พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๔๒

คืนที่ ๑๙๕

เรือพม่า

วันจันทร์ที่ ๗ ตุลาคม ร. ศก ๑๒๖

หญิงน้อย

เมื่อคืนนี้มียุง ตัวโตเท่ายุงก้นปล่อง รอดตัวที่มันเซอะจับง่าย นอนหลับก็เรว ครั้นดึกเข้าตื่นขึ้นรู้สึกเมื่อยข้างซ้ายไปทั้งแถบ แปลไม่ออกว่าเรื่องอะไร เปลื้องผ้าลงมาพ้นไหล่หนาว คลุมขึ้นไปร้อน จนไม่มีสมาธิเลยลุกขึ้นนั่ง จึงได้ได้ความว่าประตูที่ปิดไว้แต่ก่อนนั้น อ้ายฟ้อนมาแล้วปิดอย่างไทย คือแง้มไว้สักคืบหนึ่ง ลมเฉภาะเข้าทางน่าต่างห้องน้ำ เป่าเข้ามาถูกสีข้างข้างซ้าย ต่อปิดประตูแล้วจึงได้นอนหลับต่อไปอิก ครั้นจะตื่นสาย นัดให้เขามาหาแต่เช้าเลยต้องตื่น

กัปตัน เก ปราล นายเรือพม่า กับอาเซลไมเยอมาหา แลกระทรวงต่างประเทศมีโทรศัพท์มาด้วย ว่าเจ้าแผ่นดินอิตาลีให้บอกว่าถ้าจะดูมะนูเวอร์ให้ไปถึง ๔ โมงเช้า จึงตกลงเลื่อนเวลาลงเรือให้ออกเวลาพลบ ระยะทางที่ว่า ๑๒ ชั่วโมงนั้น เปน ๑๔ ชั่วโมง

เวลาเช้า ๕ โมงไปเที่ยวห้าง ไปร้านบรอนซ์ที่เขาหล่อถ่ายอย่างรูปภาพโบราณ ซื้ออะไรๆ บ้างแล้วไปห้างเครื่องทองที่ขายของอย่างเก่าๆ เหมือนกัน ลงปลายไปร้าน แอนติคิตี คือของโบราณต่างๆ แล้วกลับขึ้นมากินเข้ากลางวันที่โฮเตล หยุดพัก โฮเตลนี้เปนอันได้ความว่าหลังยาวๆ เช่นนั้นเอง ปลูกอยู่ในไหล่เขา แต่ขึ้นมากว่าครึ่ง เรือนอาเซลไมเยออยู่ติดกันกับโฮเตล ปลูกใหญ่โตเปนป้อม มีลิฟต์ขึ้นตั้งแต่ชั้นล่างเหมือนโฮเตลนี้อย่างเดียวกัน เรือกสวนอะไรที่ปลูกต้นไม้แลที่เล่นลอนเตนนิสกลับขึ้นไปอยู่ข้างบน อาไศรยที่ว่างตามไหล่เขา โฮเตลนี้แลเห็นอ่าวท่าจอดเรือตลอดทั้ง ๒ ท่า ๓ ท่า ตลอดจนปลายแหลมข้างหนึ่ง เขาวิสูเวียส (ที่เปนเขาไฟใหญ่ในแหลมนี้) ข้างหนึ่ง ข้อที่แลเห็นเปนหนทางไกลไกลเมื่อคีนนี้เพราะมาจากสเตชั่นรถไฟ แต่ที่จริงตั้งอยู่เหนือโฮเตลเดิม ใกล้อะแควเรียมนั้นเอง ลงไปที่เมืองก็ไม่ช้าเท่าใด แต่เงียบสนิทจริง เงียบกว่าซันต์มาติโนซึ่งอยู่ลึกเข้าไป อย่างไรก็ยังสบายดีมากกว่าที่อื่นหมด

เวลาบ่าย ๔ โมง กลับลงมาขึ้นรถไปเที่ยว ไปข้างปลายแหลมตวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเปนที่คนจนอยู่มาก ได้เห็นความประพฤติของพวกอิตาเลียนแปลกกันกว่าที่เมืองอื่นๆ หมด ที่อยู่นั้นโดยมากอยู่ถํ้า ถํ้านั้นไม่ใช่ถํ้าเปนเอง คือทางที่ตัดนั้นตัดไปตามชายเขา เพราะฉนั้นข้างทางแถบข้างเขา จึงเปนน่าผารอยตัดเปนผนังชันอยู่ เขาเจาะผนังชันนั้นเปนช่องๆ เอาศิลาไปก่อตึก ส่วนโพรงที่ตัดศิลาออกแล้วนั้นกลายเปนถํ้า คนจนอาไศรยในถํ้าเช่นนี้โดยมาก เหตุด้วยศิลาในเขานี้อ่อนมาก จะตัดให้เปนแผ่นรูปร่างอย่างไรก็ตัดได้ กำลังตัดอยู่ก็มี สีสรรวรรณะเหมือนดิน แต่ตัดเปนเหลี่ยมได้ เวลาก่อสร้างขึ้นเสร็จแล้วถือปูนภายนอก อาจจะทนอยู่ได้เท่าใดๆ ศิลาเช่นนี้ที่พวกโรมันก่อสร้างตั้ง ๑๐๐๐ ปีมาแล้ว ที่ปูนหุ้มอยู่ภายนอกยังดีอยู่ไม่ร่อยหรอเลย แต่ถ้าทิ้งไว้เปล่าๆ อากาศกัดพรุนได้ ถ้าถือปูนประสมสีให้เหมือนเนื้อศิลาเดิมก็สังเกตไม่ใคร่ได้ว่าเปนศิลาฤๅปูน เรือนที่ตั้งอยู่ริมๆ เขา เช่นโฮเตลแลบ้านอาเซลไมเยอ ข้างล่างก็เปนถํ้าเช่นนี้ ปลูกตึกต่อขึ้นไปชั้นบน เพราะเหตุฉนั้นเขาจึงได้เจาะปล่องสำหรับลิฟต์ขึ้นลงได้ง่ายๆ ความประพฤติของพวกอิตาเลียนเปนอย่างชาวเมืองร้อน จะทำอะไรๆ สำเร็จอยู่ในกลางถนน ตลอดจนประกอบอาหารแลแต่งตัว อาจจะแลเห็นผู้หญิงกำลังคาดกระโจมอยู่ก็ได้ ถํ้าที่อยู่นั้นก็มีห้องเดียว มีเฉภาะแต่ประตู ไม่มีน่าต่าง ประตูก็เปิดไว้แลเห็นเข้าไปได้ ที่หลับที่นอนมีอะไรๆ บ้างเห็นทุกสิ่ง กองรกคล้ายๆ โรงเจ๊กทำงาน ไม่ใช่แต่แลเห็นเข้าไปในเรือน ชอบออกมาทำอยู่ข้างนอกริมถนน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ยั้วเยี้ยอยู่ที่ประตูถํ้า อยู่ข้างจะชอบร้องเวิ๊กว้ากอึง ได้จะดูอะไรแล้วดูเอาจริงเอาจัง ขอทานเปนพื้น เด็กๆ เปลือยกายบ้าง เปลือยเท้าบ้าง มีโดยมากเกือบจะทั้งนั้น ผู้ใหญ่เวลาทำงานก็ถอดเสื้อ เนื้ออยู่เฉยๆ ด้วยอากาศมันหนาวน้อยกว่าน่าหนาวของเรา แต่ไม่ร้อนถึงเมืองเรา ตามแถบนี้น่าร้อนเปนที่พวกชาวเมืองเนเปอลมาเที่ยวแลกินเข้าริมทเลกลางแจ้ง จึงมีเรสเตอรองต์มาก วังกวีนออฟเนเปอลวังหนึ่งซึ่งร้างก็เช่าตั้งเรสเตอรองต์ แต่รัฐบาลยอมให้เช่าแต่ภายใน ภายนอกทิ้งไว้ให้ร้าง เปนเครื่องหมายตำบลที่ดูของเมืองเนเปอลแห่งหนึ่ง สัตว์พาหนะใช้ฬามาก ฬาตัวนิดหนึ่งอาจจะลากเกวียนศิลาใหญ่ๆ แลไม่ต้องขับฤๅต้องจูงอย่างไร เจ้าของเดินเกาะท้ายเกวียนไปก็พอ บรรทุกเสียจนน่าสงสาร จะเปนด้วยแรงมันมากจึงใช้มันให้พอแรง ฤๅจะไม่สงวนเหมือนม้าก็จะเปนได้ น่าเกลียดแต่เรื่องนอน หลับได้ไม่ว่าแห่งหนตำบลใด นอนหลับไปบนเกวียนให้ม้าฤๅฬาพาไปเอง เวลาหยุดงานในระหว่างเที่ยงแลบ่ายโมง ๑ ตามหนทางเดินข้างถนนนอนหลับกลิ้งเกลื่อนกลาดกัน อย่างดีก็เอามือปิดตาไม่ให้พระอาทิตย์เข้าตา แล้วก็นอนอยู่กลางแจ้ง แต่ไม่ต้องปิดก็หลับโดยมาก คนเที่ยวเดินกันเพ่นพ่านมากกว่าที่แลเห็นทำงาน ได้ความว่าเพราะอาหารถูก มีแต่มักกะโรนิกินแล้วก็พอ มะเขือเทศที่สำหรับกินกับมักกะโรนีนั้น ได้ความว่าไม่ใช่มะเขือเทศอย่างที่เปนเฟือง อย่างนั้นกินแต่กับสลัดที่สำหรับกินกับมักกะโรนี เปนรูปกลมๆ คล้ายๆ หมาก แต่สีแดงเหมือนกัน แตงโมมีซื้อขายกันมาก แต่รูปย่อมเรียวเหมือนรูปไข่ ดูเหมือนเนื้อจะน้อยเปนโพรงในมาก สีเหลืองอ่อน มีแขวนอยู่ตามน่าต่างเรือนคนจนๆ ทั่วไป การที่แขวนไว้เช่นนั้น อาจจะเอาไว้กินได้จนถึงฤดูหนาวว่าอยู่ได้ถึง ๔ เดือน ตามน่าต่างแขวนของกินอะไรต่างๆ ทั้งไส้กรอกด้วย นุงนังไปทั้งนั้น การพิธีสาสนามีมาก ตามถนนตั้งซุ้มซึ่งจะจุดตะเกียงสำหรับการวัด การวัดนั้นมีเนืองๆ ถ้าจะทำโดยเลอียดแล้วก็มีการพิธีทุกวัน เพราะเหตุว่ามีเซนต์ฤๅนักบุญเกิดฤๅตายวันใดก็เปนนักขัตฤกษ์ นักบุญคงมีเกิดฤๅตายประจำวันตลอดทุกวันไป วันนั้นเซนต์นั่นวันนี้เซนต์นี่ เวียนไปจนตลอดปี ผู้ที่เสียเงินนั้นเปนส่วนราษฎร แต่เพราะผู้ที่จัดการเปนผู้มีกำไรเสมอ ผู้มีบันดาศักดิ์ในประเทศนี้ ที่เปนเปียร์ คือมีบันดาศักดิ์สืบตระกูลพวกหนึ่ง เปนโนเบลผู้มีตระกูลที่โป๊ปตั้งโดยขายตำแหน่งมีกำหนดราคาจำพวกหนึ่ง เปนผู้มีทุนรอนแลที่แผ่นดิน แต่มักจะไม่ใคร่ทำอะไร ถ้าถึงเวลาขัดข้อง ที่ดินที่จะขายได้ก็ขาย เว้นไว้แต่ขายไม่ได้ตามกฎหมาย ที่แถบทางนี้เปนของคนต่างประเทศโดยมาก เขาว่าโนเบลพวกนี้มักหาเมียเปนชาวอเมริกันที่มั่งมี ข้างหนึ่งมีทรัพย์ ข้างหนึ่งมีศักดิ์ “สาวสุดพุดจีบจีน เจ้ามีสินพี่มีศักดิ์” เขาว่านานไปพวกโนเบลในเมืองอิตาลี จะเปนชาติใหม่เกิดขึ้นระหว่างอิตาเลียนแลอเมริกัน เมืองเนเปอลนี้ เทศกาลตรงกันข้ามกับเมืองโรม เมืองโรมเปนผู้ดีแลคนมั่งมี ถ้าไม่ใช่ฤดูพากันออกไปอยู่นอกเมือง ในเมืองโรมเงียบ แต่ในเมืองเนเปอลนี้แน่นคลักกันอยู่เสมอไม่ขาด เพราะเปนพวกหาพอกรอกหม้อ ถ้ามีกินอยู่เพียงเท่าใดไม่ต้องทำงาน ขัดเข้าเมื่อใดก็วิ่งเข้าทำงานเสียทีหนึ่ง ได้สัก ๒๐ เลียระ ก็กินไปได้หลายวัน การซื้อขายกันที่นี้ มีราคาเขียนไว้ก็จริง แต่ย่อมจะลดอย่างน้อย ๕ เปอเซนต์ แต่ผู้ที่ชำนาญเที่ยวเขาย่อมแนะนำให้ต่อ ที่จะไม่ต่อนั้นไม่ได้ แลการที่จะต่อให้ได้สำเร็จประโยชน์จริง อาไศรยคนที่รู้ภาษาชาวเมืองนี้เปนสำคัญกว่าอย่างอื่น เปนธรรมดายองชาวเมือง ถ้าเห็นคนต่างประเทศเข้าแล้วหวาน อยากจะเที่ยวไต่ตอมขายของขอทาน ที่สุดก็ดูไม่สิ้นสนุก ถนนหนทางตอนข้างในเมืองที่กวดขันหมดจดดี แต่ตอนนอกออกไปสกปรก ตามแถบข้างทเลแล้ว มีกลิ่นเหม็นอืดๆ อยู่เสมอ ถ้าจะว่าโดยภูมนิเทศแล้ว เปนเมืองงามมาก งามทั้งอ่าวท่าภูเขา แลเรือนที่ปลูกซ้อนๆ กันขึ้นไปบนเขา ผู้คนที่แน่นหนากึกก้องไปด้วยพิณพาทย์เภรี นับว่าเปนเมืองหนึ่งซึ่งแปลกจากเมืองในประเทศยุโรปทั้งปวง

กลับมาลงที่ท่าอาเซเนล คือท่าโรงอาวุธเหมือนอย่างเมื่อขึ้นคราวก่อน ที่อาเซเนลนี้ เปนป้อมก่อด้วยศิลาสูงใหญ่ของโบราณ อยู่ใกล้พระราชวังเกือบจะเปนพื้นที่อันเดียวกัน เขาว่าเปนที่สำหรับเจ้าแผ่นดินหลบเข้าไปอยู่ในเวลาเมื่อเกิดจลาจล มีป้อมที่ยื่นลงไปในทเลอิกแห่งหนึ่งซึ่งเปนเครื่องหมายของอ่าวเมืองเนเปอลไม่ทราบว่าใช้อะไรกัน แต่ปรากฎในเรื่องที่พวกขบถเข้าไปยึดเอาที่นั้นได้แล้วต่อสู้ทหารหลวงอยู่ได้นาน แต่ก่อนใช้เปนที่ขังคนโทษ มีพื้นลงไปในใต้ดินซึ่งเปนที่ล่ำฦๅว่า ใครติดขังในที่นั้นแล้ว เปนไม่ได้กลับออกมาอิก

พ่ออาเซลไมเยอ มาส่งที่ท่า กับเจ้าพนักงานโรงอาเซเนล ลงมาเรือพม่าด้วยเรือสติมลอนช์ของหลวง เรือพม่าลำนี้สบายเสียจริงๆ ห้องนอนที่พ่อนอนกว้างใหญ่ แลมีห้องรับแขกชั้นบน ห้องกินเข้าชั้นล่าง ห้องสูบบุหรี่มีแคบินสำหรับอยู่ได้ชั้นบน เรือมาครั้งนี้ไม่ได้บรรทุกอะไร คนโดยสานก็ไม่มี เขาส่งมาให้รับส่งพ่ออย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่จะเดินไปตวันออกในคราวนี้ด้วย พวกเรา ๗-๘ คนเท่านั้น หลวมโหรงเหรงเต็มที่ อาหารที่เลี้ยงเรียกคนครัวใหม่เลี้ยงอย่างดี ราวกับเลี้ยงในพระราชวัง ออกรำคาญอย่างเดียวแต่ไม่รู้ว่าจะขอบใจเขาอย่างไรให้พอ ถ้าเราจะไม่รับ ก็มีแต่เรืออิตาเลียนลำเล็กๆ ซึ่งไม่น่าไป เดิมคิดว่าจะใช้เพียงเมสสินา ตามโปรแกรมใหม่ที่ขอเลื่อนเรือซักเซนให้เรวเข้ามาไม่ได้ จำจะต้องไปด้วยเรือนี้ถึง ๑๕ วัน เหลือสำหรับเรือซักเซน ๑๗ วันเท่านั้น ต่อนั้นไปก็จะเปนเรือมหาจักรี นอกจากความรำคาญใจอันนี้แล้ว มีความสบายเปนที่สุด กัปตันนั้นเปนธรรมดา ต้องเปนคนน้ำใจเย็น กัปตันปราลคนนี้เปนคนที่ได้เคยเข้าไปอยู่บางกอกปี ๑ แล้วได้เคยเดินเรือเข้าไปหลายเที่ยวด้วย แต่วันเริ่มแรกพบกันก็เปนที่ชอบใจเสียแล้ว เห็นจะเปนที่เรียบร้อยตลอดไป

คืนที่ ๑๙๖

เรือพม่า เดินทางไปปาเลอร์โม

วันอังคารที่ ๘ ตุลาคม

วันนี้เวลาเช้าเรือเราเดินลงมาพบกองทัพเรืออิตาเลียนเวลา ๒ โมงเศษ กำลังยิงกันอยู่ ได้รอเรือดู มีบาลูนยาวลอยสำหรับดูดินระเบิดใต้น้ำ เลื่อนลงมาตามลำดับ ถึงป้อมๆ ยิงจากฝั่ง ๓ แห่ง แล้วเรือเราเลยมาเข้าในท่าเมืองเมสสินา ซึ่งมีเขื่อนศิลากัน อันปรากฎว่ารูปเหมือนเคียว (ซิกล) เหมือนจริง มีเรือค้าขายมาก ยกธงรับเสด็จไม่ใช่รับเรา รับเจ้าแผ่นดินของเขา กิงวิตโตโรเอมนูเอล (เคยอ่านกันอยู่ว่าวิกตออิมแมนนวล) มาในเรือแบตเตอลชิป ชื่อเรจีนาเฮเลนา ตามพระนามของกวีน เปนเรือลำใหม่ที่สุด แล่นตามเรือเรามาข้างหลัง ป้อมบนเมืองในท่าสลูต เรือเราทอดตอนข้างใน เรือเจ้าแผ่นดินทอดข้างนอก พอจอดเรียบร้อยกันประเดี๋ยวก็ ๔ โมง เจ้าแผ่นดินก็มาถึง มาด้วยเรือโมเตอร์ลำเขื่อง แล่นเรว พ่อลงไปรับที่บันได เราแต่งฟรอกโก๊ด แต่เจ้าแผ่นดินแต่งยุนิฟอมทหารบกติดตราจักรี เคานต์ออฟตุรินตามมาด้วย แต่งอย่างเดียวกัน มีเสนาบดีกระทรวงเรือแลผู้อื่นๆ ตามมาในเรือที่นั่ง ได้นำให้รู้จักผู้ซึ่งมาด้วย แล้วขึ้นดาดฟ้ามาที่ห้องนั่งต่อห้องนอนของพ่อ สังเกตดูเจ้าแผ่นดินอ้วนขึ้นกว่าแต่ก่อนสักหน่อยหนึ่ง แต่ไม่ได้แก่ลงไปเลย เหมือนอย่างแต่ก่อน กวีนไม่ได้มา เพราะจวนจะได้โอรสใหม่ การสนทนากันไม่ได้แปลกจากเมื่อยังไม่ได้เปนเจ้าแผ่นดินเลย พ่อได้พาให้ดูห้องนอนแลดูห้องกินเข้า บ่นว่ากลัวที่เรือโน้นจะไม่มีอะไรดูเหมือน เพราะเหตุที่เรือลำนี้งามจริงๆ ห้องนอนก็สบาย นั่งอยู่ด้วยกันนานจึงได้นำคนตามเสด็จให้รู้จัก พ่อรู้จักราชองครักษ์ที่ได้เคยพบกันแต่ก่อน เจ้าแผ่นดินลอดตาไปเห็นอุรุพงษ์จับตัวมาปลํ้า ขอให้พาไปกินเข้ากลางวันด้วย ชอบหมารุดีของพ่อมาก เข้าเปิดกรงเอามาเล่น เพราะเปนคนรักหมา แล้วกลับไปเรือ พ่อไปส่งที่บันได สักครู่หนึ่งให้เรือลำนั้นเองมารับ ปักธงสแตนดาดของเราที่น่าเรือมาเสร็จ เรือเรจีนาเฮเลนาชักธงเสาท้าย สแตนดาดของเราแลของเจ้าแผ่นดินคู่กันในเสาเดียว แลสลูตตามธรรมเนียม ขึ้นไปบนเรือ นำให้เดินตรวจแถวพวกนายทหารเรือ สิ้นเพลงสรรเสริญบารมีแล้วพากันขึ้นไปที่แคบินสำหรับแอดมิราล ที่เจ้าแผ่นดินประทับ อยู่ดาดฟ้าชั้นบนเหมือนกันแต่เปนห้องฝาเหล็ก น่าต่างน้อย ใช้พัดไฟฟ้าแล้วยังร้อน พากันเข้าดูห้องนอน เกลี้ยงไม่มีตกแต่งอะไร เพราะเปนการที่ประทับชั่วคราว นั่งพูดกันอยู่ในห้องนั้นหน่อยหนึ่ง แล้วจึงพาเที่ยวดูปืน กัปตันเปนคนนำ การเข้าออกในป้อมหัน (ตูเร็ต) อยู่ข้างจะประดักประเดิดออกจะต้องปีน แลประตูก็เล็กลอดยาก สารพัดที่จะใช้ไฟฟ้าหมดทั้งสิ้น ไฮดรอลิกเดี๋ยวนี้ดูเปนเลิกไม่มี ตั้งแต่ยกปืนไปจนกระทั่งหันป้อมก็ไฟฟ้าทั้งสิ้น ลูกดินที่จะขึ้นมาจากข้างล่างก็มาด้วยไฟฟ้าทั้งนั้น เรือรบชั้นใหม่นี้เปนหีบเครื่องกลขนาดใหญ่ไปทั้งลำ การฝึกหัดผู้คนเปลี่ยนหมดจากทำนองเดิม หันเข้าหาเครื่องไฟฟ้าอย่างใหม่ เรื่องวิ่งโครมๆ ครามๆ อย่างแต่ก่อนเปนอันไม่มี การที่ยิงก็รวดเรวเหลือเกิน ปืนใหญ่ที่สุดก็ยังยิงได้ถึงมินิตละ ๓ นัด แต่นัดหนึ่งนั้นหลายสิบชั่งดูเปนเงินทองมากมายเหลือเกินนัก เรือแบตเตอลชิปอย่างใหญ่เช่นนี้ ลำ ๑ ก็อยู่ในล้านปอนด์ครึ่ง คิดดูก็น่าสังเวชเมื่อถึงเวลาศึกเช่นคราวยี่ปุ่นกับรัสเซีย รบกันก็ยิงกันจมเสียเหมือนอะไรต่ออะไรไม่มีราคา แต่น่าสงไสยเต็มทีว่าเรืออย่างนี้จะอยู่อย่างไรในเมืองร้อน แต่อากาศเพียงเท่านี้ยังร้อนเต็มทีเสียแล้ว ลงไปชั้นต่ำๆ เกือบจะหายใจไม่ใคร่ได้สดวก จะรอดอย่างเดียวที่ใช้คนน้อยลงกว่าเรืออย่างแต่ก่อน ถ้าหากว่าเปนอย่างเก่าเรือโตเปนภูเขาลอยเช่นนี้จะใช้คนสักเท่าใด กลับขึ้นมาถึงดาดฟ้าหายใจโล่ง เจ้าแผ่นดินเองก็บ่นเหนื่อยแลร้อนเต็มที มาพักในห้องพอหายเหนื่อยแลหายร้อนแล้วพากันลงเรือโมเตอร์ลอนช์ แล่นไปเข้าในอู่ ขึ้นที่อู่นั้น มีรถรับ ระยะทางไม่ไกล พ่อไปกับเจ้าแผ่นดินแลเคานต์ออฟตุริน อุรุพงษ์ มีทหารประจำเมืองรายแถวทั้งตำรวจภูธร ราษฎรดูแน่นเต็มไปตลอดทางจนถึงป้อม ตบมือโห่ร้องเกรียวกราวมาก ป้อมนี้เป็นป้อมชาวสเปญทำไว้แต่โบราณ เดี๋ยวนี้รักษาไว้เปนเรือนตะเกียง อัฒจันท์ขึ้นป้อมอยู่ ข้างจะสูงเต็มทีถึง ๒ ทอด แต่เมื่อขึ้นไปถึงชานป้อมชั้นล่างแล้ว นั่งแลดูในช่องทเลเห็นได้ไกลทั้งเหนือทั้งใต้ ตั้งอยู่ใกล้หาดนอกอ่าว พวกราษฎรเต็มน่าชานป้อม ตบมือแลโห่ร้องไม่ได้หยุด จนกระทั่งเดินกองทัพจึงได้สงบเริ่มที่จะเดินด้วยสลูต ชักธงช้างทุกลำ เจ้าแผ่นดินบอกว่าได้สั่งเฉภาะให้หาธงช้างชักให้ได้ทุกลำทั้งเรือใหญ่เรือเล็ก ดุ๊กออฟเยนัวมาในกองน่า เปนน่าที่อินสเปกเตอ ไม่ใช่เปนผู้บังคับการกองทัพทั้งหมด กองบาลูนมาในกองนี้ ถัดนั้นถึงแบตเตอลชิปที่เปนเรือคู่กัน ๒ คู่ มีเรือเล็กตามลำละ ๔ เรือเล็กนั้นเปนเรือตอปิโดเปนต้น แล้วมีเรือกอง ๓ ลำ ที่เรียกว่า ๓ พี่น้อง เปนกองหลัง ดุ๊ก ด’ อะปรุสซี (อ่านดาปรุสซี) ที่เคยมากรุงเทพฯ สองครั้งมาในกองสองพี่น้องคู่ที่ ๒ เดี๋ยวนี้เปนแอดมิราลขึ้น รวมเรือทั้งหมด ๕๒ ลำ กองทัพนี้จะลงไปข้างใต้ ๒ วันมะรืนนี้จึงจะกลับ เจ้าแผ่นดินจะขึ้นบกเปนอย่างออฟฟิเชียลเวลาพรุ่งนี้ มะรืนนี้เวลาเย็นจึงจะข้ามไปเข้ากองทัพฟากข้างฝั่ง พ่อมีความพอใจเปนอันมากที่ได้เห็นวิธีรบเรือแลเดินกองทัพเรือ เจ้าแผ่นดินบอกว่าถ้าหากว่าไม่มีเรื่องเรือนี่แล้วไม่มีอะไรจะให้ดูทีเดียว นี่พอมาสบเหมาะเข้าได้ดีนัก พอหมดเรือรบแล้วก็พากันกลับลงเรือมาขึ้นเรือเรจีนาเฮเลนา น้ำในช่องนี้ช่างเชี่ยวเสียจริงๆ ป่วนวนเปนน่าวัดพนัญเชิงทีเดียว ทั้งเวลาไหลขึ้นแลเวลาไหลลง เทียบเรือยาก กลับขึ้นไปพักที่แคบิน ห้องที่เจ้าแผ่นดินประทับ ได้รับโทรเลขไม่มีสายอย่างมาโคนีจากดุ๊กออฟเยนัว แลดุ๊ก ด’ อะปรุสซี ส่งความเคารพ ได้ตอบโดยโทรเลขไม่มีสายนั้นเหมือนกัน กวีนเฮเลนาสั่งเจ้าแผ่นดินให้ขอตัดตั๋วไปรสนีย์ที่ปิดหนังสือไปถึงพ่อจากบางกอกไปฝากด้วย ผเอินหนังสือพระยาศรีส่งไปให้คอยที่เมสสินาไปส่งในเรือที่นั่งนั้นได้ตัดสแตมป์ได้ทันที ยังเปนธุระเล่นสแตมป์อยู่มาก ข้างเจ้าแผ่นดินก็ยังบ่นถึงเก็บเงินตรา พ่อรับว่าปีน่าจะได้ส่งทองออกมาให้ แต่ก็ประจวบกันกับข้างอิตาลี เขาจะออกใหม่ปีน่าเหมือนกัน

