พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๘

โฮเตลแลยอดเขาโรเชร์เดอแน

โฮเตลแลยอดเขาโรเชร์เดอแน

คืนที่ ๕๙

โฮเตลเดซอัลปส์ เตอริเตต์ สวิตเซอแลนด์

วันศุกรที่ ๒๔ พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๖

หญิงน้อย

เวลาก่อน ๔ โมงครึ่งไปขึ้นรถไฟที่สเตชั่น รถนี้เปลี่ยนใหม่เปนรถสวิตเซอแลนด์ เบาะเปนกำมหยี่แดง กว้างขึ้นนอนค่อยสบาย รถออกเวลา ๔ โมงครึ่ง มาหน่อยหนึ่งถึงทเลสาบ เรียกว่าลาโคแมกเคียวรี เปนทเลสาบอันหนึ่งในอิตาลีข้างเหนือ มีหลายแห่งด้วยกัน ทเลนี้ไม่สู้กว้างแต่ยาวมาก รถไฟเดินเลียบมาตามข้างทเลสาบงามเสียจริงๆ มีหมู่บ้านฤๅจะเรียกว่าเมืองก็ควร เปนหมู่ใหญ่ๆ มีตำบลอาโรนาเปนต้น ตามฝั่งทเลสาบนั้นมีเขาสูงๆ น้ำในทเลสาบใสเหมือนน้ำทเลเรียบเปนน่ากระจก ที่ตามริมฝั่งเปนหาดกรวด แลเห็นลงไปใต้น้ำลึกงามเหมือนแกล้งทำเล่น รถไฟต้องเข้าปล่องในเวลาเมื่อถึงเขาตกน้ำ เปนแหลมเหลื่อมบังกันเปลี่ยนซีนะรีต่างๆ ที่สุดทเลสาบแยกออกเปนสองแยก ปลายแหลมหว่างที่แยกนั้นเปนที่ตั้งเมืองเรียกว่าพลันซา ใต้แหลมพลันซาลงมาในหว่างกลางทเลสองแยกมีเกาะสามเกาะ ว่าเปนสมบัติของมาคิส์บอเมียว จึงเรียกเกาะนั้นว่าเกาะบอเมียวตามชื่อตระกูล เกาะสามเกาะนี้มีตึกใหญ่น้อยบ้านเรือนเต็มทั้งเกาะ แลดูเหมือนตึกลอยอยู่ในกลางน้ำ เกาะเล็กนั้นเรียกว่าเกาะประมง เปนที่พวกหาปลาอยู่ พ้นจากทเลสาบขึ้นมาบ้านเรือนเปลี่ยนรูปร่างไปหมด กลายเปนก่อด้วยหินมุงด้วยกระดานชนวน แต่ไม่ใช่ตัดเปนเหลี่ยม สักแต่ว่าเปนแผ่นๆ แล้วก็มุงได้ พื้นแผ่นดินก็กลายเปนที่ดอนมีเขาเนื่องกันไป ขึ้นเขาเข้าปล่องไม่ได้หยุด จนถึงอิสเลดีตราสเควรา ซึ่งเปนที่ต่อแดนประเทศอิตาลีกับสวิตเซอแลนด์ เปลี่ยนโปลิศที่สำหรับกำกับรับต่อกัน ได้ลงถ่ายรูปแล้วเลยไปขึ้นรถกินเข้า ทางที่จะข้ามเขาอัลปส์ช่องนี้เปนปล่องที่เจาะใหม่ เมื่อครั้งมาคราวก่อนขึ้นทางเซนต์โคถาด ช่องนี้ยังไม่ได้เจาะ ช่องที่เจาะใหม่นี้เรียกซิมปลอง รถไฟเดินเกือบ ๓๐ มินิต แต่เขาไม่ได้ใช้รถสติมลาก เปลี่ยนเปนรถไฟฟ้าเพื่อจะไม่ให้มีควัน แต่ก็ไม่เห็นป้องกันอะไรได้นัก มีกลิ่นเหม็นเปนกลิ่นถ่าน ซึ่งรถทำงานต่างๆ ที่ใช้ถ่านเดินควันอบอยู่ในปล่องนั้น คงต้องปิดน่าต่างกระจกรอบด้าน ร้อนจนเปนเหื่อจับน่าต่างกลายเปนกระจกด้านหมด ในรถใช้เปิดพัดลม ตามทางในปล่องมีไฟจุดเปนระยะเขาแบ่งเปนสเตชั่นอยู่ในถ้ำนั้น เขาอัลปส์นี้เปนเขาเทือกใหญ่ยาวไม่ใช่ลูกเดียว มากยอด สูงกั้นในระหว่างประเทศอิตาลีกับสวิตเซอแลนด์แลฝรั่งเศส เหมือนอย่างกับเขาหิมาลัยแลพระสุเมรุกั้นประเทศฮินดูสตานกับฝ่ายจีนข้างเหนือฉนั้น ประเทศสวิตเซอแลนด์ตั้งอยู่บนเขานี้ เขาที่สูงสุดในสวิตเซอแลนด์คือมองตาโรซา ที่แท้ถ้าในหมู่เขาอัลปส์แล้ว เขามองต์บลองค์เปนสูงกว่ายอดอื่นหมด แต่อยู่ในแดนฝรั่งเศส จึงนับเอาว่ามองตาโรซาเปนสูงในสวิตเซอแลนด์ เขานี้แลเขาอื่นๆ ทั่วไปในสวิตเซอแลนด์มีสะโนหุ้มยอดขาวอยู่ทั้งนั้น ปากปล่องซิมปลองข้างฝ่ายสวิตเซอแลนด์เรียกว่าบริก พอหลุดปากปล่องออกมาก็แลเห็นต้นแม่น้ำโรน ซึ่งเปนแม่น้ำระหว่างกลางประเทศสวิตเซอแลนด์ลงไปสู่ทเลสาบอยู่ข้างขวามือ มองตาโรซาอยู่ข้างซ้ายมือ แม่น้ำโรนนี้เขาคุมกำกับเสียตั้งแต่แรกลงจากเขา คือแต่ก่อนก็เปนน้ำไหลพร่าลงมากัดกว้างแลตื้นเช่นที่กล่าวแล้วข้างซันเรโมนั้น แต่นั่นเปนส่วนเล็กย่อม นี่เปนส่วนใหญ่ ด้วยมีเขาสูงซับซ้อนกันมาก แลสะโนหุ้มอยู่เสมอ จึงเปนลำธารใหญ่ แม่น้ำใหญ่กว่าแถบโน้นหลายเท่า วิธีที่คุมน้ำไม่ให้เที่ยวเพ่นพ่านนั้นทำดังนี้ คือก่อเขื่อนสองข้างร่องน้ำด้วยศิลามั่นคง แต่เพียงเท่านั้นจะไม่พอเหตุด้วยสายน้ำไหลเชี่ยว คงจะกัดเซาะเขื่อนพังร่ำไป เขาจึงก่อเปนคันลาดยื่นลงไปในน้ำกว้างประมาณสองศอกให้ไปเปนรอกันสายน้ำ เมื่อน้ำลงมากระทบคันที่เปนรอนั้น สายน้ำก็ปัดออกไปกลางร่อง คันรอเช่นนี้ทำเสียทั้งสองฟากถี่บ้างห่างบ้าง ถ้าที่สายน้ำเชี่ยวตั้งรอถี่ๆ กัน ระยะเพียง ๖ วา ๗ วา ถ้าน้ำไม่สู้เชี่ยวระยะก็ห่างออกไปถึง ๑๐ วา ๑๕ วา สุดแต่กันน้ำให้ลงไปกัดกลางร่องอย่างเดียว ทรายที่อยู่กลางร่องที่น้ำกัดปัดขึ้นมาติดอยู่ตามรอนั้น ตื้นขึ้นมามาก เพราะฉนั้นเขื่อนจึงไม่พัง น้ำในร่องก็ลึกอยู่เสมอ ทางน้ำที่เขาปล่อยให้เดินเปนแม่น้ำนี้น้ำไหลเชี่ยว กว้างอยู่ใน ๑๐ วา ฤๅ ๑๒ วาเท่านั้น ที่ซึ่งเปนทางสายน้ำเดินแต่ก่อนเหลือจากนั้น ถ้าพื้นเปนทรายแลดินก็กลายเปนไร่นาไปหมด ที่พื้นเปนศิลาปลูกอะไรไม่ได้เขาก็ไม่ตั้งเขื่อนตั้งรอ ปล่อยให้ไหลไปอย่างเดิม เพราะที่ซึ่งเปนพื้นศิลาเช่นนั้น มักจะถูกที่หว่างเขาซึ่งเปนทางน้ำตกลงมาอย่างแรง ลำแม่น้ำที่ก่อเขื่อนนี้ไม่ใช่ตรง โอนไปโอนมาตามแต่สายน้ำ รถไฟที่มาก็มาในทางที่สายน้ำเคยเดินนั้น ถ้าสายน้ำตรงรถไฟก็เดินเลียบสายน้ำ ถ้าน้ำโอนไปก็มีสพานข้าม รถไฟคงต้องไปทางตรง บางทีแม่น้ำอยู่ข้างขวา บางทีแม่น้ำอยู่ข้างซ้าย แปลว่ารถไฟมาตามหว่างเขาที่เรียกว่าแวลเลตามภาษาอังกฤษ คือมีเขาสูงสองข้าง ที่ราบฤๅแอ่งในหว่างกลางนั้นเรียกว่าแวลเล ตามภูเขาทั้งสองข้างย่อมเปนเขาซับซ้อนกัน ยอดที่สูงคงมีสะโนคลุม น้ำที่ละลายลงมาจากสะโนนั้นตกเปนน้ำพุใหญ่บ้างเล็กบ้างรายไปตามทางตลอด บางพุตกสูงตั้งสองเส้นสามเส้น ฤๅแลเห็นตกตั้งแต่ยอดเขาขาวลงมาตลอด จนถึงน่าผาก็ตกพร่าใหญ่ น้ำที่ตกลงมานี้มีทางที่ไขให้ลงแม่น้ำ แต่เอาสายน้ำไปเปนกำลังใช้หมุนโม่แลเครื่องจักร์เสียก่อนแล้วจึงปล่อยให้มาลงแม่น้ำ ใช่แต่เท่านั้น ถ้าหว่างเขาที่กว้างจะเพาะปลูกได้ดี เขาขุดคลองขวางอย่างที่เรียกว่าคลองซอยสำหรับให้น้ำอาบในที่ไร่นาได้ตลอดทั้งภูมพื้นที่เปนระยะลงไป มีที่ซึ่งเพาะปลูกอะไรไม่ได้ก็ที่เปนศิลาไปเสียทั้งนั้น ไม่สู้มากแห่งนัก การเพาะปลูกที่แผ่นดินเห็นจะจืดมาก ต้องใช้ปุ๋ยมูลม้าไร่หนึ่งกองโตๆ แล้วหยอดเปนหย่อมๆ ไปแล้วจึงเกลี่ยภายหลัง ปลูกต้นองุ่นเข้าสาลีเปนพื้น แต่ที่นี่ไม่ใช้ปลูกต้นองุ่นรายรอบนาต้นสาลี ส่วนต้นสาลีก็แต่เฉภาะสาลี องุ่นก็เฉภาะองุ่นปลูกเต็มทั้งไร่ ระยะห่างกันประมาณสักศอกหนึ่งฤๅหย่อนศอก ถ้าที่ไม่สู้บริบูรณ์ก็ปลูกหญ้าอย่างที่มีดอกสีเหลืองสีขาวสีแดง ซึ่งเปนอาหารดีของโคแลม้า ถ้าเปนกรวดศิลาปลูกต้นสน ต้นสนนี้ปลูกลามเรื่อยขึ้นไปจนถึงยอดเขา แทบถึงที่สะโนคลุมอยู่นั้น มีทางซึ่งปรากฎว่าตัดสำหรับคัดไม้ให้ไหลลงมาตามข้างเขาอยู่มากตำบล