้าไม่รังเกียจหนุนตักอ่อนก็ได้ อ่อนจะปัดยุงให้” พูดแล้วหล่อนก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาถือไว้

“อย่าเลยอ่อน” เขารีบปฏิเสธโดยเร็ว “เราจะนอนค้างบนเกาะนี้ไม่ได้”

“คุณจะกลับไปอย่างไร ไม่มีเรือ”

“ว่ายน้ำไป”

“ว่ายน้ำ” อ่อนร้องอย่างตกใจ “ตายแล้ว ไม่รู้หรือคะว่า...แหม... ไม่อยากพูดถึงมันเลย”

“จรเข้น่ะหรือ ไม่มีหรอกแถวนี้ มันไปอยู่ทางคลองมะขามเตี้ยหมด”

“อะไรได้ ก่อนหน้าคุณมาสองสามวัน มันเอาไปกินคนหนึ่งแล้ว”

เปรมหยุดนิ่งเงียบไป ระหว่างจรเข้กับเกียรติยศของอ่อน เขาจะเลือกเอาข้างไหน ? ความตายซึ่งอาจจะมาถึงพร้อม ๆ กันสำหรับเขาและอ่อน...เป็นสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญ...จะต้องเสี่ยงถ้าขืนลงไปในสายน้ำอันเยือกเย็นในเวลาค่ำคืนเช่นนี้ แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าสามารถจะตายได้พร้อม ๆ กันทั้งสองคน ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงความรับผิดชอบอีกอันหนึ่ง เปรมเสทือนใจอย่างแรง เขายังตายไม่ได้ ในนามของมนุษยธรรม เขายังจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนาน มีชีวิตอยู่เพื่อชีวิตของคนอื่นที่เขาต้องรับผิดชอบ ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกเอาข้างที่ตรงกันข้ามกับความตาย ความคิดที่จะว่ายน้ำข้ามฟากได้เลิกล้มไปทันที

ท่าทางอันเต็มไปด้วยความลังเลและความเป็นห่วงกังวลของเปรม ทำให้อ่อนบังเกิดความรู้สึกทั้งสงสัยและรำคาญ หล่อนไม่วิตกอะไรเลย ความมั่นใจที่จะอยู่ร่วมชีวิตกับเขา ทำให้เกิดความกล้าไม่ย่อท้อต่อคำครหานินทาอะไรทั้งหมด หล่อนเริ่มสงสัยว่าทำไมเปรมจึงต้องแสดงความวิตกมากมายเกินควร แต่มาหวลคิดได้ว่าบางทีเขาจะเป็นสุภาพบุรุษเกินไป จึงได้กังวลในเกียรติยศของหล่อนมากถึงเพียงนี้ อ่อนเห็นใจและนึกบูชาเขาทวีขึ้นอีก

“อ่อนว่าเรานั่งอยู่อย่างนี้จนสว่างก็แล้วกัน คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ เปรม”

ชายหนุ่มสั่นศีรษะ

“เธอไม่กลัวหรือว่าใครเขาจะพูดถึงเราว่าอย่างไร ?”

“ก็ช่างเขาปะไรล่ะคะ เราแน่ใจในตัวของเราก็แล้วกัน”

เปรมก้มหน้าเพื่อหลบตาหล่อน แม้จะค่อนข้างมืด แต่เขาก็ยังกลัวว่าอ่อนอาจสังเกตเห็นได้ว่าในดวงตาของเขามีรอยพิรุธบางอย่างซ่อนอยู่

เปรมรู้ดีว่าอ่อนมีความเชื่อมั่นในตัวเขาจนกระทั่งไม่นึกหวาดกลัวอะไรทั้งหมด ความเชื่อมั่นของหล่อนทำให้เขาได้รับความทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อได้ตรองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าเขาควรจะทำอย่างไร การจะทำอย่างไร การทิ้งให้อ่อนหลงอยู่ในความมืดต่อไปเป็นการเอาเปรียบหล่อนและจะเกิดผลร้ายแก่ตัวหล่อนมาก แต่เขากลับบังเกิดความหวาดหวั่นในการจะพูดอะไรออกไปตรง ๆ อ่อนจะรู้สึกอย่างไรภายหลังที่ได้คอยเขามาเป็นเวลาแรมปี ความผิดหวังครั้งนี้จะต้องเป็นความผิดหวังอย่างใหญ่หลวงสำหรับหล่อน อ่อนจะทนความผิดหวังนี้ได้หรือ?

เปรมลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ว่าความจริงไม่มีใครจะหนีพ้นไปได้ ถ้าเราไม่บอกหล่อนให้เขาเข้าใจเสียเดี๋ยวนี้ วันหนึ่งเขาก็จะต้องบอกเหมือนกัน และการบอกช้าไปย่อมจะทำร้ายความรู้สึกของอ่อนรุนแรงยิ่งขึ้นตามส่วน เปรมตกลงใจเป็นครั้งที่สุด เขาจะนิ่งอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว

ความสงสารเห็นใจ ทำให้ชายหนุ่มค่อย ๆ กางแขนโอบร่างอ่อนมาชิดตัว จูบให้ที่พวงแก้มและหลังตา แล้วกระซิบว่า

“อ่อน ฉันมีเรื่องอะไรจะพูดด้วย”

อ่อนสบตา สีหน้าเต็มไปด้วยความสุข “อะไรคะ เรื่องเกี่ยวกับอ่อนน่ะหรือคะ”

เขาพยักหน้า แต่ยังไม่มีความกล้าพอจะพูดอะไรออกไป

“ก็ไม่มีอะไรแล้วนี่คะ แม่ก็ไม่มีความเห็นอย่างไร ถ้าจะมีก็ต้องเห็นด้วย” อ่อนพูดอย่างวางหน้าตาเฉย “ว่าแต่ทางบ้านคุณเถอะ มีใครว่าอย่างไรบ้าง อ่อนไม่ดีพอสำหรับคุณหรอกค่ะ ทางบ้านคุณอาจมีความเห็นเป็นอย่างอื่นก็ได้”

คำพูดอันไม่เดียงสาของอ่อนทำให้เปรมสท้านใจ เขารัดหล่อนแน่นขึ้นคล้ายกับจะปลอบ

“เรื่องนั้นฉันไม่วิตกอะไรหรอก มันเรื่องอื่น”

อ่อนจ้องหน้าเขาอย่างแปลกใจ

“เรื่องอื่น ทำไมคะเปรม เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วหรือ ? คุณจะต้องไปไหนอีกแล้วหรือคะ ? เราจะต้องจากกันอีกหรือคะ เปรม ?”

รู้สึกเหมือนใจถูกเฉือนด้วยคมมีด เปรมถอนใจยาว ซบศีรษะลงแนบกับเรือนผมของหล่อน

“อ่อน....เธอต้องกล้า” เขาพูดเบาเกือบเป็นเสียงกระซิบ

อ่อนยิ่งแปลกใจมากขึ้น คราวนี้มีความตกใจเจือปนอยู่ด้วย.

“เอ๊ะ! เกิดเรื่องอีกแล้วหรือคะ เปรม ? มีอะไรกันอีกเล่า ? เราจะต้องจากกันอีกอย่างนั้นหรือคะ ? บอกอ่อนเร็วเข้า พูดมาค่ะ เปรมอย่านั่งนิ่งเช่นนี้”

เปรมลูบผมหล่อนเบาๆ

“จะอย่างไรก็ตามเถิด ฉันอยากจะขออะไรอ่อนสักอย่างหนึ่ง” เขาพูดอย่างพยายามข่มอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความเศร้า

ความตื่นกลัวปรากฏอยู่ในสีหน้าอ่อน

“พูดมาเร็วเข้า อย่านิ่งอย่างนั้น จะขออะไรก็พูดซีคะ”

“ฉันอยากจะขอให้อ่อนเชื่อว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันยังรักอ่อนเสมอ ในชาตินี้หัวใจของฉันเป็นของอ่อนคนเดียว”

หันมองดูหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ อ่อนถามขึ้นว่า “นี่คุณจะหลอกอะไรอ่อนหรือคะ ? อ่อนก็รู้แล้วนี่ว่ารักอ่อน”

“เธอรู้ แต่เธออาจไม่เชื่อ”

“เอ๊ะ! ก็อ่อนเชื่ออยู่ทุกวันนี่คะ เปรม”

เปรมนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามรวมกำลังใจแล้วก็กล่าวว่า