ห้องกินเข้าอยู่ข้างจะโปร่งสบายดีนั่ง ๑๘ คน ในบาญชีกับเข้ามีเหรียญเปนโล่ห์ตราของกวีนเฮเลนาด้านหนึ่ง รูปเรือด้านหนึ่ง เปนเหรียญยี่ห้อเรือลำนี้กลัดติดแถบสีน้ำเงิน แลมีขนมรูปเจ้าแผ่นดิน เวลาเลี้ยงกันเสร็จลงมาถ่ายรูปที่น่าเรือ เจ้าแผ่นดินเห็นกล้องถ่ายรูปในห้องนอนพ่อ อี๋ว่าเปนนักเลงถ่ายรูปด้วยกัน นัดจะถ่ายวันนี้ พอกินเข้าแล้วก็เรียกเอากล้องมาสพาย ถ่ายพ่อถ่ายอุรุพงษ์แลใครๆ ไปกว่าจะตั้งกล้องใหญ่แล้วเสร็จ กล้องที่ถ่ายนั้นเปนโกแด็กขนาดเล็ก แล้วจึงไปนั่งถ่ายรูปหมู่ ว่าเมื่อคราวกิงเอดเวอดมา ก็ได้รับแลถ่ายรูปกันเช่นนี้ โปรดว่าช่างถ่ายรูปคนนี้ถ่ายเก่ง ทั้งบนบกแลในเรือ ไม่ว่าแห่งหนตำบลใด ถ่ายรูปนับไม่ถ้วน ซิเนมะโตกราฟก็ยกเที่ยวตั้งถ่ายเอาใกล้ๆ ดูโปรดมากในเรื่องถ่ายรูป ไม่ห้ามปรามเลย พ่อเลยบอกว่า ขอให้หาซิเนมะโตกราฟส่งไปให้พ่อบ้าง วันนี้ได้ให้ดูรูปลูก ๓ คนน่าเอนดูดี

กิงวิกตอร์ เอนมันูเอลนี้ อัชฌาไศรยไม่ชอบข้างทางยศศักดิ์หรูหรา ชอบเงียบๆ ง่ายๆ พูดจาอะไรก็ตรงๆ ไม่มีท่วงทีที่จะทำอาการให้ผึ่งผายฤๅเปนชั้นเปนเชิง แลไม่ขี้โอ่เปนอันขาด จะแต่งเนื้อแต่งตัวอะไรก็พอสุภาพอย่างเดียว พ่อเปนที่ชอบใจมาตั้งแต่ที่ได้รู้จักคุ้นเคยกันมาแต่ก่อนแล้ว เปนเจ้าแผ่นดินขึ้นไม่ได้มีอาการอะไรปรากฎว่าผิดไปจากแต่ก่อนสักนิดเดียว การรับรองครั้งนี้เปนที่พอใจอย่างยิ่ง เปนการง่ายแลสดวกดี สบายใจด้วยกันเกินที่คาดที่หมาย เวลากลับมาเรือที่นั่งสลูต

ตอนเย็นวันนี้ เดิมคิดไว้ว่าจะไปเทาร์มีนา เจ้าแผ่นดินบอกพ่อว่า ไปเรือจริงก็จะไปได้ แต่ไม่มีอ่าวมีท่า ต้องหาฤๅเขาดูก่อนว่าจะไปได้ฤๅไม่ เกิดขึ้นทั้งนี้เพราะพ่อเบื่อรถไฟ แลขึ้นไปอยู่โฮเตลบนบก สู้อยู่เรือไม่ได้สบายกว่า แต่ครั้นมาหาฤๅกัปตันเข้าว่าจะไปลำบาก หาที่ทอดเรือไม่ได้ แล้วจะต้องลงเรือเล็กไปนานก็ลำบากเหมือนกัน จึงตกเปนอันจะต้องไปรถไฟ แต่พ่อก็เบื่อหน่ายในการย้อนไปย้อนมา ความคิดในเรื่องมาเที่ยว ซิซิลีนี้ มันเดินตามลำดับเดิมก็เปนข้อใหญ่ใจความจะมาพบเจ้าแผ่นดินในวันที่ ๘ แล้วจะออกเรือไปปาเลอร์โม กลับทางรถไฟ ไปเทาร์มินา แล้วจึงกลับมาลงเรือที่เมสสินา คราวนี้ได้ความว่ารถไฟนั้นไม่ดี แลหลายชั่วโมงนัก ตกลงเปนกลับทางเรือ ภายหลังเกิดขึ้นว่า โฮเตลที่ปาเลอร์โมยังไม่เปิด ที่เทาร์มีนาเปิดแล้ว ต้องไปเทาร์มีนาเสียก่อน แล้วจึงไปปาเลอร์โม เรื่องมันเดินมาจบอยู่เพียงเท่านี้ ก็ออกจากเนเปอลมา ครั้นมาลงเรือแล้ว พ่อเห็นที่อยู่ก็สบาย กินก็สบายเกิดไม่อยากขึ้นบก แต่ยังจำเปนที่จะต้องไปอยู่เทาร์มีนา เพราะเรือไปไม่ถึง เลยมาตกลงใจว่านี่จะย้อนไปย้อนมาทำไม ลงไปถึงเทาร์มีนาแล้วยังจะย้อนกลับขึ้นไปปาเลอร์โม ให้พะวักพะวนใจ จึงเปลี่ยนเสียใหม่ เปนไปปาเลอร์โม โฮเตลจะเปิดฤๅไม่เปิดก็ช่าง จะไม่ขึ้นอยู่บก ถึงเวลาก็ขึ้นไปเที่ยวจากเรือ จะสนุกอยู่ได้กี่วันก็ตาม กลับจากปาเลอร์โมมาแวะเมสสินา เที่ยวเมืองเมสสินา แล้วขึ้นรถไฟไปเที่ยวเมืองเทาร์มินา กลับลงมานอนเรือแล้วออกจากเมสสินาไปเที่ยวซาระคุสซา ออกจากนั้นไปมอลตา ทาง ๖ ชั่วโมง ตกลงเปนวนเวียนอยู่ตามเหล่านี้ ระยะวันเหลืออิกสามวันครึ่งฤๅสี่วันไปปอตเสด ความรู้สึกที่ได้ลงมาอยู่ในเรือช่างสบายเสียจริงๆ เตียงนอนแคบกว่าเรืออัลเบียน แต่ก็ยังนอนหลับสบายได้ ออกเรือจวนย่ำค่ำมืดแล้ว เรือพระที่นั่งเจ้าแผ่นดินอิตาลีสลูตให้อิกครั้งหนึ่ง พอธงลงกันพอดี

วัดใหญ่ที่เมืองปาเลอโม

วัดใหญ่ที่เมืองปาเลอโม

คืนที่ ๑๙๗

เมืองปาเลอร์โม

วันพุฒที่ ๙ ตุลาคม

เรื่องรับโทรเลขบางกอก สบใจดีก็ดี ถ้าสบเวลาขุ่นๆ ทำให้นอนไม่หลับได้ ไล่ไม่ไป มีวิธีที่จะไล่ได้แต่ต้องอ่านหนังสือ หนังสือนั้นต้องหาให้เบาที่สุด ถ้าหากว่ามีอะไรที่จะต้องคิด กลับไปช่วยให้ไม่หลับได้ ถ้าหากว่าเปนเรื่องเหลวเบ๋วอ่านไม่กินใจ เรื่องที่เรานึกอยู่นั้นก็ไล่ไม่ไป กลับเข้ามาแทรกในเวลาอ่านหนังสือนั้นร้ายใหญ่ ยิ่งเสียกว่าไม่อ่าน หาเรื่องอ่านยากเต็มที เรื่องนั้นต้องให้ผู้มีชื่อในหนังสือนั่นเขาพูดเขาคิดแลทำให้สะใจเรา อย่าให้เราต้องไปนึกว่าควรจะอย่างนั้นควรจะอย่างนี้ เมื่อคืนนี้หนังสือหมดเข้าออกจะอาละวาดแต่ก็หลับ รู้สึกเมื่อเรือทอดสมอในอ่าวเมืองปาเลอร์โม เวลาเช้าเจ้าท่าแลปรีเฟต์อะไรลงมาหาตามธรรมเนียม

เวลา ๕ โมงเช้าขึ้นบก ไปตามถนนตรงขึ้นไปถึงสวนน่าพระราชวังซึ่งไม่สู้จะใหญ่ แต่ที่ตั้งพระราชวังอยู่บนที่สูงขึ้นไปหน่อย พระราชวังนี้เปนวังของพระเจ้าแผ่นดินกรุงซิซิลีแต่ก่อนสืบๆ มา จึงมีการก่อสร้างเปนส่วนข้างเก่า แลที่เพิ่มเติมขึ้นใหม่ตามลำดับที่เปลี่ยนวงษ์เจ้าแผ่นดินผู้ครองเมืองซิซิลี เจ้าแผ่นดินซิซิลีที่อยู่ในปากคนพูดถึงเสมอนั้น คือโรเจอวงษ์นอรมัน ซึ่งเปนผู้มาทำความเจริญให้แก่เมืองซิซิลีมากในเมื่อคฤสตศักราช ๑๑๓๐ เกาะซิซิลีนี้มีเรื่องราวยืดยาวก่อนพระเยซูเกิดเปนหลายร้อยปี เดิมเปนบ้านหมู่เล็กน้อยชื่อต่างๆ แล้วภายหลังตกเป็นของกรีก ในเวลาเมื่อกรีกกำลังรุ่งเรืองอยู่ ครั้นเวลากรีกโทรมแล้วโรมันเจริญ ก็ตกเปนของโรมัน เมื่อโรมันโทรมลงตกเปนของแขกอาหรับ ที่เรียกว่าซาราเซนส์ ตอนนี้เปนเรื่องรบกันด้วยสาสนา พวกนอรมันต้นแซ่ของโรเจออาไศรยโป๊ปเปนหลักจึงได้ปกครองเมืองซิซิลี ต่อจากพวกนอรมันลำดับตระกูลไปตกอยู่ในเยอรมันเอมเปอเรอ แต่ไม่ใช่เยอรมันเดี๋ยวนี้ เยอรมันอย่างเก่า เจ้าแผ่นดินเยอรมันนั้นเปนเจ้าแผ่นดินสเปญ เพราะเหตุฉนั้นจึงเปนชาวสเปญปกครองเมืองในตอนหลัง อังกฤษเข้ามามีมือแทรกอยู่นิดหนึ่งในเวลาที่ต่อสู้นะโปเลียนโบนะปาต ภายหลังก็ตกเปนของเจ้าบัวรบงเชื้อวงษ์ฝรั่งเศส การปกครองในเวลานั้นไม่ดี บ้านเมืองเปนจลาจล จนถึงเมื่อเวลาจวนจะรวมอิตาลีเข้าเปนพระราชอาณาจักรอันเดียว ในรัชกาลที่ ๔ กรุงเทพฯ การิบัลดี (ซึ่งเปนหัวน่าราษฎรคิดรวมประเทศอิตาลีให้คืนคงเปนที่นิยมมากนั้น) มีคนพันเดียวมาตีได้หมดทั้งเกาะ แล้วยกเข้ารวมในอาณาเขตรอิตาลี ซึ่งยกเจ้าแผ่นดินวงษ์ซาวอย คือราชวงษ์ปัจจุบันนี้ขึ้นเปนเจ้าแผ่นดินอิตาลี

ฝีมือช่างที่วังนี้ ตอนข้างเก่าเปนฝีมือชาวนอรมัน คือเปนป้อมก่อด้วยศิลาสามชั้น ครั้นภายหลังมา เมื่อวงษ์บัวรบงมาเปนเจ้า ทำเพิ่มเติมต่อออกไปใหม่เปนฝีมือฝรั่งเศส ลักษณห้องหับก็เปนอย่างวังในเมืองฝรั่งเศส เจ้าแผ่นดินวงษ์ปัจจุบันนี้ไม่ได้ทำอะไรขึ้น เปนแต่แก้ไขห้องหับให้เหมาะแก่เวลา เจ้าแผ่นดินองค์นี้ก็ไม่ใคร่จะเสด็จขึ้นอยู่บนบกตามแถบนี้ มาก็มาอยู่เรือ ที่วังนี้อาจจะแลเห็นเมืองได้ตลอดจนถึงทเลทุกด้าน เสียงรถม้ากึกก้องไปรอบข้าง เพราะถ้าอยู่ที่สูงๆ เช่นนี้ได้ยินเสียงข้างล่างดังขึ้นมามาก ถ้าเปนที่สำหรับดูอะไรแลเห็นกว้างขวางดี แต่ถ้าเปนที่อยู่ไม่น่าจะสบาย แลวิไสยของวังไม่น่าจะอยู่สบายสักแห่งเดียว อย่างไรๆ ก็ดูเปนวัดเก่าๆ ซึ้งๆ ไปทุกแห่งไม่ใช่เปนเรือนอยู่

ที่ซึ่งสำคัญในวังนี้ ในตอนข้างนอรมัน ด้านหนึ่งเปนวัดฤๅหอพระในพระราชวัง สร้างแต่ครั้งโรเจอ เข้าทางเฉลียงภายใน ที่ผนังด้านหลังประดับลายโมเสก คือศิลาสีต่างๆ ปนกับกระจกทอง เปนรูปภาพสาสนา เมื่อเข้าประตูไปข้างในเปนโบสถ์หลังไม่สู้ยาวใหญ่นักแต่ประดับโมเสกทั้งพื้นแลผนังงามวิจิตรอย่างยิ่ง ด้านหนึ่งเปนแท่นบูชา ด้านหนึ่งเปนโทรนสำหรับเจ้าแผ่นดินนั่ง โทรนนั้นทำขึ้นใหม่เลียนของเก่า เขาก็เลียนเหมือนดี บรรดาฝีมือช่างในวัดนั้นวางลวดลายแลแบบอย่างแปลกกว่าที่อื่นหมด ไม่มีแห่งใดเหมือน คือมีกรีกนิดๆ โรมันน่อยๆ สีสรรลวดลายเปนแขก ดูปนกันอยู่ในนั้นทั้งสิ้น เว้นไว้แต่เพดานเปนเพดานไม้ ทำลวดลายยกนูน ไปข้างถานแขกอัลฮัมบรา มีเสาศิลาสูงเปนเชิงเทียนอันหนึ่ง สลักลายขึ้นไปรอบ การที่จะพรรณาฝีมือช่างของวัดนี้ ยากที่จะเขียนลงให้เข้าใจได้ แลดูเหมือนอย่างหุ้มด้วยเยี่ยระบับรูเซีย เพราะใช้ทองเปนพื้น ลายศิลาสีที่ประดับเหมือนดังยกเส้นไหม ที่กว้างก็เปนรูปพระเยซูปางต่างๆ ที่แคบก็เปนลาย แต่ลายนั้นเกือบจะเปนลายแขกทั้งหมด นอกจากนั้นมีห้องใหญ่ซึ่งปรากฎชื่อเสียง คือห้องเฮอรคิวลีส์เทวดามีกำลังคือพหลเทพ เขียนรูปเฮอรคิวลีส์รอบทั้งห้อง สำแดงกำลังต่างๆ นอกนั้นดูไม่อัศจรรย์อะไรที่ควรจะกล่าว เว้นไว้แต่ห้องที่แต่งอย่างปอมปิไอคือเมืองจมในขี้เท่าริมเขาวิสูเวียส ซึ่งขุดลงไปได้ลวดลายสีสรรยังคงอยู่นั้น

ออกจากวังนี้ ไปตามถนนที่ตัดตรงไปบนเขามนตเรอัลี (เขาหลวง) ทางไปตามพื้นราบตรงลิ่วประมาณสัก ๑๐๐ เส้นเศษ มีบ้านเรือนรายไปเกือบตลอด ถึงว่าตึกรามเหล่านี้ก่อด้วยศิลาไม่ใช้ก่อด้วยอิฐเลยก็เปนอย่างทำหยาบๆ เลวๆ คนจนอยู่ทั้งนั้น ในที่สุดทางขึ้นเขาไม่สู้ชัน ตำบลบ้านที่เชิงเขานั้นเรียกว่าบ้านโรเจอ ขึ้นไปขาดบ้านเรือน จนถึงที่ค่อยราบบนเขาจึงมีหมู่บ้านเรือน ตำบลนี้เรียกตามชื่อเขาว่า เรอัลี เปนที่ซึ่งตั้งวัดใหญ่ คะทีดรัลซึ่งสังฆราชอยู่ แต่เดี๋ยวนี้สังฆราชก็ไม่ได้อยู่ลงมาอยู่พื้นล่าง ไปหยุดกินเข้าที่เรสเตอรองต์ซึ่งตั้งอยู่ต้นทางพื้นราบ มีชานเปนที่แลดูอ่าวแลเมืองได้กว้างขวางตลอด อาหารทำดีพอใช้ แต่แมลงวันชุมเหลือเกิน ในเรือก็อู้ๆ ตั้งแต่แรกไปถึงเมสสินา จนกระทั่งมาจอดที่นี้ กินเข้าแล้วขึ้นรถไปอิกนิดเดียวก็ถึงวัด

วัดนี้รูปพรรณข้างนอกไม่งามอะไรเลย ไม่มีโดม ก่อผนังสี่เหลี่ยมขึ้นไปตั้งหลังคา แล้วชักมุขด้านหลังเปนกระโจม มุขข้างสั้น มุขน่ายาว ยกคอสองช่องกระจกสูงมาก ต่อเมื่อเข้าไปข้างในจึงจะแลตลิ่งมีเรื่องราวว่าการที่จะสร้างวัดนี้นั้น เจ้าแผ่นดินชื่อวิลเลียมที่ ๒ มีฉายาว่า “วิลเลียมดี” เปนหลานกิงโรเจอมาเที่ยวยิงนก แล้วมาเคลิ้มไปฝันว่านางมารีแม่พระเยซูมาบอกว่าเงินมีอยู่ที่ตรงที่ซึ่งสร้างวัดนี้จึงได้ขุดลงไป ได้เงินขึ้นมามาก เอาเงินนั้นสร้างวัด ศพวิลเลียมที่ ๑ ลูกกิงโรเจอ ซึ่งเปนพ่อ ที่มีฉายาว่า “วิลเลียมไม่ดี” ได้ฝังไว้ที่เฉลียงในโบสถ์นั้น ครั้นเมื่อวิลเลียมดีตาย ก็ได้ฝังไว้ใกล้กันกับศพพ่อ เรียงเข้าไปทางแท่นบูชา

ภายในโบสถ์นี้ประดับโมเสกไม่มีที่เว้นว่างเลย ผนังหว่างช่องกระจกคอสอง มุขน่า ทำเปนลายพระยะโฮวาสร้างโลก ตั้งแต่วันแรกไปจนวันที่ ๗ ซึ่งหยุดไม่ทำงาน ต่อนั้นไปเปนเรื่องอะดัมแลอิวาจนตลอดรอบ มีสินเธาว์กั้น ตอนล่างใต้สินเธาว์เปนระหว่างโค้ง หลังเสาเขียนเรื่องจับตั้งแต่โนฮาฤๅนัวต่อเรือน้ำท่วม จนกระทั่งถึงอะปรำ คราวนี้ออกไปจับปลายผนังเฉลียง ทำรูปพระเยซูปางต่างๆ จนตลอดในซุ้มกลาง ซึ่งตั้งแท่นบูชาเปนรูปพระเยซูอย่างเก่าๆ ซุ้มข้างเปนรูปอรรคสาวกปอลแลปิเตอ ที่แท่นบูชากลางนั้นมีแท่นเงินรูปโลงหล่อด้วยเงินเปนตัวโปนออกมาลอยๆ ฝีมือดีแต่เขากั้นไว้ด้วยไม้ แล้วมีแผงกรุด้วยตาดเงินตาดทองปิดข้างนอกไว้อิก ปลายมุขข้างด้านข้างหนึ่งมีวิหารเรียกว่าครูซิฟิกซ์ แชปเปลคือวิหารตรึงกางเขน ในนี้ไม่ใช้กระจก ใช้ประดับด้วยศิลาสีลายยิบไปหมดทั้งนั้น งามเสียจริงๆ เมื่อแลดูแล้วให้รฦกถึงวังในเมืองเดลีที่อินเดีย ฤๅตาชะมะฮัลที่เมืองอาครา ทำนองเดียวกันเช่นนั้นแต่ลายสู้นี่ไม่ได้ ห่างกว่าเพราะเปนที่ใหญ่ วิหารเล็กอิกวิหารหนึ่งเรียกว่าเซนต์อะไรคนหนึ่ง ซึ่งไม่ใคร่ได้ยินชื่อ ที่นี่ไม่สู้จะได้ใช้โมเสก ใช้ศิลาสี ประกอบกันเปนลวดลาย มีรูปปางของเซนต์คนนั้นทำอะไรต่างๆ รูปศิลาในวิหารนี้งาม วัดโรมันคาทอลิกเปนธรรมดายกอาศน์สงฆสูงตอนข้างใน เปนที่สำหรับพวกพระนั่ง มีเก้าอี้สองข้าง มีโทรนสังฆราชแลเจ้าแผ่นดินนั่งตรงกันข้างผนัง ที่สัปรุษทั้งปวงนั้นต่ำลงไป เปนธรรมเนียมเช่นนี้ทั้งนั้น ออกทางประตูน่าโบสถ์ ประตูนี้ใช้หล่อทองเหลืองเปนรูปภาพเด่นๆ บานข้างในเปนไม้ ทองเหลืองนั้นตอกตะปูติดเข้ากับบานไม้ คั่นเปนห้องๆ รูปภาพเก่ามาก เพดานเปนเพดานเห็นขื่อ เหมือนอย่างวัดพระแก้ว เขียนลวดลายสีสดๆ แลใช้ทองมาก คล้ายอย่างของเรา ออกทางน่าโบสถ์ เดินเลี้ยวไปหน่อยหนึ่ง เข้าทางประตูกุฏิ์ไปออกที่จงกรม เรียกกลอยสเตอ ลักษณที่จงกรมนี้ก็พระระเบียงนั่นเอง เหมือนพระระเบียงที่ล้อมพระเจดีย์ ความคิดในเรื่องพระระเบียงของเราก็เปนที่จงกรมอย่างเดียวกัน แต่เขาเอาชนกันเข้าทั้ง ๔ มุม กลางเปนสวนมีบ่อน้ำอยู่มุมข้างหนึ่ง เสาระเบียงนี้ใช้เปนเสาแฝดทำด้วยศิลา ลวดลายแลรูปพรรณต่างๆ กันหมด เดิมประดับโมเสก แต่ทหารฝรั่งเศสมาอยู่แกะเอาไปเสียมาก เหลืออยู่นิดหน่อย ต่อจากที่จงกรมไปอิกเปนหมู่กุฏิ์แถวซึ่งเดี๋ยวนี้ใช้เปนโรงเรียน ออกไปข้างหลังเปนสวน ไปจนถึงไหล่เขาสำหรับออกไปนั่งเล่นแลดูวิ้วได้ไกล แลดูภูมิประเทศของเมืองนี้เปนเขาสองข้าง พื้นแผ่นดินราบอยู่หว่างเขา บนเขาช่างแห้งแล้งเสียจริงๆ หาต้นไม้ใบหญ้าอะไรไม่ใคร่จะมี แต่ในพื้นแผ่นดินราบหว่างเขานั้นมีต้นไม้เขียวสดชื่น ล้วนแต่ต้นส้มแลมะนาวทั้งนั้น ส้มแลมะนาวที่ใช้ในประเทศยุโรปออกจากที่นี่มาก รศมะนาวแหลมกว่าที่อื่น ไม่เปรี้ยวเหมือนมะนาวของเรา แต่หวานน้อยกว่ามะนาวอื่นๆ ตามข้างเขาต่อขึ้นมาจากพื้นดินราบ ด้านข้างสวนวัดนี้มีต้นมะนาวงามๆ แต่เขาตามทางมานั้นแห้ง หาต้นไม้ไม่ได้ นอกจากต้นใบเสมาซึ่งเขาปลูกสำหรับกินลูก อ้ายลูกใบเสมานี้ ขายออกจากเมืองไปจนถึงเนเปอลแลโรม ใบเสมาใบหนึ่งมันออกได้หลายๆลูก ติดตุ่งติ่งน่าเกลียดกินก็ไม่เปนเรื่อง รูปร่างทำนองลูกยอ แต่มีหนามจุกๆ อยู่ตามช่อง ถ้าเวลาแก่จัดสีเหลืองหวานเอือนๆ ถ้าไม่จัดสีออกขาวๆ หวานปะแล่มๆ ข้างในมีเมล็ดเต็มไปอย่างกล้วยตานี แต่เปนเมล็ดดำๆ เหมือนพรรณผักกาด ถ้าจะขืนกินไม่กินเมล็ดด้วยก็เหลวจอดหมด ลูกใบเสมาที่นี่ช่างมากมายเสียจริงๆ กองขายตามถนนทั่วทุกหนทุกแห่ง เด็กๆ ชอบกิน เห็นกำลังแทะกันอยู่โดยมาก แต่ออกจะไม่ถือกันว่าเปนลูกไม้เลว โต๊ะเครื่องเจ้าแผ่นดินอิตาลียังมี การที่จะปอกต้องระวังหนามอ่อนๆ อาจจะตำมือได้ การปลูกต้นใบเสมาที่นี่เปนปลูกต่างสัปรสทีเดียว