บ้านเรือนเหล่านี้ก็แปลกไปกว่าบ้านเรือนอิตาเลียนข้างเหนือบ้าง รูปพรรณสัณฐานเรือนเตี้ยลง แลใช้ไม้ประกอบเปนฝาเฝืองมากขึ้น ใช้ไม้สนทั้งนั้น ตามทางมีโรงเลื่อยมีไม้กำลังประทุกรถที่จะส่งไปยังประเทศอื่น การที่จะเอนตัวลงนอนในเวลามาตามทางรถไฟทางนี้เปนเอนลงไมได้ เพราะดูแผนที่เพลิดเพลิน เหมือนหนึ่งว่านั่งอยู่ในห้อง ที่มีรูปภาพแลนด์สเคป แลยกรูปนั้นเปลี่ยนมาดูทีละแผ่นทีละแผ่น เปนได้ต่างๆ บางแห่งงามจนพูดไม่ออกว่าจะว่ากระไรดี ที่ตำบลใหญ่ซึ่งมาตามทางนี้ที่รถหยุด ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่าเซียง ภาษาเยอรมันเรียกว่าเซตไตน เพราะคนในแถบนี้พูดสองภาษา เยอรมันฤๅฝรั่งเศส อิกตำบลหนึ่งเมื่อจวนถึงเรียกว่า เซนต์มอริตส มีบ้านเรือนผู้คนมาก คราวนี้ก็ถึงทเลสาบ เมื่อเดิมคิดกะที่ว่ามองตรีเออ (อ่านว่า มองเตรอ) ซึ่งเปนปลายแหลมยื่นจะเปนที่อยู่ แต่ไม่มีโฮเตลจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เตอริเตต์ ซึ่งต่อเนื่องเปนตำบลเดียวกัน หยุดที่สเตชั่นน่าโฮเตล เรียกว่าโฮเตลเดซอัลปส์ (อ่านว่า เดซาลปซ์) โฮเตลนี้ดูข้างนอกเหมือนวิลลา ซึ่งเข้าใจว่าเหมือนเปนวิลลา ปลูกต่อๆ กันหลายเจ้าของ แต่ที่จริงไม่เปนเช่นนั้น ตั้งแต่หาดฝั่งทเลสาบขึ้นมา ลงเขื่อนแล้วมีถนนเล็กสายหนึ่ง เดินตลอดข้างริมน้ำ ในถนนเข้ามามีรั้วกั้น กะทู้รั้วเปนต้นไม้ตัดพุ่มกลม ในรั้วเข้ามามีลานสำหรับเล่นลอนเตนิสสองลานจึงถึงเตอเรส คือก่อเปนเขื่อนถมดิน ดาดปูนสิเมนต์ สูงกว่าพื้นชั้นล่าง ประมาณสักสามวา บนเตอเรสนี้เหมือนกับดาดฟ้าที่เราเรียกว่าสวนสวรรค์ มีพนักเหล็กปลูกต้นไม้ดอกเปนหย่อมๆ เรียงราย ในเตอเรสเข้ามาเปนทางรถไฟ มีดาดฟ้าเสาเหล็กคร่อมทางรถไฟ ข้างบนเปนพื้นดาดสิเมนต์เหมือนสวนสวรรค์แท้ ขนาดหลังพระที่นั่งอัมพร มีกระไดขึ้นสำหรับไปนั่งเล่น ถัดเตอเรสแลสวนสวรรค์นี้เข้ามาเปนทางรถม้า เปนถนนสายเดียวเหมือนอย่างซันเรโม ริมถนนข้างในจึงเปนโฮเตล โฮเตลนี้ปลูกไม่ตรงได้ฉาก โอนไปตามรูปเขา สูงแลต่ำก็ตามรูปเขา ตอนทางที่พ่ออยู่เปนที่ต่ำ ถัดไปอิกสูงขึ้น ห้องพื้นดินทางนี้เปนร้าน ถัดขึ้นมาอิกชั้นหนึ่งจึงเสมอกับพื้นดินของโฮเตลตอนข้างขวา เพราะฉนั้นพื้นที่ควรจะเรียกว่าชั้นที่ ๑ ของตอนนี้ จึงกลายเปนเรียกว่าชั้นพื้นดินของตอนข้างขวา ต่อถึงชั้นที่ ๓ จึงเรียกว่าชั้นที่ ๑ เวลาจะขึ้นลิฟต์ ถ้าบอกว่าชั้นที่ ๑ ไพล่ไปชั้นที่ ๓ ชั้นพื้นดินตอนข้างขวานั้นเปนห้องรับแขก มีห้องรับแขกใหญ่ๆ หลายห้อง กั้นฝาไม้มีเครื่องตกแต่งสนุกจริงๆ ไปจนถึงปลายเปนห้องบิลเลียด มีบิลเลียดถึงสามโต๊ะ ขึ้นมาอิกชั้นเปนที่กินเข้าก็ใหญ่โตมาก เจาะพื้นเปนวงกลม แลลงไปเห็นที่รับแขกข้างล่าง เวลากินเข้าเอาแตรมาเป่าที่ห้องรับแขก แต่มาข้างตอนที่พ่ออยู่เปนห้องนอนชั้นล่างต่อถึงพื้นที่เรียกว่าชั้นที่ ๑ ซึ่งเปนชั้นที่ ๓ นั้น จึงเปนที่ห้องพ่ออยู่ ในตอนข้างนี้มีพื้นถึง ๗ ชั้น พ่ออยู่ชั้นที่ ๓ รวมที่ยาวของโฮเตลถึง ๒๕๐ เมเตอ คือ ๖ เส้น ๕ วา คนอยู่จุได้ถึง ๔๐๐ คน การตกแต่งหมดจดเกลี้ยงเกลาดีเสียจริงๆ ห้องก็โต แลมีเบลคอนียื่นออกไปทุกน่าห้อง มีโทรศัพท์พูดทั่วไปได้ทุกหนทุกแห่ง

