พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๓

พระบรมรูปเสด็จบ้านช่างเขียน มิศเตอร์มาร์กอตตีถ่าย

พระบรมรูปเสด็จบ้านช่างเขียน มิศเตอร์มาร์กอตตีถ่าย

คืนที่ ๔๑

เมืองซันเรโม

วันจันทร์ที่ ๖ พฤษภาคม ร. ศก ๑๒๖

หญิงน้อย

วันนี้ร้อนจนห่มผ้าแบลงเกตผืนเดียวกับผ้าลินนินก็พอ นึกเปนห่วงอยากจะไปเที่ยวมอนติกาโล เลยนอนอิกไม่หลับ ได้จดหมายบอกให้จรูญไปนัดช่างว่าจะไป ๔ โมง เพราะเห็นว่าตื่นแต่ ๒ โมงเวลาที่ถมไป ที่จริงวันนี้ก็แต่งแต่ตอนบน การที่นั่งให้เขียนรูปนี้ นับได้ว่าเปน “ถูก” นั่งให้เขียน ตามที่หลวงวชิรญาณวินิจฉัยเมื่อวันจะมาคราวนี้ ว่าขึ้นชื่อว่าคำ “ถูก” ใช้ได้ข้างดีแต่ว่าที่ว่าไม่ผิดนั้นคำเดียว ถ้าเอาต่อเข้ากับคำอื่นแล้ว ใช้แต่ในทางข้างร้าย หมายความเปนจำใจขืนใจทุกอย่าง เช่นถูกเฆี่ยนถูกเกณฑ์ถูกนิมนต์เปนต้น เพราะฉนั้นคำที่ว่า “ถูก” นี้ จึงใช้พูดติดปากมาในครั้งนี้ นั่งเมื่อยบั้นเอว จำจะต้องวางหน้าเฉิบ ตาก็ต้องจ้องอยู่แห่งหนึ่งแห่งใดตามที่แกจะสั่ง เหลียวไปสักประเดี๋ยวก็ถูกเรียก เวลาที่จะอยู่นี่ต่อไปมากน้อยเท่าใด ยกเสียแต่พรุ่งนี้วันเดียว จะต้องยกให้แกวันละชั่วโมงครึ่งไปหาสองชั่วโมง แต่ท่วงทีจะเขียนดีจริงๆ ตั้งต้นขึ้นก็เค้าดีเสียแล้ว แต่จะเขียนหัวให้ได้ที่อย่างเดียวในสดึงแผ่นเล็ก จะต้องนั่งถึง ๓ วันจึงจะแล้ว ยังจะต้องเขียนรูปยืนเต็มตัว อย่างเล็กๆ ดูเสียก่อนอิก แกว่าวันหนึ่งแต่น่าจะไม่แล้ว ต่อที่เขียนเค้าสองอย่างนั้นสำเร็จ จึงจะได้ลงมือเขียนรูปใหญ่ ที่จะเขียนจริงๆ นั้นต่อไป แกจะต้องการวันมากที่สุดจึงจะเขียนดี แต่มีเวลาไปนั่งให้แกเพียงแปดครั้ง นัดไว้ว่าจะไปแถมที่ปารีส แกก็ยังบ่นหยุมหยิมอยู่ ตาเจ้าของห้องเขียนรูปนั้น คล้ายท่านผู้หญิงพริ้ง พระยาธรรมจรรยา[๑๒๐] เลยเรียกกันว่าตาพริ้ง ประจบตาครูช่างเขียนมาก วันนี้ตาครูรักขึ้นมาอย่างไร อนุให้มานั่งในห้องเขียนด้วย เขียนไปเขียนมาเหลียวหน้าไปอือออกับตานั่น โดดลุกขึ้นยืนขอรับกะผมเต็มที่ ดูช่างนับถือกลัวเกรงกันนี่กระไร ที่จริงตาพริ้งแกอยู่ข้างเอื้อกับพ่อมาก ในที่ห้องแต่งตัวอุส่าห์เก็บดอกไม้ดอกไล่มาเสียบขวดไว้ให้ แอบไปถ่ายรูปรถที่ไปเมื่อไรก็ไม่รู้ พิมพ์โปสต์ก๊าดมาให้ออกจะแมวๆ ได้ส่งมาให้ดูด้วย แกบอกว่าเสียดายรูปเขียนของแกที่กำลังไปโชไม่ได้ให้พ่อดู ตาครูชมว่าฝีมือออกจะดีๆ

ออกจากโรงช่างเขียน ไปตามทางเดิม ซึ่งที่แท้มันมีทางเดียวเท่านั้น แปลกแต่จะไปซ้ายฤๅไปขวา ทิศอื่นข้างหนึ่งก็เปนทเล ข้างหนึ่งก็เปนภูเขา ผ่านที่ซึ่งได้ไปแล้วทุกตำบล จนถึงปรอมินาดเมนโตนแล้วจึงได้เปนอันได้ไปทางใหม่ต่อไปอิก ตั้งแต่เมนโตนไปจนกระทั่งถึงมอนติกาโล มีรถรางไฟฟ้าเดินตลอด บ้านเรือนก็ติดๆ กันไป ไม่เปลี่ยวเหมือนข้างอิตาลี ตามริมทเลก็งามกว่าตอนข้างอิตาลีมาก มีแหลมต่ำยื่นลงไป มีภูเขาย่อมๆ วิลลางามๆ ไปไม่เท่าไรก็ถึงแดนต่อแดนมอนาโคกับฝรั่งเศส แบ่งกันด้วยลำห้วยเหมือนกัน ห้วยนี้เปนห้วยใหญ่ ปากห้วยออกจะเปนอ่าวๆ มีแหลมยื่นแรง อยู่ข้างแดนฝรั่งเศสดูงามมาก มีเรือยอชลำหนึ่งกำลังแล่นออกจากมอนติกาโล ได้ข่าวว่าเปนเรือแกรนด์ดุ๊กโอลเดนเบิค มาทั้งครอบครัวหมดด้วยกัน ชายทเลแถบนี้ไม่เห็นมีหาดขาวฤๅเหลืองแห่งใดเลย เปนหาดดำๆ ทั้งนั้น ต่อเข้าใกล้จึงเห็นว่าเปนก้อนกรวดกลมๆ เล็กๆ ทุกแห่ง เปนหาดกรวดไม่มีหาดทราย ที่ซึ่งเปนหาดทรายอยู่บ้างเล็กน้อยก็ตั้งเปนที่อาบน้ำ ใช้เรือนฝาผ้าเปนที่สำหรับผลัดผ้าผลัดผ่อน ตั้งแต่เข้าแดนมอนติกาโลแล้วเปนบ้านเรือนกำแพงพนักอย่างงามตลอดไป ทั้งมีวิลลา มีตึกร้านขายของแน่นหนาตลอดจนถึงคะสิโน คือโรงบ่อน ที่โรงบ่อนนี้ทำงามอย่างยิ่ง มียอดกลมยอดแหลมซับซ้อน มีโฮเตลปารีสซึ่งเปนโฮเตลใหญ่สำคัญ แลมีเรสเตอรองต์ทั่วไปทั้งด้าน ภูเขาที่อยู่ด้านหลังรูปร่างก็งาม สูงตระหง่าน มีตึกรามเต็มไปตามเชิงเขา ในหว่างเขาแลโรงบ่อนนั้น มีสวนปลูกปามแลไม้ดอก เปนปรอมินาดสำหรับคนเดินเล่นนั่งเล่นใหญ่โต รถเราไปถึงหยุดที่โฮเตลปารีสเวลาบ่ายโมงเศษ แต่เรื่องเวลานี้ไม่แน่ เขาใช้ต่างกัน เมื่อเวลาเราออกจากซันเรโมเที่ยงครึ่ง เมื่อไปถึงเมนโตนก็เที่ยงครึ่งเหมือนกัน เหตุที่เปนเช่นนี้เพราะอิตาลีใช้เวลากลางยุโรป คือเวลาเขานัดกัน ใช้ให้เหมือนกัน แต่เมนโตนเขาใช้เวลาของเขาเอง

พ่อเดินถ่ายรูปคอยให้เขาจัดกับเข้าแล้ว ต่อกินกลางวันแล้วจึงจะเข้าไปดูในโรงบ่อน เวลานี้คนน้อยลงแล้ว เพราะเปนปลายฤดู โฮเตลนั้นคงเปิดอยู่เสมอจริง เพราะเล่นเบี้ยไม่มีเวลาหยุด แต่ถ้าคนน้อยเขาก็ปิดห้องเสียบ้าง เราไปก็ต้องไปเปิดห้องที่เขาปิด อาหารที่มาเลี้ยงนั้นก็หรู พ่อได้ส่งเมนูเข้ามาให้ดู เมนูนี้ไม่อธิบายให้เข้าใจได้ว่าหรูอย่างไร คือพวกแกล้มที่กินก่อนอาหารอื่นๆ นั้น จัดลงในถาดเงินเปนหย่อมต่างๆ เหมือนลายสวน ปลาที่จะกินก็เอามาทอดด้วยถาดเงินอย่างทำเป็ด[๑๒๑] ฉู่ฉ่าในห้องนั้นเอง เนื้อที่จะเอามาก็จัดเปนเขาโง้งสองข้าง ยกเอามาอวดเสียก่อน แล้วจึงเอาไปตั้งไฟบนเตาเงิน แล้วจึงหั่นมาแจก มีเดินซ้ำให้ตักเติม เนื้อเค็ม ลิ้นวัว ไส้กรอก หมูแฮม ปนกันในถาดเดียว แต่เอาวุ้นยาแนว ให้เปนลายกระเบื้องแตก ลูกไม้ ลูกสตรอเบอรีเจือน้ำตาลมาเสร็จใส่ในหม้อน้ำแขงโต โล้เอามาแจก ลูกแปร์ที่หวานอย่างสุกงอม มันเปนอย่างทำท่าให้น่ากินทั้งนั้น