สิ่งซึ่งเปนของสำหรับแต่เมืองนี้แห่งเดียวที่แลเห็นนั้น คือเกวียนไม้อย่างไม่มีสปริงที่ใช้บรรทุกศิลาแลอะไรๆ อยู่ในบางกอก มีพนัก ๒ ข้าง พนักนั้นปิดกระดาษลายเปนรูปภาพพงษาวดารแลอะไรต่างๆ สีหรู จะเทียมม้าก็ตาม ฬาก็ตาม เครื่องแต่งตัวหรู บังตาหุ้มโหมดเทศ แลมีภู่สีแดงๆ ตั้งเปนกระโจมขึ้นไป เก่าฤๅใหม่ก็ตาม คงจะใช้เครื่องอย่างเดียวกันทั้งนั้น ไม่ใช้แต่สำหรับขนของ คนขี่ก็ใช้เกวียนเช่นนี้ ดาดดื่นไปทุกถนน น่าสงสารแต่ฬาตัวเล็กๆ บางตัวสูงกว่าแพะสักสามสี่นิ้ว ลากเกวียนคนขี่ตั้งสองคนขึ้นไปหาสี่คน ที่ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นถึงลากเกวียนบรรทุกศิลาเต็มเกวียนก็ไหว ที่ใช้ขี่ก็มาก ถ้าขี่คนเดียวคงจะมีต่าง นั่งคร่อมต่างตามแต่จะนั่ง ยกเสียอย่างเดียวแต่ไม่หันหลังไปหาหัวลาเท่านั้น บางทีขี่สองคนสามคนก็ได้ นั่งตั้งแต่หัวตลอดหาง ตีนห่างดินสักคืบเศษ ตอนตั้งแต่วังลงมา เปนถนนอย่างฝรั่งแต่แคบๆ เปนที่สำหรับมากรอกันอย่างบุลวาร์ด ร้านก็เปนร้านฝรั่งขายของฝรั่ง ยังไม่ปรากฎว่าอะไรเปนของที่สำหรับเมืองนี้ ตอนข้างล่างผู้คนมาก เดินเบียดเสียดกัน มีที่ก่อสร้างแต่โบราณต่างๆ หลายอย่างอยู่ แต่ยังไม่ได้ดู ได้แวะร้านสมุดเพื่อจะซื้อหนังสือมาอ่าน เลยซื้อได้รูปจำลองโมเสกที่วัด ๙๐ แผ่นเปนราคา ๗๐๐ เลียร์ ทำดีมากเห็นว่าควรจะเปนที่รฦกของเมืองปาเลอร์โมได้ มีเหลืออยู่อิก ๕ สำรับเท่านั้น แต่กลับออกมาจากร้านคนดูโนราเต็มที่ เสลือกสลนลนลานตามแบบของพวกอิตาเลียน กลัวว่าต่อไปจะเที่ยวยาก มันจะตอมกันซ่าๆ ตามเคย ข้อที่กล่าวว่าไม่มีคนขอทานไม่จริง ได้พบวันนี้หลายคนวิ่งตามรถ

ลืมกล่าวถึงได้แวะดูสวนส้ม ชั่วแต่ขับรถผ่าน ใช้ปลูกร่อง แต่ร่องตื้นๆ ถี่ๆ ต้นไม้ไม่ได้ปลูกบนอกร่อง ปลูกในท้องร่องเหมือนปลูกอ้อย ส้มแลมะนาวต้นโตๆ มาก โคนถึงสองกำฤๅกว่า ท่าที่ขึ้นริมทเล ลงเขื่อนศิลาเรียบร้อยดี ถนนก็กว้าง แต่ยังไม่ได้เที่ยว เปนแต่ขึ้นลงตรงไปตรงมา ได้เห็นต้นทับทิมสองแห่ง ที่โรมแห่งหนึ่ง ที่นี่แห่งหนึ่ง ต้นโตๆ เท่าต้นฝรั่ง ลูกดกเต็มทั้งต้น สีแดงงามไม่ใคร่จะไหม้ เห็นจะเปนด้วยแดดอ่อนกว่าเราหน่อยหนึ่ง กลับลงมาเรือเวลาพลบ

แตงที่จดไว้ว่าแตงโมนั้นผิดไปเสียแล้ว วันนี้เขาเลี้ยงที่เรสเตอรองต์ไม่ใช่แตงโม เปนแตงไทย แต่ไม่มีกลิ่น เนื้อบาง รศไม่ใคร่จะดีสู้ของเราไม่ได้

คืนที่ ๑๙๘

เมืองปาเลอร์โม

วันพฤหัศบดีที่ ๑๐ ตุลาคม

วันนี้ขึ้นบกสายกว่าวันก่อน ตรงไปแวะที่ร้านตุ๊กตา ซึ่งปั้นรูปชาวเมืองนี้ด้วยดิน แลประดับศิลาสลับสี ซึ่งเปนของทำในพื้นเมือง ร้านเล็กนิดเดียว ตั้งล่ออยู่ริมปากตลาด ได้ซื้อหลังโต๊ะศิลากลางประดับเปนรูปเกวียนแผ่นหนึ่ง ที่จริงราคาก็ถูก เปนเงินประมาณสัก ๙๐ บาทเท่านั้น ซื้อตุ๊กตาทั้งผู้หญิงผู้ชาย แลซื้อเกวียนทำด้วยกระดาษ เปนรูปเกวียนเมืองนี้ที่หรูนั้น ซื้ออะไรอยู่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น คนมาดูโนราแน่นเต็มน่าร้าน ที่จริงจะว่าเขาดูถูกดูแคลนก็ไม่มี พบเข้าก็คำนับ แต่คำนับแล้วก็เข้ามาจ้อง ใกล้เข้ามาทุกทีๆ จนตกลงเราอยู่ในกลางวง ถ้าไม่หลีกไปก็เบียดกันจนถึงตัว การเบียดเช่นนี้เปนสันดานของพวกอิตาเลียน จนกระทั่งเวลาเจ้าแผ่นดินของเขาเองเสด็จ ตำรวจภูธรก็ต้องยืนหันหน้าออกข้างนอก กางแขนเอามือชนกันคอยดันคนที่รวนจะแคบเข้ามา เจ้าแผ่นดินองค์นี้เมื่อยังเปนปรินซออฟเนเปอลอยู่เคยพูดกับพ่อ ว่าพวกอิตาเลียนไม่ฉลาดหากินเหมือนชาวสวิส ที่จริงที่ดูในอิตาลีมีมาก ไม่มีใครคิดอ่านที่จะคอยนำคนต่างประเทศเที่ยวดู แลไม่รู้จักทำของขายชาวต่างประเทศเช่นพวกสวิส ไม่รู้จักต้อนรับแขก ใครมาก็มีแต่จะรุมดูไม่ปรานีปราไสย จึงหาเงินไม่ใคร่จะได้ จนตามกัน เหมือนพวกสวิสเขาฉลาดในการที่จะพาคนต่างประเทศเที่ยว หาของขายแลต้อนรับแขก ตั้งแต่คนแก่ลงไปจนเด็กเห็นใครเดินผ่านไปก็โบกไม้โบกมือยิ้มแย้ม ร้องทักทายปราไสย คนของเรามันทำไม่เปนเช่นนั้น จึงได้จนดักดานอยู่ เช่นนี้หาไม่จะหาเงินเข้าเมืองได้ปีละมากๆ คำที่ว่านี้เปนความจริงแท้ๆ ไม่ใช่ตอมแต่เฉภาะพ่อที่ว่าเปนเจ้าแผ่นดิน ใครแปลกหน้าเปนคนต่างประเทศมาแล้ว ถูกตอมด้วยกันทั้งนั้น ตอมเหมือนแมลงวันตอม ไม่เจ็บไม่ปวดอันใดเปนแต่ให้รำคาญเท่านั้น พ่อเห็นน่าร้านแน่นต้องเลยเลิก ให้รีบขับรถไป วันนี้แดดร้อนจัดจนเปิดประทุนไม่ได้ ขึ้นไปตามถนนสายยืน ฤๅถนนรี แล้วเลี้ยวถนนขวาง เกือบสุดถนนขวาง จึงกลับลงริมทเล อันที่จริงถ้าหากว่าจะไม่ไปเช่นนั้นก็ได้ แต่วิไสยคนนำทางแลคนขับรถมันอยากจะอวดว่าได้นำเจ้าแผ่นดินแลได้ขับรถเจ้าแผ่นดิน พูดไม่รู้แล้ว ถ้าคนมากที่ไหนยิ่งอยากไปทางนั้น ถ้ายิ่งเห็นใครถ่ายรูปเปนต้องรอ เพราะรูปตัวเองจะได้อยู่ในนั้นด้วย ที่จริงวันนี้มีเหตุอยู่นิดหนึ่งซึ่งจำจะต้องไปตามถนนรี เลี้ยวถนนขวาง เพราะเหตุที่ไปร้าน ถ้าไม่เช่นนั้นจะต้องกลับรถลงไปริมทเล แต่ก็นิดเดียวเท่านั้น พ่อยอมให้ไปทางถนนรีถนนขวาง ด้วยยังไม่ได้เห็นถนนขวาง เมืองนี้ความเจริญมันมาถึงช้าไปกว่าเมืองอื่นๆ เห็นปรากฎได้ง่าย ถนนที่เปนท่าค้าขายที่ผู้ดีอยู่ตึกงามๆ ไปอยู่ในถนนเก่าที่แคบ ส่วนถนนที่ทำขึ้นใหม่กว้างขวางงามดี เปนตึกเลวๆ คนจนอยู่โดยมาก ที่ไปวันนี้เลี้ยวลงริมทเล แล้วไปที่ปลายแหลม เขา มนต์ เปลเลกรีโน ยังไม่ถึงเขา ตกลงมาข้างริมน้ำ เรียกว่าตำบลอียิอา มีโฮเตลอยู่ณที่นั้น ก่อด้วยศิลาเหลือง หลังใหญ่โตมาก มีชานแลกระพักเปนคั่นๆ ลงไปตลอดจนถึงทเล เปนที่เหมาะดีที่อยู่ตรงปลายแหลมของท้องคุ้ง ซึ่งเมืองปาเลอร์โมตั้ง เงียบสงัดยกไว้เสียแต่เสียงทำงานที่อู่เรือ ซึ่งอยู่ใกล้กันสักหน่อยหนึ่ง โฮเตลนี้เปนที่เขาหาไว้สำหรับพ่อจะขึ้นพัก แลยังไม่ได้เปิดจริงๆ กำลังทำงานซ่อมแซมอยู่โดยมาก เปิดแต่เฉภาะห้องที่จัดไว้จะไปอยู่กับห้องนั่งข้างล่าง เพราะเปนโฮเตลที่เขาเปิดฤดูหนาว การเที่ยวเมืองซิซิลีของฝรั่งเขาเที่ยวกันฤดูหนาว คือหนีจากเหนือลงมาข้างใต้ ด้วยอากาศธรรมดาในฤดูหนาวถึง ๗๐ ฟาเรนไฮต์ได้ เวลาหนาวมากที่สุดก็เพียง ๕๕ มีอยู่ในราวสัก ๗ วันฤๅอย่างไรเท่านั้น จึงเปนตำบลที่เขาเรียกว่า วินเตอ ริซอร์ต คือที่มาอาไศรยในฤดูหนาว เมื่อถึงฤดูสปริงก็เลื่อนขึ้นไปจนกระทั่งถึงนอรเว ในกลางฤดูซัมเมอ แล้วก็เลื่อนกลับลงมาจนถึงมาวินเตอข้างล่างนี่อิก ผู้ที่ต้องการอากาศเสมออาจจะเลื่อนที่ขึ้นลงตามฤดู ให้เย็นพอดีตามความนิยมอย่างฝรั่งได้เสมอ แต่ถ้าเราเดินแบบนั้น เราคงรู้สึกว่าหนาวไป นี่เพราะเหตุที่เราหนีรุดลงมาเรวเกิน จึงมารู้สึกว่ายังร้อนอยู่เปนอันมาก ต่อเดือนน่าจึงจะเริ่มเปลี่ยนฤดูเปนออตัม แต่วันนี้เปิดน่าต่าง แลออกไปนั่งเล่นอยู่กลางแจ้งยังรู้สึกร้อน แต่มันไม่ร้อนเหื่อโทรม ยังไกลกันกับของเรามาก อาหารก็ดี เปนที่กิงเอดเวอด เสด็จมาเสวยที่นี่ เขายังเอารูปมาให้ เปนรูปคิงเอดเวอดยืนอยู่ในกลางสวน ช่างถ่ายรูปก็มาคอยตอมแจอยู่ กินเข้าแล้วลงไปเดินเล่นข้างล่างถูกถ่ายรูปเปนอันมาก นอกจากเรื่องถูกถ่ายรูปแล้วไม่มีผู้มีคนสบายดี ถ้าเราขึ้นไปอยู่บกก็กลายเปนวังของเรา ไม่มีคนอื่นแปลกปลอม พ่อช่างชอบเสียจริงๆ อยากมีที่ไหนที่ริมทเลสักแห่งหนึ่งให้เหมือนเช่นนี้ ไม่ต้องใหญ่โตถึงเท่านี้ พอได้มีฤดูเปลี่ยนออกไปอยู่ริมทเลจะสบายมาก ถูกกับคำแนะนำของหมอ ที่อยากจะให้มีเวลาออกไปอยู่ริมทเลเช่นนั้นด้วย แต่เปนเรื่องที่ควรเรียกว่า ๓๒ เล่ม[๒๓๔] งดไว้เสียทีหนึ่ง จะเล่าเรื่องอื่นต่อไป

เวลาบ่ายแดดอ่อนลงแล้วขึ้นรถไป ลาฟาโวริตาเปนป๊าก ต่อออกไปข้างเขาเปลเลกรีโน ป๊ากนี้ไม่ใช่เปนหมู่ต้นไม้ใหญ่โต เช่นบัวเดอบุลอยน์ เปนถนนแคบๆ ไปหลายสายมีทางแยก ข้างถนนปลูกต้นไม้ เดิมก็เห็นจะเปนต้นไม้ใหญ่ตลอด แต่ล้มตายก็ไม่เห็นเปลี่ยน ปล่อยให้โหว่แหว่งอยู่เช่นนั้นแล้วปลูกไม้เล็กๆ แซมในระหว่างไม้ใหญ่ให้ทึบ ตัดกิ่งที่ออกทางถนนให้เปนกำแพง มีเชิงแลมีผนัง ข้างบนเปนรูปโค้งประทุน เปนทีเหมือนหนึ่งว่าจะให้เปนเดินไปในปล่องต้นไม้ร่มเสมอตลอด แต่หาสำเร็จตามความประสงค์เช่นนั้นไม่ โหว่แหว่งไปต่างๆ บางแห่งก็ได้รูปตามความคิด บางแห่งก็ไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรๆ ก็ดูสบายดีอยู่ ในหว่างถนนฤๅหลังไม้ที่เปนกำแพงริมหนทางนั้นเข้าไปไม่ได้ เปนหมู่ไม้ใหญ่ปลูกชิดกันให้เปนป่าเช่นที่อื่น เปนสวนเปนไร่เพาะปลูกอะไรๆ ไปตามเพลงเหมือนอย่างที่อื่นๆ ในที่สุดของถนนสายหนึ่งนั้นไปลงที่ลานกลมน่าวัง ฤๅตำหนักที่เรียกว่าเก๋งจีน สร้างขึ้นเมื่อเจ้าแผ่นดินวงษ์บัวรบง เฟอร์ดินันด์ที่ ๑ ไม่ช้าเท่าไร รูปพรรณสัณฐานที่ว่าเปนเจ๊กนั้นมันไม่เปนเจ๊ก มันลงกันกับฝรั่งทำเรือนเจ๊ก ฤๅเจ๊กทำเรือนฝรั่ง กลายเปนแบบเดียวกันไปได้ ถ้าจะเทียบให้เหมือนที่สุดแล้ว เรือนกงเต๊กซึ่งเจ๊กตั้งใจจะทำให้เหมือนตึกฝรั่ง น่าจุดไฟเปนที่สุดที่แล้ว[๒๓๕] ตึกนี้ทำเปน ๔ ชั้น แต่มันคอดๆ กิ่วๆ ขึ้นไปข้างบนจนเหลือแต่ห้องเดียว จะเปน “ถะ” ก็ไม่ใช่เปนเรือนก็ไม่เชิง สู้ฝรั่งที่เขาเลียนเจ๊กในเวลานี้ไม่ได้ เพราะคุ้นเคยเห็นมากขึ้น นั้นมัน ๑๐๐ ปีมาแล้ว ยังเห็นรัวๆ รางๆ ชั้นล่าง ๓ ห้องเปนห้องรับแขกอยู่กลาง ที่เปนของเจ๊กแท้มีแต่แพรปักที่ปิดฝาผนัง นอกนั้นก็อะไรต่ออะไรสมมุติขึ้นว่าเปนเจ๊ก เขียนรูปเจ๊กที่เพดานก็งิ้ว เปนที่นอนข้างหนึ่ง ที่เสวยข้างหนึ่ง ที่นอนนั่นพิฦกกึกกือ ถึงมีเสาศิลาตั้งข้างใน หน้าตาเจ๊กที่เขียนแต่มันก็ออกเปนฝรั่งๆ เปนแต่ให้หนวดเหยียดเสียเปนแล้วกัน ชั้นบนขึ้นไปเปนที่พระมเหษี กลายเปนห้องเตอรกี เปนห้องปอมปิไออะไรยุ่ง ซุกซุกซิกซิก ดีอย่างเดียวแต่ขึ้นไปบนนั้นแล้วแลเห็นภูมนิเทศโดยรอบแจ่มแจ้งทั่วถึง ด้านใต้แลเห็นเมืองปาเลอร์โมตลอด จนถึงเมานต์เรอัลี ซึ่งเยื้องไปข้างตวันตกหน่อยหนึ่ง ข้างตวันตกเปนแนวเขายาวเรียกว่ามนต์บิลเลียมี ข้างเหนือ มนเตคัลโล ข้างตวันออก เขาเปลเลกรีโน ในระหว่างเปลเลกรีโนกับมนเตคัลโลเปนอ่าวอันหนึ่ง ถ้าว่าโดยทางแลฤๅทางลม โดยนึกว่าที่นี้เปนเมืองร้อนแล้ว ที่ซึ่งเลือกสร้างวังนี้ดี แต่วังเองนันไม่เปนรศ อยู่ไม่ได้ สำหรับเผากงเต๊กเท่านั้น ด้านข้างหลังมีสวน ปลูกต้นไม้เล็กๆ ผูกเปนลาย เรียกว่าลายเจ๊กแต่มันก็ไม่ใช่เจ๊ก มีเจ๊กอยู่บ้างบางลาย นอกนั้นมันก็เปนโค้งต้นกุหลาบแลอะไรฝรั่งๆ ปลูกต้นปาล์มรอบเรือนเปนทีว่าต้นไม้เจ๊กหน้ามันก็ไม่เปนเจ๊ก อยู่ในยุ่มย่ามทั้งนั้น

ออกจากนี้กวดขันกันให้กลับทางริมทเลให้ได้ จึงเปนที่ตกลง ตอนที่ข้างริมทเลนี่เปนเมืองใหม่ๆ ถนนกว้าง ปลูกเปนวิลลาบ้างก็มี แต่ก็ปนกันกับรุงรังต่างๆ ในเมืองนี้ ถ้าหากว่าไปตามถนนสายไหนก็ตาม เห็นร้านขายลูกยอ คืออ้ายลูกเสมากระบองเพ็ชรซึ่งรูปร่างเหมือนลูกยอ น้อยกว่า ๒๔ ร้านเปนไม่เปนมงคล ไม่ว่าทางไหนใหญ่เล็กใกล้ไกล คงจะมืร้านขายลูกยอ ยายแก่นั่งคลำป้วนอยู่ เด็กๆ ยืนกัดกินแก้มปุ่ยๆ บางที ๕ ร้าน ๖ ร้านติดๆ กัน คำที่เรียกว่าร้านนี้เข้าใจว่าอย่างไร? กระดานแผ่นเดียว เอาลูกยอกองพูนๆ ขึ้น นั่นและเรียกว่าร้านหนึ่ง มันช่างกินกันเสียกวนโมโหโทโส ลืมกล่าวถึงเรื่องไร่ฤๅสวนลูกยอนี้ ใช่ว่าจะปลูกแต่บนเขาเช่นที่เห็นเมื่อวานนี้ ทำกันเหมือนนาในพื้นแผ่นดินราบ หว่างต้นไม้ในป๊ากก็ปลูกอ้ายนี่ ทุ่งว่างๆ สู้กั้นกำแพงศิลา แล้วปลูกอ้ายนี่จนแลสุดลูกหูลูกตา สังเกตดูว่าวิธีที่ทำนั้นพูนเปนอกร่องต่ำๆ แล้วเอาปลูกหว่างร่อง ดินที่ปลูกดูเหมือนจะชอบดินที่มีสีแดงๆ เขาเรียกว่าเลเธอไรต เช่นไร่พริกไทย ถ้าแถบจันทบุรีแลเมืองตราดปลูกคงขึ้นดี แต่ในเมืองไทยใครจะกินนั้นเปนที่น่าสงไสยอย่างยิ่ง ลูกมันดกมาก ได้เห็นบ่อยๆ ในใบเสมาใบเดียว มีลูกเกาะกว่า ๓๐ น่าเกลียดรูปร่างที่มันเกาะอยู่กับต้น การที่จะเก็บลูกดูจะไม่ใช่ง่าย เพราะมันเปนหนามไปทั้งนั้น ถามดูชื่อหมายว่าจะเรียกอะไรพิศดาร ดังขลุกขลัก ก็แปลว่าต้นมีหนามเท่านั้น พ่อได้สั่งให้เขาหาที่มันมีรากแล้วให้สักใบหนึ่ง จะเอาไปปลูกไว้ที่บางกอก ทั้งรู้ว่ามีอยู่แล้วเช่นนั้น จะลองดูว่ามันจะมีใบปีละสักกี่ใบ

วันนี้หมอเบอร์เคอซึ่งจะเข้าไปบางกอกด้วยนั้นมาถึง ได้ดูรูปถ่ายจากคทีดรัลที่ซื้อเมื่อวานนี้พร้อมกัน เห็นว่าซื้อได้ถูกอย่างยิ่ง ตกลงกัปตันรับว่าจะต่อหีบบรรจุ เพื่อจะไม่ให้กระจัดกระจายแลชำรุด วันนี้ร้อนเต็มที ถึงปราศจากเสือยืดด้วยกันหมดแล้ว หนังสือเมล์ได้ข่าวโทรเลขว่าอยู่เทาร์มีนา เขาถามว่าจะให้ส่งฤๅ กลัวจะพลาด หนังสือจะเที่ยววิ่ง จึงสั่งให้เอาคอยไว้ที่เมสสินา

คืนที่ ๑๙๙

เรือพม่า เดินทางไปเมสสินา

วันศุกรที่ ๑๑ ตุลาคม

วันนี้ชายบริพัตรกลับมาจากไปช่วยการศพแกรนด์ดุ๊กออฟบาเดน บอกข่าวว่าตั้งแต่มิลานขึ้นไป หนาวจัดแล้ว ถึงต้องติดไฟ ฝนตกพร่ำเพรื่อเสมอ ไม่มีแสงพระอาทิตย์ การแห่ศพก็ต้องแห่ทั้งฝน แกรนด์ดัชเชสยังแขงแรง ไปในการฝังศพได้ แต่แกรนด์ดุ๊กแลแกรนด์ดัชเชสใหม่เหนื่อยเต็มที ที่ต้องไปรับเจ้านายตั้งแต่ที่เปนรอยัลไฮเนสขึ้นไปถึงสเตชั่นทุกๆ องค์ แลพาไปส่งจนถึงห้องทั้งนั้น ปรินซแม็กซ์เปนผู้คอยรับประจำอยู่ที่สเตชั่น เอมเปอเรอแลลูกไปทั้งหมด กิงออฟซักซอนนีแลเวอรเต็มเบิคก็ไป เจ้านายมาก แต่บริพัตรไปไม่พบรังสิต ลงมาเยนัวเสียแล้ว จึงได้ไปพักอยู่มันไฮม ไม่ได้ไปไฮเดลแบ็กดังเช่นที่คิดไว้แต่ก่อน รังสิตก็มาถึงวันนี้ ลงมาอยู่ที่เยนัวกับเพ็ญ เพ็ญนั้นจะไปที่ซึ่งหมอแนะนำไม่ได้เขาปิดเสียแล้ว จึงลงมาคอยอยู่เยนัว น่าเสียดาย ถ้าเพ็ญได้มาที่นี่จะสบายดีกว่าที่เยนัวเปนอันมาก เวลานี้กำลังปรอด ๗๐ อยู่เสมอ ตั้งแต่มาดูเหมือนไม่มีที่ไหนสบายเท่า

ขึ้นบกไปกินเข้าที่โฮเตล วิลลา ธิยีอา แล้วนั่งเล่นจนตกบ่ายจึงได้แยกเปนสามกอง พ่อกับจรูญ สิทธิ์ อุรุพงษ์ไปมิวเซียม ให้บริพัตรกับรังสิตไปดูคทีดรัลมนเรอัเล ดุ๊กนั้นไม่อินเตอเรสต์อะไรเลย ดูไม่สนุกเต็มที จึงปล่อยให้ไปเที่ยวซื้อของ แยกกันไปคนละขาดังนี้