มาถึงก็ไม่ได้หยุดยั้ง ลงไปนั่งกินน้ำชาที่เตอเรส เจ้าของโฮเตลเอาฉากยี่ปุ่นไปกั้นด้านข้างหลัง นั่งดูเขาเล่นลอนเตนิสแลถ่ายรูป แล้วกลับขึ้นมาเดินซื้อของที่น่าโฮเตล แสนที่จะสบาย ไม่มีใครดูใครแลเดินเจอกันก็เหลียวดูแล้วก็ไป ไม่ยืนจ้องอย่างที่อิตาลี เวลาบ่ายอยู่ข้างจะร้อน เพราะโฮเตลหันน่าตวันตก

• • • • • • • • •

คืนที่ ๖๐

วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม

กินเข้าเช้าแล้วขึ้นรถโมเตอคาร์ไปทางมองเตรอ ที่แท้บ้านเรือนติดต่อกันกับเตอริเตต์ เปนเมืองเดียวกันนั้นเอง แต่ตอนข้างนี้เปนโฮเตลแลวิลลา มีร้านเปนตอนๆ ที่มองเตรอมีตึกแถวตลาดติดต่อกันอย่างเปนเมือง ก็ยาวอยู่ พอเดินเหนื่อยจึงหมดหมู่ตลาด เปนโฮเตลแลวิลลาต่อไป โฮเตลแลวิลลาเหล่านั้นตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้บ้าง กลางสวนองุ่นบ้าง มีไร่ดอกไม้คล้ายซันเรโม แต่ไม่ใคร่จะมีดอกมาก แวะซื้อของบ้างถ่ายรูปบ้าง แล้วกลับมาพบกระบวนแห่ที่เขาเตรียมจะแห่กันวันนี้ พอถึงหัวตลาดถูกห้ามไม่ให้รถโมเตอคาร์เดินทางในตลาด ต้องอ้อมไปทางข้างหลัง พ่ออยากจะดูว่าจะพระการใหญ่กันอย่างไรบ้าง เพราะไม่นึกว่าจะไปตอนบ่าย จะดูเสียก่อนเวลาคนยังไม่แน่น ครั้นคนแน่นนักกลัวจะถูกรุม จึงให้รถอ้อมไปทางหลังตลาด ลงเดินมาในตลาดกับบริพัตร อุรุพงษ์ ดุ๊ก สี่คนด้วยกัน ตลาดนั้นเห็นจะยาวสักเท่าตลาดเมืองสงขลาได้ เดินบ้าง หยุดแวะตามร้านบ้าง คนยังไม่สู้แน่นทีเดียว แต่ก็มากแล้ว รู้สึกสบายดีจริงๆ ดูเหมือนว่าไม่มีใครเห็นเราขันอย่างไรเลย เท่ากับเปนพวกเขาไปทั้งหมด ไม่จ้อง ไม่กระซิบ ดูก็ดูโดยเมตตาจิตร์ต่อกัน พ้นไปแล้วก็แล้วกัน จนกระทั่งหยุดท้ายตลาดจึงได้ขึ้นรถโมเตอคาร์กลับ การที่จะกลับนั้นไม่ยากอะไร ด้วยไม่ไกลเท่าใด โดยว่าไม่มีรถโมเตอคาร์จะขึ้นรถรางแห่งใดก็ได้ ด้วยเดินสวนถี่กันอยู่เสมอ รถโมเตอคาร์วันนี้แต่งปักธงสี่เหลี่ยมโตๆ รถละสี่คัน มีจังหันรูปดอกนาซีซัสหมุนอยู่ที่หัวท้ายทุกรถ บ้านเรือนสองข้างทางก็ผูกธงแต่งทุกแห่ง ประหลาดที่ธงริ้วขาวริ้วแดงคดๆ ของยี่ปุ่นนั้นเปนธงสวิตเซอแลนด์ มีสีขาวกับแดงแลน้ำเงินกับขาวสองอย่าง กลางเปนไม้กางเขนผิดกับยี่ปุ่นเท่านั้น นี่ใครเอาอย่างใครจึงเปนเช่นนี้ ที่ตลาดของสดเปนโรงเสาเหล็ก เลิกตลาดตกแต่งเปนที่พักในการเล่นคราวนี้ มีสแตนด์ตั้ง แต่พ่อไม่ได้เข้าไปดู เพราะเข้าใจว่าเขาคงจะซื้อที่นั่งกัน มีเตนต์เมอริโกเรานด์ใหญ่ มีทั้งที่ขี่แลที่นั่งตั้งอยู่ในกลางสนาม มีร้านขนาดร้านสีโรราบตั้งตลอดถนนขายของกินของเล่น แลคอนเฟตตีเครื่องปาๆ เช่นเล่นที่วัด ขายดอกนาซีซัสตลอดถนน คนเดินไปเดินมาก็กำดอกนาซีซัสคนละมัดสองมัดทุกคน มีผู้หญิงบ้างผู้ชายบ้าง เด็กๆ รุ่นๆ แต่งแฟนซีอย่างเช่นแต่งปลาลครเปนพวกๆ ต่างๆ กัน พวกละ ๒๐ คนบ้าง ๑๖ คนบ้าง ๑๒ คนบ้างเปนหมู่ๆ ในกลางถนนมีแตรวงชเลยศักดิ์เดินเป่าไปในถนนท่าทางจะออกสนุกอยู่

เรื่องการที่เขาเรียกว่าเฟตนาซีซัสนี้ เปนงานประจำปีของชาวเมืองนี้ ดอกนาซีซัสนั้นคล้ายดอกจุ๊ยเซียนอย่างลา ก้านเปนโพรงงอกในใต้ต้นไม้ใหญ่ เปนไม้ป่า สูงประมาณสักสิบห้าสิบหกนิ้ว หกกลีบสีขาว เกษรข้างในเปนจอกเหลืองเหมือนจุ๊ยเซียน ขอบจอกเปนสีแดง ไส้กลางสีม่วง ฤดูนี้แล้วออกเต็มไปทั้งนั้น จึงเปนเวลาที่เล่นสนุกกันปีละครั้ง ครั้งละสองวัน แล้วมีสงครามบุบผชาติต่อท้าย ปาคอนเฟตตี ได้เห็นรถที่แต่งด้วยดอกไม้ตามทางหลายรถ