ในที่นี้น่าจะเล่าเรื่องเมืองมอนาโค ซึ่งน่าที่ลูกจะยังไม่รู้ว่าเรื่องราวเปนอย่างไร เพราะเมืองมันเล็ก ชื่อดังแต่บ่อนเบี้ย เมืองนี้ตั้งอยู่ริมทเลเมดิเตอเรเนียน อ่าวเดียวซึ่งมีเขายอดสูงล้อมอยู่โดยรอบ นอกจากแหลมสองแหลมนี้แล้วเปนเขตรแดนฝรั่งเศสอ้อมอยู่ทุกด้าน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเปนเมืองเอกราช ไม่ได้ขึ้นกับฝรั่งเศส มีเจ้าครองเมืองในเวลานี้ชื่ออาลเบิตที่ ๑ มีอำนาจที่จะทำเงินทำสแตมบของตัวเอง มีราชสำนัก มีทหารรักษาพระองค์ ๖๐ คน แต่งเสียหรูจนถึงใส่ถุงมือหนังลูกแกะอย่างเต้นรำ ผลประโยชน์ที่ได้นั้น ได้จากบ่อนเบี้ยเปนอย่างมากกว่าทางอื่น เมืองมอนาโคที่ตัวเจ้าอยู่นั้น ตั้งอยู่แหลมฟากข้างหนึ่ง มอนติกาโลอยู่แหลมฟากข้างหนึ่งตรงกันข้าม การปกครองส่วนข้างมอนติกาโลนั้น มีกัมปนีรับผูกขาดก่อสร้างแลปกครองที่ดินเปนสิทธิขาด ชั่วแต่เสียเงินให้เจ้ามอนาโคตามกำหนด ค่าน้ำค่าไฟมิวนิสิเปอลจนตลอดตำรวจภูธรที่รักษาโรงบ่อน เปนของกำปนีเขาจัดแลบังคับบัญชาเก็บผลประโยชน์ทั้งสิ้น เว้นไว้แต่เขตรแดนนอกจากที่บริสัทสัญญาเช่านั้น ฝรั่งเศสเข้ามารับจัดการเก็บภาษีอากร บังคับบัญชาตำรวจภูธร ตั้งศาลพิจารณาความ ถ้าจะมีความอุทธรณ์ก็อุทธรณ์ไปปารีส แต่ผลประโยชน์ที่เก็บนั้น เก็บในชื่อเจ้ามอนาโค เมื่อเหลือจากจัดการปกครองมากน้อยเท่าใด เปนของเจ้ามอนาโค เพราะฉนั้นการปกครองไม่ผิดอะไรกันกับเมืองของฝรั่งเศส การที่ฝรั่งเศสต้องทำเช่นนี้ เพราะเมืองเข้าไปจมอยู่ในหว่างเขตรแดนฝรั่งเศส ถ้าไม่จัดการรวมกัน มีการลักลอบภาษีอากรเปนต้นที่รักษาไม่ได้ เจ้ามอนาโคมีอำนาจที่จะตั้งทูตไปประจำอยู่เมืองฝรั่งเศส แลรวมเมืองสเปนด้วย ไปการงานก็เข้าในหมู่เจ้านาย เจ้าคนนี้ชอบการเที่ยวทเล มีเรือยอชไปเที่ยวงมอะไรต่ออะไรในทเล ปรากฎชื่อบ่อยๆ ว่าเปนนักปราชญ์ เล่าเรื่องมอนาโคให้เข้าใจพอเปนสังเขปเท่านี้ คราวนี้จะว่าด้วยบ่อนซึ่งได้เข้าไปดูนั้นต่อไป

การตรวจตราบ่อนนี้กวดขันมาก เด็กอายุต่ำกว่า ๒๐ ห้ามไม่ให้เข้า เพราะเหตุฉนั้นชายอุรุพงษ์ไปด้วยจึงต้องอยู่ข้างนอกกับรพี พ่อเข้าไปแต่กับบริพัตร จรูญ เยนตรา สิทธิ[๑๒๒] เมื่อเข้าไปถึงมุขน่าต้องเลี้ยวห้องข้างซ้าย ซึ่งมีกระดานกั้นเปนคอกสามด้าน มีเจ้าพนักงานนั่งเก้าอี้อยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือเรียงเปนแถวเต็มไป มีผู้ออกมาซักถาม ว่าชื่อไร มียศศักดิ์อย่างใด อยู่ที่ไหน บอกแล้วไม่เชื่อ ต้องเรียกเอาก๊าดไปตรวจสอบอิก เมื่อไม่ถูกพิกัดต้องห้ามแล้ว จึงเขียนตั๋วอนุญาตให้เข้า ตั๋วอนุญาตนั้นใช้ได้เฉภาะชั่ววัน มีนัมเบอ แต่พ่อนั้นเมื่อบอกเขารู้แล้ว ก็เขียนแต่ชื่อลงในตั๋ว ไม่ต้องถามที่อยู่ที่ยัง ตั๋วก็ไม่ส่งให้ เจ้าพนักงานได้เข้ามานำเสด็จพาเข้าไปในฮอลที่เปนห้องกว้าง คนเดินกันเกลื่อนกลุ้ม แล้วเลี้ยวข้างซ้าย ไปเข้าประตูขวา ที่นั่นมีสามประตู เจ้าพนักงานอยู่ที่ประตูนั้น ค้นคว้าเรียกเอาใบอนุญาตเก็บร่มไม้เท้ากล้องถ่ายรูปหมด แล้วจึงปล่อยตัวเข้าไป พอเข้าในประตูบังคับให้ถอดหมวก ในห้องกลางนี้มีโต๊ะ ๕ โต๊ะ ตั้งเหมือนลูกบาดเลขห้า โต๊ะนั้นยาวกลางโต๊ะเปนเครื่องหมุนเลข หัวโต๊ะท้ายโต๊ะเปนตรางตัวเลขแลหนังสือเช่นที่เขียนตัวอย่างมาให้ดู แต่ที่เขียนนั้นซีกเดียว เปนเช่นนี้ทั้งสองซีก ตรงที่หมุนลูกบาดกลางนั้นแหวะโต๊ะหวำเข้าไป มีคนนั่งจมเข้าไปในโต๊ะข้างละสองคน นั่งอยู่หัวโต๊ะข้างละคน รวเปน ๖ คนด้วยกัน เรียกว่าครุปิเย ถ้าจะแปลภาษาไทยอย่างบ่อนๆ เห็นจะเปนหัวเบี้ยสำหรับรับเงินจ่ายเงิน คนที่เปนหัวเบี้ยนี้ว่าเปนการยากลำบากมาก เพราะมีลูกค้านั่งเล่นอยู่รอบโต๊ะ ซ้อนกัน ๒ ชั้น ๓ ชั้น ว่าต้องเปลี่ยนบ่อยๆ ชั่วโมงละครั้งฤๅอย่างไร มีอิก ๒ คนเรียกว่า อัมไปร์ เปนนายบ่อนผู้ตราสิน นั่งอยู่ในระหว่างครุปิเย กลางโต๊ะทั้งสองข้าง แต่ค่อนออกมาข้างหลังเก้าอี้สูงอาจจะแลเห็นได้ทั่วทุกโต๊ะ อัมไปร์นี้สำหรับวินิจฉัยในข้อถุ้มเถียง คอยเอ็ดยายแก่ที่จะรวบเงินผิดๆ ถูกๆ เปนต้น นอกนั้นยังมีโปลิศลับเดินวนอยู่รอบๆ โต๊ะ ถ้าเงินตกลงห้ามไม่ให้เก็บ โปลิศลับเปนผู้เก็บนำไปส่งอัมไปร์ อัมไปร์วินิจฉัยว่าเปนของใครจึงจะรับไปได้ เจ้าพนักงานเช่นนี้มีทุกโต๊ะ

ถัดเข้าไปจากห้องกลางมีอิก ๓ โต๊ะ ในสามโต๊ะนี้ดูเปนเล่นชั้นราคาแพง ห้องนอกใช้เงินมากใช้ทองบ้าง แต่ห้องในนี้ใช้ทองทั้งสิ้น คราวนี้ต่อไปตามยาวข้างริมน้ำเกิดห้องขึ้นใหม่ ซึ่งพวกเราที่เคยมาแล้วตั้งแต่พ่อเปนต้น ไม่เคยเห็น ไต่ถามจึงได้ความว่าพึ่งทำขึ้นเมื่อ ๕ ปีนี้ มีห้องสำหรับเดินปูพรมแต่งสรวย คั่นกันกับห้องที่เล่นเบี้ย ตั้งโต๊ะ ๓ โต๊ะ ห้องมุมลึกเข้าไปข้างใน ๒ โต๊ะ รวมด้วยกันทั้งสิ้นจึงเปน ๑๓ โต๊ะ แต่การที่เล่นนั้นเปนสองอย่าง อย่างหนึ่งเรียกว่าโรลลุเต คือหมุนลูกบาด อย่างหนึ่งเรียกว่าตรองเตเอต์ คาตรองต์ คือเล่นไพ่ แต่เล่นไพ่นี้ดูน้อยกว่าเล่นหมุนลูกบาด

วิธีที่เล่นนั้น แต่เดิมเข้าใจกันว่าจะเล่นจืดๆ ใครๆ ที่มาดูแล้วกลับไปเล่ากันว่าเล่นอย่างเซอะๆ ฝรั่งไม่เคยเล่นเบี้ยก็สนุกกันไป แต่ครั้นเมื่อไต่ถามเข้า ดูมันเล่นสนุกมาก มีทางได้ทางเสียกันถึง ๑๗ อย่าง พ่อช่างไม่อยากเล่าเสียเลย ถ้าใครเอาไปลองเล่นเข้าแล้วไปติดใจ ก็จะกลายเปนพ่อเปนผู้ส่งวิธีเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าไปให้ ทั้งพ่อเชื่อว่าลูกของพ่อมีวิไสยตามพืชพันธุ์ในข้อที่ไม่ชอบเล่นเบี้ยอยู่ด้วยกันเช่นนี้

ไปเดินๆ ดูอยู่วันนี้ จรูญแอบดอดเอาเงินวางตาที่ใช้ต่อเดียว ๒ เหรียญ ที่ใช้ ๒ ต่อเหรียญ ๑ ผเอินถูก ได้ ๑๕ แฟรงก์ สังเกตดูอาการกิริยาคนที่ไปเล่นนั้นมีต่างๆ ที่เปนแต่ท่าไปลองสนุกก็มี ที่เปนแต่เล่นฉาบฉวยพอถูกแล้วเลี่ยงออกก็มี ที่เล่นดื่มดิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดก็มี ผู้หญิงเล่นมากเท่าๆ กับผู้ชาย ในนั้นมีที่ขายขนมขายน้ำชาหลายแห่ง ห้ามไม่ให้สูบบุหรี่ที่ในห้องบ่อน แต่ถ้าออกไปห้องของกินนั้นแล้วสูบได้ ทางขึ้นไปชั้นบนที่ฮอลนั้น ใช้ผ้าขึงหมุนอยู่เสมอ เวลาจะขึ้นไปข้างบน ชั่วแต่ก้าวขึ้นไปยืนบนผ้า ไม่ต้องเดินต่อไปอิก ผ้าที่เปนสพานนั้นก็พาตัวเลื่อนขึ้นไปถึงพื้นชั้นบน แต่เวลาจะลงมาต้องลงทางกระไดตามธรรมเนียม บนนั้นพ่อเคยขึ้นไปเห็นแต่ก่อนแล้วเปนห้องเก็บหนังสือ สำหรับขึ้นไปอ่านกันตามชอบใจ

กลับจากในบ่อนมาเดินถ่ายรูปตามแถบข้างริมทเล เปนพื้นลานสูงต่ำเปนชั้น ทำงดงามสำหรับมาเดินเล่น ที่ริมทเลมีหลุมสำหรับปล่อยนกพิราบขึ้นมายิง ซึ่งเวลานี้ไม่มีใครยิง แถบนี้ซึ่งเปนที่เลื่องฦๅกันว่าคนที่เล่นเบี้ยฉิบหายเสียอกเสียใจ มักจะมายิงตัวตายฤๅโดดน้ำตาย สเตชั่นรถไฟอยู่ในใต้พื้นชานแห่งนี้ มีลิฟต์สำหรับขึ้นลง แต่พ่อไม่ได้ไปรถไฟ จึงไม่ได้ขึ้นลงทางลิฟต์นั้น เดินลอดมาทางใต้ที่เปนปล่องทางเดิน แล้วไปดูสวนแลเรสเตอรองต์อิกแห่งหนึ่งซึ่งหลังคาเปนแขกๆ แล้วจึงลงไปตามถนน ถึงร้านซึ่งเปนหลังคาคลุมตลอดเปนที่เหล่าชายหนุ่มหญิงสาวเขาไปกรอกัน กินเข้ากันที่นั่น ได้ซื้อของบ้างเล็กน้อยทั้งดอกไม้ เพื่อจะทดลองให้ส่งมาซันเรโม แต่เจ้าของว่าส่งมาไม่ได้ในวันนี้ เพราะจะต้องเสียภาษีตรวจตราอะไรกันเสียก่อน พรุ่งนี้จึงจะส่ง พ่อได้ซื้อทองร้อยแฟรงก์ ซึ่งไม่ได้ใช้กันที่อื่นนอกจากใช้สำหรับเล่นเบี้ยส่งมาให้ ทองอย่างนี้ถึงมีก็ไม่ได้ใช้กันมาก ออกจะหายาก กับสแตมป์มอนาโคอย่างละ ๒ แผ่น ให้ลูกแผ่นหนึ่ง ให้เก็บไว้ให้พ่อแผ่นหนึ่ง กับโปสต์ก๊าดซึ่งพอเห็นเค้าแต่มันไม่ใคร่เหมือนจริง ได้ถ่ายรูปไว้มี กลับมาตามเคย ไม่ต้องเล่าอันใด