ส่วนพ่อไปแวะถ่ายรูปร้านลูกยอกลางทาง ผเอินฟิล์มเหลืออยู่แผ่นเดียว จะเปลี่ยนใหม่ก็ไม่ไหว พอย่างลงไปจากรถแมลงวันก็ตอมแน่น แต่ไม่ใช่แมลงวันจริงๆ เปนแมลงวันคน เจ้าของร้านหมายว่าเราอยากกิน พอไปถึงก็เรียกเข้าไป หยิบลูกยอมาตัด วิธีที่ทำดูง่ายดายดี เอามีดตัดหัวตัดท้ายเสีย แล้วกรีดเปลือกตามยาว แบะออกข้างในก็เปนอันสำเร็จ “รับประทานได้” สีสรรคล้ายกล้วยหักมุกเผาอย่างเฟอะเฟอะ พ่อบอกให้เด็กที่ตอมอยู่นั่นกิน เจ้ามือไวฉวยได้ยัดเข้าปากทันที เจ้าของร้านเอามาปอกใหม่อิกลูกหนึ่ง คราวนี้เจ้าพวกเด็กๆ รู้ที จ้องอยู่ด้วยกันหมด พอใช้ใบ้บอกว่าให้กินเถอะ ก็ตะครุบหลายมือด้วยกัน คนที่ไวที่สุดฉวยได้ ใส่ปากหมดทีเดียว น่าสงสารเด็กช่างหลายมือชอบเสียจริงๆ ถ้าหากว่าเปนในหัวเมืองไทยเรา ฤๅในหัวเมืองมลายู จะซื้อเลี้ยงเด็กอย่างเช่นเคยเลี้ยงบ่อยๆ นี่ครั้นจะไปเลี้ยงเข้าไม่รู้ว่าผลจะเปนอย่างไร จึงเลยตกลงกลับมาขึ้นรถไปพิพิธภัณฑ์สถาน ที่พิพิธภัณฑ์สถานนี้เปนตึกโบราณก่อด้วยศิลา ๓ ชั้น เปนตึกแถวบรรจบกันวงรอบ มีที่ว่างอยู่กลาง เปน ๒ ตอน ชั้นล่างเปนเครื่องศิลา รูปภาพสลักแลภาชนะต่างๆ เรื่องสาสนาเปนพื้น จัมเดิมแต่ก่อนคฤสตศักราช ๖๐๐ ปี ๗๐๐ ปีลงมา เทียบอยู่ในราวเวลาพุทธกาล เปนของกรีกบ้าง โรมันบ้าง มากกว่าอื่นนั้นคือหีบที่บรรจุกระดูกฤๅศพ เพราะชาวโรมันใช้เผาศพเก็บแต่กระดูกฝัง ส่วนที่เปนหีบจนถึงฝังได้ทั้งตัวนั้นมีน้อย ภาชนะที่สำหรับฝังเช่นนี้ใช้เปนรูปโลงสั้นๆ ทำด้วยศิลาสลักเปนรูปคนโปนขึ้นมาจากพื้น มีเทวรูปซึ่งเปนที่เคารพตั้งแต่ยุปิเตอเปนต้นหลายรูป ตลอดมาจนชั้นหลังถึงรูปมารี ตึกพิพิธภัณฑ์ชั้นที่ ๒ เปนของต่างๆ เปนเครื่องศิลา, เครื่องเหล็ก, ทองเหลือง, ทองแดง, ถ้วย, แลเครื่องเรือนแพรปักต่างๆ อยู่ข้างจะเปนมิวเซียมสามัญ ของที่มีอยู่ในนั้นก็เปนกรีก, โรมัน, นอรมัน, ซาราเซน, เปนพื้น ชั้นบนไว้รูปภาพ รูปภาพนี้โบราณขึ้นไปไม่มีอะไรนอกจากเรื่องศาสนา แต่มีรูปภาพใหม่ปนอยู่บ้าง จนถึงรูปภาพที่เขียนปี ๑๘๙๑ ก็มี ผู้นำพยายามมากที่จะอธิบายในภาษาอังกฤษ แต่เปนภาษาอังกฤษที่เขานึกใส่ใจขึ้นเองว่าควรจะเปนเช่นนั้นเช่นนี้ อธิบายรูปแผ่นใหม่นี้พ่อไม่เข้าใจเลย ได้ให้สิทธิ์แลจรูญผลัดกันฟังตามลำดับ ก็ฟังไม่เข้าใจ ไล่เลียงหล่อหลอมล่อดักดูว่าบางที่จะโดนทางโน้นทางนี้ไม่สำเร็จเลยต้องลา แต่ที่ได้ความนั้นก็โดยมาก มีรูปฉากที่เขียนดีอยู่แผ่นหนึ่ง เปนรูปมารีอุ้มพระเยซูนั่งบนแท่นเขียนดีเสียจริงๆ เลอียด ทั้งสีสรรก็งาม เอาไปซ่อนไว้ในห้องเล็ก ไปดูอยู่เปนนานจนจะกลับออกมา จึงได้เรียกไว้ให้รอก่อน พลิกหลังมาให้ดู เปนรูปอะดัมแลอีวาอยู่ในสวน เขียนดีอิกอย่างวิเศษ เมื่อดูตลอดแล้วออกจากมิวเซียมไปสวนที่ริมทเล สวนนี้เปนสวนสำหรับเมือง คนขับรถมันกะผลีกะผลาม เวลาจะหยุดเอาล้อข้างขวาเข้าไปชนคันทางคนเดิน ม้าตัวข้างขวาก็เหยียบสูงข้างหนึ่งต่ำข้างหนึ่ง หลบซวนไปโดนตัวข้างซ้ายล้ม เคราะห์ดีที่ถึงแล้วเรารีบลงได้ทันที งัดปล้ำกันเท่าไรก็ไม่ขึ้น ปลดเครื่องหมดจึงได้ลุกขึ้นได้ เปนแผลที่รักแร้แผล ๑ สวนนี้ตัดวงกลมที่ตรงกลาง ตั้งนาฬิกาแดดมีน้ำพุล้อมรอบ มีเก๋งฝรั่งสี่ด้าน คราวนี้ตัดทางออกจากวงกลมกลางนั้นเปนกางเขนแลสับหว่างกางเขนดูเปนเข็มทิศ ต้นไม้ก็ไม่สู้มีอะไรนัก คนไปเดินอยู่ในนั้นก็น้อย ไม่มีที่กินน้ำร้อนน้ำชาอะไร ออกจะร้อนๆ เลี้ยงสัตว์มีแต่นกแลไก่ห่านบ้างร่องแร่ง ไม่ไว้ใจรถที่ม้าล้มกลัวจะเจ็บให้ไปหาใหม่ อ้ายคนนำรับไปหาแต่เปล่า กลับไปเปนนายน่าอ้ายรถเก่านั้นเอง รับประกันว่าจะไม่มีอันตรายอันใด ขอให้ขึ้นไปใหม่ ตกลงต้องยอมเพราะเหตุว่าท่าอยู่ใกล้ ครั้นลงไปถึงท่า เรือสติมลอนช์ยังไม่มา เพราะยังวันอยู่มาก จะหยุดรอคอยอยู่ก็ไม่ได้ แมลงวันตอมต้องกลับขึ้นรถ เกณฑ์ให้มันขับลงไปข้างใต้ตามริมชายทเล แถบตั้งแต่ท่าไปถนนกว้างใหญ่ เปนที่สำหรับทำไว้จะให้คนไปขับรถ ที่เรียกว่าแฟชันเบอลไดรฟ ถนนเห็นจะกว้างกว่า ๑๕ วา แต่ไม่ไคร่จะมีใครขับรถ ที่ตั้งสำหรับเป่าแตรก็ใช้ถึงเสาศิลา ลงเขื่อนศิลามีพนัก แลม้าสำหรับเปนที่คนนั่งทำด้วยศิลาทั้งนั้น ลมพัดเย็นสบายแลแดดร่ม แต่เรียกได้ตามอย่างไทยว่า “ไม่ติด” นานๆ จะเห็นรถสักหลังนึ่ง คนกลับน้อยไปกว่าที่อื่นเสียอิก ไปสุดถนนกว้างนี้จึงถึงหมู่บ้านขยุกขยิกออกจะเปนตลาดปลา เหม็นคาวอู้ทีเดียว ต่อไปก็เปนบ้านคนจนกะเรี่ยกะราด ลักษณเปนกำพงกะลัมที่สิงคโปร์ แต่มีเรสเตอรองต์ที่ดาดด้วยผ้าใบฤๅหลังคาไม้ริมทเล เปนที่ชาวเมืองออกไปกินเข้าอย่างเดียวกับเนเปอล ประหลาดที่ไปจนถึงทางไกลที่สุดเช่นนั้นแล้วยังมีคนรู้จักเสมอ ไม่ว่าเลวปอนอย่างไร จะเปนด้วยรถดีแปลกตาฤๅมันจะจำได้ก็ไม่รู้ จะยักย้ายไปนั่งเสียแห่งหนตำบลใดคงจะเจาะเข้ามาเปิดหมวกให้พ่อเสมอ เปนอันไปไหนไม่รอดหนีไม่พ้น คนอื่นเขาไปเที่ยวได้ ดุ๊กไปก็ว่าไม่มีใครดู แต่ดุ๊กเข้าใจเองว่าเขาเห็นเปนอิตาเลียน ชายบริพัตรกับรังสิตไปก็ว่าไม่มีใครดู เหตุไฉนพ่อจึงได้หน้าตาเปนไทยกว่าเพื่อนหมด ไม่มีใครจะไทยเท่า ความจริงชาวเมืองนี้ปราถนาดีทั้งนั้น แต่หากเขาฟรีกันเช่นนั้นเอง ได้ดูแล้วดูราวกับว่าจะเจาะให้ทลุด้วยไนยตา

ใครมาเมืองนี้จะเห็นแปลกที่มันมีอะไรๆ ปนกันไปหมด ประเดี๋ยวจะแลเห็นบัวปลายเสากรีกอยู่แห่งโน้น บัวโรมันอยู่แห่งนี้ สฟิงก์แลเสืออิยิปต์อยู่ที่มุมกำแพงโน้น หลังคากลมอย่างแขกอยู่ที่นั่น โค้งอย่างนอรมันอยู่ทางนี้ ราษฎรพลเมืองก็แปลกหลายอย่าง ตั้งแต่ขาวจั๊วะไปจนเขียวแลหม่นๆ แต่ไม่ใช่ดำเปนรอยที่อากาศเผาผลาญในชั้นคนจนๆ โดยมาก คือผิวมักจะไหม้เกรียม ดูดูไปก็ไม่สู้ห่างกันนักกับอิยิปต์ พอรู้ได้ว่าเปนลักษณอันเดียวกัน ไม่มีคล้ายคลึงกับพวกข้างเราเลยห่างกันมาก

พ่อกลับความคิดใหม่ อยู่ข้างจะไม่แน่นอนเต็มที เพราะเหตุที่มาเที่ยวในระยะนี้ รู้สึกใจเสียว่าเที่ยวพอให้หมดเวลา จะเดินเรือก็ดีเที่ยวไปทางบกก็ดี ออกจะเปนเที่ยวไม่มีโปรแกรม แล้วแต่จะสดวกใจอย่างไร เพราะฉนั้นโทรเลขที่บอกกำหนดอะไรในตอนนี้เหลวไหลมาก กลัวชาวบางกอกจะเข็ดเสียว่าบอกกลับไปกลับมา สาเหตุที่ให้กลับใจใหม่คราวนี้เพราะอยากจะเปลี่ยนไปลงเรือซักเซนให้ออกจากปอตเสดเสียแต่ในวันอาทิตย์ อย่าให้ทันถึงวันจันทร์ ได้ให้เขียนหนังสือไปถึงกัปตันวอลเตมาส์ขอให้ผ่อนผันเลื่อนเข้ามา เพราะเหตุฉนั้นจึงได้ร่นวันอยู่ที่นี่เข้ามาออกเรือเสียวันนี้ ได้ออกเรือเวลายาม ๑

ลืมกล่าวถึงเรื่องซื้อรถ เวลาจะขึ้นบกเมื่อกลางวันมีเรือบรรทุกศิลาหลังโต๊ะ แลรถหรูออกมาขายถึงเรือพม่า เห็นว่ารถมันหลังใหญ่อยากได้ ถามราคาบอกว่า ๕๐ เลียร์ จรูญต่อ ๕ เลียร์ ไม่ให้แต่ลดลงมาเพียง ๔๐ แล้ว ได้มอบให้กัปตันไว้ว่ากล่าวกันต่อไปเวลากลับลงมาเห็นรถตั้งอยู่ กัปตันบอกว่าได้ว่าราคาตกลงกันเปน ๒๕ เลียร์ วิธีซื้อของที่ซิซิลี เปนดังนี้

คืนที่ ๒๐๐

เมืองเทาร์มีนา

วันเสาร์ที่ ๑๒ ตุลาคม

เรือมาทอดในท่าเมืองเมสสินาเวลาเช้า ปรีเฟต์ นายโปลิศแลกัปตันท่าลงมาหา รอกินเข้ากลางวันเสียก่อนจึงได้ขึ้นบก เวลาที่จะขึ้นบกวันนี้ยัดกันลงไปเต็มลำเรือหมด ครั้นไปถึงที่ท่าเห็นคนแน่นมาก นึกว่าไปเที่ยวข้างไหนคงไม่ได้ อยากจะเที่ยวดูเมืองเมสสินาสักหน่อย เห็นพระราชวรินทร์แต่งตัวสรวยแลดูพากภูม จึงวานให้ขึ้นก่อนกับดุ๊กสำหรับให้คนตอมเสียทีหนึ่ง พ่อไปรถที่ ๒ แล้วแยกไปเที่ยวในเมือง รถทั้งปวงไปสเตชั่นทีเดียว กำหนดว่าบ่าย ๒ โมง กับ ๒๐ นาทีจะออก ที่ไปนั้นก่อนเวลาเกือบชั่วโมง ๑ จึงมีเวลาเที่ยวขับรถดูเมืองมาก ในเมืองเมสสินาไม่มีสิ่งใดเปนสลักสำคัญนอกจากร้านขายของแลตึกคนอยู่ เย่าเรือนเคหามากแต่จำยาก ไม่มีสิ่งใดที่จะนับว่างามเปนเครื่องหมายไนยตา ผู้คนดูกระจายๆ ทั่วไป ไม่เปนถนนที่จอแจ คนเบียดกันคลั่กๆ ถนนหนึ่ง ถนนที่กว้างแลเงียบถนนหนึ่ง อย่างเช่นเมืองปาเลอร์โมด้านริมทเล มีตึกเปนกำแพงมีประตูเปนช่องๆ เกวียนที่ปิดกระดาษหรูก็ไม่เห็นร้านขายลูกยอก็มีน้อย แต่มีผลไม้อื่นๆ มาก เกวียนที่เปนร้านขายของสดมีแต่มักจะเปนผักชนิดเดียว ไม่พร้อมอยู่ในรถเดียวเช่นปาเลอร์โม เกวียนร้านผักนี้ลืมเล่าไป เปนสิ่งซึ่งเห็นชินตาในเมืองปาเลอร์โมเหมือนกัน คือมีผักสิ่งละอันพรรณละน้อย มีมันเสียบไม้ปักที่ปากกระสอบ มีมะเขือเทศเสียบไม้ปักที่ปากกระสอบ มีฟักเหลืองแต่ลูกไม่กลมฤๅแบนเหมือนของเรา รูปยาวเหมือนบวบแต่โตเท่าฟักเขียว หั่นเอาเปลือกเปนกาบโตๆ เสียบไว้กับมุมพนักอันนี้เปนสิ่งสำคัญ ฤๅแอดเวอติสเมนต์บอกขายผักเหมือนกันทุกๆ รถ เมืองนี้ดูมีออริจินัลน้อยกว่าปาเลอร์โม เห็นจะเปนด้วยเรือต่างประเทศ แลคนต่างประเทศไปมาค้าขายมาก ไปที่สเตชั่นเวลาใกล้จะตรงตามกำหนด สิทธิ์พาปรีเฟต์มาคอยรับ ได้ความว่าไปตามพระราชวรินทร์แลดุ๊กอยู่เปนนาน พาเข้าไปนั่งคอยอยู่ที่ห้องกินเข้า ในห้องนั้นมีโต๊ะกินเข้า แต่เต็มไปด้วยแมลงวัน แมลงวันมากเหมือนน่าทุเรียนในเมืองเรา นี่มันก็ไม่มีทุเรียนฤๅจะเปนน่าลูกยอ นั่งคอยๆ เวลาก็ล่วงเข้าไป ๑๕ มินิตแล้วครึ่งชั่วโมงเล่า เดือดร้อนจนถึงออกวาจาว่าถ้าต้องคอยถึงชั่วโมงเปนไม่ไป ข้างเจ้าเมืองดูออกจะเดือดร้อน ทั้งแกไม่รู้ว่าพูดเช่นนั้น วิ่งแต่เวียนมองอยู่ร่ำไป สัก ๒๕ มินิตจะได้ชั่วโมง ๑ รถจึงได้มา รถสายนี้ไม่ใช่รถในเกาะ เปนรถมาแต่ฝั่งลงเรือไฟข้ามมาขึ้นที่นี่ เหมือนอย่างที่ข้ามวันมุนเดที่เดนมาร์ก ช้าแห่งละเล็กละน้อยก็ช้าไปได้เปนหนักเปนหนา

อีก ๑๕ มินิตจะบ่าย ๓ โมงรถออก ทางที่มาเปนทางเลียบทเลใกล้หาดบ้าง ห่างหาดมีสวนคั่นบ้าง แต่คงแลเห็นทเลเปนนิจ ท้องฟ้าแลทเลที่นี่เหมือนรูปเขียนจริงๆ น้ำก็เปนสีน้ำเงินใส ฟ้าก็เปนสีน้ำเงินอ่อนกว่าน้ำ แต่ใสหาเมฆหมอกมิได้ สมกับที่เขาว่าสีเปนไข่นกการะเวก แสงแดดก็เข้มแหลม ถูกใบไม้มีส้มเปนพื้นซึ่งใบสีเขียวจัด ตัดสีกันขาด อากาศไม่ร้อนไม่เย็น ลมพัดรวยๆ แลดูงามไปทุกทาง เหมือนอย่างว่าอมยิ้ม ทำให้สบายใจได้ ที่ริมหาดซึ่งรถไฟผ่านมาใกล้ มีฝูงแพะซึ่งคนนำลงไปเลี้ยงเปนฝูงโตๆ กินอยู่ริมชายหาดใกล้น้ำ ได้มองดูว่ากินอะไร แลเห็นเปนใบไม้ไปทอดให้กิน ที่เขานำลงไปกินริมหาดเช่นนั้น เพราะแพะชอบเกลือ ที่นั่นเปนที่น้ำท่วมเกลือติดอยู่ที่หาด เมื่อรถไฟห่างหาดเข้ามา มีสวนส้มเปนพื้น ตามที่สวนส้มเหล่านั้นมีสระ ก่อขอบถือปูนสี่เหลี่ยมเปนพื้น รายกันไปตลอดหนทาง เปนที่ขังน้ำสำหรับใช้ในการสวนส้ม แต่น้ำที่ขังอยู่นั้นเปนน้ำขุ่นๆ สีขาวโดยมาก คล้ายๆ กับน้ำที่ชายทเลตวันออกของเรามีทางน้ำตกลงจากภูเขาเปนระยะๆ ตามแต่ซอกเขา ถ้าเปนซอกเขาที่ซับซ้อนกันมากทางก็ใหญ่ ทางที่น้ำตกเช่นนั้นเปนศิลาป่นเลอียดๆ ด้วยสายน้ำพัด ถ้าที่เช่นนั้นรถไฟต้องมีสพานข้าม พิเคราะห์ดูสวนส้ม เห็นจะเปนลักษณเดียวกันกับส้มสงขลาของเรา คือชอบที่ซึ่งมีรศเค็ม แต่ให้มีน้ำบริบูรณ์ ส่วนข้างขวามือที่เปนภูเขานั้น ปลูกต้นโอลิฟ ที่ซึ่งเพาะปลูกได้สดวกก็แต่แถบข้างตวันออกแลข้างใต้ของเกาะ แถบข้างตวันตกแห้ง ปลูกอะไรไม่ใคร่เปน ถ้าหากว่าเวลาน่าเดือนหกเดือนเจ็ดส้มสุก เห็นจะงามเต็มที มีตำบลบ้านหมู่ใหญ่ในระยะทางสัก ๒ แห่ง นอกนั้นก็มีรายๆ กันมา บ้านมักจะตั้งอยู่ริมทเล เว้นไว้แต่แหลมซึ่งหันน่าตรงตวันตกเฉียงใต้ จึงต้องก่อกำแพงบังกันคลื่น เมื่อจวนจะถึงสเตชั่นเทาร์มีนามีอ่าวแลมีเกาะอยู่ในน้ำ อยู่หว่างอ่าวเรียกว่าอ่าวซาน อันเดร เปนที่งามมาก ทำให้รฦกถึงเมืองนอรเว แต่เมื่อถึงสเตชั่นเข้าแล้วออกจะเสียใจ ช่างไม่มีอะไรงามแปลกประหลาดเสียเลย มีบ้านเรือนข้างทางก็อย่างคนจนรุงรัง ขึ้นเขามาสองสามทบก็ยังจืด ไม่เห็นขบขันอะไรเลย เขาก็เปนเขาเกลี้ยงๆ มีแต่ต้นไม้เล็กๆ น้อยๆ ให้รู้สึกน่าเสียใจกว่า จะได้เห็นแต่ของโบราณไม่มีอะไรอื่นน่าดูเลย ต่อเลี้ยวที่จะขึ้นถึงเมืองเทาร์มีนา จึงเห็นเปนบ้านเมืองตั้งอยู่บนยอดเขา แต่ไม่ใช่ยอดสูงที่สุด ยอดสูงที่สุดเปนป้อมคาเซอลโบราณประจำทุกยอด บ้านเรือนคนปลูกบนไหล่เขาซึ่งเปนยอดกระปุ่มกระปิ่ม ทางนั้นทบไปทบมาเปนธรรมดา คนที่นี่แปลกจากที่อื่น คือไม่สู้ตอมโนราแลกิริยายิ้มแย้มแจ่มใสอ่อนหวานต่อคนที่ขึ้นมา มีโปรยดอกไม้ร้องวีวา แลคำนับอย่างเรียบร้อยเปนพื้น พ่อถูกปาดอกไม้มาก เกลื่อนไปทั้งรถ บุเคทั้งช่อก็ได้ปามาจนถูกริมฝีปาก ขึ้นไปหลายทบจึงถึงที่ราบ คำที่เรียกว่าราบนี้ ไม่ใช่ราบเปนพื้นดิน ราบของเขายังสูงๆ ต่ำๆ มากกว่าลานโรงรถที่พระนครคีรี แต่แลเห็นปรากฎชัดทีเดียวว่าเปนเมืองเก่ามาก ถนนแคบนิดเดียว เรือนที่อยู่สองข้างก็รูปร่างอย่างแปลกเก่าๆ ทั้งนั้น เวลาผ่านมาในกลางเมืองนั้นรู้สึกว่าไปเมืองกรีก เมื่อออกจากกลางเมืองนั่นแล้ว จะเลี้ยวลงมาโฮเตลออกจะลงมาตามไหล่เขาดื้อๆ ไม่สู้เปนถนนนัก แลดูโฮเตลซานโดเมนิโกที่เราจะมาอยู่ไม่ใคร่รู้สึกว่าเปนโฮเตล เห็นเปนวัดโบราณหน้าตาออกจะร้างด้วยซ้ำไป ต่อเมื่อเข้ามาในประตูจึงเห็นว่าเปนที่อยู่เจ้าของโฮเตลรับเสียใหญ่ มีแตรวงทำเพลงสรรเสริญบารมี มีลูกสาวเล็กๆ สองคนให้ช่อดอกไม้ ตามทางที่เดินก็โปรยดอกไม้ตลอดขึ้นมาจนถึงห้องที่อยู่

โฮเตลนี้เดิมเปนวัดจริงๆ โบสถ์ก็ยังมี ที่ที่เราขึ้นมาอยู่นั้นเปนกุฏิ์พระ เดิมรัฐบาลอิตาลียึดเอาเปนเจ้าของ ภายหลังมีผู้เอาหนังสือพินัยกรรมมายืนยัน ว่าเปนสมบัติของตัว รัฐบาลแพ้ จึงได้ขายให้เจ้าของโฮเตล แต่ไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากรูปเดิม เพราะคนเปนอันมากอยากให้คงอยู่เช่นนี้ จะได้รู้สึกว่าเหมือนไปเที่ยวเมืองโบราณแลอยู่ในบ้านเรือนของคนโบราณ แถวที่พ่ออยู่เปนแถวชั้นสูงยาวเปน ๒ ขา กั้นเปนห้องเรียงๆ กันไป หลังคาก่อรวบ ห้องที่พ่ออยู่เปนห้องข้างใต้ มีเฉลียงโถงต่อออกไปหน่อยหนึ่ง เฉภาะตรงเขาเอตนาซึ่งเปนเขาไฟ กำลังควันกรุ่นๆ แลลงไปข้างล่างเห็นสเตชั่นรถไฟ เอมเปอเรอเยอรมันแลกิงเอดเวอดมาก็ได้พักห้องนี้เหมือนกัน มีห้องแถวล่างลงไปอิกชั้นหนึ่ง รวมห้องที่อยู่รับคนได้ถึง ๑๕๐ คน แต่เขายังอวดว่า ถ้าถึงฤดูไม่มีที่ให้อยู่พอ เพราะคนมาคราวละมากๆ โฮเตลใหญ่ๆ มีถึง ๕ โฮเตล แต่ต้องการอยู่โฮเตลนี้ด้วยความพอใจว่าเปนตึกโบราณคงรูปร่างอยู่เปนของเก่า มาถึงเย็นมากเสียแล้ว กินน้ำชาแล้วประเดี๋ยวเดียวก็ค่ำ แต่ก่อนเวลากินเข้าได้ลงไปเที่ยวเดิน อยู่ข้างจะมืด เพราะเขาคงใช้โคมอย่างโบราณ เปนแต่ใช้ไส้แกสฤๅไฟฟ้า ของเครื่องแต่งก็เสาะหาของโบราณ ทั้งรูปภาพแลเครื่องเรือนให้เข้าเรื่องกัน มีกลอยสเตอ คือระเบียงที่จงกรมถึง ๒ ตอน ตอนหนึ่งใหญ่ ตอนหนึ่งเล็ก มีสวนลงไปข้างริมทเล เดินในโค้งต้นไม้เปนกางเขน จุดโคมอย่างเก่าสว่างแวมๆ ในหว่างทางเดินนั้น มีต้นไม้สดชื่นงดงามมาก มีต้นส้มเปนพื้น เวลาไปยืนในสวน พระจันทร์ขึ้นอ่อนๆ แสงหรุบรู่ แหงนขึ้นมาบนเรือนเห็นแสงไฟแวมๆ น่าต่างมีโค้งเหล็กยื่นออกไปเงียบวังเวง หนังสืออะไรๆ ที่เคยอ่าน โรแมนส์คือเรื่องสังวาศอย่างฝรั่งต่างๆ มาปรากฎขึ้นในใจเวลานั้น สมผู้หญิงออกมาเยี่ยมน่าต่างผู้ชายไปยืนจูบมืออยู่ที่นั้น ตอนข้างริมทเลมีพนักออกไปนั่งเล่นเงียบๆ มืดๆ ดูใจคอเพลิดเพลิน เดินวนอยู่เปนนาน อาหารที่เลี้ยงก็ดีมาก แต่อะไรๆ ไม่ดีเท่าอากาศ ช่างสบายเสียจริงๆ เปิดน่าต่างหมดแล้วปรอดเซนติเกรต ๒๐ ก็อยู่ในฟาเรนไฮต์หย่อน ๗๐ พอสรวมเสื้อสบาย ที่ซึ่งจะดูเปนสำคัญนั้นคือโรงลครกรีก อยู่ใกล้ข้างเหนือโฮเตลนี้เอง แลกลับขึ้นไปข้างเมืองดูช่างเก่าเหมือนไปอยู่ในเมืองอะไรเก่าๆ ที่มีในเรื่องในหนังสือ ใจคอขรึมดี

มีวิธีเด็กที่นี่มันเล่น คือเอาใบกระบองเพ็ชรมาผ่ากลาง แล้วบิดให้แอ่นเสียนิดหนึ่ง คว่างออกไปทางน่าเขาบินลอยลิ่วไปได้ไกลๆ แล้วหมุนวกกลับน่าดูเต็มที เจ้าเด็กพวกนั้นต้องการรางวัล คว่างให้ดูไม่หยุดกระทั่งมืดแลไม่เห็นอะไร