เวลาบ่ายกินเข้ากลางวันแล้วไปถ่ายรูปป้อมโบราณ เรียกว่าชิลลอง เปนหลังคาซับซ้อนกันไม่งามอะไร แต่ช่างชอบถ่ายรูปกันเสียจริงๆ รูปที่ขายที่นี่ก็มีชิลลองทั้งนั้น ใครถ่ายรูปเปนมาที่นี่ก็ต้องถ่ายรูปชิลลองทุกคน ถ้าไม่ได้ถ่ายออกจะเสียๆ ไป จนที่ถ่ายก็แห่งเดียวกันทุกคน ที่รั้วหลังเขื่อนย่อ พ่อก็ได้ไปถ่ายในที่นั้นอย่างเดียวกับคนอื่น แต่ทางที่ไปนั้นต้องทวนไปข้างทางมาแต่เมืองมิลัน นึกว่าจะเลยไปเที่ยวถึงเซนต์มอริตส แต่เกิดเปนห่วงจะซื้อดอกไม้สำหรับจะทำวิสาขะค่ำวันนี้ จึงย้อนไปมองเตรอใหม่ พอถึงหัวตลาดก็เห็นกระบวนแห่ เด็กที่แต่งตัวต่างๆ เหล่านั้นขึ้นรถหลังใหญ่ๆ เปนเกวียนขนของก็มี แต่งดอกไม้แปลกกันต่างๆ เขาจะแห่กันมาแต่เมื่อไรแล้วก็ไม่ทราบ มากน้อยเท่าใดก็ไม่ทราบ ได้เห็นประมาณสักเก้ารถสิบรถ ปาคอนเฟตตีกันนัวอยู่แล้ว พอหมดกระบวนแห่เหลียวหลังกลับมาเห็นพ่อกับอุรุพงษ์ บริพัตร รพี ดุ๊กยืนอยู่ที่นั่น นางพวกสาวๆ รุมกันเข้ามาปาเสียใหญ่ เลยต้องซื้อปาเขาบ้าง คนแน่นยัดกันเหมือนวัดเบญจมบพิตร เบียดกันคลั่กๆ แต่ไม่กระทบกระทั่งกัน ใจฅอมันช่างเย็นเปนน้ำไปด้วยกันหมด หัวเราะร่าๆ ปากันไม่เลือกว่าใคร เดินไปเดินมาหลุดหายไป ตามกันไม่พบ พ่อได้ติดไปแต่รพีกับดุ๊ก ถ้าผู้ชายจะปาพ่อแล้วเขาปาด้วยความเคารพ ร้อง วิ้ฟเลอะรวา แล้วปา พวกผู้หญิงก็เข้ามาเล่นจริตออกคำนับๆ เสียก่อนแล้วจึงปา ทีหลังหนักเข้าก็นัว ลงเลือกปากันเปนคนๆ ไป จนสุดตลาดจึงไปหยุดกินน้ำส้ม ครั้นขากลับมาคราวนี้คอยปากันใหญ่ แหวกทางให้เราเดิน แต่เช่นนั้นดุ๊กยังหลุดหายไปได้อิกคนหนึ่ง เหลือมาแต่กับรพี ขันที่รู้จักชื่อพ่อทุกคน เรียกออกชื่อแลตามรู้จักตัวเสมอ ดูเหมือนจะไม่มีใครที่จะไม่รู้จักสักคนเดียว ทีหลังนางรุ่นสาวคุ้นกันหนักขึ้นถึงมาขอให้เซ็นชื่อ พ่อยอมเซ็นให้รายหนึ่ง คราวนี้ตามอ้อนวอนกันเรื่อย จนกระทั่งหลุดตลาดออกมา เข้าไปในร้านดอกไม้ก็ไถลเข้าไปอยู่ด้วยเปนหลายคน น่าชมแต่กิริยาอัธยาไศรยคนที่นี่ดีจริงๆ ดูเปนเรากันเอง ผิดกันกับที่อิตาเลียนมาก แลมันช่างไม่ถือกันเสียจริงๆ

กลับมาแต่งตั้งพระที่น่ากระจกหลังเตาไฟ ซื้อเทียนขนาดใหญ่เปนเทียนรุ่งไว้สองคู่ กับเทียนเล็ก ๕๖ เล่ม ดอกไม้สั่งให้เขาทำสามกระเช้า แลมีหม้อปักดอกนาซีซัสบูชาด้วย กินเข้าแล้วกรมสมมตนำทำวัตรแลสวดมนต์ สวดมนต์จบกรมสมมตเทศน์ ที่จริงเครื่องบูชางามด้วยดอกไม้ จนกรมสมมตว่าพระไม่เคยเห็นดอกไม้งามอย่างนี้ แป้งเจิมก็มีเจิมเทียนรุ่ง ขาดแต่ธูปอย่างเดียวเท่านั้น ได้มีโทรเลขถึงกรมหลวงวชิรญาณเข้าไปไหว้พระในกรุงเทพฯ เพราะทำที่นี่ไม่สดวก

วันนี้เปนวันร้อนกว่าทุกวัน เดินเล่นในถนนที่มองเตรอเหื่อออกโทรมจนเสื้อชุ่ม แดดก็จัด รู้สึกเหมือนในบางกอก แต่ที่แท้ไม่ใช่เหมือนกันเลย เวลาแดดเผาน่าต่างกระจกกำลังร้อน ได้ดูปรอด ๗๐ เท่านั้น เปนด้วยเราสรวมเสื้อหนา จึงรู้สึกเหมือนบางกอก เวลากลางคืนวันนี้ไม่ได้สรวมเสื้อยืดสักหลาดฤๅกำมหลิดเลย สรวมเสื้อขาวชั้นใน อย่างที่ในบางกอก แต่งอิวนิงเดรสยังรู้สึกร้อน ด้วยจุดไฟถึง ๑๘ ดวง ต่อดึกจึงค่อยรู้สึกหนาว เมื่อแรกมาดูหนาวมาก แล้วทีหลังนี้ดูเฉยๆ สังเกตดูว่าถ้าปรอดในห้อง ๖๒ เปนกำลังพอสบาย

