พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๖

พระบรมรูปฉายที่วังเบินสตอฟ กับปรินซยอชออฟกริส ปรินซและปรินเซสวัลดิมาร์

พระบรมรูปฉายที่วังเบินสตอฟ กับปรินซยอชออฟกริส ปรินซและปรินเซสวัลดิมาร์

คืนที่ ๙๖

วังเบอนสตอฟ เมืองเดนมาร์ก

วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มิถุนายน ร. ศก ๑๒๖

หญิงน้อย

เวลาเช้า ๒ โมง ไปขึ้นรถไฟที่สเตชั่น ออกจากแฮมเบิค เวลาเที่ยงเศษถึงวารเนมุนด ซึ่งเปนท่าเรือข้ามจากฝั่งไปเกาะ มีเรือสำหรับบรรทุกรถ จอดเอาท้ายเข้ากับตพาน มีรางแยกในเรือ รถลงได้สองสาย หยุดเปลี่ยนที่ท่า ปลดรถที่ลากออกเสียเอามารุนหลัง ไสลงไปทั้งพวง เราไปถึงก่อนลงก่อน เรือเอียงไปข้างหนึ่ง ต้องรอคอยอยู่จนรถเมืองฝรั่งเศสมาถึง ลงอิกพวงหนึ่ง เรือจึงได้กลับตรง การที่รถขึ้นลง แลเวลาที่จะออกเรือไม่รู้สึกว่ารถลงเรือเมื่อไร ขึ้นจากเรือเมื่อไร หากว่าเรารู้อยู่แล้วจึงได้คอยดู แต่เช่นนั้นยังไม่ทันเห็นเวลารถเราลง ถ้าเปนเวลากลางคืนนอนหลับแล้วไม่รู้สึกว่าได้ลงในทเลเลย เรือออกจากท่า ๒ ชั่วโมงจึงได้ถึงกีเซอ ซึ่งเปนเกาะอันหนึ่งในเดนมาร์ก มีคลื่นเปนละลอกเล็กน้อย เวลากินเข้าลงจากรถไปกินในท้องเรือ เปนห้องใหญ่ แต่การเลี้ยงช้า กินแล้วไม่ทันไรก็ถึงฝั่งขึ้นบก พระยาวิสูตร, มิสเตออาเชอ, พระยาชลยุทธ, มิสเตอแอนเดอซันมาคอยรับนั่งสนทนากันมาตลอดทาง เมื่อเวลาออกจากแฮมเบิคมาหนาวจัด ฝนตกประปราย ต้องถึงนั่งสวมโอเวอโก๊ตแลเอาผ้าคลุมขา มาจนตลอดถึงเดนมาร์กจึงค่อยหายหนาว มีแดดอ่อนๆ มาถึงโฮเวต้องลงเรืออิกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ลงแต่รถเราพวงเดียว มาในทเลอิกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ถึงเกาะเรียกว่าเซลัน ซึ่งเปนที่เมืองโคเปนเฮเคนตั้งอยู่นั้น

ในเมืองเดนมาร์กนี้ เปนเกาะที่ประหลาดซึ่งไม่มีเขาเลย เปนแต่ลูกเนินสูงๆ ต่ำๆ อย่างสูงที่เรียกว่าเขา เพียง ๕๐๐ ฟิต ไม่มีแม่น้ำแต่น้ำบริบูรณ์ไม่ว่าแห่งใด เจาะลงไปเปนได้ทั้งสิ้น การเพาะปลูกบริบูรณ์ดีอย่างยิ่ง ใช้จังหันลมมาก บ้านเรือนราษฎรเปนกุฏิ์ย่อมๆ คล้ายๆ กัน ยังมุงอยู่ด้วยหญ้าหนาๆ มาก พวกที่เคยอยู่เรือนมุงหญ้าเช่นนั้นชอบ ว่าเย็นสบายกว่าอยู่เรือนมุงกระเบื้อง อย่างเดียวกันกับไทยอยู่เรือนหลังคาจาก แต่เรือนมุงหญ้าเช่นนั้น อินชูรันศ์เรียกราคาแพง มีแต่น้อยลงไปทุกวัน เหลือแต่ของเก่า ของใหม่ไม่ทำขึ้น จังหันก็เปลี่ยนเปนจังหันเหล็กอย่างที่พระปฐมเจดีย์โดยมาก เหลือแต่ของเก่ายังคงใช้อยู่เปนจังหันเหลี่ยม เมืองโคเปนเฮเคนเปนเมืองใหญ่ การค้าขายอะไรมารวมประชุมกันลงอยู่ในที่นี้ เวลาร้อนชาวเมืองออกไปอยู่ตามบ้านนอก บรรดาคนบ้านนอกคงจำจะต้องเข้ามาเมืองโคเปนเฮเคน เพราะเปนท่าค้าท่าขาย