ลืมเล่าถึงเรื่องเครื่องประดับตกแต่งบ่อนนี้ งามวิจิตรเหลือเกินนัก ทั้งปั้นทั้งเขียนทั้งศิลาลายสลักไม้ โคมที่แขวนห้อยเปนเฟื่องระย้าน่าเพลิดเพลินจริงๆ เดินไปเดินมาก็ให้บ่นร่ำไปว่ามันไม่น่าเปนบ่อน น่าจะเปนรั้วเปนวังมีงานเต้นรำฤๅอะไรทำนองนั้น พ่อไม่พยายามที่จะพรรณา ทีจะไม่จบ เอาแต่เท่านั้นที

พระบรมรูปถ่ายกับดุ๊กออฟเยนัว แลเจ้านายอิก ๓ พระองค์ ที่ซันเรโม

พระบรมรูปถ่ายกับดุ๊กออฟเยนัว แลเจ้านายอิก ๓ พระองค์ ที่ซันเรโม

• • • • • • • • •

คืนที่ ๔๒

วันอังคารที่ ๗ พฤษภาคม

เมื่อคืนนี้เวลา ๕ ทุ่ม ดุ๊กออฟเยนัว แลปรินซ์ออฟอุดิน ลูกชายผ่านที่นี่ ไปบอร์ดิเครา ได้ให้จรูญลงไปคอยพบ เพื่อจะนัดหมายกันในเรื่องวันนี้ ครั้นเวลา ๕ โมงให้บริพัตร เจ้าพระยาสุรวงษ์ กับจรูญ นำรถโมเตอคาร์ ๒ หลังไปรับ มาถึงเวลาเที่ยง เพราะระยะทางไปมากับที่นี่ครึ่งชั่วโมง พ่อลงไปคอยรับที่กระได ดุ๊กออฟเยนัวแปลกไปเปนอันมาก แก่คร่ำกว่าแต่ก่อน หัวล้านหมดทีเดียว เรียกได้ว่าไม่มีเหลือ เฟอดินันด์ ลูกชายนั้นคงอยู่อย่างเดิม ตกลงนัดกันว่าจะไปตุรินวันที่ ๑๔ ตามกำหนดเดิม แต่ระยะทางถึง ๙ ชั่วโมง กำหนดจะออกจากที่นี่ ๔ โมงเช้า กลัวจะถึงดึกไป จึงจำเปนต้องใช้รถไฟพิเศษ ทางที่จะไปตุรินมีสองทาง คือกลับลงไปทางเยนัวทางหนึ่ง ไปทางซาโวนาซึ่งเปนทางใหม่ทางหนึ่ง ดุ๊กบอกว่าไม่สู้ดีแต่ย่นเวลาเข้าได้ จึงตกลงเปนจะไปทางนั้น พ่อจะไปอยู่โฮเตลแต่แกไม่ยอม จะเอาเข้าไปไว้ในบ้าน บิดไม่หลุดเลยต้องตกลง ซ้ำต้องขยายวันออกไปอิกวันหนึ่งด้วย เพราะจะมีฟลอรัลโช ว่าเดี๋ยวนี้เริ่มฝนตก เขาถือกันเปนสุปัสติชั่น ว่าถ้ามีฟลอรัลโชเปนต้องฝนตก บางทีจะได้ดูโชวัวฤๅโชหมาด้วย แต่ไม่แน่ เมื่อเพิ่มวันเช่นนี้จำจะต้องขาดวันที่บาเดนไปอิกวันหนึ่ง ลางทีตาหมอจะฉุน แกช่วยกันเกลียดเกรี้ยวๆ ว่าหมอกวดขันนัก อากาศมันเปนกะบ่อนกะแบ่นชอบกล ได้ข่าวว่าในปารีสหนาวแลฝนตกแฉะ ว่าตามความจริงแล้วที่นี่กำลังสบาย หนาวเท่ากับหนาวเมืองไทย ไม่ต้องผิงไฟ ห่มผ้าแบลงเกตผืนเดียวพอสบาย เย็นเท่าๆ กับกรุงเก่าเมื่อเดือนยี่ แต่กรุงเก่ามีลมพัดพาให้หนาว นี่ไม่มีลม กินเข้ากลางวันด้วยกันกับดุ๊กแลคนที่ตามเสด็จสองคน แลถ่ายรูปด้วยกันกับดุ๊กแลลูกชาย ชายบริพัตรลูกเอียด นับว่าเปนรูปหมู่ที่ได้ถ่ายด้วยกันครั้งที่ ๓ รูปถ่ายครั้งแรก ๒๗ ปีมาแล้ว ถ่ายครั้งที่สอง ๑๐ ปีมาแล้ว ดูก็ขันดี ดุ๊กออฟเยนัวเปนเจ้าฝรั่งคนแรกที่เข้าไปบางกอก นับว่าได้พบเจ้าที่เปนรอแยลปรินซ์ครั้งที่ ๑ ครั้นเมื่อมายุโรปคราวก่อนก็ได้พบดุ๊กออฟเยนัวก่อนใครๆ หมด ไปรับที่เวนิศ ครั้งนี้ก็พบก่อนใครๆ หมด บอกข่าวว่ากวีนเฮเลนาประชวรมาประมาณสัก ๔๐ วันแล้ว เปนไข้อย่างอ่อนๆ หายแล้วเปนอิก ดัชเชสดาออสเตอก็ประชวรมาก เวลาบ่าย ๓ โมง พ่อกับดุ๊กออฟเยนัว แลเจ้าพระยาสุรวงษ์ขึ้นรถโมเตอคาร์หลังหนึ่ง ชายบริพัตรกับปรินซ์ออฟอุดินแลพวกเขา ๒ คนขึ้นรถอิกหลังหนึ่ง ไปส่งที่บอร์ดิเครา ดุ๊กเล่าถึงคะสิโนที่ออสเปดาเลตตี ว่าการที่สร้างขึ้นนั้นมีกัมปนีเขาคิดจะตั้งแข่งมอนติกาโล จึงซื้อที่ตัดทางขึ้นไปสร้างเมืองใหม่ทีเดียว เหนือเมืองเก่าขึ้นไปบนเขา แต่ครั้นเมื่อขออนุญาตรัฐบาลที่จะเล่นเบี้ยรัฐบาลไม่อนุญาต จึงได้ตกลงเปนอันค้างเดี๋ยวนี้จะใช้เปนอะไรไม่รู้ รถไฟทางนี้พึ่งจะทำเมื่อสามสิบปีมานี้เอง ได้เคยมาเข้าถ้ำเมื่อรถไฟยังไม่แล้ว เดิมไม่คาดว่าคนจะไปมามาก จึงไม่ได้คิดวางรางเปนสองสาย เดี๋ยวนี้เกิดร้องกันว่าไม่พอ รางเดียวป่วยการต้องหยุดหลีกกัน ทางข้างฝรั่งเศสมาจนกระทั่งถึงเมนโตนเขาทำเปนสองสายมาแล้ว เดี๋ยวนี้กำลังเอะอะ ฝรั่งเศสเร่งจะให้ทำตอนตั้งแต่เมนโตนมาเวนติมิเคลีย นานไปคงต้องเปนสองสายตลอดกัน เมืองตามแถบนี้ไม่ได้มา ๕ ปีก็แปลก เหตุด้วยต้องทำใหม่อยู่เสมอ เพราะคนต่างประเทศมาเที่ยวที่ไหนชินแล้วอยากจะหาที่อื่นเที่ยวต่อไปอิก ก็เกิดโฮเตลแลเรสเตอรองต์ต่อๆ กันไป พวกโซเชียลลิสต์ที่ไม่กล้ากำเริบในที่นี้ เพราะไม่มีโรงแฟกตอรี คือที่ทำการใหญ่ๆ ซึ่งมีคนสำหรับรับจ้างทำงานมากๆ นั้นอย่างหนึ่ง ถ้าทำอะไรหยุกหยิกขึ้น รู้ถึงคนต่างประเทศไม่มีใครมาเที่ยว ขาดผลประโยชน์เข้าก็ต้องหยุดไปเอง ปีนี้เปนปีที่คนมาเที่ยวยังไม่หมด เพราะหนาวล่า ถ้าตามธรรมดาหมดแล้ว ต่อเดือนมิถุนายนแลกรกฏาคมจึงจะมีพวกอาบน้ำทเลมาอิกต่างหาก โฮเตลที่ดุ๊กมาอยู่นั้น ชื่อว่าโฮเตลคับ อยู่บนเขา ทางขึ้นทำงามดีจริงๆ ทบไปทบมาสักสามทบ ข้างทางนั้นเต็มไปด้วยไม้เลื้อย ดอกสีต่างๆ รูปต่างๆ ราวกับว่าเอาแพรดวงต่างๆ ดาดขึ้นไปตลอดหนทาง โฮเตลนั้นทำใหม่เอี่ยมพึ่งแล้ว ไม่มีอะไรเศร้าหมองเลย มีลิฟต์ไฟฟ้าเหมือนพระที่นั่งอัมพร จนคิดถึงชายอุรุพงษ์ที่ไม่ได้ไปด้วย เห็นลิฟต์ที่ไหนฉุนที่นั่น ว่าไม่เหมือนพระที่นั่งอัมพร ที่นี่เหมือนก็ออกงานออกการเสียไม่ได้มา ห้องที่อยู่กว้างใหญ่ ใช้กั้นฝาไม้มีม่าน เฟอนิเชอก็สรวย ไปนั่งพูดกันอยู่หน่อยหนึ่งลากลับลงมา เพราะเขาจะกลับเมืองตุรินบ่าย ๕ โมง จะถึง ๗ ทุ่มเศษฤๅ ๘ ทุ่ม อันที่จริงก็น่าขอบใจเปนอันมาก ที่อุส่าห์ทรมานกายมาหา ออกจากตุรินวันที่ ๖ เวลาบ่าย ๓ โมง ตรงมาบอร์ดิเคราไม่ได้แวะแห่งใด ถึง ๒ ยาม ขากลับนี้ก็จะตรงไปตุริน

เห็นเวลายังพอ พ่อเลยไปเที่ยวเวนติมิเคลีย ทั้งที่แต่งเสื้อครุยลอมพอกกล่าวคือเสื้อฟรอกโก๊ดแลหมวกสูง คนที่นี่ออกจะอยู่ข้างทึ่งเพราะไม่มีใครใช้กัน ใช้แต่พวกเราเจ้านาย พอลงไปถึงตลาด เจอรพีแลอุรุพงษ์กับเกาวแมนเดินก๋าอยู่ในถนนแล้ว จับตัวรพีกับอุรุพงษ์ขึ้นรถ เกาวแมนเลยตีกินกลับ ไปถึงเวนติมิเคลีย ลงเดินหน่อยหนึ่งไม่เห็นมีอะไร ได้แต่ถ่ายรูปแลแวะซื้อโปสต์ก๊าดที่ร้านกลางถนน

