๑๒

แต่ไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ที่แน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะต้องหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามฟ้าและดิน ข้าพเจ้าได้รับบทเรียนอีกบทหนึ่ง และบทเรียนบทนี้ข้าพเจ้าก็คิดว่าควรจะเป็นบทสุดท้าย

หนังสือพิมพ์ของเราถูกทำลายราบไปอีกครั้งหนึ่ง โดยวิธีการที่แนบเนียนที่สุดของฝ่ายศัตรู และเทวันก็ส่งตัวเองกลับไปยังบ้านของเขาที่ทุ่งดาวคะนอง

เราไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนัก เพราะบ้านของเทวันอยู่ไกลมาก และข้าพเจ้าแบกภาระของการครองชีพอยู่เต็มบ่า ไม่มีเวลาจะไปไหนไกล ๆ ได้บ่อย ๆ ข่าวของเทวันนาน ๆ ก็แว่วมาทีหนึ่ง มีคนบอกว่าเทวันกำลังมีชีวิตอยู่ด้วยการขายของเก่าซึ่งในวันหนึ่งก็คงจะต้องหมดไป ข้าพเจ้าเป็นทุกข์แทนเขา

วันหนึ่งเป็นวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าไปตลาดนัดที่วงเวียนใหญ่แล้วก็เลยไปเยี่ยมเทวันที่ดาวคะนอง ข้าพเจ้าพบเขาอยู่ในท่าเขียนหนังสือตามเคย

“กำลังเขียนอะไร ?” เป็นคำถามประโยคแรกของข้าพเจ้า

“อ้าว, นั่นไปไหนมา ?” เขาวางดินสอแล้วกะวีกะวาดลุกขึ้นมาต้อนรับ “คิดถึงมาก ไม่ได้พบกันปีกว่ากระมัง”

“เห็นจะยังไม่ถึงปี” ข้าพเจ้าตอบ “วันนี้ว่างก็เลยแวะมา อยู่กันสุดขอบหล้าฟ้าเขียวเลยไม่ค่อยได้คุยกัน”

“ฉันอยู่ที่นี่สบายแล้ว ซื้อแต่ข้าวกับหมูเท่านั้น นอกนั้นเราทำได้เองหาได้เอง” เขาตอบแล้วชี้มือให้ดูไร่ผักแปลงหนึ่งซึ่งกำลังขึ้นงาม “ฉันกำลังกลับไปหาธรรมชาติ มันเป็นชีวิตที่ร่มเย็น”

ข้าพเจ้ามองตาเขา แววตาคู่นั้นเหมือนจะคลายความเข้มแข็งลงไปจนเห็นได้ถนัด

“ก็สบายดี” ข้าพเจ้าพูดอย่างไม่ตั้งใจ “ฉันก็กำลังจะเป็นชาวไร่เหมือนกัน ไปซื้อที่ไว้ที่ปราจีนแปลงหนึ่ง คิดจะทำสวนเงาะ ลองคิดเลขดูแล้ว ถ้าทำสำเร็จจะได้เงินปีละร่วมหมื่นบาท เฉลี่ยแล้วก็คงจะมีรายได้ดีกว่าท่านอธิบดี”

“นั่นซี คนอย่างเราถ้าคิดขึ้นมันก็คงมีงานทำเสมอ” เทวันพูดแล้วหัวเราะ “ฉันยังไม่คิดโครง การใหญ่โตนัก เอาเพียงเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันหนึ่งๆ ก็พอแล้ว ฉันมาได้คติว่าถ้าเราหันเข้าหาสันโดษได้ เราก็สบายไปทั้งชาติ ขอให้มีกินมีอยู่ก็แล้วกัน อย่าให้ต้องเป็นหนี้เขา มีน้อยก็ใช้น้อย ไม่มีก็ไม่กิน เราจะกระวนกระวายกระเสือกกระสนนักก็เสียเวลาของเรา เราควรจะเอาเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่มาอ่านหนังสือจะดีกว่า”

ข้าพเจ้ามองหน้าเขาอีกครั้งหนึ่ง เทวันดูจะอ่อนระโหยโรยแรง คำพูดและสายตาหมดความเข้มแข็งไป เขาผิดไปจากที่ข้าพเจ้าได้เห็นในวันสุดท้ายที่เราแยกกัน ณ สำนักงานหนังสือพิมพ์ของเรา วันนั้นเทวันกัดกราม, หรี่ตาอันแข็งกล้ามองดูแผนที่ประเทศไทยที่แขวนอยู่บนกำแพงหลังโต๊ะทำงาน แล้วพูดว่า “นี่คือแผ่นดินของเรา ฉันจะต่อสู้ต่อไปเพื่ออิสระภาพของเมืองไทย วันนี้หนังสือพิมพ์ของเราถูกปิด พรุ่งนี้เราจะออกอีกฉบับหนึ่งเพื่อให้เขาปิดอีก”

แต่เทวันที่นั่งอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า ณ บัดนั้นเป็นเทวันอีกคนหนึ่ง เขาเนือยไปมาก แววตาเชื่อมซึมประกายอันสุกใสและแข็งกล้าซึ่งเคยมีอยู่ดูเหมือนจะไม่ปรากฏอยู่เลย ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเขาคงจะเหน็จเหนื่อยมาก ปัญหาการดำรงชีพคงจะรุมเล่นงานเขาจนแทบทนไม่ไหว แต่คนอย่างเทวันควรจะเป็นนักสู้ ข้าพเจ้าคิดว่าเขาควรจะทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในเวลาที่ถูกต้อนเข้ามุม แต่ทำไมเทวันจึงซึมไปเช่นนี้ เขามีอะไรซ่อนอยู่ในใจหรือ ? เขากำลังมีแผนการอะไรอีกหรือที่ใหม่และแปลกกว่าที่เขาได้เคยมีมาแล้ว ?

การสนทนากันในวันนั้น ก่อความประหลาดใจให้ข้าพเจ้าหลายอย่าง เทวันดูเหมือนจะกำลังกลายเป็นนักธรรมชาติไป เขาพอใจกับธรรมชาติที่ล้อมอยู่รอบกายของเขา เขาไม่ต้องการจะพูดถึงการต่อสู้ มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าสดุ้งใจ เขาพูดว่า “ยี่สิบปีมาแล้ว เราได้เป็นแต่ฝ่ายค้าน เราอยู่ตรงกันข้ามกับฝ่ายมีอำนาจเสมอ เราเดินสายริมมากไป แต่มันช่วยไม่ได้ มันเป็นเรื่องของคนหนุ่ม” เขาหยุดเว้นระยะขณะหนึ่ง “เดี๋ยวนี้เราครึ่งคนแล้ว”

ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เทวันหมายความว่ากระไร นี่เทวันกำลังจะบ่ายหน้าไปทางไหนอีก ? อย่างไรก็ดี, ข้าพเจ้าก็ยังเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า เขาเป็นนักต่อสู้–เป็นเทพบุตรของนักหนังสือพิมพ์.

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