“ฉันคิดว่าฉันได้ทำผิดต่อเธออย่างร้ายแรง ความผิดของฉันมากจนเกินที่ฉันจะขอให้อ่อนยกโทษให้ได้ ฉันได้ทำลายความหวังของฉันเอง และของอ่อนด้วย แต่ฉันไม่ได้ต้องการจะทำอย่างนั้นเลย ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันไม่ต้องการ และฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงจะต้องทำอย่างนั้น ฉันได้หลอกตัวเองอย่างโง่แท้ ๆ ฉันไม่หวังจะให้อ่อนเข้าใจฉันเพราะถึงตัวของฉันเองก็แทบเข้าใจตัวเองไม่ได้”

อ่อนนิ่งฟังอย่างงง เดาไม่ถูกว่าเปรมกำลังพูดถึงอะไร แต่หล่อนรู้ว่าเรื่องที่เขาพูดถึงอย่างกำกวมนี้ ต้องเป็นเรื่องร้าย ไม่ใช่เรื่องดี.

“คุณทำให้ใจอ่อนไม่ดีเสียแล้ว เรื่องอะไรคะ เปรมค่อย ๆ เล่าให้อ่อนฟัง ไม่ต้องกลัวว่าอ่อนจะฟังไม่ได้ สิ่งใดที่เป็นความทุกข์ของคุณอ่อนอยากจะขอร่วมด้วย”

เปรมกัดกรามแน่น คำพูดอันอ่อนโยนเต็มไปด้วยความจงรักภักดีของอ่อน ทำให้เขาแทบจะไม่กล้าเอ่ยอะไรต่อไปอีก แต่อ่อนจะต้องรู้ มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยตัวหล่อน และตัวของเขาเอง ทางเดียวนี้ก็คือการสารภาพ

เขายันตัวลุกขึ้นนั่งตรง ท่าทางเอางานเอาการ เปรมได้ตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง.....และครั้งนี้แน่วแน่ เขาจะต้องบอกอ่อนให้หมด .....บอกให้หมดในคืนวันนี้ ไม่มีอะไรคั่งค้างอยู่ในหัวใจอีก.

“อ่อน เธอเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือ จะให้ฉันพูดหรือยัง ?”

อ่อนมองตาเขาอย่างลังเลใจ หล่อนรู้ว่าสิ่งที่เปรมจะพูดก็คือข่าวร้าย แต่อีกใจหนึ่งยังดื้อดึงคิดอยู่เสมอว่าเปรมอาจจะล้อหล่อนเล่นก็ได้ ความอดทนที่ฝึกตัวเองมาตลอดแปดปี ทำให้อ่อนปลอบใจตัวเองว่าจะไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งที่เขาจะพูดเลย หล่อนหันมาเผชิญหน้ากับเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันแจ่มใสเด็ดเดี่ยวว่า

“อ่อนพร้อมแล้ว คุณจะพูดว่ากระไร ?”

เปรมเอื้อมมือไปกุมมือหล่อนไว้แล้วบีบอย่างแรง

“ฉันมาคราวนี้ตั้งใจจะมาบอกอ่อนว่าบางที...” เขาหยุดอย่างลังเล แต่แล้วก็พยายามกล่าวต่อไป “คือฉันอยากจะให้อ่อนเข้าใจว่า.....เรา... บางทีเราอาจจะผิดหวังมาก”

หัวใจสั่นสะท้านอยู่แล้ว ถูกบีบให้เล็กลงจนแทบจะทนไม่ได้ ถ้อยคำของเปรมบ่งอยู่อย่างชัดเจนว่า สิ่งที่อ่อนหวาดกลัวอยู่ทุกชั่วโมงนาฑีนั้นได้กลายเป็นจริงขึ้นอีกแล้ว.

“เล่าต่อไปเถอะค่ะ เปรมบอกอ่อนเร็วเข้าเรื่องอะไรกันแน่”

เปรมบีบมือหล่อนแรงกว่าเดิม.

“ฉันแต่งงานเสียแล้ว”

เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาตรงหน้า เหมือนแผ่นดินที่นั่งอยู่นั้นกวัดไกวไปมา อ่อนนั่งตลึงสมองชาไปสิ้น เป็นไปได้ถึงเพียงนี้เทียวหรือ ? เปรมได้พูดออกมาเช่นนี้จริง ๆ หรือ? หล่อนจ้องหน้าเขานิ่งไม่นึกจะพูด ไม่นึกจะไหวกาย หัวใจหล่อนไม่โศก ไม่มีอะไรจะทำให้โศกได้ในขณะนั้น มันชาเย็นปราศจากความรู้สึกเสียแล้ว.

เงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงปลาผุดในน้ำ เสียงใบอ้อเสียดสีกัน ลมพัดฉิว ๆ ไม่ใช่ลมหนาวเลย แต่เปรมรู้สึกเย็นเข้าหัวใจ.

“อ่อนเธอไม่ต้องเสียใจ ฉันอนุญาตให้เธอทำอะไรฉันได้ทุกอย่าง”

อ่อนยังคงนั่งตัวแข็งอยู่ มิได้ไหวกายแม้แต่ปลายนิ้ว นัยน์ตาของหล่อนมองต่ำ...มองดูกอหญ้าที่ตรงหน้า..มองนิ่งเฉยอย่างปราศจากความรู้สึกสัมผัส หล่อนมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากความมืดอันน่าสยดสยองของชีวิต

“อ่อน ทำไมเธอจึงไม่พูด” เปรมเขย่าตัวหล่อนเบา ๆ

อ่อนยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม

“อ่อน...... อ่อน” ชายหนุ่มเรียกอย่างละล่ำละลัก “พูดซี อ่อน เธอเป็นอะไรไป พูดกับฉันหน่อย....พูดกับฉันสักคำ...อย่านั่งนิ่งอย่างนั้น”

อ่อนถอนหายใจเบา ๆ ความรู้สึกสติได้ค่อย ๆ กลับคืนมาทีละน้อย เปรมแต่งงานแล้ว! เสียงเล็กๆ กำลังกระซิบอยู่ที่ช่องหู ต่อจากนี้ไปจะไม่มีเปรมของหล่อนอีกตราบจนวันตาย อ่อนใจหายวาบเมียสำนึกถึงความจริงข้อนี้ แต่แล้วก็หักใจได้อย่างประหลาด ความงงงวยเมื่อกี้ได้ช่วยหล่อนไว้ให้พ้นจากการเป็นลมสลบ ความรู้สึกสติที่ค่อย ๆ คืนมาทำให้หล่อนมีเวลาที่จะเตรียมเผชิญกับความพินาศของชีวิตครั้งใหญ่นี้ แปดปี! ในที่สุดหล่อนก็ยังจะต้องรอต่อไปอีก แต่ครั้งนี้รออย่างไม่มีที่สิ้นสุด! รอเปรม ? รอทำไมกัน ?

หายใจอย่างลึก เพื่อปลอบขวัญตัวเอง อ่อนกล่าวด้วยเสียงอันแหบเครือว่า

“คุณแต่งงานแล้วหรือคะ เปรม แต่งกับใคร ?”

เขากัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ

“ฉันพบผู้หญิงคนหนึ่งในอเมริกา” เขาพูดเสียงเบา “ฉันไม่ได้รักเขา ไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานด้วย แต่ในที่สุด........”

“ดิฉันเข้าใจ เป็นผู้หญิงไทยหรือคะ ?”

“ไม่ใช่ เป็นผู้หญิงอเมริกัน”

หล่อนพยักหน้าอย่างงง ๆ

“ก็ดีแล้ว คุณเป็นนักเรียนนอก มีเมียเป็นฝรั่งก็ไม่สู้กะไรนัก”

น้ำเสียงอันนุ่มนวลเป็นปกติของหล่อน ทำให้เปรมประหลาดใจ เขาคิดว่าคงจะได้เห็นหล่อนร้องไห้ หรือมิฉะนั้นก็เกรี้ยวกราดเอากับเขา แต่หล่อนรักษาอารมณ์ไว้ได้อย่างปกติ ไม่แสดงความโกรธ ความเสียใจออกมาเลย เปรมมองอ่อนอย่างไม่เข้าใจ แต่ว่าถ้าเขาสามารถจะเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของหล่อนได้ เขาจะต้องรู้สึกว่า อ่อนไม่มีความหวังเหลืออยู่อีกแล้วในชีวิตนี้ ชีวิตที่เหลืออยู่เป็นชีวิตที่ว่างเปล่า....ไม่มีความต้องการ ไม่มีความโกรธ......ไม่มีความเศร้า อ่อนได้ตายไปแล้ว เหลืออยู่แต่ลมหายใจ และอาการเคลื่อนไหวซึ่งเปรียบประหนึ่งตุ๊กตากล