เรื่องร้านกลางถนนนี้พ่อไม่เคยเล่าเลย แลมีอ้ายอะไรหยุมๆ หยิมๆ ตามถนนที่นึกจะเล่าหลายหนแล้ว แต่ข้ามเสียเลยลืมจนจะคุมหมวดไม่ติด น่าจะกล่าวเปนปกิณณกะ ร้านโปสต์ก๊าดเช่นนี้มีทุกเมืองตามหัวมุมถนน ถ้าจะพูดให้เข้าใจชัด น่าจะต้องกล่าวเทียบตำบลกับบางกอก พวกร้านขายโปสต์ก๊าดนี้ ควรจะตั้งที่แท่นรองเสาชิงช้า ฤๅในสี่กั๊กเสาชิงช้า ถ้าที่สวนดุสิต ควรจะตั้งที่เว้าน่าประตูถนนพุดตาลต่อกับเบญมาศ รูปพรรณสัณฐานเปนโครงเหล็กเหมือนกรงนก ๘ เหลี่ยม ฝากรุกระจกมีชายคายื่นรอบ ที่ฝากระจกนั้นแขวนโปสต์ก๊าดเปนตับๆ ในนั้นมีคนยืนอยู่ในระหว่างกลางกระดาษต่างๆ เปนแอดเวอติสแมนต์บ้าง อาลบั้มรูปพิมพ์บ้าง สมุดบ้าง คนนั้นยืนเยี่ยมอยู่ที่น่าต่าง ตรงน่าต่างมีกระดานยื่นออกมาสำหรับวางของอะไรที่ซื้อขายกัน ฤๅถ้าจะเขียนโปสต์ก๊าดที่นั่นก็ได้ มีหมึกปากไก่ให้ยืนเขียน เช่นนี้อย่างหนึ่ง

อิกอย่างหนึ่งนั้น รูปพรรณก็คล้ายคลึงกันแต่ผอมสูงไม่มีชายคา มีไฟฟ้าฤๅไฟแก๊สอยู่ในนั้นดวงหนึ่ง สำหรับให้เช่าปิดหนังสือบอกขายของ เสาเช่นนี้ ชอบตั้งอยู่บนฟุตปาถ ที่คนเดินผ่านอยู่เสมอๆ เรื่องแอดเวอติสแมนต์นั้นนับไม่ถ้วน ดูไม่ทั่ว แต่ที่โดยมากที่สุดนั้นเรสเตอรองต์ ตามแต่จะให้ชื่ออะไรต่ออะไร ตั้งแต่ใหญ่ที่สุดจนเล็กที่สุด เพียงพาไลข้างเรือนมีโต๊ะตัวเดียวก็ได้ ดังเช่นที่ได้กล่าวมาแล้ว อีกอย่างหนึ่งนั้น เขียนตัวโตๆ ว่าโอโตคารัชเปนต้น นี่ไม่ว่าที่เปลี่ยวที่ในเมืองมีทั่วทุกหนทุกแห่ง เปนที่พักสำหรับรถโมเตอคาร์ จะเอาไว้ที่ไหนไว้ได้หาที่ไว้ง่าย ถึงจะไปเสียลงกลางทาง ก็ไม่ต้องเข็นไปไหนไกล

อิกอย่างหนึ่งนั้นเขียนไว้ว่าโกแด๊ก ซึ่งเราเข้าใจว่าเปนที่ขายกล้องถ่ายรูปที่เรียกว่าโกแด๊ก แต่ความจริงนั้น บางแห่งก็มีกล้องบางแห่งก็ไม่มีเลย ชั่วแต่ขายรูปฤๅขายโปสต์ก๊าดก็เขียนลงว่าโกแด๊กได้ นอกจากนี้ยังมีไซน แว่นตาแลอะไรต่างๆ ซึ่งยังดูไม่ทั่ว แต่พอแลเห็นรูปก็เข้าใจ ว่าเปนที่ขายอะไร

ที่เวนติมิเคลียนี้อยู่ข้างจะร่องแร่ง แต่ยังดีกว่าออสเปดาเลตตี เดินเลี้ยวขึ้นไปหน่อยหนึ่งไปกินน้ำชาที่เตอร์มินัสโฮเตล เพราะไม่มีโฮเตลดีกว่านี้ เพราะไม่เปนที่ใครมาอยู่ ออกจะเปนแต่ที่พักร้อนของคนที่มาเที่ยว กินผักกาดแดงแลเฟนอกคีกับน้ำชา เจ้าของโฮเตลรู้ชัดเจนดี เพราะเราแต่งเสื้อครุยลอมพอก เอากระดาษเข้ามาให้เซ็นชื่อ แลยังขู่ส่งไปว่ากิงออฟอิตาลีก็เคยเสด็จ พ่อก็เซ็นให้ แล้วแป้นรับอาสาจะพาไปดูคาเซอลโบราณ ซึ่งสร้างแต่คฤสต์ศักราช ๓๐๐ ปี คือ ๑๖๐๐ ปีแล้วนั้น ทางที่ไปก็เลียบลำธารใหญ่ เหมือนอย่างที่แตคเจีย แต่ขึ้นไปบนเขามาก ดูชุ่มชื่นกว่าข้างริมทเล ไปในหว่างดงออลิฟงามอยู่ ไม่มีปลูกดอกไม้ มีแต่ตัดออลิฟลง ตัดต้นองุ่นปลูกเปนไร่ๆ แซกไปบ้าง ถึงบ้านหมู่หนึ่ง แรกเปนบ้านอย่างเก่า เรียกว่าปิญา ไปอิกถึงบ้านอิกหมู่หนึ่งใหญ่กว่าหมู่นอก เรียกว่าดอลเซ อลควา เปนหมู่บ้านอยู่ฟากข้างซ้ายมือมีสพานโค้งสูงข้ามลำห้วย ไปถึงบ้านเรือนที่มีอยู่ใต้น่าผาแต่เล็กน้อย บนน่าผาที่ตั้งชันโกรกเปนที่ตั้งคาเซอลอยู่สูงมาก ร้างไม่มีหลังคา เด็กๆ มาตอมแน่น ดูเปนจะไม่ใคร่เคยเห็นคนต่างประเทศ ถ้าเอื้อมมือไปฤๅชี้มือก็แตกครืน เด็กผู้หญิงออกจะเกือบร้องไห้ กิริยาท่าทางนั้นดูเหมือนจะเห็นดำๆ กลัวกินตับ ตอนถนนนอกม้าฬาอะไรไม่รู้จักกลัวโมเตอคาร์ ผ่านกันไปก็เฉย แต่ตามแถบนี้เต้นโครมครามตกใจเผ่นโผน เห็นจะไม่ใคร่มีโมเตอคาร์เข้าไป สังเกตดูเมืองตามแถบนี้ แรกคงตั้งอยู่ในหว่างเขา จับลำธารเปนหลักทุกๆ แห่ง ถ้าบ้านที่มีอยู่ริมหนทางเลียบเขาเปนบ้านเก่าก็คงเปนบ้านชาวประมงทั้งนั้น ส่วนบ้านที่เกิดขึ้นใหม่สำหรับถนนมีพวกหนึ่งเกิดสำหรับรถไฟซึ่งใหม่ยังไม่สิ้นเขม่าไฟ[๑๒๓]ทั้งนั้น เปนบ้านตั้งอยู่ริมทเล

อนึ่งการเที่ยวตามรายวันที่เล่ามานั้น ดูเหมือนมันย้อนไปย้อนมา ฤๅจะเข้าใจได้ว่าแยกไปเปนทิศานุทิศ ที่จริงไม่ได้ไปด้วยทิศานุทิศ ไปได้สองทิศเท่านั้น ในถนนเดียว ไปไหนไปไหนก็ถนนเดียวเท่านั้น เมืองต้นทางไม่ได้แวะ ข้ามไปเที่ยวเสียข้างน่า รุ่งขึ้นจึงแวะก็มี ลำดับเมืองไปทางทิศตวันตกนั้น ดังนี้ ซันเรโม แล้วออสเปดาเลตตี แล้วบอร์ดิเครา แล้วจึงถึงเวนตีมิเคลีย แล้วจึงถึงเมนโตน แล้วมอนติกาโล แล้วนีศ เดินผ่านไปผ่านมาอยู่เช่นนี้ทุกวัน ขากลับจึงไม่ต้องเล่าอะไรมาก็ถึง เติมได้อิกนิดหนึ่งซึ่งยังบกพร่อง คือโฮเตลใหญ่ๆ เขามักก่อเขาริมทางที่ขึ้น ใช้ศิลาก้อนโตๆ วางลำดับกันเปนถ้ำเหวเปลวปล่อง ปลูกต้นไม้แซกทั้งปามแลไม้สีสรวยๆ มีขยายถนนหลายแห่ง บางทีซื้อเรือนเสียทั้งหมู่โตรื้อตัดเปนถนน แก้แคบให้กว้าง แก้คดให้ตรง ทำไปทีละท่อน ตามแต่ทุนจะทำได้ การก่อเขื่อนก่อตึก เวลาที่ขุดพื้นเจาะเขาเข้าไปตัดที่ชันให้ราบ ดูเปนการหนักอยู่ แต่ตอนที่ก่อสร้างไม่ต้องทำอะไร ขุดรากลงไปที่พื้นสักศอกเดียว ไม่ต้องตอกเข็มปูและอะไรเลย ลงมือก่อทีเดียว ก่อก็ก่อด้วยศิลาแท่งโตๆ ตั้งศิลาแผ่นหนึ่งเท่ากับก่ออิฐสักสามชั้นสี่ชั้น วันเดียวงานก็ร่วมเข้าไปเปนกอง ถนนก็ไม่ต้องใช้ถมด้วยดินด้วยทรายอะไร ถ้าเปนที่ต่ำก็ก่อเขื่อนเช่นขาสพานทำด้วยศิลา ถมด้วยศิลาขึ้นมาจนถึงที่ แล้วก็บดศิลาเลอียดลงไป ถ้าเปนที่สูงก็เฉาะศิลาลงไป เอาศิลาเลอียดโรยกลิ้งให้เรียบ ท่อน้ำก็ใช้น้อยเฉภาะที่ราบๆ มันทำง่ายทำดาย แต่ถ้าคิดค่าแรงแล้วเห็นจะมาก เพราะมีแต่เรื่องทุบระเบิดย่อยศิลาไปเสียทั้งนั้น คนทำงานเห็นจะทำงานมากชั่วโมงกว่าบ้านเรามาก ย่ำค่ำแล้วยังทุบหินเผงๆ อยู่ ที่ข้างโฮเตลเบลวือมีตึกหลังหนึ่ง ซึ่งเอมเปอเรอเฟรเดอริกเมืองเยอรมนี เมื่อเวลาประชวรมาอยู่ ต่อเมื่อรู้ข่าวว่าเอมเปอเรอวิลเลียมที่ ๑ สิ้นพระชนม์จึงมาเชิญไปจากที่นี่ เขาทำเปนแผ่นทองเหลืองมีรูปเอมเปอเรอเฟรเดอริกอยู่กลาง ติดไว้ที่เขื่อนน่าเรือน เรือนนั้นอยู่ข้างหลัง เยื้องกับวิลลานี้หน่อยหนึ่ง