คืนที่ ๒๐๑

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ตุลาคม

เมื่อคืนนี้ทั้งแมลงวันทั้งยุงริ้นระดมกันใหญ่ นอนไม่ห่มผ้าไม่ได้เปนอันขาด ประเดี๋ยวปลาบทางโน้นแปลบทางนี้ คลุมผ้าแล้วยังรักษาหน้าไว้ไม่รอด ทั้งตอมทั้งกัดจู้จี้อยู่เสมอจนหลับไม่ได้ ปิดไฟเสียแล้วก็เหมือนกัน เปิดไฟก็เหมือนกัน พึ่งรู้คุณวิเศษของหลวงฤทธิว่าจับแมลงวันคล่องเปนที่สุด เปนไม่มีเสียทีแต่สักครั้งเดียว จับเอาจนหมดได้ แต่เรื่องยุงร้องว่าเหลือสติกำลัง ด้วยมากนัก ยุงที่นี่ตัวโตกว่ายุงเราเกือบครึ่งหนึ่ง โตกว่าก้นปล่องแต่เซอะกว่า ยังมีตัวเล็กๆ คล้ายริ้น แต่ทำไมมันจึงมาพร้อมกันเข้า เขาหลับง่ายๆ เขาก็หลับแต่พ่อหลับยาก ต้องให้หลวงฤทธิปราบปรามอยู่จนดึกจึงได้หลับ ครั้นเวลาเช้าเห็นหน้าจรูญรอยยุงกัดซีกเดียวเห็นจะกว่า ๓๐ แผล ที่จริงมันไม่ยากบากอะไรมีมุ้งเสียก็แล้วกันเท่านั้น จะสบายกว่าเมืองเราอิกด้วยไม่ร้อน

กินเข้าเช้าแล้วขึ้นรถไปดูโรงลครกรีก ซึ่งอยู่บนไหล่เขาเด่น อาจจะแลเห็นฝั่งเกาะได้ทั้งข้างเหนือข้างใต้ไกลสุดสายตา โรงลครนี้ก็ลักษณเดียวกันกับโคโลเซียมที่เมืองโรม คือเปนสังเวียนที่นั่งรอบ กลางสังเวียนเปนที่สำหรับเล่นลคร แต่ที่เมืองโรมไม่ใช่สำหรับเล่นลคร เปนที่ดูแข่งขันแลชนสัตว์ ให้สัตว์กัดกัน แลเปนที่ทำทารกรรมคนโทษ ที่นี่เปนโรงลครแท้ มีผนังเปนฉากหลัง ประตูโรงออก ๓ ประตูมีซุ้มตั้งรูปศิลาเปนเครื่องประดับโรง พื้นสังเวียนก็มีอุโมงค์สำหรับที่จะเล่นกลต่างๆ เวลาที่ดีปรกติอยู่เปนหลังคาวงกลมรอบ มีทางเดินหลังผนังภายใต้โค้ง ที่คนดูอยู่ในร่ม แต่ที่เล่นอยู่กลางแจ้งมีห้องใหญ่ทั้งสองข้างสำหรับตั้งขบวนแห่แหนที่จะเดินเข้าในโรงลครนั้น การก่อสร้างทำด้วยอิฐปนด้วยศิลาบ้าง แต่ได้รื้อได้ทำซับซ้อนกันมาเสียหลายคราว ไม่ได้คงอยู่อย่างกรีกเดิม เมื่อพวกโรมันมาได้ก็แก้เปนอย่างโรมัน ครั้นเมื่อตกมาภายหลังก็รื้อแย่งเครื่องศิลากันไป คงอยู่แต่ที่แตกๆ หักๆ โรงนี้ประมาณว่าจุคนนั่งดูได้ ๑๕๐๐๐ คน เพราะเมืองเทาร์มีนาแต่ก่อนมีคนมากหลายหมื่น แต่เดี๋ยวนี้มีคน ๔๐๐๐ เท่านั้น เรื่องราวของเมืองนี้อยู่ข้างจะยุ่งมาก ถูกรบแย่งเปลี่ยนผลัดเจ้าของที่เปนชาติต่างๆ มาหลายชาติ จนกระทั่งชั้นหลังที่สุดฝรั่งเศสก็ยังไปทำลายเสียได้อิก การที่ไปเที่ยวไม่ใช่เปนไปเที่ยวเมืองที่กำลังรุ่งเรือง ดูสนุกฤๅงาม เปนไปเที่ยวเมืองเก่าที่เคยรุ่งเรืองมาแต่ก่อน ต้องนืกถึงเรื่องโบราณเห็นหน้าคนโบราณจึงจะรู้สึกสนุก เพราะเหตุฉนั้นโฮเตลซานโดเมนิโกที่พ่อไปอยู่ เขาจึงได้รักษาไว้อย่างโบราณ ให้รู้สึกว่าอยู่อย่างคนแต่ก่อนนั้นจะเปนอย่างไร มีช่างถ่ายรูปเยอรมันคนหนึ่งมาอยู่เรือนเล็กนิดเดียว ทำสวนน่าเรือนท่วงทีให้เหมือนอย่างครั้งกรีก ในเรือนก็แต่งให้เปนอย่างเก่าๆ จ้างคนชาวเมืองมาไว้ที่มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายกรีกบ้างโรมันบ้างแขกต่างๆ บ้าง ถ่ายรูปเล่นให้เปนรูปโบราณทั้งนั้น ดูเหมือนหนึ่งฝันว่าตัวเกิดแต่ครั้งโน้น ขากลับพ่อได้แวะไปดูรูปถ่ายออกจะดีๆ ได้ซื้อมาไว้บ้าง ได้ไปดูโบสถ์ในโฮเตลนี้ ยังมืรูปภาพสาสนาแลเครื่องแต่งตัวพระที่อ้างว่าตั้งแต่ ๑๐๐๐ ปีลงมาจนถึง ๖๐๐ ปี การที่อยู่บนเขาเช่นนี้ดูกันดารเต็มที ที่เมืองนี้ยังต่ำอยู่เสียอิก ยังมีหมู่บ้านที่สูงๆ ขึ้นไปกว่านี้จนรถไปไม่ได้ต้องขี่ฬา บ้านเมืองเหล่านี้มันตั้งอยู่กันมาเสียแต่ครั้งพุทธกาลจริงๆ ก็อยู่กันไปได้ต่อๆ มา แต่ดูแห้งแล้งเต็มที น่านี้ต้นโฮลิสที่เปนง่ายที่สุดยังใบเหลืองแห้ง เพราะต้นไม้ตัดลงเสียหมดเลยไม่ขึ้น ด้วยแจ้งเหลือเกิน ศิลามากมีดินน้อย ต้นใบเสมาช่วยเปนกำลังให้ภูเขาเหล่านี้เขียวได้มาก แต่จะเอาไปคิดว่ามีมาแต่ก่อนก็ไม่ได้ เพราะพึ่งได้ลงมือปลูกสัก ๔๐-๕๐ ปีมานี่ ได้ลองนึกดูหนักหนาว่าอ้ายต้นใบเสมานี่เราจะใช้อะไรได้บ้างฤๅไม่ ไปนึกออกอย่างหนึ่งว่าเขาที่พระนครคีรีน่าแล้งก็แห้ง ถ้าปลูกต้นใบเสมานี้ตามริมกำแพงทางขึ้นดูเหมือนจะกันคนทำสกปรกใกล้หนทางได้ แต่คนเราจะชอบกินลูกยอฤๅไม่ให้สงไสยเปนอันมาก พ่อได้ต้นเข้ามามันก็เหมือนกับของเรานี้เอง ฤๅจะโตกว่าจำไม่แน่ แต่ท่าลูกละดกกว่าที่เคยเห็นในบางกอกมาก

ไปเที่ยวกลางวันช่างร้อนเสียจริงๆ ร้อนเปนเมืองเรา ไม่ใช่ร้อนเปนเมืองฝรั่ง ถึงกลับมาต้องนั่งที่น่าต่างให้ถูกลมอยู่เปนนานจึงหายร้อน มีกงสุลเยเนราลอังกฤษนำหนังสือเจ้าเมืองมอลตามีมาให้สืบสวนกำหนดวันไปถึงแลจำนวนคน เชิญเลี้ยงกลางวันด้วย ปรีเฟต์เมืองซาระคุสซามารักษาตัวอยู่ที่นี่มาหา เปนการต้อนรับในการที่จะไปซาระคุสซาเวลาพรุ่งนี้ กินเข้ากลางวันแล้วกลับลงมา ชาวเมืองส่งเหมือนอย่างเมื่อขึ้นไป แต่รถไฟคราวนี้เข็ด ไม่อาจใช้รถธรรมดา ต้องเรียกรถพิเศษ มาถึงเมสสินา แมร์รับเอารถมาให้ด้วย ได้ขึ้นรถเที่ยวไปตามถนนข้างในแล้ววกลงริมทเล แลเห็นได้ความว่าทางน้ำที่ตกลงมาจากภูเขาไปลงทเล มีเหมือนกันกับที่เห็นตามทางรถไฟ ถนนขวางทั้งปวงใช้เปนคลองด้วย เปนถนนด้วย เขาทำปูศิลาให้แอ่นกลางลงไป ถ้าเวลาปรกติไม่มีน้ำใช้เปนถนน ถ้าเวลามีน้ำก็กลายเปนทางน้ำ ส่วนถนนรีที่จะข้ามถนนขวางเช่นนี้ ถ้าหากว่าถนนขวางลึกมีสพานข้าม แต่สพานนั้นสูงกว่าท้องถนนขวางเพียงศอกเศษสองศอก ถ้าถนนขวางตื้นก็ทำถนนรีแอ่นลงไปหาถนนขวาง ปลายถนนขวางริมทเลเปนช่องหว่างตึกก่อโค้งเปนประตูทุกแห่ง เพราะเหตุที่ริมทเลมีถนนรีอิกถนนหนึ่ง เพื่อจะไม่ให้น้ำที่ตกไปตามถนนขวางไหลข้ามถนนรี เจาะช่องเสียที่ตรงใต้โค้งให้น้ำตกลอดถนนรีริมทเลไปลงใต้ทเลทางใต้เขื่อนทีเดียว วันนี้เปนวันอาทิตย์ ในเมืองข้างในๆ เงียบไม่ใคร่พบปะคน ไปออกันอยู่ริมทเลทั้งนั้น เวลากลับมาลงเรือที่น่าตึกมิวนิสิเปอล คนแน่นเต็มไปนับไม่ถ้วน

วันนี้ได้รับหนังสือเมล์วันที่ ๔ กันยายน ซึ่งส่งไปเมืองโรม พระยารัตนโกษาส่งตามมา ยังมีความสงไสยอยู่มาก ว่าจะเปนหนังสือนี้เองฤๅมิใช่ ซึ่งกรมดำรงโทรเลขมา ให้สืบดูหนังสือที่ได้ส่งมาคอยที่เมสสินา ถ้าหากว่าไม่ใช่หนังสือนี้ มีอิกฉบับหนึ่งต่างหาก คงจะเปนอันพลาด ต้องส่งตามกลับเข้าไปบางกอก

คืนที่ ๒๐๒

เมืองไซราคุสซา

วันจันทร์ที่ ๑๔ ตุลาคม

เมื่อคืนนี้ ออกเรือมาแต่กลางคืน มาถึงที่นี่เวลาเช้า ๓ โมง ในเบื้องต้นจะต้องสารภาพเสียก่อน ว่าความรู้ของพ่อในเรื่องเมืองไซราคุสซาอยู่ข้างแคบ ได้พบในหนังสือที่อ่านบ่อยๆ รู้เรื่องแต่เผิน ถึงจะเที่ยวเข้าจริงแลไม่ใคร่จะเห็นแจ่มแจ้ง เข้าใจว่าเมืองนี้ชื่อในหนังสือไทยคงจะมี ถ้าหากว่ากรมนรา[๒๓๖]ได้แปลอาหรับราตรีลงไปถึง เพราะในเรื่องนั้นมีกล่าวถึงไซราคุสซาน คือพ่อค้าเมืองนี้ได้ไปค้าขายแลไปทำอะไรต่างๆ เมืองไซราคุสซาเปนเมืองใหญ่มาแต่ในเวลาพุทธกาล นับว่าเปนเมืองใหญ่ที่สุดของพวกกรีก เคยมีพลเมืองถึงห้าแสน แต่ในเวลานี้มีสามหมื่นเศษเท่านั้น เมืองไซราคุสซาที่อังกฤษเรียกว่า ซิราคุส ทุกวันนี้ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก น่าเมืองเก่า เมืองเก่านั้นมีบริเวณกว้างขวางถึง ๒๐ ไมล์ แต่เวลานี้เปนเมืองร้าง การที่มาเที่ยวเมืองไซราคุสซาต้องหมายความว่าจะไปเที่ยวเมืองเก่า ไม่ใช่เที่ยวเมืองใหม่ ซึ่งเปนเมืองฝรั่งธรรมดาไม่มีอะไรอัศจรรย์ มีของเก่าอยู่แต่วัด ของใหม่ที่ควรดู คือพิพิธภัณฑ์สถานเท่านั้น ยังมีเมืองที่ใหญ่กว่าไซราคุสซาในเวลานี้ ที่ผ่านมาเสียไม่ได้แวะ เพราะเหตุที่ไม่มีของเก่าปรากฎเปนสำคัญ การที่มานับว่าเปนอันรู้จักเมืองนี้ จึงได้มุ่งหมายจะมา เมื่อเรือเดินมาเวลาเช้าได้พบกองทัพเรืออิตาเลียน เจ้าแผ่นดินยังอยู่ในกองทัพทราบว่าได้เสด็จมาเที่ยวที่ไซราคุสซานี้เมื่อสองสามวันมาแล้ว แต่มาด้วยรถโมเตอร์คาร์ ไม่มีผู้ใดทันรู้ตัว ที่จริงพ่อได้ปฤกษากัน เจ้าแผ่นดินทราบแล้วว่าจะมาที่นี่ เห็นด้วยว่าควรจะดู

ที่สองปรีเฟต์แลแมร์ กับทั้งมิสเตอลอบบ์ไวสกงสุลอังกฤษกัปตันเจ้าท่า ลงมาเยี่ยมในเรือ ขึ้นบกเวลา ๔ โมงเศษ ตรงไปพิพิธภัณฑ์สถานที่ในเมืองใหม่ทีเดียว ท่าที่ขึ้นนั้นก่อเขื่อนถมหาดทรายเปนพื้นราบ แล้วไปขึ้นสพานไปถนนบนฝั่ง แลดูด้านน่าเปนถนนสองชั้นเรียงกันขึ้นไป ในเมืองนี้ถนนแคบแลคดดูราวกับจะว่าพอจุรถไปได้ แต่พิพิธภัณฑ์สถานเปนพิพิธกัณฑ์สถานอย่างใหม่ ทำแลจัดเรียบร้อยดีมาก ชั้นล่างเปนเครื่องศิลา มีวีนัสรูปนางดาวพระศุกรซึ่งไม่มีหัว แต่รูปทำงามดีมาก เปนยอดของเทวรูปในมิวเซียมนี้ นอกนั้นยังมีเทวรูปอื่นๆ คือ อโปโล อาทิตย์ แลยูปิเตอ พระพฤหัศบดีเปนต้น รูปเหล่านี้เปนรูปห่มผ้าทั้งนั้น เรื่องห่มผ้ามันไม่ผิดกับพระครองผ้า เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกก็ดี ในเวลาโน้นห่มผ้าก็คงจะคล้ายอย่างนี้นี่เอง เพราะเปนสมัยเดียวกัน เวลายังไม่สู้มีความคิดที่จะตัดเสื้อแสงอันใด ต่อภายหลังลงมาจึงได้เกิดเสื้อ ถึงสรวมเสือแล้วก็ยังห่มผ้า ตลอดลงมาจนชั้นพระเยซู นอกจากเทวรูปเหล่านี้จะมีบัวปลายเสา ฤๅมีลายกรอบก็ไม่บริบูรณ์ทั้งนั้น ด้วยเหตุที่เมื่อเวลาเมืองตกเปนของพวกโรมัน ขนเครื่องศิลาซึ่งไม่ชำรุดไปเมืองโรมเสียหมด ของที่เหลืออยู่หาดีไม่ได้แต่สักสิ่งเดียว ล้วนแต่ของชำรุดทั้งนั้น ที่ชั้นล่างของมิวเซียมเต็มด้วยเครื่องศิลา ได้ก็อาไศรยขุดศพเท่านั้น ศพผู้มีบันดาศักดิ์มักจะใช้หีบทำด้วยศิลา ที่วิเศษมากก็มีลายสลักภายนอก ถ้าพอประมาณก็เกลี้ยงๆ แต่เปน ๒ อย่าง พวกศพฝังอย่างหนึ่งศพเผาอย่างหนึ่ง ถ้าศพฝังก็เปนหีบศิลายาวแต่มีน้อย เหตุที่มันประดักประเดิดมาก จึงใช้หีบตะกั่วเสียมาก มีตัวอย่างหีบตะกั่วซึ่งมีศพอยู่ในนั้นเขาได้มาตั้งไว้ ส่วนศพที่ในหีบศิลาก็ยกหีบมาทั้งศพมีอยู่หีบหนึ่ง ร่างกระดูกเรียงลำดับเปนรูป แต่แห้งผุเหลือน้อย เหมือนเอากระดูกกองรายไว้ในหีบ แต่พอสังเกตได้เปนรูป เพราะเหตุที่ศพนั้นแต่ก่อนพระเยซูเกิด ๔๐๐ ปี ส่วนศพที่เผาบรรจุในหีบศิลาสั้นอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ก่อน ที่บรรจุในภาชนะทองเหลืองมีเครื่องแต่งตัวแลเงินทิ้งลงไว้ในนั้นลักษณอย่างเดียวกันกับ “สะลีละ” ที่ขุดได้ในประเทศอินเดียก็มี ความประพฤติในเรื่องคนตาย ที่ประเทศอินเดียฤๅที่นี่เห็นจะไม่ผิดอะไรกัน ที่ได้แต่สลากบอกชื่อคนตายจาฤกในแผ่นศิลานั้นเปนอันมาก เหตุด้วยศพฝังไว้ในรางศิลาซึ่งขุดในถํ้า เปนศพคนจนไม่ได้บรรจุโลง ฝังลงไปตัวเปล่า แล้วจาฤกศิลาปิดไว้เท่านั้น พิพิธภัณฑ์สถานชั้นบนรายตามทางกระไดที่งามตลอดขึ้นไปเปนเครื่องศิลา, เครื่องเหล็ก, ดิน, แก้ว, จนกระทั่งถึงเครื่องประดับทองเงิน เปนลักษณเดียวกับที่จัดพิพิธภัณฑ์สถานอื่นๆ แต่ของเหล่านี้สังเกตได้ว่าไม่ใช่ของทำในเมืองนี้ทั้งนั้น เปนของมาจากที่อื่นก็มี เช่นเครื่องแก้วเปนต้น ของเมืองนี้แท้เช่นเทวรูปทองสำฤทธิ์ แลศิลาฤๅดิน ฝีมือเปนกรีกงามๆ แต่ไม่มีบริบูรณ์ ชำรุดโดยมาก สิ่งซึ่งเปนที่น่าชอบใจพ่อดูอยู่นานนั้น เรื่องเงินตราทองตรา ทำด้วยหล่อเทพิมพ์ ไม่ใช่เครื่องจักร แต่เปนแป ชั้นเก่าๆ ไม่มีหัวเจ้าแผ่นดิน เปนหัวเทวรูปต่อภายหลังพุทธกาลลงมา ก่อนพระเยซูสักหน่อยจึงได้เปนรูปเจ้าแผ่นดิน เครื่องหมายเช่นวชิระ ซึ่งเปนเปลวสองข้างมีด้ามกำ เปนของได้ใช้ในที่นี้เหมือนกันกับอินเดีย แต่บางอันมีปีกนกเติมข้างละคู่ ตรีศูลใช้ตรีศูลตรงๆ เปนเครื่องหมาย เงินเหล่านี้มีตั้งแต่ก่อนพระเยซูขึ้นไปถึง ๗๐๐ ปี พ่อชอบใจมาก ได้วานมิสเตอลอบบ์ช่วยหาซื้อเก็บรวบรวม แต่ให้เลือกเอาที่ทำปลอมขึ้น เพื่อจะให้ราคาเยา เพราะของจริงขายกันราคาแพงมาก แต่เพียงของปลอม ถ้าเก็บได้มากก็เห็นจะเปนเงินมากอยู่เหมือนกัน เวลาเที่ยงเศษกลับลงมากินเข้าในเรือ

เวลาบ่าย ๒ โมงครึ่งกลับขึ้นไปใหม่ ได้ชวนไวสกงสุลอังกฤษให้ขึ้นรถไปด้วย การที่ต้องอาไศรยอังกฤษเช่นนี้ เพราะได้อาไศรยภาษา ที่จริงปรีเฟต์แลแมร์ เจ้าพนักงานต่างๆ เขาก็มาตามออกซ้องไปจนรถเปนขบวนแห่ แต่เรามันเขลาเสียเอง พูดกับเขาไม่ได้ การดูเช่นนี้ ถ้าไม่ได้ฟังคำอธิบายชี้แจงบ้าง อ่านแต่ไกด์บุก หนังสือนำเล่าเรื่อง ไม่พ้นจากงมงาย ฝ่ายคนนำทางที่สำหรับนำคนต่างประเทศดูนั้นย่อมจะเสลือกสลนแย่งกันอยู่เปนพื้น เวลาพ่อขึ้นไปถึงแย่งกันอยู่เปน ๒ คน เกือบจะต่อยกันขึ้น แลคำอธิบายของพวกคนนำเหล่านี้ มักจะยาวเกินที่เราต้องการ เหตุที่มันท่องไว้เปนเรื่องๆ ทั้งนั้น ถ้าถูกที่เรารู้แล้วอยากจะให้ข้ามไปเสียจะได้ไม่เสียเวลา ข้ามไม่ใคร่จะได้ ถ้าผิดที่เขาเคยท่องไว้มักจะพาให้เลอะ เพราะมันใช้ความจำ ไม่ได้ใช้ความคิด ไม่ว่าคนนำที่ไหนๆ เปนเช่นนี้ทั่วกันทั้งนั้น ถ้าได้คนที่พอมีอัธยาไศรยชั้นผู้ดีไปด้วยแล้ว ได้ความแจ่มแจ้งดีกว่าฟังไกด์อธิบายซึ่งเปนน้ำท่วมทุ่ง

ทางที่ไปวันนี้ข้ามสพานจากเกาะเล็กไปเมืองเก่า ซึ่งสองข้างทางเปนกำแพงตลอดไปทั้งนั้น ในกำแพงนั้นเปนสวนมะนาวเปนพื้น สวนมะนาวเช่นนี้มักจะทำอยู่เหนือสิ่งซึ่งร้างแต่โบราณจมอยู่ในดิน ด้วยการนานปีล่วงมาแล้ว ทั้งเขาไฟถมด้วย ขึ้นไปเช่นนี้จนถึงคะตะโคมบ์ ที่ฝังศพคนมากๆ คะตะโคมบ์นี้ตั้งอยู่ในที่ซึ่งซับซ้อนกันมาก ส่วนที่ไปดูนี้เปนส่วนหนึ่งของเมืองเก่าฝ่ายตวันตก มีมังก์นักบวชฝรั่งชนิดหนึ่งไม่ใช่บาดหลวงเปนผู้รักษา (คำที่เรียกว่าคะตะโคมบ์ นั้น คือเปนที่ฝังศพ) ปลูกกุฏิ์อยู่ที่ปากช่องนั้น มีวัดใต้ดินวัดหนึ่ง บนดินวัดหนึ่งอยู่ข้างขวา เราไปข้างซ้าย วัดนี้เรียกว่าซานโยวานี ที่อังกฤษเรียกเซนต์ยอน สร้างขึ้นเมื่อคฤสตศักราช ๑๑๘๒ จะว่าด้วยคะตะโคมบ์ก่อน ทางที่ลงไปมีกระไดไม่กี่คั่นมัก ข้างในก็เปนปล่องกว้างประมาณสัก ๑๐ ฟิต สูง ๘ ฟิต เจาะเข้าไปในหินปูนยาว ๑๐๒ ยาร์ด เปนที่ฝังศพของพวกไซราคุสซาน รวงเข้าไปในฝาเปนคูหา แล้วจึงขุดศิลาเปนรางสำหรับฝังศพ ถ้าผู้ดีก็มักจะมีคูหาขุดเข้าไปลึก แล้วตั้งหีบศพรอบคูหานั้นแต่เฉภาะพวกพ้องของตัว ถ้าเปนคนสามัญขุดศิลาลงไปเปนราง มีเอ็นคั่นเฉภาะศพหนึ่งๆ เรียงกันไปตั้งแถวละ ๕ ศพ ๖ ศพ ในนั้นมืดๆ ชื้นๆ แต่เดี๋ยวนี้เขาเจาะปล่องข้างบนให้แสงสว่างลงมากกว่าแต่ก่อน ทั้งศพก็ได้ขุดขึ้นเสียหมดไม่มีเหลือเลย จะมีเหลืออยู่บ้างก็แต่กระดูกพวกที่ฝังไม่มีโลง ถ้าหากว่าเวลาแต่ก่อนเมื่อยังมืดกว่านี้ แลเมื่อศพยังฝังอยู่ในที่นี้เห็นจะเหลือที่จะลงไปได้ กลิ่นไอคงจะฟุ้งซ่าน แต่กระนั้นยังมีรอยเขียนรูปภาพอย่างหยาบๆ อยู่ในนั้นเหลืออยู่ก็มี ที่ประดับโมเสกยังเหลือติดอยู่บ้างก็มี มิสเตอลอบบ์เคยอยู่นี่นาน ว่าได้เคยเห็นมีโมเสกประดับมากกว่านี้ แต่คนลักแกะไปเสียมาก ในที่วงกลมระหว่างคะตะโคมบ์นี้ แห่งหนึ่งใหญ่กว่าเพื่อน ว่าซันตเปาโลคือเซนต์ปอล ตัวอรรคสาวกของพระเยซู ได้เคยเข้าไปเทศนา เมื่อคฤสตศักราชล่วงไปได้ ๔๐ ปีเศษ ในคะตะโคมบ์นี้ ถ้าปล่อยให้เดินแต่ลำพังหลง เขาว่าใหญ่โตกว่าคะตะโคมบ์ที่ใครๆ เคยไปดูกันเปนอันมาก ที่เมืองโรมเลวกว่านี้ ทั้งวิธีที่ทำด้วย แต่ที่เมืองโรมไม่ได้ไปดูทั้ง ๒ เที่ยว เหตุด้วยพระองค์สายเปนผู้ได้ไปเล่าให้ฟังก่อน ตั้งแต่เมื่อยังไม่ได้มายุโรป แกขยะแขยงอี๊อะไรๆ ต่างๆ แลบอกว่าไม่สบายไปเปนหลายวัน พ่อจึงไม่ได้คิดจะไปเลย แต่ผู้ที่ล่วงน่ามาเมืองโรมได้ไปกันเกือบทุกคน มีความยินดีที่ได้มาเห็นที่นี่ ซึ่งเขายืนยันว่าดีกว่าเมืองโรมมากนั้น แต่คะตะโคมบ์นี้ไม่ใช่ที่ฝังศพพวกคฤสเตียน เปนที่ฝังศพมาเก่าก่อนเวลาพระเยซูเกิด ที่เซนต์ปอลมาเทศน์เปนมาเทศน์ในป่าช้าเก่าเท่านั้น