“ฉันยังรักอ่อนเสมอ ฉันต้องการให้อ่อนเชื่อฉันในข้อนี้” เปรมเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกเจ็บปวด “ฉันต้องการจะอยู่กับอ่อน แต่ฉันถูกผูกมัดเสียจนกระดิกตัวไม่ได้”

“ดิฉันเข้าใจ ” อ่อนตอบอย่างชาเย็น “แล้วคุณเอาภรรยาของคุณไปเก็บไว้ที่ไหน ?”

“เขารอฉันอยู่ที่กรุงเทพ ฯ”

อ่อนหัวเราะอย่างประหลาด กังวาลเสียงของหล่อนทำให้เปรมเย็นวาบเข้าหัวใจ

“ก็ดีแล้ว คุณควรจะรีบกลับกรุงเทพฯ”

“แต่ฉันต้องการพบอ่อน และอยู่กับอ่อนให้มีสุขอีกสักครั้ง”

“เป็นพระคุณที่ยังนึกถึงอ่อนอยู่ แต่เราก็ได้อยู่ด้วยกันสมใจแล้วตลอดคืนวันนี้ อ่อนพอใจทุก ๆ อย่าง ไม่รู้สึกผิดหวังอะไรเลย”

“จริงหรืออ่อน ? นี่เธอพูดจริง ๆ หรือ?”

“จริงซีคะ” หล่อนตอบยิ้ม ๆ “ อ่อนรู้จักชีวิตดีแล้ว เราจะหวังอะไรนักไม่ได้ในโลกนี้ มันต้องแล้วแต่โชควาสนา”

เปรมดึงตัวหล่อนเข้ามาใกล้ “ฉันจะขอรักเธอจนวันตาย” เขาพูดแล้วก้มลงจูบริมฝีปากแต่ก็ต้องสดุ้ง เพราะริมฝีปากอ่อนเย็นเฉียบ เหมือนริมฝีปากคนที่ตายแล้ว

ไม่มีแสงเดือนเหลืออยู่อีกในท้องฟ้า ลมพัดแรงขึ้นทุกขณะ นาน ๆ ก็ได้ยินเสียงสุนัขหอนดังมาจากวัดที่ท้ายตลาด เปรมรำพันถึงความผิดของเขาตลอดเวลา อ่อนไม่ได้พูดว่ากระไร นอกจากจะขอร้องให้เขาหยุดคิดและหยุดพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรนัก หล่อนบอกเขาว่า หล่อนพอใจแล้วที่ได้พบความรักที่บริสุทธิ์......ความรักครั้งแรกและครั้งสุดท้าย

ชั่วโมงแห่งความทรมานใจผ่านไปอย่างล่าช้า ในที่สุดไก่ก็เริ่มขันและพระก็เริ่มเคาะระฆัง เสียงตีเกราะบอกเวลาดังข้ามพื้นน้ำมาจากเรือนจำ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ศาลากลางจังหวัด อีกสองชั่วโมงท้องฟ้าก็จะสว่าง และอ่อนก็จะต้องเผชิญหน้ากับชีวิตอีก ในเมื่อความหวังได้หายสูญไปสิ้นแล้ว ? อ่อนนึกในใจแล้วก็พยายามตกลงใจอย่างเด็ดขาด

เปรมหาวสองสามครั้ง อ่อนดึงตัวเขาให้นอนลง เอาผ้าห่มแพรที่ติดมือมาด้วยพับเป็นหมอนหนุนให้

“นอนหลับเสียเถอะค่ะ เปรม” หล่อนกระซิบ “อ่อนจะปัดยุงให้ หลับให้สบาย หลับอยู่ใกล้อ่อนอย่างนี้แหละ บางทีเราจะไม่มีคืนอย่างนี้อีกแล้วนะคะ เปรม”