เวลาทุ่มหนึ่งรถไฟถึงสเตชั่น เจ้าแผ่นดินแลราชตระกูล ลงมารับที่สเตชั่น คือเคราน์ปรินซ ปรินซฮะรัล ปรินซคุสตาฟ ปรินซวัลดิมาร์แลปรินเซส ปรินซยอชออฟกริศ ปรินซฮันออฟคลุกสเบิค แลปรินซโอกาลูกคนใหญ่ของวัลดิมาร์ เปนทหารราบเคยรู้จักกันมาแต่เล็ก เดี๋ยวนี้แปลกเปนคนอื่นทีเดียว กำลังประจำการ หยุดวันอาทิตย์จึงได้พบ แดดเผาจนหน้าแดงไหม้ เหลือขาวแต่ที่หมวกปิด ขุนนางผู้ใหญ่ก็มามากด้วยกัน เจ้าแผ่นดินต้อนรับอย่างพระไทยดีตามเคย เหมือนอย่างเมื่อยังไม่ได้เปนเจ้าแผ่นดิน เคราน์ปรินซไม่ได้แปลกอะไรมาก ดูผู้ใหญ่ขึ้นอิกสักหน่อย ฮะรัลก็เหมือนกัน แต่คุสตาฟอ้วนใหญ่เหลือเกิน เมื่อก่อนพบกันยังเปนเด็กอายุ ๑๐ ขวบ เดี๋ยวนี้อายุ ๒๐ โตใหญ่ ว่าโดยรูปที่อ้วนแล้ว อ้วนกว่ากิงกาโลเมืองปอรตุเกส เปนแต่ยังหนุ่มกว่า มารี[๑๘๑] อ้วนแจ่มใสขึ้น ฮันเหมือนอย่างแต่เดิมไม่ได้แก่ลงไปสักนิดเดียว ได้พบสนทนากันด้วยความสนุกแลพอใจกันเปนอันมาก แล้วขึ้นรถกับเจ้าแผ่นดิน เคราน์ปรินซ บริพัตร รถที่มารับอย่างออฟฟิเชียล เว้นแต่ไม่มีทหารเท่านั้น ชาวเมืองเดนมาร์กรู้จักพ่อแลรู้จักเมืองไทยดี บรรดาหนังสือพิมพ์ทุกๆ ฉบับได้ลงข่าวที่พ่อมาถึงเปนอย่างดี วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่เขาออกไปเที่ยวกันนอกเมือง แต่กระนั้นยังเต็มแน่นตลอดหนทาง จนถึงวังอะมะเลียนบอร์ค แสดงความต้อนรับเปนอย่างดี เจ้าแผ่นดินได้ให้ชักธงแสตนดาดของเราขึ้นที่วังเหมือนอย่างแต่ก่อน ได้พาเข้าไปดูในวังทั่ว เปนที่ซึ่งพ่อเคยอยู่แต่ก่อน ตกแต่งสรวยขึ้นอิกมาก เตียงนอนก็ใหญ่ ใช้ไฟฟ้าทั้งหมด เจ้าแผ่นดินรับสั่งบ่นเสียดายที่พ่อไม่ได้อยู่ ที่จริงเดิมตั้งใจว่าจะอยู่อะมะเลียนบอร์คสองวัน อยู่เบอนสตอฟสองวัน แต่วันต้องตัดสั้นลงเหลือแต่สองวัน เพราะจะหลีกไม่ให้เขาเปนห่วง ในการที่เอมเปอเรอเยอรมันจะเสด็จ จึงได้ลดลงมาเสียแต่สองวัน ถ้าจะอยู่แห่งละวันก็ขนของลำบากเต็มที ทั้งคิดจะเปลื้องไม่ให้เจ้าพนักงานเขาต้องลำบาก จึงบอกมาเสียก่อนว่าคิดจะอยู่เบอนสตอฟ แต่ครั้นเมื่อมาเห็นเจ้าแผ่นดินได้ทรงจัดไว้อย่างดีเช่นนี้ ก็เปนที่เสียดายแลเกรงพระไทยมาก

เมื่อได้สนทนากันอยู่นานแล้ว เจ้าแผ่นดินแลเจ้านายทั้งปวงกลับเพราะเจ้าแผ่นดินเสด็จอยู่เฟรเดนสบอร์ค ระยะทางไกลสักยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดกิโลเมเตอ ต้องไปรถไฟ แต่รับสั่งให้จัดโต๊ะกินเข้าเย็นไว้ที่นี้ให้ปรินซแลปรินเซสวัลดิมาร์ กับยอชอยู่เลี้ยง เลี้ยงแล้วขึ้นรถไปด้วยกันไปเบอนสตอฟ

ทางไปเบอนสตอฟแปลกจากแต่ก่อนมาก แต่ก่อนเปนทุ่งนาสองข้างทาง เดี๋ยวนี้เหลือน้อย พวกซินดิเขตได้ซื้อที่ดินตัดถนน ขายเปนตอนๆ เหมือนอย่างเช่นที่ทำในบางกอก ที่คนอยู่แล้วก็มาก ยังไม่ได้อยู่ก็มี เปนที่ดินเปล่าอยู่ก็มาก จนกระทั่งน่าวังเบอนสตอฟก็มีตึกเต็มไป แลดูเปนเมือง ไม่เปนบ้านนอกอย่างแต่ก่อน