ไนยหนึ่งว่า เดิมขุดเข้าไปเปนที่สำหรับคนอยู่ ครั้นเมื่อล้มตายกันลงก็เลยฝังไว้ในนั้น ความอันนี้เห็นได้ว่าเขาเหล่านี้เจาะพรอนไปหมดทุกหนทุกแห่ง ในชั้นต้นจะอยู่ถํ้ามากกว่าอยู่เรือน การสร้างเรือนคงเปนความลำบากกว่าที่จะเจาะถํ้าเข้าไปอยู่ แลการเจาะถํ้านั้นเปนความจำเปนที่จะต้องเจาะอยู่ด้วย เพราะต้องการจะเอาศิลาไปสร้างเมืองแลสร้างตึกให้ผู้มีบันดาศักดิ์อยู่ ส่วนถํ้านั้นคนทำงานก็อาไศรยอยู่จะผิดอะไรกันกับที่เมืองเนเปอล คนจนก็ยังอยู่ในถํ้าโดยมาก ขึ้นจากถํ้านั้นไปลงอัฒจันท์อิกทางหนึ่ง เปนวัดที่เจาะอยู่ในศิลาอย่างถํ้านั้นเหมือนกัน เปนรูปกางเขนกรีก อยู่ข้างจะกว้างกว่าที่ทางแยกในคะตะโคมบ์อื่นๆ ว่าสร้างขึ้นอุทิศต่อเซนต์มาเชียนเมื่อคฤสตศักราช ๔๐๐ ปีเศษ มีที่ฝังศพเซนต์มาเชียนซึ่งมาสอนสาสนาในที่นี้ ถูกเขาจับมัดเสาศิลาเผาไฟ ไนยหนึ่งว่าวัดมีมาก่อน เซนต์ปอลเมื่อมาจากเมืองมอลตาได้มาหยุดอยู่ที่ไซราคุสซา ๓ วัน ได้เทศนาในโบสถ์นี้ ไม่ใช่เทศน์ในคะตะโคมบ์ เมื่อเซนต์มาเชียนมาตาย ภายหลังจึงได้เอาศพเข้าไปฝังไว้ในวัดนั้น เสาศิลาที่ถูกมัดก็เอาเข้าไปตั้งไว้ในนั้นด้วย มีรูปภาพเซนต์ต่างๆ หลายรูปที่เขียนไว้กับฝาผนังเก่าคร่ำทั้งนั้น มีโฮลี ตรินิตี ด้วยรูป ๑ ออกจากนั้นตรงปากช่องเข้าในโบสถ์วัดซานโยวานี วัดซานโยวานีไม่อัศจรรย์อะไรเปนวัดร้างๆ มีผนัง แลที่บูชาหลังคามุงด้วยใบไม้ ที่จริงมังก์แต่งตัวเข้าทีมาก สรวมเสื้อสีย้อมฝาดคร่ำๆ เหมือนผ้าย้อมกรักเก่าๆ มีหมวกติดอยู่กับเสื้อเปนฝาชีคล้ายเสื้อฝน แต่ห้อยอยู่ข้างหลังคาดเชือกเกลียว สรวมหมวกกะลา สีเดียวกัน ไม่สรวมถุงเท้า สรวมรองเท้าไม่มีส้น ดูเสื้อน่าจะร้อนเต็มที ท่าทางน่าจะเคร่ง แต่ไม่เคร่งเลย ให้เงินละดีใจเปนที่สุด เที่ยวเดินพล่านอยู่ตามในเมือง

ออกจากวัดนี้ไปที่ละโตเมียเดลปาราดีโซ คำว่าละโตเมียนี้ แปลว่าเปนที่สำหรับขุดศิลาไปใช้ฤๅอย่างที่อังกฤษเรียกว่าควอรี จะต้องอธิบายด้วยเรื่องการขุดศิลาที่นี่สักหน่อย ศิลานี้ต้องการไปใช้ทำกำแพง ซึ่งเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนได้ทำไว้ใหญ่โตมาก ธรรมดาของศิลาที่นี่ถ้าหากว่าข้างบนที่สูงๆ อ่อน ต้องขุดลงไปลึก ศิลาจึงจะค่อยแขงขึ้น ถึงดังนั้นยังถากเอาได้โดยง่าย ไม่ใช่ศิลาแขงซึ่งจะขุดลำบาก เพราะเหตุฉนั้นถ้าเวลาจะขุดศิลาเช่นนี้ขุดจากพื้นราบบนไหล่เขาตัดลงไปตัดลงไปจนลึกแลกว้างใหญ่ คงจะมีที่ซึ่งดีบ้างไม่ดีบ้าง เช่นกับมีเนื้อฝากกรวดปนอยู่ในนั้น จะตัดหน้าให้ราบไม่ได้ก็เว้นไว้เปนเสาลอยอยู่สูงๆ ลางทีก็เสือกชอนเข้าไปเปนโพรงเปนถํ้าละโตเมียเดลปาราดีโซ (ปาราดีโซนั้นที่คำอังกฤษว่าปาราไดส คือสวรรค์) ขุดลึกลงไปถึง ๑๐๐ ฟิตแล ๑๓๐ ฟิตเปนเวิ้งใหญ่ ด้านข้างเปนผนังศิลาแท่งทึบ เว้นไว้แต่ด้านข้างน่า มีกำแพงกั้น ภายหลังเมื่อขุดศิลาไปใช้แล้ว ที่นั้นใช้เปนที่ขังคนโทษชเลยศึกที่ใช้ทำงานขุดศิลานั้นเอง ผนังด้านหนึ่งได้ขุดรวงเข้าไปเปนถํ้า รูปถํ้านั้นเหมือนตัว S อักษรโรมันเวียนขึ้นไปหาหลังเขา ที่หลังเขานั้นเปนที่ผู้คุมอยู่รักษา ถํ้านี้ยาวถึง ๒๔๐ ฟิต สูง ๗๔ ฟิต แต่กว้างนั้นไม่เสมอกัน ตั้งแต่ ๑๕ ฟิตถึง ๓๕ ฟิต เปนที่ประหลาดมาก ถ้าอยู่ปากถํ้าข้างล่างพูดอะไรกันเสียงก้องได้ยินถึงปากถํ้าข้างบน แลกระท้อนกลับมาที่เรายืนอยู่ปากถํ้านั้นเสียงดังกึกก้อง ชั่วแต่กระซิบกันเท่านั้นได้ยินเสียงเหมือนตะโกน ประตูที่อยู่ที่อยู่ปากถํ้าเล็กๆ ปิดดังปังเสียงเหมือนปืนลั่น แต่ในถํ้าน้ำขัง เดินเข้าไปไม่ได้ถึงไหน ว่าที่ทำไว้เช่นนี้เพื่อว่าคนโทษจะพูดจาคิดอ่านกันอย่างไรผู้คุมคงได้ยินเสมอ ข้อที่โอนเปนรูปตัวเอสนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้นเพราะจะหลีกโรงลครกรีก ซึ่งอยู่บนไหล่เขาใกล้กันเท่านั้น ออกจากนั้นเดินเลียบไปตามข้างฝาละโตเมีย เปนถํ้าเปนเพิงสูงๆ ตลอดไป แลดูใหญ่โตน่าดู พื้นถํ้านั้นเปนน้ำใสขังตลอด ส่วนศิลาที่เปนก้อนใหญ่ๆ มีกรวดที่ไม่ใช้เหลืออยู่ในหว่างละโตเมียนั้น เขาไปทำสวนประกอบ ปลูกไม้เลื้อยไม้เครือ แลกุหลาบ ทำทางเล็กๆ เดินซอกแซก เปนสวนในหว่างภูเขาสนุกดี แล้วเวียนกลับมาออกที่ปากช่องโค้งตามเดิม เดินไปตามทางอิกนิดเดียวก็ถึงที่โรงลครกรีก ต้องเดินขึ้นไปจนถึงหลังที่คนนั่ง ลักษณโรงลครกรีกนี้คล้ายกันกับที่เทาร์มีนา ซึ่งได้กล่าวมาแล้ว แต่ย่อมกว่า ว่าได้สร้างขึ้นเมื่อ ๕๐๐ ปีก่อนพระเยซูเกิด เปนรูปกลมแต่ไม่กลมดิ่ง วัดสูนย์ได้ ๑๖๕ เลหลา คั่นที่ตัดศิลาขึ้นไปเปนที่คนนั่ง ๔๖ ชั้น แต่บางคนว่ามากกว่านั้น มีจาฤกศิลาบอกชื่อห้องตามชื่อผู้มีบันดาศักดิ์ในเวลานั้นมีชื่อกิงไฮโร กวีนฟิลิติส แลเนไรเปนต้น คเนกันว่ากวีนฟิลิติสจะเปนเมียกิงไฮโรที่ ๒ เนไรเปนลูกสาว โรงลครกรีกเช่นนี้มีฉาก แต่ด้านข้างฉากลงทางทเลนั้นพังหมด คเนดูเห็นจะไม่ใช่เปนที่สำหรับแต่เล่นลครอย่างเดียว เห็นเลือกเอาเฉภาะไหล่เขาที่อาจจะแลเห็นได้ไกลๆ ตลอด เห็นจะเปนที่ไปประชุมฤๅไปนั่งเล่นอย่างหนึ่งอย่างใดกันด้วย เดินขึ้นไปบนไหล่เขาหลังที่โรงลครนั้น มีหนทางที่ตัดไปในศิลา สองข้างทางนั้นเปนที่ฝังศพเหมือนกัน เดินวงรอบโรงลครกลับมาชโงกดูละโตเมีย เดลปาราดีโซได้

ออกจากนั้นขึ้นรถ ไปที่ละโตเมีย เดอี กปุซินีเปนที่ขุดศิลาอย่างเดียวกัน ลงไปตามทางลาดจนถึงพื้นล่าง ในนั้นทำเปนสวนที่นี่ก็กว้างใหญ่ สวนนี้เดิมเปนของวัด ซาน กปุซินี ครั้นเมื่อรัฐบาลอิตาเลียนริบที่ธรณีสงฆ์เอาเปนหลวงแล้ว มอบให้แก่มิวนิสิปัลีตีเมืองรักษา มิวนิสิเปอลให้นางชีรักษา สำหรับเก็บค่าคนไปดู เปนอาณาประโยชน์ ในที่นี้ถ้าปล่อยให้เดินก็หลงได้ ไปขึ้นทางกระไดข้างเรสเตอรองต์ เปนกระไดสูงหลายทบ พักที่เรสเตอรองต์นั้นหน่อยหนึ่ง จะไปไหนอิกหมดเวลา เขาว่าถ้าจะดูอย่างรีบๆ ต้อง ๒ วันเต็มๆ จึงจะพอ พระอาทิตย์จวนจะตกเสียแล้วจึงได้กลับ แวะดูร้านที่ขายเงินตราโบราณ เปนเงินเก่าแท้ เรียกราคาแพงเต็มทีต้องเลยไม่ซื้อ ปล่อยไว้ให้จรูญไปต่อตามกันภายหลัง เขาพาไปที่ร้านทำของปลอมอิกแห่งหนึ่ง ซึ่งทำขึ้นเปนรูปพรรณเครื่องประดับแต่รถไปไม่ได้ต้องลงเดิน เพราะกำลังทำท่อ ถนนแคบเปนสำแพ็งไปทั้งนั้น แต่เงินปลอมที่ทำเปนรูปพรรณเหล่านั้นกลวงในทั้งสิ้น จึงไม่ได้ซื้อ เลยกลับมาลงเรือ จรูญได้ทองแลเงินมาบ้าง ราคาแล้วแต่อย่างที่หายากหาง่าย อย่างที่หายาก ๑๕๐ แฟรงก์ ที่หาง่ายจน ๑๕ แฟรงก์ก็มี ขอบใจเจ้าพนักงาน แลไวสกงสุลอังกฤษเปนอันมาก เขาพลอยเหน็ดเหนื่อยด้วยเราหนักหนา เมืองไซราคุสซานี้ เดี๋ยวนี้ไม่เปนท่าค้าขาย ออกจะเงียบๆ กงสุลผู้นี้ได้รู้จักวุฒิไชย[๒๓๗] เพราะวุฒิไชยลงเรือรบอังกฤษมารักษาอยู่ตามแถบนี้ มาเรือล่มจมน้ำก็ที่แถบนี้ กับทั้งรู้จักปรินเซสออฟแบ็ตเตนเบิค ซึ่งเปนเมียปรินซอันเดร เมืองกรีกที่เคยชอบกับวุฒิไชย คนที่เคยพบกับพ่อที่วินด์เซอคาเซอลนั้น วันนี้สิ้นเขตร จรูญลากลับ สองยามเศษออกเรือ

ปากช่องท่าเรือเกาะมอลตา

ปากช่องท่าเรือเกาะมอลตา

คืนที่ ๒๐๓

เมืองวัลเลตตาเกาะมอลตา

วันอังคารที่ ๑๕ ตุลาคม

เรือมาถึงเวลาเช้า ๓ โมง เข้าจอดที่น่าโรงภาษี เมืองนี้ได้ฟังเล่ากันมาหนักที่เขียนเปนจดหมายรายงานทูตก็มี เข้าใจรูปเปนอย่างอื่นไม่เหมือนกันกับที่ตาแลเห็นเลย ช่างห่างเหินกันเสียจริงๆ จะเปนด้วยธรรมดาฟังคำเล่า นึกรูปตามไปคงผิดทุกที อย่างเดียว ฤๅจะเปนด้วยผู้ที่เขียนแลที่เล่าแลดูไม่ทั่วถึงเล่าไม่ดีก็ไม่รู้แน่ จะเล่าไปเดี๋ยวนี้ก็นึกหนักใจว่าจะเข้าใจไม่ได้ ออกจะท้อๆ อยู่ แต่ไหนๆ ได้เล่ามามากแล้วก็ต้องเล่าไปตามรูปที่เล่ามาแล้ว ดูเหมือนใครๆ ไทยๆ จะรู้ทั่วกันว่ามีเกาะมอลตาอันหนึ่ง ยิปรอลตาอันหนึ่งซึ่งเปนป้อมสำคัญของอังกฤษ เพราะได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่ของเราเคยพูดกันถึงได้ ในเมื่อพูดถึงเมืองฝรั่งดังกึกกักต่างๆ แต่ที่จะว่าเดี๋ยวนี้เฉภาะเกาะมอลตาซึ่งมีเปน ๓ เกาะ ใหญ่เกาะหนึ่ง ย่อมเกาะหนึ่ง รู้สึกอยู่ในหว่างอิกเกาะหนึ่ง แต่เกาะย่อมแลเกาะเล็กมีชื่อต่างหาก ไม่เกี่ยวแก่คำที่จะกล่าวถึงว่ามอลตา เกาะมอลตายาว ๒๐ ไมล์ กว้าง ๙ ไมล์ครึ่ง ไม่โตไปกว่าเมืองไซราคุสซาเก่า ตั้งอยู่ในระหว่างแหลมอิตาลีกับฝั่งอาฟริกา เกือบจะนับว่าอยู่กลางทเลได้ มีคนเกือบสองแสนคน ยังทวีขึ้นเสมอ แต่ทวีขึ้นไม่ได้มาก เพราะไม่มีที่แผ่นดินจะหากิน แต่เปนคนสำส่อนปะปนกันมาก เมืองที่ได้ตั้งมาเก่าเหลือเกิน ในระหว่าง ๓๐๐๐ กับ ๒๐๐๐ ปีก่อนพระเยซูเกิด ซึ่งได้พบสิ่งสลักสำคัญดังนั้น ชาติต่างๆ ที่ได้ปกครองเมืองเหล่านี้มาเปนอันมาก รวมทั้งกรีก อาหรับ โรมัน นอรมันเปนต้น จนถึงรวมเข้าอยู่ในอาณาเขตรเอมเปอเรอชารล์ที่ ๕ เมืองสเปญ ภายหลังชาร์ลที่ ๕ ได้ยกให้แก่พวกไนต์ออฟเซนต์ยอนซึ่งเตอรกีได้ไล่เสียจากโรเดส์ ต่อนั้นมาเมืองเปนของพวกไนต์ออฟเซนต์ยอนปกครอง นับว่าออกจะเปนเอกราช แต่ไม่ใช่ตั้งเปนเจ้าแผ่นดินแผ่นทรายอะไร ผู้ที่เปนหัวน่าก็เรียกแกรนด์มาสเตอ คือเปนหัวน่าใหญ่ในตราเซนต์ยอน เหมือนอย่างเปนแกรนด์มาสเตอ ของเครื่องราชอิศริยาภรณ์อันใดอันหนึ่ง แต่ไนต์ออฟเซนต์ยอนนี้มืเครื่องแต่งตัวกางเขนขาว ผ้าห่มดำเปนเครื่องหมาย ตามข้อบังคับของตรานั้น ไนต์เหล่านี้ออกจะเปนพระๆ ไม่มีเมีย แลเปนผู้พรักพร้อมที่จะต่อสู้ด้วยข้าศึกแห่งสาสนาคฤสเตียน เพราะเหตุที่เกาะนี้เปนที่ล่อแหลมต่อเขตรแดนกับเตอรกี เอมเปอเรอชารล์ที่ ๕ จึงได้มอบให้พวกไนต์เหล่านี้เปนผู้ปกครอง เพื่อจะได้พรักพร้อมอยู่เปนนิจที่จะต่อสู้เตอรกี ก็ได้ต่อสู้กันจริงๆ เกือบจะเสียเมืองครั้งหนึ่ง ซึ่งมีเรื่องราวเล่ายืดยาว จะไม่เล่าในที่นี้ ไนต์ออฟเซนต์ยอน ที่ภายหลังเรียกว่าไนต์ออฟมอลตา เพราะเหตุที่มาอยู่ที่เมืองมอลตานี้ ไม่กำหนดว่าเปนชาติใดภาษาใด ผู้ใดปฏิญาณตนประพฤติตามข้อกำหนดของเครื่องอิศริยาภรณ์นั้นแล้ว ก็นับว่าเปนไนต์ แล้วเลือกกันขึ้นเปนแกรนด์มาสเตอ แกรนด์มาสเตอมีอำนาจที่จะปกครองพวกไนต์ แลปกครองเมืองมอลตาด้วย บรรดาทรัพย์สมบัติของแกรนด์มาสเตอก็ดี ของไนต์ทั้งปวงก็ดี ที่ได้สร้างสรรค์สะสมขึ้นมากน้อยเท่าใด จะเอาไปยกให้แก่ผู้ใดไม่ได้ ตัวตายก็ต้องตกเปนของสงฆ์ สงฆ์ในที่นี้ไม่ได้หมายว่าพระ หมายว่าหมู่ คือในหมู่สงฆ์แห่งพวกไนต์ออฟมอลตานั้นเอง เพราะเหตุฉนั้นวังที่ได้สร้างขึ้นใหญ่โตสำหรับแกรนด์มาสเตอ แลสิ่งของซึ่งอยู่ในวังนั้น ทั้งตึกรามซึ่งเปนที่อยู่พวกไนต์จึงคงเปนของกลาง เว้นไว้แต่ในกาลครั้งหนึ่งไม่มีไนต์ผู้ใดที่จะปลูกสร้างอะไรขึ้น จึงอนุญาตให้ยกให้ผู้หนึ่งผูใดได้ บ้านเรือนจึงได้สร้างมากขึ้น เวลาที่เอมเปอเรอยกให้แก่ไนต์ออฟมอลตานี้ คฤสตตักราช ๑๕๓๐ นับว่าเปนแก่งสำคัญในการที่พวกถือสาสนาพระเยซูต่อสู้เติ๊ก พวกเติ๊กได้มาตีหลายครั้งไม่แตก เพราะเหตุที่พวกเติ๊กมาตีเกือบจะเสียทีเมื่อคฤสตตักราช ๑๕๖๖ ยอง เดอ ลา วัลเล็ตเตซึ่งเปนแกรนด์มาสเตอในเวลานั้น จึงได้สร้างเมืองที่เปนเมืองหลวงของมอลตาในเวลานี้ โดยก่อป้อมรอบถึง ๒ ชั้นอย่างแน่นหนา ซึ่งถือกันว่าเปนเมืองที่ตีไม่รู้แตก เมืองนี้จึงได้ชื่อว่าวัลเล็ตตา ตามชื่อของแกรนด์มาสเตอผู้สร้าง แต่เมื่อคฤสตศักราช ๑๗๙๘ โบนะปาตจะไปอิยิปต์มาคิดกลอุบายเอาเมืองนี้ได้ แต่ไม่ช้า ครั้นคฤสตศักราช ๑๘๐๐ ถ้วน อังกฤษก็มาตีได้ แลรักษามาจนเท่าบัดนี้ เพราะเหตุนี้ราษฎรพลเมืองเปนคนต่างชาติต่างภาษามาแต่แรก อยู่นานปะปนกันเข้าเกิดกลายเปนชาติอันหนึ่งขึ้นซึ่งเรียกว่ามอลตีส ภาษาของชาวมอลตีสเปนอาหรับครึ่งหนึ่ง อิตาเลียนครึ่งหนึ่ง พูดปนๆ กันไปแต่จะฟังเปนอาหรับก็ไม่ได้ จะฟังเปนอิตาเลียนก็ไม่ได้ เว้นไว้แต่คนชั้นสูงๆ พูดภาษาอิตาเลียนได้ทุกคน ภาษาราชการที่ใช้ในเวลานี้ใช้ภาษาอังกฤษ ถึงคนค้าขายชาวเมืองก็พูดอังกฤษมากขึ้น มีทหารอังกฤษรักษาประจำอยู่ในที่นี้ถึงหมื่นหนึ่ง อ่าวเมืองวัลเล็ตตาประหลาดไม่มีที่ไหนเหมือน แหลมที่ตั้งเมืองวัลเล็ตตาอยู่ในสูนย์กลางอ่าว แลดูเหมือนเปนกระดูกพัด มีน้ำล้อมเกือบจะรอบ ฝ่ายข้างฝั่งมีอ่าวเข้าไปเปนช่องๆ เหมือนรูปพัด ฤๅตาลิบัตรแฉกที่ขาดยอดแหว่งอยู่ข้างหนึ่ง ในอ่าวนี้กว้างใหญ่ น้ำก็ลึก เรือไอรอนแคลดใหญ่ๆ เข้าไปจอดได้ใกล้ฝั่งทีเดียว ไม่เห็นท่าเมืองใดที่จะมั่นคงแขงแรงแลสดวกดีเหมือนท่านี้ นอกจากอ่าววัลเล็ตตานี้ ยังมีอ่าวใหญ่ๆ ข้างฝ่ายเหนือแลฝ่ายตวันออกอกถึง ๓ อ่าว เว้นไว้แต่ข้างตวันตกแลข้างใต้ไม่มีอ่าว ที่แผ่นดินซึ่งเปนที่ตั้งเมืองวัลเล็ตตาเปนเขา ไม่ใช่ชันดิ่งขึ้นไป พอที่จะตัดถนนเปนถนนราบ นับว่าเปนสายรี แลมีถนนขวางซึ่งเปนสายชัน ลักษณคล้ายกับเมืองเนเปอล แต่เมืองเนเปอลถนนขวางใช้เปนคั่นกะได นี่ใช้เปนตีนสพานช้าง แต่ชันรถขึ้นไม่ได้ แลดูในทเลเห็นเปนตึกซับซ้อนกันไป ไม่แลเห็นต้นไม้ใบหญ้าเลย ดูเหมือนไม่มีพืชพรรณอะไร มีแต่ศิลากับปูนที่ก่อผนัง แต่เขาว่าภายในเปนที่บริบูรณ์มาก บริบูรณ์ด้วยความเพียรของชาวเมือง ทำนาทำไร่หญ้า สิ้นฤดูแล้วปลูกฝ้ายได้อิกคราวหนึ่ง นับว่าเปนเมืองบริบูรณ์ในการค้าขายด้วย ที่เล่ามานี้เล่าตามความรู้ความเห็นที่รู้ล่วงน่าไว้แล้ว คราวนี้จะว่าด้วยทำอะไรบ้างในวันนี้ต่อไป

เวลานี้เกาวเนอไม่อยู่ เยเนราลแฮร์รีแบรอน เปนผู้รักษาราชการแทน ให้นายทหารคนสนิทเขามานัดเวลา แล้วลงมาเยี่ยม แต่งฟรอกโก๊ต ทหารติดตรา เยเนราลแบรอนผู้นี้เปนผู้ที่รู้จักบุรฉัตร[๒๓๘] เวลานั้นเขาเปนเคอเนล บุรฉัตรไปเรียนเปนทหารเอนยิเนียที่แชธัม เปนคนมีอาการเปิดเผย แลน้ำใจดีเปนอันมาก การที่มาหานั้นเปนทางราชการก็จริง แต่เราไม่ได้พูดกันอย่างทางราชการ กลายเปนปฤกษาโปรแกรมที่จะทำอย่างไรในเวลาวันนี้ ตลอดจนขอแรงให้ช่วยกะคนที่จะมาเลี้ยงเวลาค่ำ ให้หาคนชาวร้านมาขายของในเรือ รู้สึกสบายใจว่าเปนคนสนิทกันเหมือนเซอ เฮนรี เบลก ที่พบกันที่โกลัมโบเมื่อกลับไปแล้ว คอมมานเดออินชีฟทหารเรือ เซอชาลส์ดรูรี มาเยี่ยม ดีที่สุดอิกเหมือนกัน ทั้งเยเนราลแบรอน แลเซอชาลส์ดรูรี่ ขอไม่ให้ต้องไปเยี่ยมตอบ เพราะเหตุที่มีเวลาน้อย แต่ได้ชวนให้ลงเรือลอนช์ของเขาไปดูเรืออิมปลัคะเบอล ซึ่งวุฒิไชยได้ฝึกหัดอยู่ในเรือนั้น ได้ขึ้นไปบนเรือ ต้อนรับตามธรรมเนียมเรือรบ กัปตันคาร์ ซึ่งเวลาวุฒิไชยอยู่ในเรือได้เปนที่สองรองปรินซหลุยส์ออฟบัตเตนเบิค ซึ่งได้เปนนายเรือในเวลานั้น ทั้งเซอชาลส์ แลกัปตันคาร์ได้พูดถึงวุฒิไชยเปนอันมาก เอดิกงของเซอชาลส์เปนเพื่อนนักเรียนกับวุฒิไชยด้วย ดูเกือบจะรู้จักวุฒิไชยไปด้วยกันทั้งนั้น ชอบชมว่าดีโดยมาก ได้พาไปดูที่ซึ่งนอนบนหลังหีบผ้าแลที่กินเข้าแลที่อื่นๆ ทั่วทั้งลำ คนถึง ๗๐๐ ในเรือแต่ดูจัดดีเต็มที กัปตันเปนคนที่มีความคิดจัดห้องแคบินสนุก แลอัชฌาไศรยเปนน้ำแจ่มใสอย่างทหารเรืออังกฤษซึ่งพ่อเคยชอบทุกคน ดูจะเปนคนกว้างขวางมากอยู่ กลับจากเรืออิมปลัคะเบอล มาที่เรือพม่าเสียทีหนึ่ง หยุดพักพอให้เวลาพอดีที่จะขึ้นไปกินกลางวัน วันนี้และร้อนถึงบางกอกแท้ๆ เพราะเหตุว่าปรอดที่นี่อย่างต่ำ ๖๑ อย่างสูงถึง ๙๖ ในน่าร้อน วันนี้อยู่ข้างร้อนอ้าวจัด พ่อลืมกล่าวถึงกงสุลของเรา เวลานี้ไม่อยู่แต่ผู้แทนเปนน้อง ชื่อ เรยโนด์ เปนพ่อค้าถ่าน ดูก็อยู่ข้างจะกว้างขวางพอใช้ มีเมียเปนมอลตีส ลงมาตั้งแต่แรกเรือมาจอด เซอชาลส์ให้เรือมาคอยรับสำหรับที่จะไปแห่งหนึ่งแห่งใด แลปวารณาไว้ด้วย ว่าจะต้องการให้ทำอะไรได้ทั้งนั้น