เปรมดึงมือหล่อนมาแนบไว้กับแก้ม รำพันอะไรสองสามคำซึ่งอ่อนฟังไม่ถนัด อีกครู่เดียวความง่วงที่ครอบงำดวงจิตอยู่แล้วก็พาเขาเข้าสู่นิทรารมณ์ อ่อนนั่งปัดยุงให้ พลางก็พิศดูดวงหน้าของผู้ที่เคยให้ความหวังแก่หล่อน ตลอดเวลาแปดปี เปรมหลับสนิทแล้ว อ่อนมีอิสระจะทำอะไรได้ตามชอบใจ ดวงตาของหล่อนในบัดนี้ขุ่นมัวไปสิ้น น้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม แปดปีอันยาวนานได้เดินทางมาถึงวาระที่สุดของมันแล้ว แปดปีได้ให้ความหวังแก่อ่อน และเมื่อสิ้นแปดปี ความหวังนั้นก็สิ้นไปด้วย ทุกๆ ปีอ่อนได้รอเปรมอยู่ด้วยความหวังอันนี้ รอด้วยความเชื่อมั่นที่ไม่มีอะไรจะมาทำลายได้ อ่อนได้เอาชีวิตเข้าประกันความเชื่อมั่นของตน ไม่ยอมหวาดกลัวต่ออะไร ไม่ยอมสดุ้งเสทือนต่อชื่อเสียง แม้จะต้องตกค้างอยู่บนเกาะกับเขาตลอดคืน แต่ในบัดนี้ความเชื่อมั่นในความหวัง ซึ่งได้บรรจงก่อสร้างขึ้นไว้ตลอดเวลาแปดปีได้พินาศไปสิ้นแล้ว ไม่มีความหวังเหลืออยู่อีกในชีวิตที่จะต้องปกคลุมแวดล้อมไปด้วยความมืด พรุ่งนี้อ่อนจะต้องกลับไปบ้าน ไม่ใช่กลับด้วยความเย่อหยิ่งในชีวิตอย่างที่เคยรู้สึกเมื่อตอนหัวค่ำ.......แต่กลับด้วยความเหี่ยวแห้งเปลี่ยวเปล่าอย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อคิดถึงภาพที่หล่อนจะต้องเผชิญหน้ากับแม่และน้องสาว ตลอดจนคำกระซิบกระซาบที่จะแซ่ไปทั้งตลาด อ่อนก็ตกประหม่าเสียขวัญ เมื่อตอนหัวค่ำหล่อนไม่กลัว เพราะมีเปรมอยู่แนบข้าง แต่เดี๋ยวนี้เปรมไม่ได้เป็นของหล่อนแล้ว อ่อนตัวคนเดียว....ตัวคนเดียวแท้ ๆ หล่อนจะเผชิญหน้ากับคนทั้งตลาดได้อย่างไร

ระลึกถึงความสุขอันเต็มเปี่ยมที่ได้รับเมื่อตอนหัวค่ำ อ่อนก็ยิ่งแลเห็นชีวิตเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรแท้เที่ยง ชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมงหล่อนได้พบความรู้สึกที่มีลักษณะต่างกันอย่างขาวกับดำ สุขอย่างอยู่ในวิมานเมื่อก่อนเที่ยงคืน แต่ภายหลังเที่ยงคืนแล้ว ความสุขนั้นก็กลายเป็นความทุกข์อย่างมหันต์ ทุกข์อย่างที่ไม่เคยทุกข์เลยตั้งแต่เกิดมา แปดปี ! นานเหลือเกิน, อุส่าห์ปลอบใจตัวเอง อุส่าห์ชะเง้อคอคอยวันที่เขาจะกลับมาหา แต่เมื่อแปดปีได้สุดสิ้นลง ผลแห่งการรอของอ่อนก็คือน้ำตา

ไก่ขันกระชั้นเสียงเข้าทุกที อีกชั่วโมงเดียวแสงอรุณจะส่องฟ้า อ่อนยันตัวลุกขึ้น มองดูหน้าเปรมแล้วก็ยิ้มอย่างปลอบตัวเอง ดวงตาของหล่อนไม่มีแวว สีหน้าขาวซีดเหมือนคนตาย ค่อย ๆ ก้มลงจูบที่แก้มเขา แล้วก็กระซิบว่า

“เปรมขา อ่อนขอลาไปก่อน ถ้าจะมีชาติหน้าก็ขอให้เราพบและรักกันอีก แต่อย่าให้เหมือนชาตินี้นะคะ เปรม”