การเดินทางด้วยรถไฟเวลานี้ พ่อรู้สึกเหมือนหนึ่งไปไหนต้องไปรถคุก อ้ายที่ยืนเยี่ยมตาดำๆ ตามช่องลูกกรงอยู่ข้างบน เพราะเคยขี่รถโมเตอคาร์มันแสนสบายเสียแล้ว นึกจะหยุดที่ไหนก็หยุดได้ ไปเวลาไรมาเวลาไรสดวกใจทุกอย่าง วันนี้กรมสมมตไปก็ประดักประเดิดเต็มที ว่ารถหัวต่อในระหว่างอิตาลีกับฝรั่งเศสไปถึงไม่ตรงเวลากัน ไม่เดินล่วงแดนกัน จนต้องเลยไปหยุดกินเข้าอยู่ที่ต่อแดนชั่วโมงหนึ่งจึงได้ไปต่อไปอิกได้ พ่อเบื่อเข้าถ้ำ ด้วยประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง พูดกันค้างๆ เข้าถ้ำเสียงดังโกรกกรากพูดไม่ได้ยิน ควันก็กลบกลุ้มไปทั้งนั้น เบื่อขี้เกียจพยายามจะนับว่าเข้าถ้ำสักกี่สิบหน

หนังสือตอนนี้ส่งเมล์ไม่ทัน จำจะต้องส่งเมล์วันอาทิตย์

• • • • • • • • •

คืนที่ ๔๓

วันพุฒที่ ๘ พฤษภาคม

เมื่อคืนนี้นอนดีขึ้น รู้สึกสบาย กินกลางวันแล้ว เวลาบ่ายไปที่ห้องช่างเขียนมากอตตี วันนี้แต่งตัวทั้งตัว ไปยืนตั้งท่าให้เขียน เขาเขียนรูปขนาดเล็ก เพื่อจะให้เห็นท่าทางว่าจะเปนอย่างไร ไม่ได้เขียนหน้า ยืนแล้วหยุดพัก ถึงสามทอดจึงได้เลิก ท่าทางที่แกวางให้งามจริงๆ มองสิเออดุรังนี้มีคุณสมบัติเปนช่างเขียนแท้ คือเลือกดูหยิบที่ไหนงามว่องไวนัก มือซ้ายกำพุกันสอดในกระดานน้ำยาทั้งใหญ่ทั้งเล็กหมดด้วยกันอยู่ใน ๑๒ เล่ม พอใช้พุกันหมดก็พอแล้วทุกคราว ดูสนุกในเชิงเขียน เขียนๆ แล้วถอยหลังออกไปสามก้าวมองดู แล้วกลับเข้ามาเขียนใหม่ ถ้าเห็นอะไรงามที่ชอบใจจะเขียนก็ยกมือขึ้นเพียงหู ฤๅลืมอะไรก็เกาศีศะ ถ้าจะไปหยิบอะไรที่โต๊ะก็วิ่งไปหยิบ ดูเหมือนหนึ่งว่าถ้าจะไปช้าๆ แล้ว กลับมาจะลืมความคิดที่เห็นงามนั้นเสีย วันนี้เขียนเสื้อครุยด้วยเข็มจิ้มน้ำยา ปลื้มเสื้อครุยว่างามมาก ถ้าลงมือเขียนรูปแผ่นใหญ่ อยากจะขอเอาไปแต่งตุ๊กตาดูแต้มเขียนให้เหมือน จะมอบไว้ให้ก็ไม่รับ กลัวหาย ถ้าจะเอาไปให้ดูก็ขอให้มีคนไปนั่งกำกับ หายไม่รู้ด้วย รูปที่เขียนครึ่งตัวทำหน้าไว้นั้นเอาเข้ากรอบเดี๋ยวนั้นขึ้นตั้งดู แกมองไปมองมาเห็นไม่งามขึ้นมาแล้ว หยิบเอาเข้าไปซ่อนไว้เสียใต้โต๊ะ จะเขียนใหม่ พ่อไกล่เกลี่ยจะเอารูปที่ลองเขียนนั้น ทั้งครึ่งแลเต็มตัว รับว่าจะให้ แต่ไม่ยักให้อ้ายแผ่นที่ลองเขียน บอกว่าไม่งามจะเขียนให้ใหม่ แผ่นเต็มตัวก็ว่าเล็กนัก จะเขียนไม่ได้แจ่มแจ้ง จะเขียนให้ใหม่ให้โตขึ้นไปกว่านั้น เปนใจความว่าการเขียนนั้นไม่ยากอะไร ไม่กี่วันก็แล้ว การยากนั้นอยู่ที่จะเขียนให้เหมือนแลให้ท่วงทีงาม แกมานั่งคอยเขียนรูปพ่ออยู่สองวัน เขียนรูปมากอตตีเจ้าของห้องเขียนวันนั้นแล้วเสร็จ วันนี้ให้ดูเหมือนจริงๆ งาม ถ้าหากว่าแกไม่เขียนหนังสือให้กันในรูปนั้น พ่อซื้อเสียแล้ว นี่แกให้กันเปนค่าเช่าโรงที่เขียน รพีตีราคาถึงสองพันแฟรงก์จะซื้อ นี่ตรงกันกับมือเปนเงินเปนทอง เขียนเสียวันละชั่วโมง เท่ากับชั่วโมงจะพันแฟรงก์ แต่ข้อสำคัญนั้นอยู่ที่พื้น ถ้าพื้นดีจึงจะเขียนได้ดี พื้นไม่ดีเขียนก็ไม่เปนเรื่อง วันนี้อยู่ข้างจะยิ้มแย้มแจ่มใสมาก ดูเพลิดเพลินใจในการเขียน เขียนไปจนบ่นว่าเมื่อยมือที่กำพุกันแลสอดกระดาน วางลงขออนุญาตสูบบุหรี่ ดูดสักสองสามหมุย นึกขันอะไรขึ้นมา ฉวยกระดานแลพุกันเขียนอีก บุหรี่ที่ปากก็ลืมดูดจนดับ เลยอมอยู่ได้จนแล้ว มากอตตีนั้นก็ยังเอื้อมาก จัดที่ทางเอาดอกไม้ดอกไล่มาตั้งไว้ให้เพลิดเพลินทุกวัน ถ่ายรูปแลเอนลาชรูปที่สตูเดียวของตัวมาให้สำหรับแจก จะขออนุญาตทำป้ายติดไว้ที่น่าเรือน ว่าพ่อไปเขียนรูปที่นั้น วันนี้เขียนนาน แต่กระนั้นก็ยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ในการทดลอง รูปที่จะเขียนจริงนั้นยังไม่ได้ลงมือเลย พรุ่งนี้นัดกันเวลาเช้า แต่มันเกะกะอยู่หน่อย ที่มีเคาน์เตสเยอรมันผู้หนึ่งไปให้มากอตตีเขียนรูปค้างอยู่ เวลาเช้าเปนของเขา เวลาบ่ายเปนของเรา เราจะไปขอเปลี่ยนเวลาเช้าก็แปลว่าไม่ให้เขาได้เขียน จึงต้องให้จรูญไปคิดอ่านพูดจา ก็เปนที่ตกลงกัน

วันนี้เลิกเย็นไป เลยไถลไปบ้านปะโรดี ซึ่งเปนเจ้าของวิลลาโนเบล เมื่อวานนี้รถมณีรัตนถังน้ำมันรั่ว ก็ได้ไปยืมรถที่ตานี่ ได้พบกันแล้วเมื่อวันแรกมาถึง กิริยาอัชฌาไศรยเหมือนอเมริกัน แลปรากฎว่าเปนคนชั้นกลาง เรื่องราวของท่านผู้นี้ ดุ๊กออฟเยนัวเปนผู้รู้ ว่าเดิมเปนคนจน ไปค้าขายอเมริการวยมาก จึงได้กลับมาสร้างวิลลาโนเบล ชื่อโนเบลนั้นไม่ใช่ชื่อเจ้าของ เปนชื่อผู้ซึ่งมีชื่อเสียงปรากฎผู้หนึ่ง ให้ชื่อตามชื่อผู้นั้น บ้านที่เขาอยู่เองนี้ก็เปนวิลลาอันหนึ่งดูข้างนอกเกลี้ยงๆ ไม่งามเหมือนวิลลาโนเบล แต่ข้างในแต่งหรูมาก ฝาผนังดาดแพรสีแดง เก้าอี้ใหม่สีแดง ขอบโตๆ ปิดทองเปนมันปลาบเหลืองฉาดไปทั้งห้อง เปนอย่างชั้นผู้ดีมั่งมีใหม่ๆ มีเมียแลลูกชายคนหนึ่ง ลูกหญิงสองคน หลานของผัวฤๅเมียนั้นอิก ๒ คน มีลูกหลานเด็กๆ สักเจ็ดแปดคน หลานลูกของลูกสาวเปนผู้หญิงอายุได้สี่ขวบ พ่อตายตั้งแต่อายุได้ ๒๕ วัน คนหนึ่งน่าเอนดู เปนผู้ได้รับน่าที่ทำบุเคเข้ามาให้พ่อ เรื่องราวที่แกไปทำมาหากินนั้น ไปทำไร่ถั่วที่เมืองเออร์เคว เปนเมืองริปับลิกชาติสะเปนในเมืองอเมริกาใต้ เพราะเหตุที่แกไปอยู่ที่โน่นค่อนปี กลับมาที่นี่ชั่วฤดู จึงมีผู้เข้าใจกันว่าแกเปนอเมริกัน ที่แท้ไม่ได้เปนอเมริกัน เปนอิตาเลียน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยสักคำเดียว ในเมืองเออร์เควนั้นว่ามีฤดูเกือบจะเหมือนกันตลอดปี ร้อนแลมีไข้เหลืองชุม พ่อเด็กที่ให้บุเคนั้นก็ตายด้วยไข้เหลือง ตาปะโรดีนี้อยู่ข้างจะเปนคนมีศรัทธามาลา สร้างวัดที่ริมบ้านนั้นเอง เมื่อพิจารณาดูทั้งหมดแล้วให้รฦกถึงพระภาษี (เล็ก) จริงๆ อัธยาไศรยกว้างขวางคล้ายคลึงกัน เมียนั้นท่าทางเหมือนเศรษฐินีสมบุญบ้านผักไห่ เปนเศรษฐีชั้นนั้นสำหรับเมืองนี้ทีเดียว วัดที่สร้างก็เปนอย่างช่อฟ้าชวนฟ้าชำเลืองอย่างใหม่ สวนในบ้านมีต้นไม้มาก ที่ริมกระไดเต็มไปด้วยต้นแต้ฮวย มีดอกบานเต็มต้น ดอกโตๆ หลายสี คือสีขาวอย่างหนึ่ง ชมภูอ่อนฤๅบัวโรยอย่างหนึ่ง ชมภูแก่อย่างหนึ่ง ชมภูทับแสดอย่างหนึ่ง แดงอ่อนอย่างหนึ่ง แดงกลางอย่างหนึ่ง แดงแก่อย่างหนึ่ง สีครั่งอย่างหนึ่ง ลายขาวปนแดงอย่างหนึ่ง เหมือนแต้ฮวยที่มาแต่เมืองจีน ซึ่งตูมแล้วไม่บานในเมืองเรานั้นไม่มีผิดเลย จนพ่อไปตู่ถามว่า มาแต่เมืองจีนฤๅ เพราะเห็นใส่กระถางใหญ่ๆ โตเกือบเท่าต้นพิกุลเตี้ยน่าพระที่นั่งอัมพร เขาบอกว่าไม่ใช่ เปนไม้ที่นี่เอง มันช่างงามกระไรเลย เกือบเหมือนแกล้งทำด้วยมะละกอดอกไม้เครื่องสด จนจับเข้าแล้วยังไม่หายนึกว่าเปนมะละกอ เขาตัดผูกกระเช้าใหญ่มาให้กระเช้าหนึ่งงามจริงๆ ใบก็หนากลีบก็หนา เหตุไฉนจึงไม่บานในเมืองเรา เหมือนอย่างกุหลาบที่ก้านแลเปลือกหุ้มก้านเปนขน อย่างเช่นเคยเห็นดอกไม้แห้งฤๅเห็นรูปเขียน ควรจะยอมว่าในเมืองเราเปนไม่ได้ เพราะเห็นแต่ดอกตูม เขาว่าพอบานก็ร่วง นี่ไม่ใช่เช่นนั้น น่าจะทน เหตุไฉนจึงทนร้อนไม่ได้เสียเลย ซึ่งพ่อคลั่งพูดถึงไม้ดอกร่ำไปนั้น เพราะมันแลไปข้างไหนก็เปนดอกไม้เต็มไปทั้งเมือง สวนก็เปนดอกไม้เต็มไปทั้งนั้น ไร่ก็เปนดอกไม้เต็มไปทั้งนั้น จะไม่เคยเห็นเมืองอื่นในประเทศยุโรปซึ่งจะมีดอกไม้มากอย่างแถบนี้