เวลาก่อนบ่ายโมงครึ่งไปขึ้นที่ท่า ไปในรถของเจ้าเมือง มีพวกนายทหารสนิทลงมารับ ถนนในเมืองนี้แคบมาก แต่ไม่สู้คดเคี้ยวมีถนนตรงๆ บ้านเรือนหมดจดแลแน่นหนาดีกว่าในซิซิลีทั้งหมด ถนนที่นี่ไม่เรียก เวีย อย่างในอิตาลี เรียกสตราตา อย่างเช่นสตราตา เรอัเล เปนถนนหลวง ซึ่งนับว่าเปนถนนสำคัญผ่านน่าวัง ที่จริงเยเนราลแบรอนไม่ได้อยู่ในวัง อยู่บ้านหนึ่งต่างหาก แต่มารับแลจัดการเลี้ยงในวังเพราะสิ่งซึ่งจะดูเปนสำคัญที่นี่ ก็วังอันตั้งอยู่กลางเมือง วังนั้นคือวังแกรนด์มาสเตอของไนต์ออฟมอลตา เปนตึกวงรอบมีลานสนามกลางตามธรรมเนียมวัง ตรงที่น่าวังออกไปมีโรงทหารรักษาองค์ใหญ่โต เขาเอาแตรวงมาเป่าในที่นั้นด้วย อัฒจันท์ที่ขึ้นวังนี้ช่างขึ้นง่ายเสียจริงๆ เปนคั่นเตี้ยๆ นิดๆ ไม่เหนื่อยเลย คเนกันว่าแกรนด์มาสเตอผู้ที่ทำเห็นจะเปนคนแก่ มีแผ่นศิลาจาฤกชื่อแกรนด์มาสเตอตามลำดับ ๒๘ คนจนถึงเวลาที่เสียเมืองแก่นะโปเลียนโบนะปาต ยอดอัฒจันท์มีจาฤกชื่อเจ้าเมืองอังกฤษอิกแผ่นหนึ่งต่างหาก เดินตามเฉลียงกว้างซึ่งมีเพดานแลผนังเขียน มีรูปเกราะตั้งรายตลอดไปจนถึงห้องรับแขก พ่อไปเรวไปนิดหนึ่ง แขกที่เชิญมาเลี้ยงเวลากลางวันยังไม่มีใครมา ต่อไปถึงสักครู่หนึ่งจึงมากันตามลำดับ เมื่อเข้าไปยืนที่เรียบร้อยแล้วนำให้รู้จัก พ่อจูงมิสซิสแบรอน โต๊ะนี้เปนโต๊ะเก่ากว้าง จัดดอกไม้เต็มไปทั้งโต๊ะ คนนั่งโต๊ะมาก ตัวสำคัญๆ ทั้งฝ่ายทหารบกทหารเรือ แลพลเรือนทั้งอาร์ชบิชอปได้มาหมด มีผู้หญิงหลายคน รวม ๓๘ ไปเห็นประหลาดอย่างหนึ่ง ว่าพอเคยไปนั่งโต๊ะใหญ่ๆ ในประเทศที่ถือโรมันคาทอลิก เช่นเมืองฝรั่งเศส, ออสเตรีย, สเปญ, ปอร์จุคัล, ถ้าเจ้านายน้อยคงจะได้นุนซิโอ ทูตของโป๊ปนั่งขวาเสมอ แต่ไปเมืองฝรั่งเศสคราวนี้นุนซิโอ ได้ไล่ไปเสียแล้ว เมืองอื่นที่เปนคาทอลิกก็ไม่ได้ไป ขันที่มาเห็นอาร์ชบิชอปนี่นั่งขวา ให้รฦกถึงนุนซิโอที่เคยถูกนั่งใกล้กันเสมอ แต่ขันที่มันกลับมานั่งใกล้กันในแผ่นดินของอังกฤษ ที่ไม่ได้เปนชาติที่ถือลัทธิคาทอลิก แต่ราษฎรพลเมืองยังเปนคาทอลิกอยู่ทั้งนั้น เขาจึงได้ยกย่องอาร์ชบิชอป เมืองนี้ไม่ใช่มีแต่ขุนนางสำหรับเมือง มีทหารบกทหารเรือที่เปนกองใหญ่ๆ มีหัวน่าใหญ่ๆ ซึ่งออกจะเปนการยากที่จะจัดแต่น้อยได้ เพราะเหตุฉนั้นการเลี้ยงวันนี้จึงออกเปนรูปทางราชการ แลมีสปีชด้วย ปรินซหลุยส์ออฟบัตเดนเบิคเปนผู้บังคับการที่สอง ในทหารเรือแอดมิราลฟิเชอบังคับการอู่ แอดมิราล บาร์รีเปนผู้บังคับครูเซอ แลเมเยอเยเนราลสโต๊กส์ มีตุลาการ ๓ คน

เสร็จการเลี้ยงแล้วหยุดพักที่ห้องแห่งหนึ่งมุมข้างมิวเซียม ช่างร้อนเสียจริงๆ ถึงต้องถอดเสื้อชั้นนอกออกนั่งอยู่เปล่าๆ ตกลงเปนต้องเปลี่ยนเสื้อ ทนฟรอกโก็ตแลตอปแฮตไม่ไหวจริงๆ พ่อสั่งให้เตรียมขึ้นไปเสียก่อนแล้ว ทีหลังตกลงกันเปนสาธุเปลี่ยนด้วยกันหมด หมวกสานค่อยทุเลา เที่ยวเดินดูในวังนั้น ที่นี่มีพยานอย่างหนึ่งว่าไนต์ออฟมอลตานี้ ได้มีการเกี่ยวข้องกันกับการเมืองจีน แต่พอเยี่ยมเข้าไปในห้องรับแขกก็รู้สึกโดยทันที ว่าหม้อลายผักชีช่องอย่างสูง ๒ ใบ ซึ่งเดิมตั้งอยู่ที่ท้องพระโรงน่า พ่อยกขึ้นไปที่ห้องโต๊ะกลมที่พระที่นั่งจักรีนั้น มีอยู่ที่ห้องนี้เหมือนกันไม่ได้ผิดเลย ทั้งลวดลายแลเล็กใหญ่ ซํ้าไม่มีฝาด้วย เปนพยานว่าอ้ายที่เรามีฝานั้นผิด อย่างที่เราเห็นผิดอยู่แล้ว นอกนั้นมีโอ่งต่ำลงมากว่านั้นดีๆ หลายคู่ เปนครามปูนเดียวกันทั้งนั้น รูปตุ๊กตาสีสูงประมาณสักศอกเศษคู่หนึ่ง เนื้อหนังดี ถ้าขึ้นโต๊ะสีเรียกก็ให้กันไม่มีเสียงขัด มีเครื่องเมโยลิคาดีๆ ซึ่งพ่ออยากจะรู้ว่ามันดีอย่างไรเห็นแต่ครุคระเปื้อนๆ คราวนี้ได้เห็นของเขาดีจริง แต่อย่างไรๆ ก็ปังเคย ห้องโทรนที่สำหรับแกรนด์มาสเตอนั่ง มีเก้าอี้แลดาบไม้ ภาพเขียนดี ที่ทำการของเจ้าเมืองอยู่ในห้องนอนของแกรนด์มาสเตอเก่า ไม่ใหญ่โตเท่าใด มีประตูลับขึ้นลงทางชั้นล่างได้ ห้องที่ไหว้พระ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ใช้เปนวัด ฝากรุด้วยตะเปสตรี ผูกลายแปลกกว่าที่อื่นหมดเขาซ่อมแซมใหม่ งามมาก แล้วไปดูอาร์เมอรีที่ไว้เครื่องอาวุธแลเครื่องเกราะ มีปืนอย่างเก่าๆ ทั้งปืนบรรจุท้าย ต้องกับคำที่เขาว่าสิ่งไรที่ใต้พระอาทิตย์ไม่มีใหม่

ออกจากวังไปตามสตราตา เรอัเล ไปดูวัดเซนต์ยอน ภายนอกไม่งามตามเคย แต่ภายในเซาะศิลาเปนลายเด่นเหมือนลายสลักทั่วไปทุกแห่ง แล้วทาสีปิดทอง ตามข้างโบสถ์เหล่านั้นแบ่งเปนวิหารตามภาษาต่างๆ มีอิตาเลียน, ฝรั่งเศส, สเปญ, แลเยอรมัน ภาษาใดที่มีคนมากก็มี ๒ วิหาร พื้นโบสถ์นั้นประดับโมเสกเปนลายอาร์มของพวกไนต์ทั้งปวง ซึ่งฝังศพเรียงกันเต็มไปทั้งพื้นโบสถ์ ที่แท่นบูชากลางมีซุ้มแลตู้เงิน เปนลายสลักเด่นเต็มรูป ตู้กลางว่าเปนที่ไว้กระดูกแขนเซนต์ยอน ซึ่งนะโปเลียนโบนะปาตได้พาเอาไปเสีย ฟังคำเล่าเหมือนกันกับที่มีอันหนึ่งที่ในวังเมืองสเปญไม่ผิดกันเลย แต่ไม่ใช่อันนั้น อันที่นะโปเลียนพาไปนั้นตกไปอยู่เมืองรูเซีย แล้วพาลงไปที่ในใต้แท่นบูชาที่เรียกว่า คริปส ศพคนที่สำคัญเซนต์อะไรต่างๆ เขาฝังในที่นั้นทุกแห่ง ในที่นี้มีฝังศพแกรนด์มาสเตอคนแรก วัลเล็ตเตผู้ที่สร้างเมืองกับคนสำคัญอิก ๒ ศพ มีศพไนต์อังกฤษที่ไม่เปนแกรนด์มาสเตอคนหนึ่ง แต่เปนคนที่กล้าหาญ วิเศษมาก ได้ลงไปฝังอยู่ในนั้นอิก ศพหนึ่ง

ออกจากวัดนี้ไปตามถนนออกประตูเมืองแห่งหนึ่ง สำหรับที่จะได้ดูป้อม ยุ้งเข้าที่นี่เขาทำชอบกล ที่ไว้เสบียงอาหารสำหรับกองทัพขุดลงไปในพื้นแผ่นดินเปนปล่องๆ แล้วรวงข้างในให้ทลุถึงกัน ที่ปากปล่องนั้นเอาศิลาทับไว้ ผนึกเสียหมด เข้าที่ลงอยู่ในฉางใต้พื้นซึ่งเปนศิลารอบเช่นนั้นอาจจะทนอยู่ได้ถึง ๕ ปี ไม่ผุไม่รา แลไม่แห้งไป เพราะเหตุที่ไอศิลานั่นอบอุ่นแลทำให้ชุ่มอยู่ได้ ป้อมกำแพงที่นี่ทำด้วยวิชาอย่างดี สูงใหญ่มั่นคง คูลึก ประตูเปนป้อมแน่นหนาทำเปน ๒ ชั้น แต่ชั้นนอกกับชั้นในไม่ห่างกันนัก นอกเมืองนี่เปนถนนใหญ่อย่างใหม่ มีปลูกต้นไม้มาก แต่ไปไม่ถึงไหนด้วยเวลาหมดเสียแล้ว จึงได้กลับรถไปที่บ้านแอดมิราล เลี้ยงน้ำชา ที่บ้านแอดมิราลนี้เปนที่อยู่ของไนต์ผู้หนึ่งซึ่งทำอย่างแน่นหนางดงาม เว้นแต่ห้องไม่ถูกกันกับปัจจุนันนี้ ที่เล็กก็เล็กเกินไป ที่โตก็โตเกินไป เลดี ดรูรี เปนคนที่มีอัชฌาไศรยดี เรียบร้อยแลพูดสนุก เชิญแขกมาก เต็มทั้งเรือน มีที่เฉลียงโถงอยู่ข้างด้านหลัง แลดูวิ้วเห็นตลอดทเล แต่ตั้งแต่ใกล้เรือนไปจนกระทั่งถึงทเลเห็นเปนหลังคาเต็มไปทั้งนั้น คล้ายๆ ในวัง รอดตัวที่เปนหลังคาตัดทั้งนั้น เวลาพลบกลับมาลงเรือ

เวลา ๒ ทุ่มเลี้ยงดินเนอในเรือพม่ามี ๒๔ คนทั้งพวกเรา นั่งอยู่ข้างจะชิดกันมากสักหน่อย แต่ไม่ได้รับแขกในห้อง รับที่ดาดฟ้า การเลี้ยงเปนที่เรียบร้อยดูพอใจด้วยกันทั้งนั้น

คืนที่ ๒๐๔

วันพุฒที่ ๑๖ ตุลาคม

เมื่อคืนนี้กัปตันวอลเตมาส์ มีโทรเลขมาถึงชายบริพัตร ตอบหนังสือที่มีไปขอให้เรือซักเซนได้ออกจากปอตเสดในวันอาทิตย์นั้น ว่าไม่ได้ เรือจะไปถึงปอตเสดต่อเวลา ๕ ทุ่ม จะต้องบรรทุกถ่าน เพราะเหตุนี้ ถ้าจะออกเรือเช้าวันนี้ตามกำหนด จะต้องไปคอยเรือซักเซนอยู่ที่ปอตเสดอิกวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง จะร้ายกาจกว่าอยู่ที่นี่มาก เพราะฉนั้นจึงได้คิดเลื่อนอยู่ที่นี่อิกคืนหนึ่ง ให้ไปถึงโน่นต่อวันจันทร์เวลาเช้าเปนอย่างช้า พอจะได้ลงเรือได้ทันที

เวลา ๔ โมงเข้า เยเนราลบารอนกับเมีย แลนายทหารสนิทของเขาลงมาตามที่นัด ว่าจะพาคนขายของลงมา เพราะพ่อกลัวว่าจะถูกล่อลวงต่างๆ จึงได้พูดกันกับมิสซิสบารอนให้เขาช่วยซื้อให้ ลงมา ๓ คนด้วยกัน ของที่ขายเปนเครื่องเงินเก่าๆ ที่อยากจะว่าเปนของไนต์ออฟมอลตา แต่ที่จริงเปนของจากอื่นมาก ที่เชื่อว่าเปนของไนต์ออฟมอลตาแท้แต่ไม้กางเขนอันหนึ่ง ไม่สู้จะต้องต่อราคาลดมากนักเพราะเขาคัดมาแล้ว นอกจากเครื่องเงิน มีผ้าลูกไม้ที่ทำเมืองนี้ ซึ่งไม่สู้เลอียดเหมือนอย่างกับผ้าลูกไม้เบลเยี่ยม ฤๅอิตาเลียน ทำด้วยไหมบ้างด้ายบ้าง ราคาถูก เครื่องเงินใหม่ๆ ก็เปนรูปเรือที่ใช้กันอยู่ในเมืองนื้ ได้บอกแอกติงเกาวเนอ ในเรื่องที่จะเลื่อนกำหนดไป เขาจึงชวนให้ไปขึ้นรถเที่ยวซึ่งมีความปราถนาอยู่ แต่ไม่มีเวลานั้น ประเดี๋ยวหนึ่งแอดมิราลดรูรีก็ลงมา หมายว่าจะมาส่ง ที่จริงพ่อให้กงสุลไปบอกแต่ไม่พบแคล้วกัน รู้ว่าจะยังไม่ไป เลยเชิญดินเนอที่บ้าน เพราะเขาเตรียมจะเลี้ยงอยู่ก่อนแล้ว พ่อของดให้เปนเลี้ยงน้ำชาเสีย เชิญเขาลงมาเลี้ยงในเรือ วันนี้สบเหมาะเข้าแกจึงเลยเชิญ แต่เปนไปรเวตดินเนอ ได้รับไว้ กลางวันร้อนเต็มทีไม่ได้ไปข้างไหน ที่นี่ถ้าขืนเที่ยวกลางวันรังๆ อย่างในเมืองอื่นๆ โทษถึงจับไข้ได้ เพราะฉนั้นจึงได้นัดกำหนดเวลาจะไปเที่ยวต่อบ่าย ๓ โมงครึ่ง นอนสรวมเสื้อชั้นใน เปิดพัดลมจึงค่อยยังชั่ว

เวลาบ่าย ๓ โมงครึ่ง เยเนราลบารอนกับเมียมาคอยรับที่ท่าโรงภาษี พ่อขึ้นรถกับเยเนราล บริพัตรไปกับเมีย ขับรถประทักษิณรอบกำแพงเมืองวัลเล็ตตา อ่าวข้างใต้ซึ่งจอดเรือเปนอ่าวลึก ลงเขื่อนแน่นหนา เดิมคิดอ่านว่าจะเอาเรือรบเข้ามาทอดริมฝั่ง ให้บรรทุกเสบียงอาหารได้ง่าย ภายหลังเลิกไป ทางไปตอนแรกเลียบใกล้ป้อมซึ่งสูงตระหง่าน ป้อมนั้นขุดลงไปหลังเขา เอาศิลาที่ขุดนั้นขึ้นมาเสริมขึ้นเปนกำแพงคู เมืองก็เปนเช่นนั้น ขุดศิลาจากคูขึ้นมาก่อป้อม เสริมข้างบนให้ได้รูปอย่างวิชาช่าง ดูการงานช่างมากมายเสียจริงๆ ถ้าจะทำด้วยเงินยากที่จะสำเร็จได้จะต้องลงทุนมากไม่ใช่น้อย แต่นี่ใช้ทาษทั้งนั้น ด้วยในแถบนี้แต่โบราณมีสลัดเที่ยวตีปล้นอยู่รอบไป สลัดนั้นเปนอาหรับเปนพื้น พวกไนต์จะออกมาเที่ยวนอกเมือง เงียบๆ ไม่ใคร่ได้ ถูกจับ จึงมีการต้องปราบปรามกันอยู่เปนนิจ จับพวกสลัดได้เอามาไว้เปนทาษใช้ให้ทำป้อมเหล่านี้ ด้านหลังเมืองซึ่งเปนเอ็นดินในระหว่างอ่าวเหนือแลอ่าวใต้เปนเนินศิลา ด้านหลังมีกำแพงเหมือนกัน ไม่สู้กว้างนัก ไปตกอ่าวข้างเหนือ อ่าวข้างเหนือนี้กว้างใหญ่ แต่น้ำตื้นกว่าข้างใต้ มีชวากที่แวะๆ เข้าไปเปนอ่าวย่อมๆ เปนที่ทำการต่างๆ คืออ่าวหนึ่งเปนอู่ลอยของปีแอนโอกัมปนี อ่าวหนึ่งเปนที่ไว้เรือพิฆาฏ (เดสตรอยเยอ) มีอยู่เวลานี้ ๑๒ ลำ มีเรือที่เขาเรียกว่าเรือแม่สำหรับคอยเพิ่มเติมสาตราวุธเสบียงอาหารลำ ๑ อ่าวอื่นต่อออกไปอิกก็เปนที่เรือจ้างกลไฟมาจอดแลอื่นๆ เมื่อเวลาเราไปตามอ่าวข้างเหนือไปในชานป้อม แต่ครั้นเมื่อไปถึงที่เอ็นหลังเมืองแล้วข้ามฟากไปตามขอบอ่าวข้างนอก ทางต้องเวียนไปไปตามอ่าวอย่างย่อมๆ ที่มีคั่นเปนระยะกันไปมากอ่าว ถ้าจะพูดเปรียบว่าอ่าวใหญ่เปนแม่น้ำแล้วขุดอู่ตามริมฝั่งเปนจังหวะกันไป เราขับรถไปต้องเวียนไปตามรูปอู่ทุกๆ อู่ก็ได้ อ่าวย่อมๆ ฤๅที่เปรียบว่าอู่นี้ไม่ใช่เล็กๆ เปนอ่าวใหญ่ๆ แต่เข้าไปตันเท่านั้น ไปตามปากอู่นี้จนถึงปากช่องที่ออกทเล ที่นั่นเปนโรงทหารปืนใหญ่ ซึ่งเปนกองเยเนราลบารอนบังคับ โรงทหารนี้ทำอย่างที่เราเคยเห็นที่ชวา คือกำหนดเรือนสำหรับนายทหาร มีเมสซึ่งทำใหม่งดงามล้วนแต่ด้วยศิลาทั้งนั้น แต่ที่อยู่คนใช้โรงไม้พื้นโปร่งข้างล่างตั้งบนเตาหม้อศิลา ไม่ได้นัดที่จะไปเยี่ยมโรงทหารนี้เปนแต่ผ่านไปดู เพื่อจะให้เห็นอยู่ปรกติ แต่เขาบอกนายทหารให้รู้จึงได้มารับ ไปดูป้อมหัวแง่ปากอ่าวซึ่งตรงกันข้ามกับป้อมเก่า มีปืนอย่างใหม่พร้อมบริบูรณ์ด้วยเครื่องยกบรรจุ แต่ไม่ควรจะกล่าวเลอียดได้ กลับจากที่นั้นไปดูโรงทหารใหม่ ซึ่งได้ทำในที่ซึ่งสำหรับยิงเป้า เปนที่ว่าง แล้วบ้างยังบ้าง ดูมั่นคงแขงแรงมาก ทำด้วยศิลาทั้งนั้น แล้วกลับเลียบมาตามริมทเลผ่านเข้าในเมืองไปกินน้ำชาที่บ้านเยเนราลบารอน ที่บ้านนี้เปนวังอันหนึ่งซึ่งดูก็สบายดี มิสซิสบารอนช่างจัดเรือนมาก แอดมิราลแลกัปตันคาร์ได้มากินน้ำชาในที่นี้ด้วย เมื่อกินน้ำชาแล้วพากันออกไปนั่งที่แจ้งที่แลเห็นทเล ในที่นี้มีต้นไม้เลื้อยอย่างหนึ่งซึ่งปลูกไว้ช้านานมาแล้ว เรียกบูกังวิลเลียร์[๒๓๙] ว่าเวลามีดอกออกเต็มไปทั้งหมด งามนัก เยเนราลบารอนรับว่าจะจัดส่งเข้าไปให้ คงจะเปนได้ในเมืองร้อน เวลาย่ำค่ำจึงได้กลับลงมาเรือ

เวลา ๒ ทุ่มได้ขึ้นไปที่บ้านแอดมิราลดรูรี ซึ่งอยู่ติดกันกับบ้านเยเนราลนั้นเอง การเลี้ยงวันนี้ไม่มีใคร มีแต่แอดมิราลกับเมียเยเนราลกับเมียปรินซหลุยส์ออฟบัตเตนเบิค กับนายทหารสนิทของแอดมิราล แลพวกเรา เลี้ยงแล้วได้ออกไปนั่งที่เฉลียงซึ่งแลเห็นทเล ที่นี้ไฟฟ้าดับเปนเหมือนกัน แรกไปถึงก็ไฟฟ้าดับ เวลาจวนจะไปนั่งโต๊ะจึงได้มา ครั้นออกไปนั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างนอกดับอิก แต่ดีด้วยเดือนหงายแลเห็นตึกรามจนตลอดทเล จนถึงต้องห้ามไม่ให้เอาไฟมา

แอดมิราล แลเยเนราลทั้ง ๒ คน พูดแล้วพูดเล่าถึงการที่ไม่ได้รับเปนเกียรติยศ เพราะเหตุที่โทรเลขไปถามได้ความว่าจะมาสตริกต์ลี อินคอกนิโต กลัวจะไม่ถูกใจ จึงได้หยุดการที่ตระเตรียมไว้หมด เตรียมว่าเวลาออกวันนี้จะส่ง มีสลูต แลจะให้เรือตอปิโดตามแห่ออกไปเปนแถว แต่พ่อจะไปเสียแต่เช้ามืดยังไม่ถึงเวลาสลูต เขาอยากจะให้ออก ๒ โมงเช้า พ่อบอกว่าที่คิดจะออกไปเช้านั้น ด้วยอยากจะหลีกการที่ต้องลำบากเช่นนั้น ด้วยประสงค์จะมาเที่ยวเงียบๆ จริงๆ ที่แท้พ่อมีความพอใจในการรับรองที่มอลตานี้เปนอันมาก ดูเปนทางคุ้นเคยสนิทสนมกัน เห็นได้ว่าบรรดาขุนนางทั้งปวงทั้งฝ่ายทหารพลเรือนได้ต้อนรับโดยความเต็มใจ ไม่ได้ทำไปแต่ตามธรรมเนียมเลย พ่อชอบความจริงใจมากกว่าที่จะทำไปพอแต่เปนพิธี ฤๅตามธรรมเนียม รู้สึกใจว่าเหมือนอยู่ในระหว่างมิตรสหายชึ่งชอบพอกันโดยสุจริต แลพูดจาเล่นหัวกันสนุกสนานทั่วไป ที่จริงการรักษาเขาได้รักษาโดยกวดขัน เวลาที่เราจอดอยู่ในท่านี้ทั้ง ๒ วัน ๒ คืน มีเรือพลตระเวนลงมาทอดทุ่นรักษาอย่างไทย เรือไฟกรมทหารเรือลำ ๑ แล่นช้าๆ เวียนอยู่รอบๆ เรือ ทั้งกลางวันกลางคืนไม่มีเวลาหยุด ใครจะเข้าออกไปมาตรวจตราทักถาม เวลาขึ้นไปบกโปลิศได้จัดถนนเรียบตลอดทุกหนทุกแห่ง พบใครกลางทางไม่ว่าชั้นสูงชั้นต่ำ จนคนเลวๆ เปิดหมวกคำนับทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีรุมมีตอมอะไร จนเยเนราลบารอนเองก็ประหลาดใจ

ว่าคนช่างทำความเคารพคารวะมากกว่าที่คาดหมายจริงๆ การที่มาเมืองมอลตาครั้งนี้ นับว่าเปนสำเร็จอย่างดีที่ควรจะพอใจ เว้นไว้แต่ความร้อนซึ่งแก้ไม่หายได้ เจ้าของเมืองว่าเปนเวลาลมตวันออกซึ่งเรียกว่าซิรอกโก ลมตวันออกเช่นนี้ไม่พัดให้ใครดี ที่สุดจนจะซ่อมเรือนก็ต้องรอ ทาสีทิ้งไว้เท่าไรก็ไม่แห้ง ต่อลมตวันตกพัดเมื่อไรสีจึงจะแห้ง