เลี้ยงซับเปอกันอิกครั้งหนึ่ง ในวังนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย คงอยู่เหมือนอย่างแต่ก่อน เติมขึ้นแต่ชั่วไฟฟ้า เพราะแต่ก่อนใช้เทียน แต่เพียงไฟสว่างขึ้นดูแปลก งามขึ้นกว่าแต่ก่อน พ่ออยู่ห้องชั้นต่ำซึ่งเปนห้องเจ้าแผ่นดินประทับ ตลอดทั้งแถบ สารพัด พระแท่นแลรูปภาพจนกระทั่งสมุดหนังสือ เคยอยู่อย่างไรคงอยู่อย่างนั้นหมด ตอนข้างกวีนประทับนั้นว่าง เพราะวัลดิมาร์อยู่ห้องเดิมที่เคยอยู่แต่ก่อน จัดให้ชายอุรุพงษ์อยู่ห้องติดกันกับลูกที่ชั้นบน บริพัตรกับกรมสมมตอยู่ห้องชั้นบนด้วยกัน ข้าราชการกับหมออยู่หลังอื่นต่างหาก รู้สึกสบายเพราะคุ้นเหมือนบ้าน แต่จะห้ามความรู้สึกคิดถึงเจ้าแผ่นดินแลพระมเหษี[๑๘๒]ที่สิ้นพระชนม์ไม่ได้ เรพาะจำได้ว่าเคยนั่งด้วยกันตรงนั้น เคยพูดกันเช่นนั้น แลเล่นไพ่ตรงนั้น เมื่อมาครั้งก่อนได้เคยมาทุกวัน นอกจากวันเลี้ยงใหญ่ ปรินซยอชออฟกริศอยู่ในเรือนหลังนี้ด้วยเหมือนกัน ผู้ซึ่งเจ้าแผ่นดินให้มาแอตแตชนั้น คือเยเนอราลอาเรนดรุป แลคอมมอดอ เมคอร์ด นอนสบายดีมาก

• • • • • • • • •

คืนที่ ๙๗

วันจันทร์ที่ ๑ กรกฏาคม

นัดกันตื่นแต่เช้า กินเข้าในห้อง เวลาสามโมงเช้าขึ้นรถโมเตอคาร์ไปโรเซนกิลด์ ซึ่งเปนเมืองอยู่ในระหว่างทางผ่านมาเมื่อขึ้นจากท่าเปนเมืองอยู่ริมทเล เพราเหตุที่เปนเมืองหลวงเก่าแต่โบราณ ซึ่งเปนที่ฝังศพเจ้าแผ่นดินแลพระมเหษีทั้งราชตระกูลในที่นั้น ต้องผ่านเมืองโคเปนเฮเคนไป เดี๋ยวนี้เปนตำบลบ้านไม่สู้ใหญ่นัก วัดนั้นรูปร่างเปนวัดโรมันคาทอลิก เพราะสร้างมาแต่โบราณ ที่น่าพระเปนรูปไม้สลักเรื่อสาสนาอย่างเก่างามดี แต่ถ้าจะเทียบกันกับอิตาลีแล้ว ต้องว่าเปนวัดที่ไม่งามแปลกประหลาด และไม่เห็นเปนสำคัญอย่างไร ศพเจ้าแผ่นดินนั้นได้ไว้ในห้องข้างขวาที่บูชา บรรจุหีบไม้สลัก แต่ว่าจะทำด้วยศิลา ยังกำลังทำอยู่ มีศพเจ้าแผ่นดินองค์อื่นๆ แลพระมเหษีมากด้วยกัน เปนหีบศิลาบ้าง ทองเหลืองบ้าง มีแห่งอื่นอิกเปนสี่ช่องด้วยกัน ที่บนแท่นกลางโบสถ์หลังที่บูชาก็มีศพ ในที่ไว้ศพแห่งหนึ่งมีเสาศิลาอยู่กลาง มีเส้นขีดขนาดสูงต่ำของเจ้าแผ่นดินต่างๆ คฤสเชียนที่ ๑ เมืองเดนมาร์กเปนสูงอย่างยิ่ง ถัดลงมาเอมเปอเรอปิเตอดิเกรต เมืองรุสเซีย ต่ำที่สุดนั้นกิงคฤสเชียนที่ ๗ เมืองเดนมาร์ก เขาให้พ่อวัดสูงกว่ากิงคฤสเชียนที่ ๗ หน่อยหนึ่ง ได้ขีดเส้นลงไว้ที่เสา เปนของที่จะอยู่ไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ได้วางพวงมาไลยที่เจ้าแผ่นดินพวงหนึ่ง พระมเหษีพวงหนึ่ง มารีมีดอกไม้ไปวางสี่มุมศพด้วย กลับมาถึงเบอนสตอฟเวลาเช้า ๕ โมงเศษ

