๑๖

ข้าพเจ้าออกไปพบเจียงเหมยที่มหาวิทยาลัยเยียนจิงในวันนัด แม้อากาศจะเยือกเย็นผิดปกติ แต่เราก็พยายามลืมความหนาว ชวนกันออกไปเดินเล่นในว่านโส้วซาน ซึ่งเป็นพระราชวังพักร้อนของพระนางสือสีแห่งราชวงศ์ชิง (คือ Summer Palace) เราเดินไปตามขอบทเลสาบคุนหมิงหู ข้ามสพานอูษฎร์ แล้วเดินต่อไปจนวกมาถึงสพานหิน ๑๗ ช่อง ซึ่งข้ามไปยังเกาะหลุงหวางต่าว เจียงเหมยยังไม่ต้องการจะกลับ ทั้ง ๆ ที่เราได้ใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมงในการเที่ยวเตร่ เธอเศร้าหมองผิดกว่าทุกวัน เพราะข่าวเรื่องเจียงเฟพี่ชายยังเงียบหายไป ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้าพเจ้าพยายามปลอบเท่าที่จะทำได้ แต่ดูจะไม่มีประโยชน์ เพราะเหตุการณ์มันร้ายแรงเกินที่เธอจะทนทานได้ เราข้ามสพาน ๑๗ ช่องไปยังเกาะหลุงหวางต่าว ข้าพเจ้าชวนเจียงเหมยนั่งพักที่ร้าน น้ำชาด้านตะวันตก เรียกชาหลุงจิ่งมากิน ซึ่งเป็นชาที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งของประเทศจีน

เมืองหน้าเราคือเทือกเขาซีซาน ถัดใกล้เข้ามานิดหนึ่งคือเนินเขายู่ฉวนซวนซึ่งมีน้ำพุตลอดปี น้ำพุแห่งนี้เป็นการประปาธรรมชาติที่จ่ายน้ำไปให้ชาวบ้านได้ใช้ทั่วบริเวณ นอกจากนี้ยังไหลทะลุเข้าไปในทะเลสาบคุนหมิงหู และไหลตามคลองเข้าไปยังนครปักกิ่งอีกด้วย ฉากธรรมชาติอันสวยงามนี้ มิได้ทำให้เจียงเหมยยินดียินร้ายแต่อย่างไร เธอเฉยเมยและพูดน้อย การปลอบใจไม่มีประโยชน์ ข้าพเจ้าไม่มีทางอื่นนอกจากจะรับรองว่า ข้าพเจ้าจะเอาข่าวเจียงเฟมาให้ได้ก่อนสิ้นเดือน นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังแสดงความเชื่อมั่นว่าเจียงเฟยังมีชีวิตอยู่

“เราได้ทำทุกอย่างที่จะหาตัวเจียงเฟ” ข้าพเจ้าบอก “ทางการของมหาวิทยาลัยฝู่เหริน ก็พยายามเจรจากับตำรวจเพื่อขอทราบว่าเจียงเฟถูกจับไปหรือไม่ แต่ทางตำรวจยังไม่ได้ให้คำตอบ”

“ฉันเคยรู้เรื่องตำรวจที่นี่ดี” เจียงเหมยพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ที่นี่เรื่องมืด ๆ มีมาก นักเรียนหลายคนเคยถูกจับไปแล้วก็เลยหายสูญไปเลย ไม่มีใครได้กลับออกมาสักคนเดียว”

“แต่เรื่องของเจียงเฟคงจะไม่ร้ายถึงเพียงนั้น” ข้าพเจ้าพูดอย่างไม่สู้จะมีเหตุผลนัก “เขาคงไม่ถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรอก”

“เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าตำรวจจะไม่กล่าวหาเช่นนั้น ฉันไม่คิดว่าเราจะได้รับความยุติธรรมและความเห็นใจจากตำรวจ เราทำไปเพื่อชาติ แต่ตำรวจไม่เคยคิดว่าเราได้ทำในสิ่งที่มีประโยชน์ เขามักจะคิดว่าเราพยายามทำลายความสงบ และผู้ทำลายความสงบทุกคนมักถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์”

ข้าพเจ้าจิมน้ำชาอย่างใช้ความคิด ความคิดข้าพเจ้าแล่นไปไกล ข้าพเจ้ามองเห็นภาพของเจียงเฟถูกบังคับให้นั่งลงที่ปากหลุม เปรี้ยงเดียวเท่านั้น ชีวิตอันมีค่าของเขาก็ดับไป ภาพที่ปรากฏขึ้นในดวงจิตภาพนี้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องสะท้อนถอนใจใหญ่

แต่อย่างไรก็ดี, ข้าพเจ้าไม่ใช่คนยอมผิดหวังง่ายๆ ข้าพเจ้ายังเชื่อมั่นว่า เจียงเฟยังไม่ตาย

กลับมาจากว่านโส้วซาน ข้าพเจ้าไปส่งเจียงเหมยที่หอพักนิสิตา แล้วก็ลากลับปักกิ่ง เจียงเหมยบอกว่าจะเข้าไปในเมืองอีก ๒–๓ วันเพื่อฟังข่าวเจียงเฟจากข้าพเจ้า