รวบรวมกำลังกายและกำลังใจ ยิ้มทั้งน้ำตา อ่อนยันตัวลุกขึ้น ค่อย ๆ จรดปลายเท้าเดินห่างออกไป เมื่อถึงพื้นทรายก็หยิบกิ่งไม้แห้งมาขีดเขียนอักษรไว้สองสามตัว จากนั้นก็ออกเดินไปตามเนินหญ้า พอไปได้สักสิบวา อ่อนก็หันหน้ามามองดูเปรมเป็นครั้งสุดท้าย เห็นเขานอนหลับอย่างสบาย ศีรษะยังหนุนผ้าห่มแพรของหล่อนอยู่ ยิ้มอย่างแห้งแล้งแล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปอย่างลึก ทำใจให้กล้า ตัดสินใจให้เด็ดขาด อ่อนหันหลังออกเดินไปอย่างรวดเร็ว......เดินไป......เดินไป.......เดินไปอย่างไม่มีชีวิตวิญญาณ ไม่ชั่วก็หายลับไปในความมืดสลัวของเวลาเช้าตรู่

แสงทองส่องฟ้าแล้ว รุ่งอรุณของวันใหม่ได้เหยียบย่างเข้ามา ลมเย็น ๆ พัดมาต้องกาย เปรมลืมตาตื่น เมื่อรู้สึกว่าไม่มีอ่อนอยู่แนบข้าง เขาก็ผลุดลุกขึ้นโดยเร็ว มองไปรอบตัวก็พบแต่กอไม้ใบหญ้าที่กำลังไหวอยู่ในสายลม เปรมลุกขึ้นยืนและเริ่มจะออกเดินไปเที่ยวค้นหา เพราะเชื่อว่าอ่อนคงจะออกไปมองหาเรือเพื่อจะข้ามฟาก แต่ทันใดนั้น ก็เหลือบตาไปเห็นอักษรที่อ่อนเขียนไว้ตรงพื้นทราย รีบสาวเท้าเข้าไปดู คำที่เรียงกันอยู่สามคำ ทำให้เปรมผงะหงายด้วยความตกใจ “อ่อนขอลา” เขาอ่านอย่างบอกกับตัวเอง รู้สึกเย็นวาบเข้ากระดูกสันหลัง ยืนตลึงจังงังคล้ายกับกำลังเผชิญหน้ากับภูตผีปิศาจ

พอได้สติ เปรมก็หันหลังวิ่งขึ้นไปบนเนิน ตะโกนเรียกชื่อหล่อนและส่ายตาค้นหาดูรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นอะไรก็วิ่งต่อไปตามทางเล็ก ๆ พอพ้นดงลำพูก็พบผ้าเช็ดหน้าของอ่อนตกอยู่ที่กอหญ้า รู้สึกดีใจที่คลำทางถูก จึงรีบวิ่งต่อไปโดยเร็ว ร้องเรียกชื่อหล่อนเป็นระยะไม่ขาดปาก ดูเหมือนจะมีอะไรดลใจให้เปรมเลี้ยวแยกไปทางตลิ่งฟากตะวันตก ที่ตรงนั้นตลิ่งสูงพ้นน้ำสักสองวา น้ำข้างล่างไหลเชี่ยวกราก ข้าง ๆ ตอตะโกริมตลิ่ง เปรมได้เผชิญหน้ากับของสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้หัวใจเขาหยุดเต้น ผ้าแพรคลุมผมของอ่อนตกอยู่บนพื้นหญ้า!

หยิบผ้านั้นมาถือไว้ ชะโงกตัวมองลงไปข้างล่าง น้ำไหลเชี่ยวเหมือนเทออกจากกระบอก เปรมรู้สึกมืดหน้าคล้ายจะเป็นลม เซไปปะทะตอตะโก นึกถึงภาพที่อ่อนทิ้งตัวลงไปในสายน้ำอันเยือกเย็น ขณะที่เขากำลังหลับ......นึกถึงฝูงจรเข้อันดุร้ายทารุณ ซึ่งมีอยู่ตลอดลำน้ำตาปี.....

“อ่อนจ๋า.....” เขาเรียกชื่อหล่อนเสียงสั่น ขาทั้งสองหมดกำลัง เปรมฟุบอยู่ที่ข้างตอตะโกนั้นเอง.

–จบ–

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