• • • • • • • • •

รูปทรงถ่ายที่ยอดเขาโรเซเดอเนทางเสด็จประพาศที่เมืองเตอริเตต์

รูปทรงถ่ายที่ยอดเขาโรเซเดอเนทางเสด็จประพาศที่เมืองเตอริเตต์

คืนที่ ๖๑

วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤษภาคม

วันนี้มีความคิดสองอย่าง อย่างหนึ่งรพีชวนจะให้ไปเมืองโลซาน ซึ่งไปจนสุดแหลมแล้วเลี้ยวเข้าในชวาก ระยะทางจะไกลกว่าไปนีศ แต่เมื่อนึกถึงวันอาทิตย์ก็ท้อใจ ไปถึงแล้วจะทำอะไร ตังๆ ไปก็ตังๆ กลับมา จึงได้เลือกเอาขึ้นเขาโรเชียเดเนย์ซึ่งอยู่ใกล้โฮเตล

กินเข้าเช้าแล้วรับอักเซลยอนซัน กงสุลเยเนอราลของเราที่เมืองสตอกโฮม ลูกแกเจ็บ พาลูกมารักษาตัวอยู่ใกล้ๆ นี่ ได้ข่าวว่าจะเสด็จไปตำบลนั้น ถึงกับมีโทรเลขไปสวิเดนให้ส่งธงช้างมาคอยชักรับ การมันใหญ่ถึงเพียงนั้น ต่อเมื่อรู้ว่าไม่เสด็จแล้ว จึงได้มาหาทน ได้สั่งถวายคำนับถึงเจ้าแผ่นดิน เพราะแกเปนคนโปรดสนิทสนมกันมาก แล้วขึ้นรถโมเตอคาร์ไปที่สเตชั่น ทางที่จะขึ้นรถนั้นเปนคั่นอัฒจันท์ เพราะเหตุที่รถนั้นรูปเพล่เหมือนเกรีน ข้างในกั้นเปนห้องๆ ตามขวาง นั่งได้สองฟาก คือหันหน้าขึ้นไปก็ได้หันหลังขึ้นไปก็ได้ เขาที่ขึ้นนั้นชันมาก เช่นกับขึ้นภูเขาทอง เพราะฉนั้นจึงทอดรางขึ้นไปตามข้างเขาตรงลิ่ว มีฟันปลาสำหรับสับให้รถหยุดเมื่อเวลาเกิดเหตุสายลวดขาด แต่การขึ้นลงของรถนั้นขึ้นด้วยสายลวด มีรถสองรถ รถหนึ่งอยู่ข้างบน รถหนึ่งอยู่ข้างล่าง สายลวดโยงถึงกัน เมื่อเวลาจะให้รถบนลงมา ข้างล่างกรอกน้ำเข้าไปในถึง แล้วเปิดเดือยที่ยันรถไว้กับฟันจักรนั้น น้ำหนักน้ำก็ถ่วงรถเลื่อนลงมา ดึงเอารถที่อยู่ล่างซึ่งเบากว่านั้นขึ้นไป เฉภาะพอไปเหมาะสวนกันที่กลางทาง มีทางหลีก พอรถข้างล่างขึ้นไปถึงข้างบน รถข้างบนก็ลงมาถึงข้างล่าง ทอยกันอยู่สองหลังเท่านี้ แต่รถคันนี้ไม่ได้ขึ้นไปถึงตลอดยอด ไปเพียงพอพ้นที่ชัน แล้วไปหยุดที่คลิยอง เปนสเตชั่นสูงจากพื้นดิน ๖๙๒ เมเตอ คือ ๑๗ เส้น ๖ วา ในระยะรถตอนนี้ ยังเปนไปในระหว่างบ้านเรือนที่เปนวิลลาเปนโฮเตลหลังใหญ่ๆ เรียงรายเปนสวนดอกไม้ มีดอกไม้สีต่างๆ มีหนทางรถขึ้นเหมือนทางธรรมดา แต่ทบไปทบมา

เวลาขึ้นถึงสเตชั่นแล้วต้องย้ายไปออกทางหนึ่งต่างหาก เพื่อจะได้ขึ้นรถสายหนึ่งต่างหาก เปนรถไฟใช้ถ่านตามธรรมดาแต่น่าต่ำท้ายสูง รูปเปนเกรีนเหมือนกัน มีรถพ่วงหลายหลัง นั่งอย่างเดียวกันกับรถที่กล่าวก่อน มีที่สำหรับรับฟันจักรอยู่ในกลางเหมือนกัน แต่ไม่มีสายลวดอยู่เอง ด้วยไม่ใช่ลากด้วยน้ำ รถนี้เดินเข้าปล่องหลายครั้ง ยาวบ้าง สั้นบ้าง ในปล่องนั้นมักจะมีน้ำตกซึมบ้าง พรำอยู่เหมือนฝนบ้าง ขึ้นไปหยุดรับน้ำตามทางบ้าง จนถึงตำบลโคเปนที่สำนักรักษาตัว ซึ่งหมอแนะนำให้เพ็ญมาอยู่ตำบลนี้สูง ๑๐๕๐ เมเตอ คือ ๒๖ เส้น ๕ วา มีสเตชั่นผู้คนแน่นหนา มีโฮเตลสูง ๗ ชั้นหลังคามียอดหลายยอด ยาวใหญ่ ทำงามมาก เปนที่สำหรับพวกฝีในท้องขึ้นมารักษาตัว ท่าทางเห็นจะอยู่ได้หลายร้อยคน ตั้งใจไว้ว่าจะแวะต่อขากลับ จึงไม่ได้เที่ยวที่โคนี้ นั่งอยู่ในรถต่อไปอิก