กลับเข้าเรื่องปะโรดีใหม่ นั่งสนทนากันอยู่นาน ไปจัดแชมเปนช์มาเลี้ยงสกดดื่มโดนถ้วยกันอย่างเต็มที่ พ่อลาจะกลับ จูบหัดถ์พ่อหมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย ครานี้เดินออกมาตามคอริดอระหว่างห้อง ตาปะโรดีมายืนคอยอยู่ เอาหมวกปะนามาใบหนึ่ง ซึ่งเปนของสานใหม่ ยังไม่ได้ดามหนังข้างใน มาสรวมหัวปุบลง เอามือตบบนหัวทีหนึ่ง บอกว่าเปนของดีขอให้รับไว้ กลับมาให้ดุ๊กแลใครๆ ดู เขาว่าเปนของวิเศษมาก ราคาอยู่ในประมาณสัก ๓๐ ปอนด์ ที่ว่าท่าทางแกเปนอเมริกันนั้นคือเช่นนี้ ใจฅอกว้างขวางอารีนบนอบมาก เช่นกับจูบมือโดยความเคารพอย่างวิเศษ แต่ข้อที่จะเอาหมวกมาสรวมบนหัวแลตบหัวนั้นไม่มีความหมิ่นประมาทอย่างใด กับเปนการอี๋กันไป แล้วต้องการให้ไปดูวัด นัดพ่อก็ตกลงไป ทางที่เข้านั้นเข้าหลังโบสถ์ น่าโบสถ์ออกถนน มีอ่างน้ำมนต์ตั้งทั้งข้างน่าข้างหลัง ข้างเขาจะเข้าออก ต้องจิ้มน้ำมนต์นั้นกรึงกางเขนที่หน้าก่อนจึงเข้าไป แต่เราไม่ต้องทำอะไร มีรูปซึ่งทำด้วยกระจกสีเล็กๆ สามแผ่น นอกนั้นก็น่าพระ อย่างวัดโรมันคาทอลิกตามธรรมเนียมเกลี้ยงๆ เล็กกว่าวัดนิเวศธรรมประวัติมากอยู่ กำลังดูนั้นมีสัปรุษเข้าไปทางน่าโบสถ์หลายคน พ่อบอกว่าจะเปนที่กีดขวาง จึงได้ออกมาเสีย แล้วเลยกลับบ้าน ได้ฝากลอกเกตมีอักษรชื่อไปให้เด็กที่นำบุเคมาให้อันหนึ่ง

กลับมาถึงบ้านเลยเดินลงไปริมทเล ถ่ายรูปแลนั่งตากแดดด้วยแดดยังมาก โปลิศลับที่มาประจำอยู่น่าบ้าน พลอยเดินตามเข้าไปด้วย ออกรำคาญจนพ่อต้องถามว่านี่มันจะมาระวังอะไร กลัวเราโจนน้ำตายฤๅอย่างไร ที่เปนเช่นนี้เปนโดยอัชฌาไศรยของบุคคลผู้ที่มามันทลึ่ง เอาน้ำชาลงไปกินที่ริมทเลดูเขาตีอวน ลักษณตีอวนที่นี่ไม่เหมือนกันกับที่ทเลของเรา เห็นจะเปนด้วยพื้นทเลเหล่านี้เปนศิลามากใช้ลากไม่ได้ พอลงอวนวางรอบแล้วเรือนั้นเข้าไปกลางวง เอากระเชียงตีกราบเรือดังโครมๆ แล้วแจววนไปจนรอบ เมื่อรอบแล้วก็สาวอวนจับปลาซึ่งตกใจเข้าไปค้างอยู่ในตรางร่างแห กู้พลางจับปลาพลางเช่นนี้ไปจนรอบ ไม่ได้ลากขึ้นหาด จับวันหนึ่งครึ่งชั่วโมงครั้งหนึ่ง ตลอดตั้งแต่เช้าจนค่ำ ถ้าถูกคราวดี วันหนึ่งได้ถึง ๓๐๐ แฟรงก์ ลางทีปลาใหญ่ๆ เข้าติดต้องปล้ำปลุกกันมาก คนที่มาลงอวนนั้นบริบูรณ์ด้วยบาดแผลเปนอันมาก ถูกปลาใหญ่กัดตีนมือเปนริ้วแร่งด้วยสาวอวน เรือที่มาลงอวนนั้นลำละ ๓ คน นั่งพิจารณาดูภูมฐาน ศาลาทำด้วยศิลาอ่อน เขาทำไว้มุมพื้นที่แลตรงไปข้างทิศใต้ ซึ่งเปนภูเขามีบ้านเรือนตั้งอยู่บริบูรณ์ งามเปนชั้นๆ อย่างก่อเขาตั้งเรือนตุ๊กตา ไม่มีลมมีแต่แดด รู้สึกเหมือนไม่ได้หนาว ต่อแลดูเสื้อผ้าสักหลาดที่สรวมอยู่จึงรู้ว่าหนาว ถึงสรวมเสื้อหนาเช่นนี้ได้กับแดดร้อนเผามาวันยังค่ำ พื้นที่นั้นเปนศิลาปูฤๅโรยทั้งนั้น ถ้าเปนเมืองเราจะยังไม่สิ้นควันเหยียบไม่ได้ นี่ไม่ต้องคิดถึงข้อนั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว มาลองนึกว่าบ้านเราอากาศเปนเช่นนี้จะแสนสบายอย่างที่สุด แต่ความพอใจของมนุษย์มันไม่มีพอดี ยังบ่นอยากลดลงเสียอิกสักนิดหนึ่ง แต่พอใส่กางเกงเจ๊กได้ นี่บ้านเรามันลดมากเกินไป จนใส่กางเกงเจ๊กก็ร้อนเหื่อแตก ความจริงการปรารภเช่นนี้ใช่จะมีแต่เรา ฝรั่งข้างเหนือก็ต้องปรารภเหมือนเรา ต้องการอากาศของหัวเมืองชายทเลนี้เหมือนกัน ต่างกันแต่เขาต้องการร้อน เราต้องการเย็น เพราะเหตุฉนั้นหัวเมืองเหล่านี้จึงเปนที่นิยมของใครๆ ทั่วไป เพราะอาจจะทำให้พอใจได้ ทั้งพวกที่อยู่เมืองหนาวแลเมืองร้อน จนเปนคำกล่าวว่า ถ้าเปนคนมั่งมีแถบนี้ เหตุไรจะไม่มีที่บ้านที่ซันเรโม ฤๅแห่งหนึ่งแห่งใดริมชายทเลนี้ อันเปนที่อยู่ในระหว่างความพอใจของพวกเมืองร้อนแลเมืองหนาวทั้งสองฝ่าย

วันนี้ได้ซื้อกล้องถ่ายรูปโกแด๊กสามัญที่ขายตามตลาด ขนาดโปสต์ก๊าดอันหนึ่ง ด้วยความตั้งใจว่าจะถ่ายรูปโปสต์ก๊าดไว้สำหรับตอบกรมดำรง เพราะได้รับรูปเวลาลงเรือแผ่นหนึ่งส่งมา ไม่รู้เค้าเงื่อนว่าอย่างไร พอดูเครื่องหมายต่างๆ ทั่วแล้วก็ลงมือถ่ายด้วยการเดาทั้งสิ้น ผเอินได้รูปดี เห็นจะพอเปนราชการได้ตลอดจนเวลากลับ การถ่ายรูปที่ยุโรปมันแปลกอยู่ อากาศดูเหมือนจะมืดกว่าบางกอก แต่ถ้าถ่ายเท่าคเนใจในบางกอกมักจะโอเวอ ดูดูไปมันเหมือนไฟฟ้ากับไต้ ที่บางกอกสว่างเปนอย่างไต้สีแดง ที่นี่มันสว่างใสขาวเหมือนไฟฟ้า เอกสโปเชอไม่ยักผิดกันเท่าใด แต่ฟิล์มฤๅกระจกที่นี่มันไวกว่าบางกอก เอกสโปเชอก็เร็วกว่า แต่ไปที่อื่นอย่างไรไม่รู้ ก็ต้องทดลองกันไป แต่ส่งไม่ได้ทันใจ เพราะไม่ได้ล้างแลพิมพ์เอง พอถ่ายแล้วเสร็จก็ผนึกส่งไปให้ทำที่อื่น

อนึ่งพ่อลืมเล่าถึงเรื่องพระที่แกรนด์ดุ๊กออฟเฮสสร้างไว้ที่วุฟกาเตน เมืองดามสตาดนั้น รังสิตได้ไปวานตาโปรเฟสเซอผู้ที่ทำตัวอย่างพระนั้นเอง ถ่ายอย่างลดส่วนขนาดย่อมลงรูปหนึ่ง ได้มาที่นี่แล้ว พวกฝรั่งบ่าวตื่นเต้นกันว่าหนักเต็มที ถึงครึ่งตัน จะตั้งโต๊ะไหนมันกลัวหักเสียหมด ทำฝีมือดีมาก หน้าตากล้ำเนื้อเปนคนหมด เว้นไว้แต่ถ้าจะดูเปนพระแล้วไม่แลเห็นว่าเปนพระ เพราะเปลือยกายไม่มีผ้าห่ม กลับไปมีผ้าโพก อาการกิริยาที่นั่ง นั่งสมาธิ์เพ็ชร์ แต่เท้าทั้งสองข้างชัน ไม่ราบลงไปกับตักเหมือนกับพระเราๆ ฤๅเรานั่งตีนเปล่า เหมือนกับใส่เกือกบู๊ดนั่ง จะเปนด้วยแกรนด์ดุ๊กแกนั่งทั้งเกือกบู๊ดฤๅอย่างไร มือเอานิ้วชี้งอข้างหลังนิ้วชนกัน นิ้วแม่มือปลายนิ้วชนกัน เปนพวกพระเชียงรุ้ง ไซบีเรีย พวกที่ถือหม้อน้ำมนต์ฤๅบาตร กรมสมมตออกวาจาว่าถ้าดูเปนพระแล้วออกฉุนๆ ถ้าดูเปนรูปตุ๊กตาแล้วงาม กรมดำรงต้องการจะเอาไปเข้าแถวพระระเบียงวัดเบญจมบพิตร แต่ครั้นเมื่อเห็นแล้ว เห็นว่าเข้ากันไม่ได้ ไม่เปนพระอย่างไทย เขาจะร้องว่าขาดผ้าพาด ถ้าจะไปถ่ายตัวอย่างที่บางกอก กดพิมพ์แล้วใช้ได้ต้องทำขนาดเดียวกัน แต่ที่จะขยายให้ใหญ่ขึ้นนั้น เปนพ้นวิไสยท่านเจ้ามา[๑๒๔]ฤๅพระประสิทธิ[๑๒๕]จะทำได้ ต้องการความรู้อยู่ในนั้นมาก พ่อได้สั่งให้ส่งเข้าไปตั้งห้องบรอนซ์