เวลาบ่ายโมง ๑ กินเข้ากลางวัน แล้วออกไปถ่ายรูปพร้อมกันที่อัฒจันท์เรือน แล้วเดินไปเที่ยวสวน สวนนี้ไม่ได้เอามาไว้ใกล้เรือนมีแต่ดอกไม้สี แล้วปล่อยให้เปนทุ่งหญ้าแลต้นไม้ ต้องเดินไปจากเรือนตามในร่มไม้ไกล ต้นไม้ขึ้นร่มครึ้มเปนป๊าก แจ๊กเหมือนเดินในป่า แล้วจึงออกไปถึงที่ว่าง ซึ่งปลูกต้นกุหลาบ แลต้นไม้ต่างๆ ในเรือนกระจก แยสมินออกดอกขาวเต็มไปทั้งนั้น มีสระที่เลี้ยงเป็ดห่าน มีสวนผักสิ่งละอันพรรณละน้อย มีต้นทองสามย่าน ซึ่งปรินซวัลดิมาร์เด็ดใบมาตั้งแต่เกาะคราม ปลูกในกระถางเข้าเรือนกระจกขึ้นเปนต้นโต แล้วเดินกลับวนเวียนซอกแซกตามสวนเหล่านั้น จนบ่าย ๓ โมงมาหยุดพัก เด็กสามคนลูกวัลดิมาร์ เปนผู้ชายสอง ผู้หญิงคนหนึ่งน่ารักทั้งสามคน ผู้หญิงทีจะฉลาดกว่าเพื่อนด้วย มาเล่นอยู่ในห้องพ่อเสมอ ไปสวนก็ลงไปด้วย ชอบเล่นกับอุรุพงษ์อย่างยิ่ง แต่ของเราขี้กระดาก แต่เพราะอยู่ด้วยกันก็คุ้นกันไป ลงปลายถึงอยากให้เข้าไปบางกอก เด็กเหล่านี้รู้จักพ่อมาตั้งแต่เล็กๆ แล้ว เคยเล่นกันแต่ครั้งก่อนแต่จำไม่ได้ ที่คุ้นเร็วเพราะเคยได้ยินพ่อแกออกชื่ออยู่เสมอๆ มีเวลาหยุดพักเขียนหนังสือหน่อยหนึ่ง คุยกันกับเด็กบ้าง

เวลาบ่าย ๕ โมง แต่งตัวอิวนิงเดรสเสร็จ ขึ้นรถโมเตอคาร์ ไปวังเฟรเดนสบอร์ค ทาง ๒๔ กิโลเมเตอ จะไปถึงเร็วเกินไป ต้องรอๆ บ้าง ย่ำค่ำแล้วถึงเฟรเดนสบอร์ค เจ้าแผ่นดินแลพระมเหษี กับเจ้านายทั้งปวงรับที่บันไดรถ เจ้านายผู้หญิงมี ๔ คือกวีนเคราน์ปรินเซส ปรินเซสทีรา แลปรินเซสแดกมาลูกเจ้าแผ่นดิน ท้าวนางครั้งกวีนที่สิ้นพระชนม์คนหนึ่งสำหรับกวีนเดี๋ยวนี้สอง สำหรับเคราน์ปรินเซสหนึ่ง มีเสนาบดีว่าการต่างประเทศ เสนาบดีกรมวัง แลผู้ซึ่งได้เข้าไปบางกอกเก่าใหม่ มีโปรเฟสเซอรดอยเซอเปนต้น ไปในเวลาดินเนอ ภายหลังพระมเหษีพาขึ้นไปนั่งในห้องสนทนากัน เจ้าแผ่นดินให้ตราเดนะบรอคชายบริพัตรแลกรมสมมต แล้วนำพ่อไปห้องพักซึ่งจัดเปนที่พัก ให้หยุดพักหน่อยหนึ่ง แล้วจึงไปนั่งสนทนากันในห้องนอน พากันกลับออกมาตั้งแถวออกไปดินเนอ การเลี้ยงนี้เปนเลี้ยงอย่างคาลา คือแบงเควต คนเข้านั่งที่ก่อน เสด็จออกแต่เฉภาะเจ้านาย เลี้ยงในห้องกลางซึ่งเปนหลังคาสูง ตั้งโต๊ะโค้งเจ้านายนั่งซีกหนึ่ง ข้าราชการนั่งซีกหนึ่ง พ่อนั่งกลาง พระมเหษีนั่งข้างขวา ต่อพระมเหษีไปเคราน์ปรินซ แล้วปรินเซสทีรา