ในที่สุดเรือคาลกันลำเดียวกันกับที่บรรทุกข้าพเจ้าออกไปจากเมืองไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ ก็บรรทุกข้าพเจ้ากลับเข้ามายังเมืองไทยอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. ๒๔๗๙

ข้าพเจ้าจำได้ว่าวันแรกที่เข้ามาถึงเมืองไทยเป็นวันที่ตื่นเต้นมากที่สุดวันหนึ่งในชีวิต สิ่งที่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าจะได้เห็นก็คือเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย ข้าพเจ้าแว่วอยู่หลายคราวระหว่างปีสุดท้ายที่อยู่ในเมืองจีน คือแว่วว่าประชาธิปไตยที่เมืองไทยเพิ่งจะได้มานี้ได้แปลงรูปเสียแล้ว ผู้มีบุญที่ลอกคราบมนุษย์กลายเป็นเทวดาองค์ใหม่บางคนเขาพูดกันว่า การปกครองน่ะจะเอาแบบไหนก็ได้ ขอให้สามารถทำให้บ้านเมืองเจริญได้ก็แล้วกัน รูปไหนก็ได้! ข้าพเจ้าฟังด้วยความฉงนสนเท่ห์ รูปไหนก็ได้......อะไรก็ได้.....เมืองไทยเพิ่งได้พบเจ้าแม่ประชาธิปไตยเพียงแวบเดียว แล้วเทวดาที่เพิ่งทิ้งคราบมนุษย์บางองค์ก็พูดว่าอย่างนี้ รูปไหนก็ได้! ให้บ้านเมืองเจริญก็แล้วกัน! นี่จะให้เราเข้าใจว่าอย่างไร ข้าพเจ้าอาจโง่เกินไปที่จะเข้าใจความหมายของเขา

ข้าพเจ้าระลึกไปถึงเยอรมันนีและอิตาลี ฮิตเล่อร์กับมุสโสลินี ก็ว่าบ้านเมืองของเขาก็เป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน–คือประชาธิปไตยชนิดที่มีคุกตารางและห้องทรมานไว้คอยต้อนรับ ราษฎรที่มีความคิดเห็นแตกต่างไปจากความคิดของผู้มีอำนาจ ประชาธิปไตยของฮิตเล่อร์และมุสโสลินี่เป็นประชาธิปไตยที่ต้องการแต่ความคิดของคนคนเดียวหรือของชนกลุ่มน้อยกลุ่มเดียว ราษฎรไม่มีสิทธิจะออกความเห็นเป็นอย่างอื่น ราษฎรเป็นแต่ทาสของชาติ ราษฎรไม่ใช่จุดหมายปลายทางของวิถีการปกครอง ชาติกับผู้นำเท่านั้นที่มีค่าสูงสุด ความคิดที่ว่า มนุษย์ชาติย่อมอยู่เหนือชาติทั้งปวงที่ไม่ได้อย่างเด็ดขาดในระบอบประชาธิปไตยของฮิตเล่อร์และมุสโสลินี ผู้ใดมีความคิดที่เห็นแก่มนุษยชาติ ผู้นั้นเป็นอาชญากรที่มีโทษหนักกว่าโทษของผู้ร้ายใจทมิฬในเยอรมันนีและอิตาลี ยุคนั้นมันเป็นความผิดอย่างร้ายแรงที่จะแม้แต่คิดถึงสันติสุขและความเสมอภาคของมนุษยชาติ แต่ระบอบการปกครองในเยอรมันนีและอิตาลีนี้เอง เขาก็ว่ากันว่าเป็นประชาธิปไตยอีกรูปหนึ่ง

ประชาธิปไตยรูปไหนก็ได้! การปกครองรูปไหนก็ได้! เทวดาบางองค์พูดว่าอย่างนี้มันทำให้ข้าพเจ้านึกไปถึงประชาธิปไตยของฮิตเล่อร์ นั่นหรือคือประชาธิปไตยอีกรูปหนึ่ง ?