มีลูกไม้มาใหม่ส่วนวันนี้ คือปลัมสีม่วงลักษณสีสรรเหมือนองุ่นสีม่วง ลูกโตประมาณเท่ามะปรางท่าอิฐ แต่รศยังไม่หวานมากเช่นที่ได้เคยกิน กับส้มแมนเดอรินไปพบที่บอร์ดิเครา มีเลือดแดงภายในเหมือนส้มสเปน แต่ไม่หวานแหลม เขาว่าแก่จัดเกินไปเสียแล้ว มีขนมอย่างหนึ่งซึ่งน่าที่เราจะทำได้ แต่จะทำด้วยลูกอะไรนั้นเปนของควรคิด คือเขาเอาสตรอเบอรีลูกใหญ่ ที่ขนาดโตสักเท่าลูกเงาะชุบน้ำตาลผสมสีชอกกะเลต เหลือก้านเขียวแลเห็นอยู่ข้างนอก แล้วใส่ในกระทงกระดาษเล็กๆ ลูกละกระทง เวลากินก็กัดเข้าไปเฉยๆ รศเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อย ถ้าน้ำตาลหนาหวานมากเกินไปสักหน่อย ไข่เจียวอิกอย่างหนึ่งที่ควรเราจะทำกินได้เอง คือเจียวข้างล่างสุก อ่อนอย่างไข่เจียวฝรั่ง แล้วจึงเอาไข่ผสมกับเครื่องปรุง มีหมูแฮมแลเนื้ออะไรเล็กๆ เห็ด หยอดลงไปที่ตรงกลางแล้วพับทันที กดขอบให้ติดกันไม่ให้ไข่ที่กลางนั้นไหล สำเร็จเปนไข่เจียว ข้างในเปนยางมะตูมสำหรับกินเวลาเช้าอร่อย พ่อคิดถึงลูกจึงเล่าเข้ามาให้ฟังเช่นนี้ นึกว่าถ้าลองทำคงทำได้ทันที

วันนี้ได้รับหนังสือกรมดำรงแลพระยาสุขุม[๑๒๖] หมายว่าหนังสือในวังจะมีมาด้วยก็เปล่า ใจฅอจะออกโหรงเหรง พรุ่งนี้หมายว่าจะไปนีศ แต่ทราบว่าเปนวันสาสนาพวกคาทอลิก กลัวร้านจะปิด จึงตกลงย้ายไปอาลเบงคัล ต่อมะรืนนี้จึงจะไปนีศ เพื่อจะซื้อของทำฉลากวันเกิดลูกเอียด จะแต่งแฟนซีเห็นจะไม่ไหว แล้วไม่มีกี่คนด้วยกัน มันจะไม่สนุก

รูปทรงถ่ายเวลากระบวรเสด็จรอผ่านทางรถไฟ

รูปทรงถ่ายเวลากระบวรเสด็จรอผ่านทางรถไฟ

• • • • • • • • •

คืนที่ ๔๔

วันพฤหัศบดีที่ ๙ พฤษภาคม

วันนี้ไปที่เขียนรูปได้เวล่ำเวลาดี ตาดุรังปลื้มแจ่มใส ถึงออกมารับนอกห้อง วันนี้แต่งครึ่งตัวเขียนแผ่นใหญ่แต่หน้า ถูกนั่งนานเต็มที เบือนฅอแลสูงอยู่ข้างเดียวจนเมื่อย แต่แกร้องยากในการที่จะแต้มดวงตา เรียกว่าฟกฅอก็ได้ แกเห็นเราหน้าเบื่อเต็มทีให้หยุด เดินไปเดินมา แต่แกยังทำงานของแกอยู่ แกเหนื่อยขึ้นมาเองฉวยกระจับปี่มาดีดร้องเพลงให้ฟัง ท่าทางเมื่อหนุ่มๆ เห็นจะเก่งมาก เดี๋ยวนี้ท่าก็ยังคมคาย ใส่สายสร้อยข้อมือใส่แหวนเรียงกันถึงสามนิ้ว เวลาจะเขียนเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่ เขียนแล้วเสร็จแต่งตัวหรู เวลาจะกลับได้สนทนากันในการที่จะทำ แกคิดว่ารูปนี้จะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้เอง บ้านที่เขียนรูปเดี๋ยวนี้ออกจะเปนที่ประชุมคนมาเฝ้ามาดูมาถ่ายรูป

เขียนสำเร็จแล้วได้ขึ้นรถ เอาพระสารสาสน์ซึ่งตามมาแต่เยนัวขึ้นรถไปด้วย ไปตามทางวันนี้เหมือนทางที่ไปซันโต สเตฟันโน ริวา ต่อจากนั้นไปเปนซันลอเวนโช ซึ่งเปนหมู่บ้านไม่สู้มาก มีวัดอยู่ปลายแหลม ออกจากวัดนั้น ถัดนั้นไปถึงปอโตมอริโซ เมืองนี้เปนเมืองใหญ่ คือเมืองมณฑล ซันเรโมอยู่ในมณฑลปอโตมอริโซ มีมณฑลทหารตั้ง เมืองนี้ตั้งอยู่ในอ่าวใหญ่ แหลมข้างหนึ่งเปนปอโตมอริโซ แหลมอิกข้างหนึ่งเปนเมืองอองเคลีย ต่างเมืองต่างมีเบรกวอเตอ สำหรับเรือจอดเปนคนละท่า แต่เล็กทั้งสองท่า จอดได้แต่เรือย่อมๆ ดุ๊กออฟเยนัวเล่าว่ามีความคิดที่จะรวมสองท่านี้ให้เปนท่าเดียวกัน แต่ต่างเมืองต่างไม่ยอม เหตุด้วยไม่ชอบกันมาแต่ไหนแต่ไร การที่ลอย[๑๒๗]กันได้เช่นนี้ เพราะเมืองในอิตาลีทั้งปวง ต่างเมืองต่างปกครองตัวเอง โดยแมร์ที่ราษฎรในเมืองนั้นเลือก รัฐบาลตั้งแต่ข้าหลวงมากำกับ ที่จริงเมืองมันก็ต่อถึงกันแล้ว ห่างแต่ตลาด ต่างเมืองต่างอยู่บนแหลมสันเขาคนละข้าง สวนไร่บ้านคนในระหว่างกลางติดกัน ในเมืองสองเมืองนี้มีตึกรามใหญ่โตร้านตลาดมาก เมืองอองเคลียเปนที่กลั่นน้ำมันออลิฟอย่างดีปรากฎในแถบนี้ ต่อนั้นไปไดโนมารินาอยู่ริมน้ำ ไดโนคัสตะโลอยู่บนดอน ที่นี่เปนพื้นราบบ้านเรือนที่เปนส่วนอย่างเก่าก็คงอย่างเก่า ที่ทำขึ้นใหม่โตๆ ก็มี ในที่นี้ได้เห็นจังหันอย่างบ้านกรมหลวงเทวะวงษ์กำลังหมุนอยู่[๑๒๘] อิกแห่งหนึ่งเปนจังหันมอนิเมนต์กรมดำรง[๑๒๙] เมื่อยังไกลอยู่เห็นหมุนอ่อยๆ ครั้นเข้าไปใกล้ได้ฤกษ์ได้พาดีอย่างไรหยุด พระสารสาสน์เอ่ยขึ้นมาเองว่า “จังหันมันไม่แน่หนอกพระพุทธิเจ้าข้า ประเดี๋ยวก็หยุด ประเดี๋ยวก็เดิน” ถัดนั้นไปเปนเมืองตั้งอยู่บนเขาสูง แต่อยู่ริมน้ำชื่อไลคุเลีย ดูงามดี ทางรถโมเตอคาร์เลียบไปต่ำกว่าหมู่บ้านเรือนมาก ต่อนั้นไปถึงยอดเขาสูง มีเสาธงสำหรับใช้ซิคแนลกับเรือ ไม่ใช่โทรเลขไม่มีสาย ได้หยุดกินเข้ากลางวันกลางทางบนถนน แอบเข้าข้างหนึ่งหาของใส่หีบปิกนิกไปกินกลางแจ้ง อร่อยแลสนุกดี กินกลางวันแล้วลงจากเขาถึงอาละเซียว อ่าวอาละเซียวนี้เปนตำบลเดียวซึ่งได้เห็นหาดทรายยาวใหญ่ตลอดอ่าว เขาว่าเปนที่สำหรับคนมาอาบน้ำ เพราะเปนที่ไม่มีศิลา น้ำตื้นเดินออกไปได้ประมาณครึ่งไมล์ ยังไม่ถึงน่าอก เพราะเหตุที่น้ำตื้นเช่นนี้ คลื่นจึงไม่สาดก้อนกรวดขึ้นมาเปนหาดกรวดเหมือนที่อื่นๆ ไม่มีปลาแลสัตว์ร้ายอย่างหนึ่งอย่างใดเลย พื้นบนบกก็เปนที่ราบตลอดอ่าว มีหมู่บ้านเก่าๆ อยู่ข้างริมน้ำ แต่ทำขึ้นใหม่มาก มีโฮเตลเขื่องๆ อยู่ริมถนนโมเตอคาร์ซึ่งเขาตัดอ้อมเมืองเก่า ในระหว่างแหลมท้ายคุ้งอาละเซียวนี้ ต่อกันกับอาลเบงคัล มีเกาะกลมอยู่เกาะหนึ่ง ซึ่งแลเห็นแต่เมื่อแรกมาตามทางรถไฟเรียกว่า กาลีนาเรีย แปลว่าเกาะไก่น้ำ เปนเกาะไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีเขาสูง เดิมเปนของผู้มีตระกูลในเมืองนี้ แล้วขายราคาถูกๆ มีผู้ซื้อไว้ไปสร้างตึกรามขึ้นใหญ่โต ที่ได้ชื่อว่าเกาะไก่น้ำนั้น ตามชื่อนกอย่างหนึ่งซึ่งมีชุกชุมในเกาะนั้น เรียกกันว่าไก่น้ำ ได้ทำถนนหนทางมาก ไม่สู้ห่างตลิ่งก็จริง แต่ดูการไปมาจะประดักประเดิด ไหนจะข้ามเรือ แล้วยังจะต้องขึ้นเขา ไปอยู่นั้นอยู่ข้างจะเปนออกถูกปล่อยเกาะ ลงจากสันเขาคราวนี้ก็ถึงอ่าวอาลเบงคัล เมืองนี้เปนที่ราบมากเพราะเขาถอยลึกเข้าไปจากทเล ทำไร่ผักต่างๆ มีอาติโจ๊กเปนต้น เต็มไปจนสุดสายตา แต่ตัวเมืองนั้นไม่ใหญ่โตเท่าใด เปนเมืองอย่างเก่า ถนนแคบๆ มีถนนพึ่งจะเริ่มทำขึ้นใหม่ยังไม่แล้ว พระสารสาสน์ว่ามีของเก่าที่ควรจะพึงดู แต่ลงจากรถไม่ได้ พอถึงก็ดูเปนรู้กันเสียแล้ว คนมาล้อมรถแน่น แต่รถจะเคลื่อนที่ก็ไม่ได้ ให้นึกสงไสยว่าการที่ไปตามพระสารสาสน์จะเปนเหตุให้คนรู้ ได้คอยดูกันเสียแล้ว แลเปนวันนักขัตฤกษ์พระเยซูขึ้นสวรรค์ ซึ่งคนหยุดทำงาน จึงมาประชุมกันอยู่ในท้องถนนมาก ตกลงเปนการที่ไปนั้นเหนื่อยเต็มที ได้หยุดเวลากินกลางวัน นอกนั้นแล่นเรื่อยอยู่เสมอ ไป ๖๐ กิโลเมเตอ มา ๖๐ กิโลเมเตอ ๑๒๐ กิโลเมเตอไม่ได้มีเวลาหยุดจนตัวเบา