แล้วเจ้านายผู้ชายข้างฝ่ายเดนมาร์กต่อไปตามลำดับ ข้างซ้ายพ่อเจ้าแผ่นดินแล้วเคราน์ปรินเซส แล้วบริพัตร แล้วปรินเซสแดกมา แล้วลูกเธอแลท้าวนางต่อไป เวลาเลี้ยงนั้นเจ้าแผ่นดินแลพระมเหษีได้พูดกับพ่อโดยความสนิทสนมดีอย่างยิ่ง เมื่อเสร็จโต๊ะแล้วเจ้าแผ่นดินดื่มให้พ่อ จดคำที่จะรับสั่งนั้นลงเปนตัวหนังสือพ่อได้ตอบ ครั้นเมื่อเลิกเลี้ยงกันแล้วเข้ามาในห้องใหญ่ สนทนาปราไสยกันกับพวกที่มา มีพระยาชลยุทธกับเมีย มิสเตอแอนเดอซันแลกุลเบิค[๑๘๓]ด้วย ปราไสยกันเสียจนทั่ว จึงได้ชวนกันหลบเข้าไปสูบบุหรี่ในห้อง เจ้าแผ่นดินเอาพานลงยาที่พ่อให้คราวก่อนใส่บุหรี่มาสำหรับสูบ การสนทนาในระหว่างเจ้านายพวกนี้กับเราไม่ใช่เปนแขก เล่นปล้ำปลุกกันพูดหยอกกันได้ทั่วไปทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไม่ใช่แขกเมืองเปนอันขาด ในคำที่เจ้าแผ่นดินสปีชก็ได้กล่าวว่ารู้สึกว่าไม่ใช่แขก มีเซนชื่อแลแจกรูป ท่านพวกหนุ่มๆ เหล่านั้นพกรูปทุกคน เพราะรู้ว่าจะต้องให้ พระมเหษีนั้นท่าทางดีกว่าแต่ก่อนเปนอันมาก ทั้งไปทั้งมาจูบแก้มพ่อแลให้พ่อจูบพระปรางอย่างกันเอง ทักทายปราไสยก็ดีขึ้นมาก ดูเหมือนสบายขึ้นกว่าแต่ก่อน เจ้าแผ่นดินยังทรงพระอาไลยมาก ว่ามีเวลาพบกันน้อยนัก ถ้ามีเวลาว่างมาอิกขอให้ไปอยู่เฟรเดนสบอร์ค ทูลลากลับแล้วตามลงมาส่งหมดทั้งผู้ชายผู้หญิงจนถึงรถ กลับมา ๔ ทุ่ม แต่ยังสว่างอยู่ ไปมืดแต่ที่ใต้ร่มไม้ เลี้ยงวันนี้เปนเลี้ยงกลางวันแดดยังออก ที่แท้ทุ่มหนึ่งแล้ว ที่เดนมาร์กนี้เวลา ๔ ทุ่มจึงเปนสีน้ำเงิน เวลา ๓ ยามเศษสว่างแล้ว วันนี้เจ้าแผ่นดินตั้งให้พระยาชลยุทธเปนเชมเบอเลน เปนการให้เกียรติยศแก่พ่อ ด้วยตำแหน่งเชมเบอเลนนี้ตั้งได้แต่เฉภาะเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่มีน่าที่อย่างไร เปนบรรดาศักดิ์สำหรับเวลาเข้าในราชสำนักมีชั้นที่เข้าได้ชั้นสูง มักจะตั้งเยเนอราลแลแอดมิราลต่างๆ ที่พ้นจากเวลารับราชการแล้ว การสมาคมของเจ้านายในราชสำนัก กรมสมมตออกปากชมว่าน่ารักดีมาก เข้ากันได้สนิทสนมไม่ว่าเด็กว่าผู้ใหญ่ไม่ว่าเราว่าเขา จนกระทั่งชั้นกรมหลวงบดินทร์ (ปรินซฮัน) ก็ยังเล่นกับเด็กๆ ได้ ความพร้อมเพรียงในฉันพี่น้อง ถึงว่าเจ้าแผ่นดินแลพระมเหษีก่อนล่วงไปแล้ว ทายกันว่าจะไม่ดีเหมือนแต่ก่อนนั้น ดูยังดีอยู่มาก เชื้อเก่าที่ท่านสององค์นั้นผูกพันไว้ ยังเปนการมั่นคงอยู่