รถออกจากโค ตั้งต้นที่จะผ่านสะโนอันกองเรี่ยราดอยู่ตามทางขึ้นไป มากขึ้นมากขึ้นทุกที เปนสะโนอ่อนที่กำลังละลายอยู่ ไม่สู้แขงเช่นที่เคยเห็นครั้งก่อน แลลงมาในอ่าวเห็นตำบลที่ริมทเลทุกแห่งเหมือนเรือนตุ๊กตา ยิ่งสูงขึ้นไปยิ่งเหมือนแผนที่ที่เขียนอย่างมีสายน้ำบ้านเรือน แลเห็นยอดเขาสพรั่งไปทั้งสองข้าง ล้วนแต่หุ้มด้วยสะโนขาวไปทั้งนั้น ลอดถ้ำยาวบ้างสั้นบ้างหลายตอน ลอดครั้งหนึ่งก็เปลี่ยนซีนะรีแลเห็นยอดเขาแปลกไปทุกครั้ง น้ำแขงก็ยิ่งมากขึ้นทุกที จนตั้งเปนกำแพงสองข้างก็มี สูงขึ้นไปก็เย็นขึ้นแต่ไม่ถึงหนาว ด้วยแดดจัด ขึ้นไปประมาณสักชั่วโมงครึ่ง จึงถึงที่ตั้งโฮเตลเปนที่สุดทางรถไฟ สูง ๒๐๔๕ เมเตอ คือ ๕๑ เส้น ๒ วา ๒ ศอก สุดแต่รถหยุดเติมน้ำแห่งใด ชายอุรุพงษ์แลดุ๊กเปนต้องลงปั้นสะโนเล่น พ่อได้ถ่ายรูปหลายรูป แต่ครั่นคร้ามไม่รู้ว่าจะได้ฤๅไม่ เพราะไม่มีกระจกเหลืองขึ้นไปติดน่ากล้อง แสงสว่างแปร๊ดเต็มที จนลืมตาไม่ใคร่จะได้ ลืมเอาแว่นเขียวขึ้นไปด้วย พอถึงที่สเตชั่นก็ถึงร้านที่สำหรับขายของคิวโรซิตีในที่นั้น พ่อได้ซื้อสิ่งละอันพรรณละน้อย เพื่อจะส่งมาฝาก ในของนั้นมีที่สำหรับอัดดอกไม้ ซึ่งจะเก็บจากบนเขาอยู่สองสามอัน จึงได้ซื้อด้วย สั่งให้เขาหากับเข้าไว้กิน แล้วเดินขึ้นยอดเขาต่อไป ทางที่ขึ้นยอดเขานี้เปนทางเล็กๆ แคบๆ จำจะต้องเดินไปในระหว่างสะโน มีดอกไม้ที่ขึ้นบนหญ้า คือที่เรียกสะโนดรอป สีขาวก็มี ม่วงก็มี มีดอกเหลืองอิกอย่างหนึ่ง ดอกเปนกำมหยี่อิกอย่างหนึ่ง เรียกอะไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว ไม่ใช่พ่อจำไม่ได้ วานมองสิเออดอเรลลี[๑๔๖] ถามได้ความมาแล้ว ดอเรลลีเอาไปลืมเสียเอง ตอนยอดเขาที่สูงปนอยู่กับสะโนนั้นมีแต่สี่อย่างเท่านี้ แต่ตอนเหนือโคขึ้นมายังไม่ถึงสเตชั่นนี้มีดอกไม้มาก สีเหลืองสีบานเย็น เปนช่อเหมือนอย่างกล้วยไม้สีขาวสีน้ำเงินเขียว ใจกลางขาวดาดไปเหมือนปูพรม หมู่ที่ดอกนาซีซัสขึ้นขาวดาดไปทั้งไหล่เขาสูงประมาณสักคืบเศษเท่านั้น มีดอกชูสลอนไป เหมือนเอาผ้าดอกฤๅแพรดวงลาดแลสุดๆ ตา มีกลิ่นหอมกรุ่นๆ จะเอากระบุงไปขนก็ไม่หมด ด้วยเหตุฉนั้น เขาจึงมีนักขัตฤกษ์ในเวลาดอกไม้นี้บาน จะเอามาแต่งรถแต่งตัวกำโปรยปากันอย่างไรก็ไม่รู้สิ้น ขึ้นเขาไปเก็บเอามาได้ใหม่ ในแฟ้มที่ได้อัดส่งมานั้น เปนดอกไม้บนเขาทั้งสิ้น ไม่ใช่ดอกไม้พื้นดินราบเลย ได้ช่วยกันเก็บห่อผ้าเช็ดหน้ามาสิ้นจำนวนเท่านี้ พบคนเดินทางไปเที่ยวอยู่หลายพวก ผู้หญิงไปเก็บดอกไม้อยู่ก็มี มีไม้เท้าที่ส้นเปนตะปูยาวบ้างสั้นบ้างสำหรับเท้าขึ้นลง ซึ่งพ่อได้ซื้อยาวอันหนึ่งส่งมา ที่บนนั้นมีกล้องเตเลศโคป ที่สำหรับส่องดูยอดเขาต่างๆ อันเรียงสพรั่งอยู่ตรงหน้า ได้ดูเขาตัวร์ดเอสูง ๒๓๓๕ เมเตอ มีเสาธงซิคแนล แลคนเดินทางอยู่บนนั้น ซึ่งแลเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า แลเขาเอคิล ดารยังติแยร์ สูง ๓๙๑๒ เมเตอ ได้ซื้อสมุดแผนที่ยอดเขาส่งมาด้วยฉบับหนึ่ง แลดูที่บนยอดเขานั้นเหมือนอย่างเช่นรูปเขียนนี้จริงๆ มันไม่ได้แกล้งเขียน ที่หมายกาแดงมานั้น คือเขาที่กล่าวถึงในหนังสือ กลับลงมาจากชั้นบน กินเข้าที่โฮเตล กับเข้าทำอร่อยจริงๆ กินแล้วหยุดเขียนโปสต์ก๊าดอยู่จนเวลาบ่าย ๓ โมงจึงได้ลงจากเขา ขากลับอยู่ข้างจะหนาว เพราะแดดอ่อนลง ซ้ำฝนตกด้วย การที่จะแวะตำบลโคจึงได้เปนอันรงับ ฝนตกตลอดทางลงมาจนถึงข้างล่าง เลยกลับโฮเตล ข้อที่รู้สึกหนาวนั้นหายฉิบ เพราะโฮเตลที่ล่างเวลาบ่ายถูกแดดกลับร้อน เมื่อคืนนี้อยู่ข้างจะร้อนมาก ใส่แต่เสื้อชั้นในผ้าขาวเท่านั้น ยังตื่นขึ้นตะกายผ้าแบลงเกตออก อันที่จริงมันก็ร้อนเพียงปรอด ๗๐ แต่รู้สึกร้อนกว่าปรกติ ที่เมืองเราเรียกว่าหนาวเสมอ ฝนตกวันนี้มีลูกเห็บตกมาก ดุ๊กไปกำเอามาให้ดู กว่าจะขึ้นมาถึงเล็กไปเสียแล้ว เขาว่าตกลูกโตๆ เท่าหมากดิบ สะโนที่อยู่บนเขาวันนี้เปนอย่างที่ฟอดเปนฟอง ไม่ใช่อย่างใสเปนแก้วเช่นที่เคยเห็นครั้งก่อน เช่นนั้นเปนอย่างน้ำแขง ว่าเมื่อเวลาที่พ่ออยู่เมืองมิลัน บนเขายังหนาวมาก เดี๋ยวนี้กำลังลงมือละลาย คงจะน้อยลงไปทุกวัน พอถึงเดือนกรกฎาคมแลสิงหาคม สองเดือนนั้น ไม่มีสะโนตามเขาเหล่านี้ เหลืออยู่แต่เขาสูงๆ เช่น มองต์บลังค์เปนต้น

