ข้าพเจ้ามาถึงเมืองไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ คือเมื่อสิบปีมาแล้ว ข้าพเจ้าได้มาเห็นบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งหนึ่งด้วยความตื่นตาตื่นใจ........ด้วยความหวังอันสวยงาม.....ด้วยความทะเยอทะยานที่จะทำทุกอย่างที่คนหนุ่มจะพึงทำสำหรับประเทศชาติและโลกที่เขามาอาศัยอยู่ ข้าพเจ้าได้กลับมาพบพ่อแม่ญาติพี่น้องผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ตลอดจนมิตรสหาย ข้าพเจ้าดีใจ นี่คือเมืองไทยแผ่นดินแห่งความฝันอันสวยงาม–ความฝันเท่านั้น

สิบปีในเมืองไทยได้ผ่านไปแล้ว สิบปีที่ยาวเหมือนสิบศตวรรษ ข้าพเจ้าพอใจต่อชีวิตที่ผ่านไปสิบปีนี้ ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าเบื่อหน่ายต่อบทบาทต่าง ๆ ที่ทุกคนรวมทั้งตัวข้าพเจ้ากำลังแสดงอยู่บนเวทีของชีวิต เวลาสิบปียาวมากพอที่จะสอนให้รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นของจำเป็นในโลกนี้ ไม่มีอะไรอยู่นิ่ง ๆ ไม่มีอะไรอยู่เฉย ๆ ภูเขารู้จักทะลาย ฟ้ารู้จักเปลี่ยนสี ต้นไม้ใบหญ้า รู้จักแตกใบและร่วงโรย อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปตามสมัยเวลา คนเราก็เป็นของขวัญอย่างหนึ่งที่ธรรมชาติให้ไว้สำหรับประดับโลก ก็เมื่อภูเขายังเปลี่ยนได้ จะไม่ให้คนเราเปลี่ยนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ มันเป็นของธรรมดา ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจเลย

ข้าพเจ้ายังจำภาพของ พ.ศ. ๒๔๗๑ ได้ดี–จำได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเวลาผ่านไป ๘ ปี แล้วข้าพเจ้าก็ได้กลับมาเห็นภาพเหล่านี้อีกใน พ.ศ. ๒๔๗๙ แล้วเวลาก็ผ่านไปอีก ๑๐ ปี และข้าพเจ้าได้มาเผชิญหน้ากับภาพเหล่านั้นอีกใน พ.ศ. ๒๔๘๙ มันไม่เหมือนกันเสียเลย มันเปลี่ยนแปลงไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ในทางการเมือง, เมืองไทย ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. ๒๔๗๑ แต่ใน พ.ศ. ๒๔๗๙ เมืองไทยก็ครึกโครมไปด้วยการโต้เถียงในรัฐสภาแห่งนี้ และการโต้เถียงนั้นได้ค่อย ๆ ลดความครึกโครมลงตามยุคสมัยของการว่าอะไรว่าตามกัน ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๘๙ เมืองไทยก็เพิ่มพฤฒสภาขึ้นอีกสภาหนึ่ง เพื่อต้อนรับท่านนักการเมืองและท่านผู้ก่อการผู้มี “อาวุโส” ทั้งหลาย พฤฒสภาจะแปลว่าอะไรข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ทราบเพียงว่าเป็นสภาอาวุโส ข้าพเจ้าไม่ใช่นักการเมือง ข้าพเจ้าเป็นคนโง่จนเกินที่จะเข้าใจได้ว่าพฤฒสภาแปลว่าอะไร และตั้งไว้เพื่ออะไรหรือเพื่อใคร เพื่อนฝูงของข้าพเจ้าบางคนที่ยืนขึ้นต่อสู้ให้มีสภาเช่นนี้ (เขาเรียกว่าสภาสูง) บางทีจะชี้แจงให้ดีว่าพฤฒสภาคืออะไรกันแน่ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะให้เขาอธิบาย ในเมื่อสมัยนี้บุคคลสำคัญว่าหลักการ อย่างไรก็ดี เรื่องพฤฒสภาไม่สำคัญสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ใช่นักการเมืองไม่มีความจำเป็นจะต้องไปสนใจกับพฤฒสภา แต่ว่า–นั่นแหละท่าน แม้ข้าพเจ้าไม่จะไม่ใช่นักการเมือง แต่ข้าพเจ้าก็เป็นราษฎรเดินดินผู้หนึ่ง...ราษฎรในระบอบ “ประชาธิปไตย”–ราษฎรที่ควรมี “สิทธิ” มี “เสียง” ในการปกครอง แผ่นดินที่ข้าพเจ้าก็เป็นเจ้าของอยู่คนหนึ่ง ราษฎรอย่างข้าพเจ้าหรืออย่างท่านย่อมมีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ด้วยเสมอ ในการกระทำใด ๆ ที่เขาทำ–ทำ–ทำกันไป แต่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ข้าพเจ้ามีส่วนได้ส่วนเสียอยู่กับการกระทำของท่านผู้มีบุญทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็เบื่อที่จะเอาตัวเข้าไปสนใจหรือร้อนใจด้วย ข้าพเจ้าเป็นคนโง่จนเกินที่จะเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเรื่องสำคัญ ๆ เช่นนี้ได้

นี่คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงของรูปการเมืองในประเทศไทย เท่าที่ข้าพเจ้าจะนึกได้ชั่วเวลาอันเร่งรีบ เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องพิลึกกึกกือ, มีอยู่เยอะแยะ, ถ้าจะบันทึกไว้ในชีวิตของระพินทร์ ก็จะต้องกินเวลามาก แต่เรายังมีเวลาอีกนานนักที่จะมาสนทนากันอีกด้วยเรื่องพิลึกกึกกือเหล่านี้

เวลาร่วม ๒๐ ปีได้ผ่านไปแล้ว อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป แม้แต่อ้ายต๋อมซึ่งข้าพเจ้าเคยละลายนมให้มันกินทุก ๆ วันก็เปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน มันได้เติบโตขึ้นจนเป็นหมาใหญ่ แต่ความซื่อสัตย์ของมันตลอดจนความขยันเฝ้าขโมยได้ลดน้อยลงเป็นลำดับ ซึ่งก็เป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง ที่ร้ายที่สุดก็คือ มันไม่มีความกตัญญเสียเลย ซึ่งผิดลักษณะของหมาโดยปรกติวิสัย ในที่สุดมันก็ตายไปเพราะความแก่ชรา ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้าย

โลกนี้เป็นโลกของการเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าพยายามเข้าใจ เพื่อจะมิให้ประหลาดใจจนเกินไป ข้าพเจ้านึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปตามสมัยเวลาแล้ว ก็เลยนึกไปถึงมิตรเก่าคนหนึ่ง มิตรคนนี้แหละช่วยทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักโลกขึ้นอีก–ช่วยให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ชีวิตคือลคร......ลครที่เต็มไปด้วยภาพลวงตา

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