• • • • • • • • •

เรืออัลเบียนที่เสด็จประพาศนอรเว

เรืออัลเบียนที่เสด็จประพาศนอรเว

คืนที่ ๙๘

วันอังคารที่ ๒ กรกฏาคม

เวลาเช้า กินเข้าแล้วไปที่ฟรีปอตด้วยรถโมเตอคาร์ ดูเรือยอตช์ที่จะไปเมืองนอรเว เขาเทียบท่าไว้ทั้งเรือพม่า ซึ่งได้ตกแต่งสำหรับเจ้าแผ่นดินจะเสด็จไปไอสแลนด์ด้วย เรืออัลเบียนลำนี้ เปนของเซอยอชนิวนซ์ ยาว ๒๕๒ ฟีต เปนเรือยอตช์ใหม่ที่สุด แลใครๆ ตั้งแต่เจ้าแผ่นดินอังกฤษเปนต้นรู้จัก สรรเสริญว่า เปนเรือใหม่ที่สุดแลดีที่สุดในบรรดาที่ได้ลอยอยู่ในน้ำ ในเวลานี้มีเก๋งบนดาดฟ้า มีห้องรับแขกใหญ่ ห้องนอนสองห้อง ห้องหนังสือห้องหนึ่ง ห้องกินเข้าห้องหนึ่ง มีคอริดอร์เดินถึงกัน ชั้นล่างมีห้องน่า ๖ ห้อง ท้าย ๖ ห้อง มีนายเรือคนเรือแลครัวพร้อม เช่ากำหนดเดือนหนึ่ง เตียงนอนอยู่ข้างย่อม แต่ไม่เล็กเหลือเกินพอสบาย แล้วได้ไปดูเรือพม่า แลดูออฟฟิศอิสต์เอซิเอติกกัมปนี แล้วกลับไปกินเข้ากลางวันที่เบอนสตอฟ กินกลางวันแล้วพร้อมกันขึ้นรถไปบ้านพระยาชลยุทธนอกเมือง เดินทางริมทเล มีตพานไม้สองแผ่นทอดยาวๆ เหมือนศรีราชา มีวิลลาต่างๆ เปนอันมาก ม้าที่เมืองนี้กลัวโมเตอคาร์เสียจริงๆ เพราะเหตุที่ห้ามไม่ให้ใช้ กลัวม้าจะตื่น ในการที่จะใช้นี้ มารีต้องไปขออนุญาตเสนาบดี ที่แท้ถ้าอนุญาตให้ใช้เสียสักเดือนเดียว ฤๅสองเดือนม้าก็จะไม่ตื่น นี่ม้ามันไม่เคยเห็นเสียเลย พอเห็นเข้าก็ตัวแขงระวัง แต่ไม่ร้ายกาจเหมือนอย่างเจ้าของตกใจ ถ้าตกใจขึ้นมาแล้วซ้ำเฆี่ยนม้าเข้าก็ได้เผ่นกันทันที เมืองเดนมาร์กนี้เจ้านายต้องระวังตัวมาก เพราะกลัวหนังสือพิมพ์จะร้องว่าม้าตกใจรถจึงได้เปนอันตราย ที่แท้ถ้าเดินไปจะสวนรถครั้งใด หยุดรถทุกที บางทีถึงต้องหยุดจักร รถหยุดอยู่นิ่งๆ ม้าระแวงเผ่นโผนไปอย่างไรก็โทษโมเตอคาร์ทั้งสิ้น เพราะไม่อนุญาตให้ใช้รถโมเตอคาร์เช่นนี้ เจ้านายฤๅผู้ลากมากดี ยังไม่มีใครมี ตั้งแต่เจ้าแผ่นดินเปนต้นไป รถไบซิเกอลยังใช้มาก กลาดเกลื่อนเหมือนเมืองเรา ที่เมืองอื่นๆ เช่นอิตาลี แลในเยอรมนีใช้รถโมเตอคาร์ได้มากม้าคุ้น ไม่ใคร่จะมีตื่นเต้น แต่ถ้าหากว่าไปมีตื่นเต้นขึ้น ไม่ต้องโดนฤๅไม่ต้องเฉียดอันใด สุดแต่ม้าแลเห็นรถเข้าตื่นเปนอันตรายไป เปนโทษของโมเตอคาร์ ไม่ต้องพิจารณาหาว่าใครเดินถูกเดินผิด ถ้าว่าโดนคนเปนอันตราย ถูกคนที่มั่งมีไม่ยอมให้ทำขวัญ เปนต้องรับโทษ ในเมืองลอนดอน เมืองปารีส เต็มไปด้วยโมเตอคาร์ มีสารพัดทุกอย่าง เปนรถจ้างที่จะเรียกเมื่อไรเรียกได้ ทั้งรถมีเก๋งไม่มีเก๋ง รถแคป รถออมนิบัส ไม่เห็นม้าฬาตื่นเต้นอะไรกัน เดินออกเสียดแซงกันไปเต็มทั้งถนน จนไหลเปนน้ำหาที่ว่างไม่ได้

บ้านพระยาชลยุทธนี้เปนของเจ้าแผ่นดินกริศให้เช่า มีเรือนแลสวนเปนที่สบายงดงามดี อยู่ห่างทเลหน่อยหนึ่ง แต่เปนที่สูง แลเห็นทเลได้สบาย มีลูกพระยาชลยุทธแลพี่สาวของเมีย พระพลสินธุ์[๑๘๔]กับเมีย แลญาติพี่น้องพวกพ้องมารับ เลี้ยงน้ำชา แล้วถ่ายรูปหมู่ เฉภาะผเอินฝนตกถ่ายกลางฝนอิก

ออกจากบ้านพระยาชลยุทธไปตามชายทเล หยุดที่บ้านกงสุลแอนเดอซัน มีเมีย แลกับตันกูลเบิกกับเมียแลผู้อื่น ในพวกพ้องเขารับเปนอันมาก เลี้ยงน้ำชาอิกครั้งหนึ่ง เรือนนี้ตั้งอยู่บนเนินสูงหน่อย มีต้นไม้งามรอบข้าง การไปเที่ยวกลางวันๆ นี้ ไปหมดทั้งลูกเด็กของปรินซวัลดิมาร์หมดทุกคน อยู่ข้างจะเกรียวกราวสนุก กลับมาหยุดพักที่เบอนสตอฟ แต่ออกจะไม่สู้ได้หยุดพัก แลกเปลี่ยนของแลรูปต่างๆ เข้าห้องโน้นออกห้องนี้กันยุ่ง จนเวลาย่ำค่ำ มีการเลี้ยงอาหาร เชิญคนมามาก แต่ก็ในพวกสำรับเดียวนั้น คือพวกที่เกี่ยวข้องกับไทย แลที่ไปเมืองไทย มีสปีชให้พรกันอิกครั้งหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ไปดูเซอคัส เซอคัสคราวนี้เล่นกระบวนม้าแท้เปนอย่างตามเคยไม่สู้แปลกอันใด จน ๔ ทุ่ม ไม่ทันเลิก ตีกินไปติโวลีคนแน่นมาก เพราะรู้ด้วยไปตระเตรียม คอยดูกันทั่วไป จนเลยไม่สนุก เดินทางไหนแน่นทางนั้น