ข้าพเจ้าได้พบกับเทวัน ในวันแรกที่เราบีบมือกัน เขาพูดว่า:

“เรามีประชาธิปไตยแล้ว แต่บางทีเธออาจะผิดหวัง”

ข้าพเจ้ามองหน้าเขาด้วยความฉงนใจ

“หมายความว่ากะไร ?”

“ศึกบวรเดช ทำให้เกิดเทวดาองค์ใหม่ และความคิดใหม่ ๆ ขึ้นในเมืองไทย เธอคงยังไม่เข้าใจอะไรมากนักเพราะเธอเพิ่งกลับเข้ามา”

“ความคิดอะไรกัน ?”

“บางคนเขาพูดกันว่า เมืองไทยเราเป็นเผด็จการ”

ข้าพเจ้าตกใจนิดหน่อย เมื่อได้ฟังถ้อยคำอันหนักแน่นของนักหนังสือพิมพ์ และนักการเมืองหนุ่มเพื่อนเก่าผู้นี้ แต่ข้าพเจ้าไม่แสดงความรู้สึกอะไรมาก

“ก็เป็นเรื่องที่เขาพูดกันอยู่ เธอแน่ใจหรือว่าเมืองไทยเป็นเผด็จการ”

“ยิ่งกว่าแน่ใจ มันเป็นเรื่องที่น่าสลดใจอยู่สักหน่อย”

เราคุยกันถึงระบอบเผด็จการ ที่ทำท่าจะขยุ้มเล็บเข้าใส่เจ้าแม่ประชาธิปไตย อีกหลายคราวหลังจากได้พบกันวันนั้น เทวันบอกว่าระบอบฟาสซิสต์กำลังระบาดเข้ามาในเมืองไทย เทวดาบางคนคิดว่าเขาจะทำให้บ้านเมืองเจริญได้อย่างรวดเร็วโดยวิธีของลัทธิฟาสซิสต์หรือนาซี แต่ราษฎรจำเป็นจะต้องสละอิสสรภาพและเสรีภาพยอมตัวเป็นทาสของชาติ เสรีภาพตามกฎหมายที่เราได้มาจะต้องทูลหัวถวายเทวดาฟาสซิสต์ไปเพื่อความเจริญของชาติไทย เทวดาเขาพูดกันว่าจะต้องปกครองกันอย่างพ่อกับลูกใช้ไม้เรียวหวดหลังกันตะพึดตะพือไป เพื่อความดีความเจริญของประเทศชาติ เทวดาเหล่านี้ที่จริงก็มีอยู่ไม่กี่คน แต่มันเป็นเรื่องของบุญวาสนา หาใช่เป็นเรื่องของจำนวนคนไม่ ข้าพเจ้านึกไปถึงนักปฏิวัติผู้มีใจบริสุทธิ์ใจบางคน เขาจะคงจะช้ำใจมากไม่มีปัญหาเลย

เทวันแสดงความโกรธแค้นอย่างรุนแรง เขาประกาศตัวเป็นปรปักษ์ต่อลัทธินาซีไทย เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียง ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่เมืองจีน เทวันสร้างตัวอยู่ในวงการหนังสือพิมพ์ เขาแสดงตัวเป็นนักต่อสู้ที่องอาจเหมือนพญาราชสีห์ เขาพร้อมที่จะตายเพื่อระบอบของประชาธิปไตย เขาทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าเขาเป็นคนจริงคนหนึ่ง คนจริงทีมชาติอยู่เพื่อหลักการ มิใช่เพื่อบุคคลใดหรือเพื่อประโยชน์ส่วนตัวที่เขาจะพึงได้.

เทวันเป็นคนจริง! ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะไม่ผิดหวังในตัวของคนผู้นี้.

แต่เวลานั้นข้าพเจ้าอายุได้ ๒๙ ปีเท่านั้น ! ยังมีอะไรอีกมากนักในโลกของมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะต้องเรียน!

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