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ข้าพเจ้าไปพบหยางหุงต้าวนายตำรวจสันติบาลซึ่งเคยรู้จักมักคุ้นกัน ข้าพเจ้าได้เคยถามนายตำรวจผู้นี้หลายคราวตั้งแต่เจียงเฟถูกจับ แต่ทุกคราวเขาปฏิเสธ ไม่ได้ความแจ่มใสอะไรเลย คราวนี้เขาก็ทำท่าปฏิเสธอีก แต่หลังจากที่เราได้ดื่มหวงเจี่ยวกันจนกระทั่งเกือบหายหนาวแล้วเขาก็แย้มให้ข้าพเจ้าฟังอย่างกันเองว่าเจียงเฟได้ถูกตำรวจรวบเอาตัวไปในวันนั้นขณะที่ชุลมุนกันอยู่ ขณะนี้กำลังถูกขังอยู่ที่กองบัญชาการของป่าวอันต้วย ข้าพเจ้าถามว่าทางการจะเอาเรื่องกันรูปไหน หยางหุงต้าวยิ้มพลางสั่นศีรษะตอบว่าเขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น แต่เข้าใจว่าอาจถูกกล่าวอย่างคดีที่ตำรวจชอบกล่าวหาก็ได้ คือ เป็นคอมมิวนิสต์

ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ใจหาย คอมมิวนิสต์ในมือของตำรวจย่อมหมายถึงความตายที่ไม่มีอะไรมาแก้ไขได้

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดสำคัญของเรื่องลครแห่งความเศร้าทุก ๆ เรื่องที่ข้าพเจ้าพบในปักกิ่ง นั่นคือความดีที่แพ้ความชั่ว, ความสว่างที่แพ้ความมืด, การเสียสละที่แพ้ความเห็นแก่ตัว

ข้าพเจ้ารู้ดีว่า เจียงเฟ ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ แต่เขาจะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะเขาได้แสดงความเกลียดชังลัทธิข่มขี่แบบจักรพรรดินิยม ด้วยการเดินขบวน !

ในที่สุด เจียงเฟ ก็ได้กลายเป็นคนดีที่โลกไม่ต้องการไปอีกคนหนึ่ง

อีกสองวันต่อมา ข้าพเจ้าได้พบกับอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยฝู่เหริน และได้ทราบว่าเจียงเฟถูกจับในฐานที่เป็นคอมมิวนิสต์ ทางการตรวจยืนยันมาทางมหาวิทยาลัย และได้ส่งตำรวจมาค้นห้องพักของเจียงเฟในมหาวิทยาลัยด้วย เพื่อนของเจียงเฟคนหนึ่งบอกข้าพเจ้าว่าตำรวจได้เอกสารไปหลายชิ้น เอกสารเหล่านั้นตำรวจได้ประกาศว่าเป็น “เอกสารที่บรรจุข้อความเกี่ยวกับการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์”

ข้าพเจ้าถอนใจใหญ่ คอมมิวนิสต์หมายถึงความตาย ในเมืองจีนคอมมิวนิสต์คือความตาย เพราะฉะนั้นใคร ๆ ก็มักถูกจับตัวให้เป็นคอมมิวนิสต์ ถ้าเขาเป็นคนที่ผู้มีอำนาจไม่ปรารถนา

แต่เจียงเฟไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ข้าพเจ้ารู้ดี เขาเป็นแต่เพียง ผู้รักชาติ–รักโลก–รักคน

เขาต้องการสันติภาพถาวร เขาต้องการความเห็นใจระหว่างมนุษยชาติ เขาต้องการความรักอันกว้างขวางซึ่งอารยะชนควรจะมอบให้แก่กัน

ความต้องการของเขาเป็นอุดมคติอันสูง แต่อุดมคติอันสูงมักจะจบลงด้วย ความตาย

ข้าพเจ้านึกไปถึงพระเยซูและพวกคริสเตียนในสมัยโรม คนเหล่านี้ถูกฆ่าตาย เพราะเขาได้ประกาศความรักของมนุษยชาติให้โลกได้รู้จัก–ความรักอันกว้างขวางที่คนควรจะมีต่อกัน

แต่ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ท่านเชื่อหรือว่า ความเกลียดจะเอาชนะความรักได้ ? ท่านเชื่อหรือว่า อำนาจอันป่าเถื่อนจะต้องเป็นผู้ชนะเสมอไป ?

โรมผู้ครองอำนาจ–โรมผู้ปราศจากความรัก–ได้พังทะลายไปสิ้นแล้ว แต่ศาสนาแห่งความรักของพระเยซูยังคงมีชีวิตอยู่–ยังคงรุ่งโรจน์อยู่เหมือนดวงดาวที่ไม่มีวันดับแสง

ความตายของพระเยซูและพวกคริสเตียนผู้ประกาศความรักแก่มนุษยชาติ ก็คือความตายของโรม โรมพินาศเมื่อพระเยซูได้ถูกตรึงกางเขนแล้วเพียงสี่ร้อยกว่าปี แต่พระเยซูยังไม่เคยตายไปจากโลกนี้

ถ้าเจียงเฟจะต้องตาย เพราะเขามีหัวใจที่ต้องการจะรักความยุติธรรม และรักคนทั้งโลก–ถ้าคนอย่างเจียงเฟจะต้องตาย เพราะอำนาจชนะอุดมคติ–มันก็เป็นเรื่องลครแห่งความสลดใจอีกเรื่องหนึ่ง ที่เปิดฉากขึ้นบนพื้นพิภพนี้

แต่ลครแห่งความสลดใจ เป็นแค่การตั้งต้นแห่งการต่อสู้ของอุดมคติ อุดมคติที่สูงส่งไม่เคยตาย อุดมคติจะชนะในนาฑีสุดท้าย !

ความรัก–ความเสมอภาค–ความยุติธรรม–สันติภาพถาวร นี้คือออุดมคติของเราผู้เป็นอารยะชน

เราจะต่อสู้เพื่ออุดมคติอันนี้ เราจะเสียสละเลือดทุกหยดเพื่ออุดมคติอันนี้

ขอให้ความรักจงชนะความเกลียด !

ขอให้ความดี จงชนะความชั่ว !

ขอให้อุดมคติจงชนะอำนาจ !

แล้ว สันติภาพถาวรจะเป็นของเรา !

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