ติโวลีนี้เปนที่สำหรับคนไปเที่ยว เปิดแต่น่าร้อนห้าเดือน ตั้งแต่ผู้มีบรรดาศักดิ์สูงเจ้านายไปจนคนเลวเข้าได้ ไม่ใช่ร้านขายของ เปนที่สำหรับไปกินเข้าแลเดินเที่ยวเล่น เข้าทางประตูเจ๊กไป มีถะ มีอาลฮัมบราเรือนแขก ยิงปืน ยิงเป้า แต่งโค้ง แต่งไฟริมน้ำ มีเรือตีกระเชียง เดินไม่มากนัก ไปเลี้ยงซับเปอในห้องกระจก เพดานดาดด้วยกระจก ตั้งโต๊ะใหญ่ บรรดาคนที่ไปกินเข้าเย็นวันนี้ ไปกินซับเปอทั้งหมด เวลา ๕ ทุ่มมาลงเรือ พากันมาส่งทั้งหมด ฝนก็ตก แต่คนที่ท่าแน่นหลามตลอด มีจุดไฟอิลลุมมิเนชั่น โรงแลออฟฟิศเหล่านั้น ครั้นเมื่อล่ำลากันเสร็จแล้ว จะออกเรือ พวกที่มาส่งทั้งปวงโห่ใหญ่ไม่หยุดไม่หย่อน จนกระทั่งเรือออกมาพ้นจากฮาเบอ อยู่ข้างจะหนาวสำหรับพวกที่รู้สึก เพราะปรอดในห้องที่ปิดกระจกหมดเพียง ๖๐ ข้างนอกถึง ๕๐ เว้นไว้แต่พวกคางคกตายซากของเราไม่รู้สึก นึกว่าลงเรือแล้วก็เปนหายหนาว คงจะเหมือนกันกับที่เอเดน