หนทางที่ลงไปวันนี้ เรื่องดอกไม้เปนบอกเลิกไม่มีผู้ใดปลูกขาย เปนแต่ปลูกสำหรับบ้าน มีงามอยู่แห่งเดียวที่ร้านยายแก่นั่ง กุหลาบเลื้อยขึ้นไปดาดเปนปะรำ ดอกแดงไปทั้งนั้น มีสวนออลิฟงามอยู่บางตอน แต่โดยมากเปนที่ไม่ได้ปลูกอะไรเต็ม ดูเปนศิลาพังกระจาย เขาว่าเปนผลแห่งแผ่นดินไหวประมาณ ๒๐ ปีมาแล้ว มีโพรงที่ขุดลงไปเอาศิลาลายลึกๆ อยู่ริมทาง มีโรงทำปูนซิเมน ทำอิฐ ทำส้าบู่ การเดินทางอยู่ข้างจะขัดข้องด้วยเรื่องรถไฟผ่านทางมาก เพราะเหตุว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานรถไฟกำหนดว่ารถจะผ่านเวลานั้นเวลานัน ผู้รักษาก็ปิดหนทางล่วงน่าไว้หน่อยหนึ่ง แต่ธรรมดารถไฟอิตาเลียนไม่ใคร่จะตรงเวลา เดินเคลื่อนคลาศเสียจนขึ้นชื่อฦๅนาม ช้าผิดเวลาถึงสองชั่วโมงก็มี ประตูก็ปิดสองชั่วโมง รถไปคั่งกันอออยู่ริมทาง แต่พ่อไม่ใคร่จะถูกคั่งนานถึงเช่นนั้น ถ้าติดที่ไหนก็ถือกล้องลงไปเที่ยวถ่ายรูป ไปดูยายกับตาเฝ้าโรงบ้าง การที่จะเปิดปิดนั้น มักจะอยู่ในมือผู้หญิง ผู้หญิงนั้นแต่งตัวเสื้อเขียวคราม สรวมตั้งแต่ฅอลงไปตลอดเปนกระโจมด้วย สรวมหมวกสานเหมือนหมวกกระลาสี แต่ยอดสูง คาดผ้ารอบหมวกเปนผ้ากรมรถไฟ ถ้ารถไฟจะมา ยายนั่นเป่าปี่ ปี่อันโตกว่าปี่ของเราอิก แต่งตัวสกปรกพิลึก พวกเราเรียกยายเช่นนี้ว่ายายแหม่มเป่าปี่ ลางคนแกก็ใจอ่อน เห็นเราไปคอย “เปน[๑๓๐]” อยู่นานๆ เข้าฅอให้ดีก็เปิดให้ แรกที่จะรู้ว่าแกขะโมยเปิดได้นั้น พ่อเดินลอดออกทางที่สำหรับคนลอดข้างประตูจะไปถ่ายรูปฟากข้างหนึ่ง แกเห็นต้องตะแคงตัวประดักประเดิด แกเลยเปิดให้ ซ้ำปล่อยให้รถข้ามด้วย คราวนี้ถึงที่อื่นไปสกิดๆ เข้าหน่อยแกก็เปิดให้ เราก็เคยตัว ถึงไหนสกิดที่นั่น สำเร็จทุกคราว เว้นไว้แต่ยายต้นทางที่ไปจากซันเรโมแกเคร่งจริงๆ เราก็เจ้ากรรมไปถึงประตูนั้นเปนติดทุกที คราวนี้ไปสกิดสเกาอย่างไรไม่ตกลงแล้ว เคยจอดที่นั่นจนจืดไม่มีอะไรจะดู เลยเข้าเรสเตอรองต์คนจน เรสเตอรองต์นี้ ผู้ที่เข้าไปในโรงเปนคนที่ไม่มีเสื้อชั้นนอก ใส่แต่เสื้อกั๊ก ฤๅมีเสื้อชั้นนอกไม่มีเสื้อกั๊ก นุ่งกางเกงผ้าเขียวคราม เสื้อผ้าเหลืองๆ โดยมาก ในนั้นตั้งม้า อย่างม้าเลี้ยงทหาร แลมีอะไรต่ออะไรเหล้ายาของกินตั้งรก เจอกำลังนั่งซดอะไรกันอยู่ พอเราเข้าไปถึงเจ้าของโรงก็ต้อนรับ ถึงลากผ้าปูโต๊ะออกมาปูให้ เราก็รับเรียกของกินตามแต่เขาจะเอาอะไรมาให้ ของที่เอามานั้นมีซุบต้มเนื้อวัว กับลูกเดือย เวลาจะกินเอาเนยแขงป่นๆ โรย อยู่ข้างจะอาการหนักไม่มีรศอร่อยในนั้นเลย แต่เปนซุบอย่างดีของเขา เพราะวันนี้เปนวันนักขัตฤกษ์ อิกอย่างหนึ่งมีมันสติวกับเนื้อวัวชิ้นนิดๆ เพื่อจะให้เปนการดีเจ้าของโรงเอาหมูแฮมที่ปั้นเปนก้อนออกมาหั่น แต่ไม่ใช่ของที่ราษฎรกิน มีกะเทียมเจืออยู่ในนั้นมาก มีมะเขือเทศที่ทำเหมือนอย่างที่จะลงกลักแต่เปนของสด สำหรับเจือในอาหารอะไรๆ ทุกอย่าง เช่นซุบก็เจือได้ สติวมันก็เจือได้ ถ้าเจือมากก็อร่อยขึ้น สติวมันนั้นพอจะใช้ได้อยู่ ได้ชิมอย่างละนิดๆ แล้วยกให้เปนของเลี้ยงพวกทำงานที่พากันเข้ามาในที่นั้น พ่อได้เชิญให้นั่งโต๊ะเดียวกัน แต่ปล่อยให้เขากิน ซื้อเหล้าให้ด้วย ได้ให้รางวัลตาเจ้าของโรงด้วย อยู่ข้างปลื้มกันทั้งหมด คำนับให้พร เรื่องอาหารชาวเมืองได้ไล่เลียงแล้ว เวลาเช้ากินกาแฟกับขนมปังทาเนย เวลากลางวันราวเที่ยงกับบ่าย ๕ โมง ฤๅย่ำค่ำ กินอาหาร อาหารนั้นไม่ใช่เนื้อสัตว์เลย ต่อ ๗ วันครั้งหนึ่งจึงเจือเนื้อบ้างเล็กน้อย ฤๅเปนนักขัตฤกษ์ จึงกินเจือเนื้อ เนื้อที่เจือนั้นอย่างน้อยที่สุดจนเราเกือบจะไม่รู้สึก อาหารปรกตินั้น เอาหัวหอมตีกับน้ำมันออลิฟ ไม่ใช้น้ำมันเนย เขาว่าน้ำมันออลิฟที่นี่ดี เหมือนกับทำกับเข้าด้วยน้ำมันมะพร้าว คราวนี้มีผักอะไรๆ ใช้ได้ทุกอย่าง เอารวนกับน้ำมันแล้วจึงกรอกน้ำลงไปต้มจนผักเปื่อย แล้วกินกับขนมปังเท่านั้นเสมอ เหมือนกันทุกวัน ถ้าจะผลัดเปลี่ยนก็เปลี่ยนผัก เปนผักโน่นบ้างนี่บ้าง อิกชั้นหนึ่ง ซึ่งไม่ต้มซุบกิน ก็ใช้หอมจิ้มเกลือกินกับขนมปังเท่านั้น เนยเหลวก็ไม่ใคร่ใช้ ใช้เนยแขง โรยในอะไรๆ ใช้ได้เท่ายาทั้งหลาย พิเคราะห์ดูมันก็ไม่ผิดกับเจ๊กอย่างใด แปลกแต่เจ๊กใช้น้ำมันหมูแทนน้ำมันออลิฟ ก็อยู่ในฐานรวนผักแล้วเอาน้ำเจืออย่างเดียวกัน อิกอย่างหนึ่งก็เจ๊กกินเข้า นี่กินขนมปัง เมื่อว่าไปตามจริงแล้ว ดูเหมือนเราเข้าใจว่าฝรั่งกินเนื้อสัตว์เสมอ แต่ที่แท้ราษฎรคนจนไม่มีใครได้กินเนื้อสัตว์ ไทยเราเองอิกกินปลาเสมอ มากกว่าคนต่างประเทศ ถึงวิธีหมอห้าม มันก็ลงรอยห้ามของแสลงคือสัตว์สี่เท้าสองเท้า ถ้ากินผักมากๆ แกก็ชอบ รถไฟมาเปิดทางแล้วกลับ มาถึงที่อยู่รู้สึกตัวเบา ออกจะใคร่เดือดร้อนอยู่บ้างในเรื่องไม่ได้รับหนังสือ แลไม่แน่ใจว่าหนังสือที่ส่งไปจะถึงฤๅไม่

วันนี้เปนวันที่กำหนดใจไว้ว่าจะจบตอนหนึ่งจะส่งหนังสือไปให้ทันเมล์วันอาทิตย์ ครั้นจะส่งวันศุกรกลัวจะไปคลาศเคลื่อน จึงขอยุติลงไว้เพียงเท่านี้ ออกหาวนอนเต็มที

จุฬาลงกรณ์ ป. ร.



[๑๒๐] พระยาธรรมจรรยาฯ เจริญ บุรณสิริ เปรียญ

[๑๒๑] คือทำเป็ดอย่างที่เจ้าพระยาสุรวงศวัฒนศักดิ์ ได้ตำราเข้ามาจากปารีส

[๑๒๒] คือ หม่อมนเรนทรราชา ดำรัสเรียกตามนามเดิม

[๑๒๓] ยังไม่สิ้นเขม่าไฟ เปนคำอุปมา มาจากวิธีสังเกตเครื่องถ้วยของจีน ถ้าเปนของพึ่งทำใหม่ยังมีคราบเขม่าไฟที่เผา

[๑๒๔] พระมงคลทิพมุนี มา วัดจักรวรรดิราชาวาส (ในรัชกาลปัจจุบันได้เปนพระพุฒาจารย์)

[๑๒๕] พระประสิทปฏิมา ม ร ว หมอก บุตรหม่อมเจ้าสุบรรณในกรมหมื่นณรงคบริรักษ (ผู้ที่ปั้นจำลองพระพุทธชินราชวัดเบญจมบพิตร)

[๑๒๖] พระยาสุขุมนัยวินิต ปั้น สุขุม ข้าหลวงเทศาภิบาล มณฑลนครศรีธรรมราช ต่อมาเลื่อนเปนเจ้าพระยายมราช

[๑๒๗] ลอย ฤๅ ลอยแพ เปนคำแผลง หมายความว่าเปนอริกัน

[๑๒๘] จังหันลม กรมหลวงเทวะวงษ์ฯ ทรงซื้อมาแต่อเมริกา ตั้งที่วังเชิงสพานถ่าน

[๑๒๙] จังหันลมอย่างอเมริกัน ผู้รับเหมาเจาะบ่อถวายกรมหลวงดำรงฯ ตั้งที่บ่อเริ่มริมตลาดพระปฐมเจดีย์ ดำรัสเรียกว่ามอนิเมนต์ เพราะไม่ใคร่หมุน ภายหลังโปรดฯ ให้ย้ายมาตั้งที่โรงนาตำหนักพญาไท

[๑๓๐] เปน เปนคำแผลง หมายความว่า ต้องรอช้าไม่รู้กำหนด

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