ในเมืองนี้ใช้ฬาน้อย เห็นสักตัวหนึ่งหรือสองตัวเท่านั้น มีฬ่อมาก รถที่ใช้เปนรถเล็กขนาดดอกก๊าดแต่นั่งหันหน้าเช้าหากัน ตั้งเสามีเพดานเปนกระโจมเรียกตามภาษามอลตีสว่า กาโรซินี ที่จริงก็ดี ถ้าไปรถเปิดจะทนแดดไม่ไหว ผู้หญิงในเมืองใช้ผ้าคลุมหัวอย่างสเปญมาก ทำนองเปนกั้นร่มปีกคั้งคาวติดไปกับหัว รูปร่างคนมีแปลกประหลาดต่างๆ มากแต่ก็มีคนสรวย เยเนราลบารอนบอกว่าได้กล่าวกันถึงจะพาพ่อไปดูสวนต้นผลไม้ เขาได้ห้ามเสียเองว่าอย่าพาไปเลย จะไปประมูลสวนเมืองไทยอย่างไรได้ ผลไม้เมืองนี้มีมากกว่าข้างอิตาลี แต่วิปริตอย่างเดียวกัน คือลูกแปร์แขงเปนสาลี่ ลูกแอปเปอลเล็กเท่าลูกน้ำ ดอกไม้เทศ ลูกปีชเปลือกแขง เนื้อก็แขง ชั้นผู้ดีเขาถึงต้องไปเอาลูกไม้เมืองอังกฤษมากิน แต่เวลากลางคืนค่อยยังชั่วร้อน

คืนที่ ๒๐๕

เรือพม่า ในทเลเมดิเตอเรเนียน

วันพฤหัศบดีที่ ๑๗ ตุลาคม

ออกเรือเวลาย่ำรุ่ง แต่พ่อไม่รู้สึก ตื่นขึ้นเวลาเช้ารู้สึกสบาย ด้วยพ้นฝั่งมาออกทเลกว้างหายใจหายคอมันคล่องขึ้น ทั้งที่อยู่ข้างจะชื้นสักหน่อยหนึ่ง ลมเปนลมตวันออก ในห้องนอนมีสไกไลต์เปิดลงมาตรงที่เขียนหนังสือ ลมไม่ได้ขาด พ่อก็นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตั้งแต่เช้าจนค่ำ จัดการเก็บหนังสือแลอ่านหนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน มีความเสียใจที่จะบอกว่าหมดสิ้นตัวที่ติดมาในเวลานี้ เหลือแต่หนังสือเล่มๆ พรุ่งนี้คงจะว่างไม่มีอะไรทำ แต่ถ้าไปถึงปอตเสดแล้วยังมีอะไรที่จะทำไปได้อิกหลายวัน เสียดายว่าถ้าได้ทำในเรือนี้จะสบายแลแล้วเรวขึ้นอิกมาก ไปเรือซักเซนเหมือนทำงานในปล่อง จะสำเร็จไปได้เพียงไรไม่แน่ ออกจะหนักใจ

ลืมกล่าวถึงเมืองมอลตานี้ถนนปลูกต้นยี่โถมาก สลับกันขาวต้นหนึ่งแดงต้นหนึ่ง ต้นดาวเรืองก็ปลูก แต่กระบองเพ็ชรมีน้อยไม่สู้มาก ตามที่ได้แลเห็น

ยังลืมเรื่องเก่งเสียเรื่องหนึ่ง ในเมืองแถบนี้ คือซิซิลี แลมอลตามีมังก์ พระฝรั่งพวกหนึ่ง พวกอังกฤษเขาเรียกว่าพวกสตัฟมังก์ พ่อได้พบตัวเดินกลางถนน แลได้เห็นที่อยู่ตึกใหญ่โต เยเนราลบารอนชี้ให้ดู มังก์พวกนี้ถ้าตายไม่ฝังศพเอาศพอัดยืนเข้าไว้ มีที่สำหรับไว้ศพให้ยืนอยู่เสมอ ไม่ได้คำอธิบายชัดว่าเพราะเหตุใดจึงทำเช่นนั้น บอกแต่ว่าเปนประเพณี เดากันว่าถ้าจะฝังศพฤๅจะให้นอนเสีย เวลาเรเซอเรกชัน พระเยซูเป่าแตร จะลุกขึ้นไม่ได้ทันที จึงยืนคอยเสียให้พร้อมอยู่เสมอ สาสนาเมืองนี้เปนคาทอลิกทั้งเมือง อังกฤษไม่จับต้องทีเดียว ปล่อยให้คงอยู่ตามเดิม เว้นไว้แต่วัดแลที่แผ่นดินอยู่ในปกครองรัฐบาล แต่ก็เปนตามธรรมดา คือความเลื่อมใส ข้างฝ่ายผู้ชายเสื่อม แต่ผู้หญิงยังเลื่อมใสมาก มีวัดวัดหนึ่งอยู่ในอ่าวฮาร์เบอข้างเหนือเปนวัดทำด้วยศิลาใหญ่โตอยู่ เปนวัดของราษฎรแท้ไม่ใช่เรี่ยรายเงินมาจ้างทำ ราษฎรทำด้วยกำลังกายเขาบอกบุญกันเอง ว่างงานลงแล้วมีปันเปนพวกกันไปทำการวัดนั้นทีละน้อยๆ งานใกล้จะแล้วเสร็จ ยังค้างอยู่ก็อิกสักเล็กน้อยเท่านั้น แต่นานกว่าจะแล้วได้ เพราะไม่มีการบังคับบัญชากันเลย

คืนที่ ๒๐๖

วันศุกรที่ ๑๘ ตุลาคม

เมื่อจวนรุ่งเย็นมาก ถึงคลุมผ้าลินินได้ในห้อง ยิ่งสายลมยิ่งจัดขึ้น เรือสเทือน เมากันบ้างเหลวๆ แต่มีคนเจ็บหลายคน พระยาบุรุษเปนก่อนเพื่อน อาการนั้นท้องเสียเปนพื้น แต่เดิมหมายว่าเปนเพราะกินไอสกริมที่มอลตา แต่ที่จริงจะโทษไอสกริมก็เห็นจะไมได้แน่ทีเดียวนัก เพราะกัปตันบอกว่าพวกเดนิชในเรือก็เจ็บหลายคน มีท้องเสีย จับไข้ เจ็บเข่า ไข้ชนิดนี้ที่เรียกว่าไข้มอลตา ชาวเมืองเขาก็ออกปาก เหตุด้วยลมเปลี่ยนเปนตวันออก ที่เรียกว่า ซิรอกโก การที่เปนไข้นี้เพราะเหตุที่เกาะเปนศิลามีดินน้อย ตึกรามก็ปลูกด้วยศิลาทั้งนั้น ถูกแดดเผาร้อนจัดชาวเมืองมอลตาไม่ชอบต้นไม้ ว่าเปนเหตุให้เกิดโรค รัฐบาลต้องขืนปลูก เวลาลมตวันออกเปนลมอับอ้าวแลชื้นมาก ตัวรู้สึกร้อนก็จริง แต่ผ้าผ่อนอะไรที่แขวนไว้ชื้นแฉะ เพราะเหตุฉนั้นจึงเปนเหตุให้เกิดไข้จนได้ชื่อเสียงว่าไข้มอลตา

พูดถึงเรื่องไข้เจ็บได้ลืมเขียนคำที่แอดมิราลดรูรีเล่าให้ฟัง พึ่งนึกได้ชอบกลอยู่ ว่าเมื่อไปเฝ้าสุลต่านเตอรกี เห็นสุลต่านสบายดี แขงแรงไม่สมกับที่เล่าฦๅกันว่าประชวร สุลต่านเล่าให้ฟังว่าโปรเฟสเซอเยอรมันคนหนึ่ง แกจำชื่อไม่ได้ มาตรวจพระอาการว่าประชวรพระโรคพร้อมกันถึง ๑๖ อย่าง ครั้นเมื่อตรวจแล้วหมอคนนั้นกลับไป พอถึงเบอลินก็ตาย สุลต่านว่าพระองค์เองเปนโรค ๑๖ อย่างยังอยู่ หมอซึ่งมาตรวจกลับไปตายเอง

หมู่นี้ไม่มีใครนั่งโต๊ะกี่คน ดุ๊กยังลงไปนั่งได้ แต่แกก็เมาเหมือนกัน วันนี้เปนวันเกิดจะให้อะไรก็ไม่เอา ขอแต่หนังสือให้พร ต้องเขียนให้ทั้งกำลังคลื่นแล้วเอาไปให้กำลังนอนเมาคลื่นอยู่ ปลื้มถูกใจเข้าเลยหายเมาคลื่นลงไปกินเข้าเย็นได้

คืนที่ ๒๐๗

วันเสาร์ที่ ๑๙ ตุลาคม

วันนี้และสิ้นทุนแท้ เรื่องเก่าเรื่องแก่ที่เอามาโรยเล่าก็ออกจะหมดๆ ยังเหลืออิกนิดเดียว มิสซิสบารอนเล่าว่าลูกแอบเปอลนี่มีผู้ตั้งใจว่าจะกินให้ได้ทุกวันๆ ให้ครบ ๑๕ วัน กินไม่ยักได้ครบ ๑๕ วัน พ่อถามว่าทำไม แกก็บอกว่าไม่รู้ว่าทำไมถึงกินไม่ได้ครบ ๑๕ วัน พะยักแหมละเข้าไปกับเลดีดรูรี เลดีดรูรีก็รับว่าจริงๆ ได้ลองแล้ว นี่และจะเปนด้วยเหตุไรก็ไม่มีใครรู้ ใครจะเดาว่าอย่างไรบ้างก็ตาม

มาในทเลนี้ เวลากลางคืนกินเข้าแล้วออกมาเห็นดาดฟ้าเปียกเสมอ จนวันแรกนึกว่ากัปตันล้างเรือกลางคืน ไปถามแกแกว่าล้าง ถามว่าล้างแต่เมื่อไร บอกว่าแต่ย่ำรุ่งจน ๒ โมงเช้า คราวนี้แฉะอิกร่ำไป จะว่าคลื่นสาดขึ้นมาถึงดาดฟ้าก็ไม่มีคลื่นเท่าไร อากาศมันชื้นเอง มีน้ำเกลือเปนฝอย ที่น่าต่างถ้ามือถูกเข้าก็เปียกๆ เหนียวๆ กลางวันดูค่อยยังชั่ว แต่กลางคืนเปนมาก

การกินการนอนช่างไม่ประหลาดเสียจริงๆ เคยอย่างไรก็เช่นนั้น จะทำอะไรก็ไม่มีจะทำ จะคิดบทกลอนอะไรก็นึกไม่ออก จะช่วยเกาวแมนแต่งนิราศก็ไม่ได้มา มันอยู่ว่างๆ จึงได้เขียนบรรทึกเรื่องหิวเมื่อคืนนี้ซึ่งมันไม่น่าจะลงในรายวัน เพราะน่าอายดูตะกลามนัก แต่ครั้นจะไม่คัดลงไว้จะพลัดแพลงไปเสีย จึงคัดต่อลงไปนี้ สำหรับอ่านเล่นสนุกๆ

บรรทึกความหิว
กลางคืนวันเสาร์ที่ ๑๙ ตุลาคม

เรือพม่า ในทเลเมดิเตอเรเนียน

(กำหนดเปลี่ยนเที่ยงคืน) ร.ศ. ๑๒๖

ในการที่จะเขียนลงไปนื้ จำจะต้องป้องกันไม่ให้เข้าใจผิดไปว่าอาหารในเรือลำนี้ไม่ดีจึงต้องหิว ถ้าจะว่าตามความจริงเปนเวลาที่อาหารดีคราวหนึ่งซึ่งมีเหมือนเช่นนี้ แต่น้อยแห่ง อาหารนั้นดังนี้

เวลาเช้าไข่ จะชอบอย่างไรสั่งได้ แต่พ่อกินไข่ไม่ได้ตั้งแต่ฮอมเบิค มีปลา ปลาจับบทดีมาแต่ซิซิลี ในเรือนี้ปลาดีเสมอ แต่ผีฤๅปิศาจปลาเยอรมันมาหลอกร่ำไป จนเลยกลัวกินปลาไม่ใคร่จะได้ เพราะฉนั้นเวลาเช้าจึงเลิกปลาเสียอิกอย่างหนึ่ง เหลือแต่เนื้อ เปนแกะฤๅโควันละ ๒ ชิ้นจานหนึ่ง เนื้อเย็นต่างๆ (ซึ่งไม่มีแห่งใดทำดีกว่าในเรือนี้) จานหนึ่งรวมกัน ขนมมี แต่เปนโรคเก่า ที่พ่อกินไม่เปนเหลือแต่ลูกไม้กับน้ำชา น้ำชามีน้ำตาลแลนม เขากินเปนน้ำ แต่เราต้องแถมน้ำเย็น ซึ่งฝรั่งกินไม่เปน

เวลากลางวันมีเนื้อเย็นต่างๆ ตั้งกว่า ๑๖ อย่าง จัดจานใหญ่ทั้งก้อน หั่นเปนชิ้นๆ วางไว้บนก้อนเนื้อให้น่ากิน วางด้วยความคิดให้เห็นเปนหั่นไวๆ ไม่ใช่เรียงฤๅประดับไว้ ที่สุดจนถ้ามีเครวีจะรดก็รดให้เข้าที คือไม่ให้เห็นเปนเปรอะเปื้อน ที่ไหนเครวีกองก็กองอยู่ไม่มีรอยแตก ที่ไหนจานเปล่าก็ขาวสอาด เนื้อเย็นเหล่านี้ คืออกห่าน หมูแฮมต้มจืด ลิ้นเค็ม ไก่ เนื้ออัดต่างๆ ไส้กรอกปลาเค็มเปนต้น ยังมีปลาสดโรยผงขนมปังทอด แลเนื้อสดอิก ๔-๕ ที่ ตั้งด้วยเครื่องแกล้ม แตงร้านแช่ผักดอง ขวดน้ำส้ม น้ำซอส เครื่องหิ้ว ตั้งขัดจังหวะจาน ดูโต๊ะเหมือนในตำราทำกับเข้า จานที่จัดเหมือนเครื่องตุ๊กตาที่เคยเล่นมาแต่เด็กๆ รวมความว่าน่ากิน รศอร่อย กินเค็มเปนไม่เลี่ยน ไม่เคยเห็นบริบูรณ์กว่านี้

แต่ในเวลาเราไปนั่งแล้วใช่ว่าจะต้องกั้นของเหล่านั้นเปล่า มีกับเข้าร้อนๆ เข้าไปเดินอย่างธรรมดาสามคราว คือไข่เจียว ปลา เนื้อ ซึ่งพ่อกินอย่างเดียวเหมือนกัน ต่อเสร็จสามอย่างจึงถึงของที่วางอยู่บนโต๊ะ

เวลาค่ำเปนดินเนอตามธรรมเนียม คือซุป ปลา เนื้อ นก ผัก ขนม ผลไม้ ของกินเล่น แต่กาแฟกินบนดาดฟ้าเมื่อมาในตอนนี้ เพราะเย็นสบายกว่าในห้องสูบบุหรี่ ทั้งการกินดีมีบริบูรณ์เช่นว่ามานี้พ่อก็กินไม่ได้มาก ไม่ใช่เพราะเจ็บไข้อันใด แต่เปนด้วยลำฅอ ฤๅกระเภาะอาหารไม่บานรับอาหารที่แห้งแขง แลรศเดียวเช่นนี้ กลืนลงไปก็แคบเสียเฉยๆ ต้องการหวายสักเส้นหนึ่งกระทุ้งเหมือนกรอกปรอดศพ แต่ถ้าเข้าต้มฤๅเข้าสวยถูกลำฅอเข้าดูมันแย้มโล่งลงไปตลอดกระเภาะอาหาร เมื่อเล่าความเปนอยู่เช่นนี้แล้ว จะเล่าถึงเหตุที่เกิดขึ้นในวันที่ ๑๘ ตอนดึก ซึ่งเปนวันที่ ๑๙ แล้วนั้นต่อไป

พ่อนอนหลับ ๗ ทุ่ม ไปตื่นขึ้นด้วยความหิวได้ความว่า ๑๐ ทุ่มครึ่ง นึกว่าจะแก้ได้ตามเคยคือดื่มน้ำลงไปเสียสัก ๓ อึก จึงได้ดื่ม แล้วนอนสมาธิต่อไปใหม่ ให้เสียวๆ ในฅอ แลเห็นปลากุเราทอดใส่จานมาอยู่ที่ไนยตา ขับไล่กันพอจะจางไป ไข่เค็มเปนมันย่องมาโผล่ขึ้นแทน แล้วคราวนี้เจ้าพวกแห้งๆ ปลากระบอก หอยหลอด น้ำพริก มาเปนแถวเรียกน้ำชามากินเสียครึ่งถ้วย เปิดไฟฟ้าขึ้นอ่านหนังสือจะให้ลืมพวกผีปลาผีหอยมาหลอก หนังสืออิลิซาเบทก็หมด เมื่อแรกนอนเหลือแต่หนังสือตอบของยายแม่มีไปถึงลูก ที่ลงมือไว้เมื่อกลางวัน เพราะไม่มีอะไรทำ ผเอิญถูกที่ยายนั่นไปเมืองลูเซิน แกพูดถึงไปกินเข้าที่โฮเตลนะชะนาล เมื่อหัวคํ่าต้องการหวายกระทุ้ง ทำไมมาอ่านหนังสือนี้กลับเห็นไปว่าดูพอใช้ได้ ให้กินเวลาหิวนี้ก็เอา แต่พอนึกขึ้นอ้ายกับเข้าฝรั่งโผล่หน้าสลอนขึ้นมาแล้ว ดูๆ ไปมันก็เลี่ยนทั้งนั้น แต่ถ้าเวลานี้ดูก็เห็นจะใช้ได้บ้าง กลับรู้สึกตัวฉุนขึ้นมา อียายนี่ตะกลามนักคบไม่ได้ มาพรรณาแต่ถึงกับเข้า ชวนให้อยากมาก โยนหนังสือผลุง เอาน้ำชามาริน เอาน้ำตาลเติมลงไปซด แรกกินก็ดูดี รู้สึกว่าอ้ายรศชาตหิวเช่นนี้เคยมาเสียหนัก แต่ครั้งเปนเณรแล้วเปนพระเล่า มันก็หายกันด้วยน้ำตาลเท่านี้เอง ลงมือชักม่านดับไฟพยายามจะหลับ ทำไมมันจึงนึกต่อไปไม่รู้ว่าเขาว่ากันว่าหิวแล้วกินหวานๆ ยิ่งหิวมาก เขากินขนมเสียก่อนจึงกินเข้าก็มี ในกำลังนึกอยู่นั้นเองเข้ากับแกงเผ็ดโผล่ขึ้นมาในไนยตาที่หลับๆ ประเดี๋ยวไข่เจียวจิ้มน้ำพริก ประเดี๋ยวทอดมันกุ้ง ปลาแห้ง ผัดอะไรพากันมาล้อหลอกเสียใหญ่ หลับตาไม่ได้ต้องลืมลืมก็แลเห็นแกงเทโพหลอกได้ทั้งกำลังตื่นๆ เช่นนั้น จนชั้นยำแตงกวาก็พลอยกำเริบ ดีแต่ปลาร้าขนมจีนน้ำยาฤๅน้ำพริก สงสารไม่ยักมาหลอก มีแต่เจ้ากะปิคั่วมาเมียงอยู่ไกลๆ เห็นจะไม่ได้การ สู้มันไม่ไหวเรียกอ้ายฟ้อน ไปคลำๆ ดู มันมีลูกไม้อะไรอยู่ที่ไหนไม่ว่า ให้เอามาให้กูลูกหนึ่ง อ้ายฟ้อนไปสักครู่หนึ่งกลับมาบอกว่า มีแต่แอ๊บเป้อด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม” ตอบว่า “แอบเปอลไม่ใช่ลูกไม้ฤๅเอามาเถอะ” พอได้มาต้องลุกขึ้นนั่ง หั่นเคี้ยวเข้าไปสักครึ่งลูก นึกว่าถ้ากินมากเข้าไปเวลาดึกเห็นจะไม่ดี จึงหยุดกินแต่เท่านั้น สั่งให้ไปบอกพระราชวรินทร์เวลาเช้า ให้ไปบอกให้กุ๊กในเรือหุงเข้าสำหรับกินเวลาเช้า เพราะนึกว่าถ้าหุงเองคงจะทนช้าไม่ได้ กุ๊กเรือนี้นับว่าหุงเปน เคยไม่ดิบสองคราวมาแล้ว พอสั่งเสร็จล้มตัวลงนอน รู้ว่าผงลูกแอบเปอลตกถึงกระเภาะเท่านั้น ผีสางพวกกุ้งปลาเลยไม่หลอก หลับสนิทดี ครั้นเช้าตื่นขึ้นถามอ้ายฟ้อนว่าอย่างไรเรื่องเข้าสำเร็จฤๅไม่ อ้ายฟ้อนบอกว่าพระราชวรินทร์ไปกำกับให้กุ๊กหุงเอง เปียกบ้างไหม้บ้าง สองหม้อแล้วไม่สำเร็จ พ่อรู้สึกความผิดของตัวทันที ว่าไปใช้ให้หระราชวรินทร์ไปสั่ง แกไม่สั่งเปล่า ไปขี่หลังนั่งมาติกา จนอ้ายกุ๊กทำอะไรไม่รอดตามเคย จะว่ากะไรก็ไม่ได้ ร้องได้แต่ว่า “ฮือถ้าเช่นนั้นเราต้องหุงเอง” อ้ายฟ้อนว่า “เจ้าคุณบุรุษหุงแล้ว” พอล้างหน้าแล้วก็ได้กิน พระยาบุรุษเข็ดดิบคราวก่อน เลยหุงเปียกไปนิด อ้ายเสบียงก็ “เปนตริดติดตี่ตาศรีคงยศ จะขึ้นไปเวียง เสบียงก็หมด ตาศรีคงยศ อดแทบตายเอย” เหลือกระปิน้ำตาลติดก้นขวด เอามาปนกับมะนาวบีบ พริกป่นโรยลงไปหน่อย คลุกเข้ากินกับหมูแฮมแลกับฝรั่งเพลินอิ่มสบายดี ฅอเหมือนเปิดปากถุง ใส่ลงไปหายพร่อง ไม่ได้มาตันอยู่น่าอกเช่นขนมปังกับเนื้อเลย เวลาลงไปกินเข้ากลางวันพบพระราชวรินทร์บอกว่า กินเข้าอร่อยจริงๆ พระราชวรินทร์คำนับแล้วอมยิ้ม

คืนที่ ๒๐๘

เรือพม่า เมืองปอตเสด

วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ตุลาคม

ตื่นขึ้นเห็นน้ำสีจางแล้ว แต่ยังแลไม่เห็นฝั่ง เพราะพื้นแผ่นดินที่นี่ต่ำมาก พอแลเห็นฝั่งชักธงเรียกนำร่องออกมารับเรือเข้าไปทอดที่เวลาบ่าย ๓ โมงครึ่ง กงสุลเยอรมันคนแก่นั้นลงมา น่าโทรเลขหลายฉบับ แต่ไม่ได้หนังสืออิก คงเปนอันพลาดเมล์เสียอิกครั้งหนึ่ง เพราะหนังสือนี่ส่งไปไกโร โทรเลขที่ว่าให้ส่งลงมาคอยที่ปอตเสดจะคลาศเคลื่อน เกาวเนอแลเจ้ากรมตรวจคลองลงมาหา ได้สนทนากัน ถามถึงจะขึ้นบกฤๅไม่ พ่อว่าไม่ขึ้น แล้วเคดิฟให้ ว็อดซัน ปาชาลงมาต้อนรับ ได้มีโทรเลขถึงเคดิฟฉบับหนึ่ง เรือทอดที่น่าออฟฟิศคลองเช่นคราวก่อน ลมพัดเย็นสบายดี นั่งอยู่ในเรือดูมันไม่เบื่อ เพราะเห็นอะไรๆ แปลกๆ เสมอ มีเรือบรรทุกถ่านซึ่งโตราวกับแพ มืคนสำหรับที่จะบรรทุกยืนออกสพรั่ง เรือไฟลากเดินช้าๆ ถ้ากลางคืนจุดไฟโคมแมงดาบ้าง เผาถ่านในกระโปรงบ้าง สี่ดวงฤๅแปดดวง เมื่อเวลาบ่ายได้ยินเสียงเอะอะตึงตัง คนวิ่งกันกราวในเรือถ่าน วิ่งไปข้างน่าเรือก็มี วิ่งไปข้างท้ายเรือก็มี จนนึกว่าจะตีกันดูๆ ไปก็เปล่า กลายเปนเรือคนมาผลัดคนใหม่ขึ้นไปคนเก่ากลับลงเรือ เสียงมันช่างดังกึกก้องสนั่น เรือพวกบรรทุกถ่านนี้เปนเรือโล้ ลำหนึ่งนั่งสามสิบสี่สิบคน แต่แจวสองแจวเท่านั้น เรือโมเตอร์ลอนช์ใช้มาก ไม่มีอะไรจะทำ นั่งดูพระจันทร์ขึ้น ตั้งแต่ขึ้นจากน้ำ เมื่อพระจันทร์ขึ้นแล้วเสร็จยังเห็นแสงสว่างเหมือนพระจันทร์มาในท้องทเลทรายเนืองๆ คือโคมที่น่าเรืออันเดินมาตามคลอง ในท่านี้เปนที่มีธุระอื้ออึงอยู่เสมอเปนนิจขนสินค้าขึ้นลงบรรทุกถ่าน แต่หวังใจว่าจะไม่อึงจนถึงนอนไม่หลับ

วันนี้ได้รับของกำนัน บุหรี่ซิกาเร็ตเขาส่งมาให้จากไกโร พอได้กลิ่นก็ชื่นใจ จะหาซื้อไปฝากพวกพ้องกันบ้างก็ไม่มีขายที่นี่ สั่งขึ้นไปไกโรจะได้ฤๅไม่ได้ก็ไม่แน่ คิดถึงจิระแลเปนต้น

จุฬาลงกรณ์ ป. ร.



[๒๓๔] สามสิบสองเล่ม เปนคำแผลง หมายความว่า ความคิดดีซึ่งรู้ไม่ได้ว่าจะสำเร็จเมื่อใด ความคิดเช่นนั้น1ว่ากันว่ามีมากอาจจะจดลงเต็มสมุดตั้งสามสิบสองเล่ม

[๒๓๕] เรือนกงเต๊กเมื่อเสร็จพิธีย่อมเผาไฟ

[๒๓๖] พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนราธิปประพันธพงศ

[๒๓๗] พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ (กรมขุนสิงหวิกรมเกรียงไกร)

[๒๓๘] พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมหมื่นกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน

[๒๓๙] ต้นไม้นี้เขาส่งมาปลูกที่สวนแง่เต๋ง ออกดอกคล้ายต้นดอกต่างใบฤๅที่เรียกร่า ตรุษจีน แต่เกสรมากกว่า ตั้งชื่อว่าเฟื่องฟ้า

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