วันนี้ได้ซ่อมแซมดอกไม้แลแต่งเครื่องบูชา มีการไหว้พระในวิสาขบุรณมีอิกวันหนึ่ง กรมประจักษ์เทศน์ทั้งกำลังที่เจ็บ ได้จุกมาสองวันแล้ว เจ้าของโฮเตลจัดดอกไม้มาให้เปนรูปรถที่ได้แห่เมื่อวานนี้ แกได้รางวัลที่ ๑ เปนเงิน ๒๕๐ แฟรงก์ แต่ที่แท้ได้ขาดทุนเปนอันมาก รถนั้นได้แต่งด้วยดอกไม้ขาวเปนช่อ ดอกติดกันแน่นเหมือนอย่างลัดดา แต่ดอกใหญ่เท่าดอกมลิ กลิ่นไม่หอมเหมือนดอกมลิ ปนกับดอกกุหลาบสีชมภู แลผูกโบสีชมภูใหญ่ๆ เต็มไปทั้งหลัง มีเสากระโดงอย่างล้มแลมีร่มแพรสีชมภูคันใหญ่กั้นดอกไม้ ผูกเปนเครือโตเท่าๆ รีถใหญ่ห้อยรอบรถ แลพันไปจนถึงที่นั่งสารถี เด็กที่นั่งอยู่ในรถแต่งตัวเสื้อสีชมภู แต่ไม่ใช่นั่งฉิมๆ ไปเฉยๆ โบกมือยิ้มทางโน้นยิ้มทางนี้ คนที่ยืนดูอยู่ก็ขว้างกระดาษหลบเล่นรื่นเริงไปบนรถ เปนเช่นนี้ทุกคัน เว้นแต่รถของตาเจ้าของโฮเตลนี้เก่งกว่าเพื่อน จึงได้ได้รางวัลที่ ๑

กับแกไปได้รูปพ่อลงยาที่มีผู้ทำไว้แต่เมื่อมาอยู่เยเนวาคราวก่อน แต่ผู้ที่ทำนั้นตาย ตกอยู่แก่ลูกชาย อย่างไรแกจึงไปจัดการเอามาได้ไม่ทราบ ทำดีพอใช้แต่งเต็มยศขาวแต่สายสพายเปนสีชมภูไป

ในการที่จะไปพรุ่งนี้ได้คิดเดินทางอย่างใหม่ เจ้าพนักงานเขาช่วยเปนธุระ เพื่อจะให้ได้ไปถึงเร็วขึ้น ถ้าไปรถธรรมดาจะถึงต่อเวลาทุ่มเศษ จะจัดการให้ไปถึงเวลาบ่าย ๕ โมง

เรื่องดอกไม้นั้นเปนที่ปรากฎเสียแล้วว่าพ่อชอบมาก ไปถึงแห่งใดก็แต่งเต็มไปด้วยดอกไม้ทั้งห้อง งามชื่นตาชื่นใจ จนตาปะโรดีที่ซันเรโมยังพยายามส่งดอกไม้ตามมาให้ถึงนี่เปนกอง แต่ทางไกลเหี่ยวไม่ฟื้น

วันนี้เปนวันตั้งใจจะจบรายวันเสียตอนหนึ่ง รู้สึกว่าเขียนสั้นไปเปนอันมาก เหตุที่เปนเช่นนี้เพราะเกิดความท้อถอยขึ้นมา เพราะไม่ได้หนังสือตอบรับ ก็นึกได้ว่าบางทีจะพลาดพลั้งไปอย่างไร แต่ห้ามไม่ให้ท้อมันไม่ฟัง เนื้อความมันสั้นลงไปเอง จึงขอจบแต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้จะขึ้นเปลี่ยนประเทศเปนเยอรมนีตั้งแต่พรุ่งนี้ไป

จุฬาลงกรณ์ ป. ร.



[๑๔๖] มองซิเออดอเรลี ชาติสวิส เปนเลขานุการในสถานทูตที่ปารีส

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