• • • • • • • • •

คืนที่ ๙๙

วันพุฒที่ ๓ กรกฏาคม

เช้ามืดวันนี้มีคลื่นเรือโคลงเคลง แต่ไม่เปนอะไร เพราะเปนเวลานอน ครั้นสายเรือเข้าในอ่าวคลื่นก็สงบ เข้าเทียบท่าที่ออสฮุนส์ ออสฮุนส์นี้เปนเมืองใหญ่ของมณฑลยุตลันด์ มีเจ้าน่าที่ประจำเมืองแลราษฎรมาคอยรับเปนอันมาก ทั้งฝนตกออกจะมากๆ ถึงเปียกก็ไม่มีใครหลบ วันนี้เปนวันการเรี่ยรายของตำบลนี้ มีเด็กแต่งตัวหรูเที่ยวเรี่ยราย บนบกก็มีร้าน แลปักธง ห้อยธง ตามทางแลตามเรือนมีซุ้ม การเรี่ยรายนี้มีปีละครั้ง เอาเงินไปสำหรับเลี้ยงเด็กคนจน ขึ้นบกมีโปลิศขี่ม้านำ แลมีกรมเมืองขี่รถนำหลังหนึ่ง เมืองนี้ใหญ่โตมาก มีร้านขายของบริบูรณ์ มีจำนวนคนถึงเจ็ดหมื่น ความคิดเขาคิดจะประมูลเมืองโคเปนเฮเคน ใช่จะแย่งเอาดิบเอาดีอะไรกัน ปรารภความแพงขึ้น ในการที่ต้องเสียค่าโน่นค่านี่ เพราะเมืองใหญ่ก็ต้องใช้เงินมากขึ้น ถ้าแยกกันออกได้ค่าใช้สอยก็น้อยลง กำลังลงมือทำท่าขยายต่อออกไปอิก ถัดเข้าไปข้างหลังเมือง ทำถนนออกไปใหม่ๆ มีวิลลา สำหรับคนมั่งมีออกไปอยู่ อย่างเมืองโคเปนเฮเคน ราษฎรได้เรี่ยรายกันสร้างวังให้เคราน์ปรินซ แต่วังที่นี่มันไม่แปลกประหลาดอะไร เปนตึกหลังหนึ่งอย่างสภาคารกว้างๆ หน่อยก็พอ เคราน์ปรินซต้องมาอยู่ปีละสามเดือน แต่ตัวเองรู้สึกว่าฉิบหายมาก ค่าที่ต้องรับเรือนนี้ เพราะมาอยู่แล้วต้องเลี้ยงรับรองคนทั่วทั้งเมือง เชิญคนนี้ไม่เชิญคนนั้นไม่ได้ ต่างคนต่างร้องว่าได้ออกเงิน จึงต้องเลี้ยงทั่วๆ ไปเสมอ มีป่าไม้เปนไม้ชั้นดีๆ พวกเชสนัตแลอะไรต่างๆ ใหญ่โตงาม แต่ขึ้นรถไปไม่ตลอดป่า ไปชั่วกำหนดเวลาให้พอเหมาะที่จะกลับมาขึ้นรถไฟ พอถึงเวลาขึ้นรถไฟ ไปในตอนระยะทาง ๗ ไมล์เดนมาร์ก เป็น ๒๘ ไมล์อังกฤษ เวลาบ่าย ๑ โมงถึงฟริสบอค เคานต์ฟริสลงมาคอยรับอยู่ที่สเตชั่น ขึ้นรถของเขาไป วันนี้เปนวันพระฤกษ์เย็น ฝนตกฉ่ำเหมือนวันขึ้นแฮมเบิคไม่มีเวลาหยุด เคานต์ฟริสผู้นี้ เปนตระกูลโบราณ มีที่แผ่นดินเปนเอสเตตของเขา กว้างยาว ๑๒๕ สแควร์ไมล์อังกฤษ เก็บผลประโยชน์จากในที่นั้น ยังมีเงินสำหรับตระกูลอิก ๒๐ ล้านโกรเนอ เปนคนทำราชการ มีท่าทางที่จะได้เปนเสนาบดี เปนคนสบเสียในเจ้านาย ทั้งเมืองนี้แลอิงค์แลนด์ เปนนักเลงยิงสัตว์ ท่านผู้หญิงสรวยแลช่างพูด ต้อนรับแขกดี มีลูกสาวสี่คนได้เล่าเรียนมาก พูดได้ดีทั้งภาษาอังกฤษฝรั่งเศส แขกที่เชิญมาล้วนแต่เปนผู้มีตระกูลโนเบอล แลเปนเศรษฐีด้วย ทั้งในเดนมาร์กแลสวีเดน วันนี้ไปถึงก็ได้ไปผิงไฟ เพราะหนาวเย็นชืด แล้วเลี้ยงกลางวัน นั่งโต๊ะยาวเกือบ ๓๐ คน เมื่อกินเข้าแล้วได้พาดูห้องในคาเซอลของเขามีเฟอร์นิเชอที่เปนของโบราณ แลเครื่องใช้โบราณ ทั้งเครื่องโต๊ะแลเครื่องเล่น รูปภาพเก่าใหม่ รูปมินิเอเชอลงยาแลเขียนบนแผ่นงามมาก เคาน์เตสเปนช่างเขียน ได้เขียนรูปไว้หลายอย่าง ในห้องนอนก็ได้พาให้เข้าไปดู เขียนรูปเต็มทั้งสี่ด้าน ชอบยิงสัตว์ ยิงชมัวที่คล้ายกับเยียงผาได้ตัวหนึ่ง ทั้งครัวชอบขี่ม้า ทั้งสปอร์ตแลเคมต่างๆ เปนต้นแต่คอล์ฟจนถึงอีดำอีแดง เวลาฝนตกนี้ลูกสาวยังออกไปขี่ม้าตากฝนอยู่ได้ เคานต์เล่นเก็บของบุหรี่ มีใครต่อใครให้ รวมทั้งเจ้าแผ่นดินอังกฤษด้วยมีเปนกอง เขาจัดห้องให้พวกเราอยู่หมดทั่วกัน เปนอย่างตึกเก่า ใช้ฉีดน้ำอบหอมฟุ้งแก้อับ แต่งเพดานแต่งฝาเปนลวดลายวาดเขียนต่างๆ กันทุกห้อง ไม่สู้จะโตนัก แต่มีห้องมาก เปนที่สำหรับรับแขก มีคูน้ำกว้างอยู่รอบ เว้นไว้แต่ด้านข้างหลังเปนถนนกว้าง ซึ่งเปนทางเข้าบ้าน เพราะเขาเข้ากันทางหลัง ทางด้านข้างน่ามีตพานศิลาข้าม มีสนาม มีสระ หมู่ไม้หย่อมเปนสวนฉากหลั่นๆ ออกไปจนสุดตา ดูในเรือนหมดแล้ว พากันออกนอกเรือน ขึ้นรถไปเที่ยว เปิดรถก็ไม่ได้ ต้องปิด ฝนรังแกเต็มที พ่อพึ่งได้ถือร่มเปนครั้งแรกในเมืองเดนมาร์กนี้ ไปดูที่เลี้ยงม้า ซึ่งเปนม้าบรรทุกพวกขาโตๆ มีสัก ๓๐ เศษฤๅ ๔๐ ดูโคนมมี ๓๐๐ วัวที่ยุตแลนด์นี้สีงามๆ เปนวัวผ่านทั้งสิ้น ผ่านดำผ่านแดง ผ่านสีเทา สีไขไก่ ที่เขาเลี้ยงวัวนมมาก เพราะรีดนมแล้วทำเนยขาย เปนเนยที่จำหน่ายออกมากทั่วไป

ออกจากโรงวัวไปดูเลี้ยงปลา ขุดสระไว้มากๆ เลี้ยงปลาเตราสทำนองอย่างเดียวกับที่บาเดนบาเดน แต่ฝนตกมากเสียเหลือเกิน โปรยอาหารแต่พอให้ผุดดูเล่นสองคราวก็ต้องกลับ ในสระหนึ่งสระหนึ่งเห็นจะหลายหมื่น มีเนื้อแลกวางต่างๆ เจ้าของเขาว่าเปรียวไม่เชื่องเหมือนอย่างที่วินด์เซอ เพราะเหตุฉนั้น งามกว่าที่วินด์เซอ แต่กวางแดงมีถึง ๓๐๐ ออกจากที่เลี้ยงปลาไปดูที่ทำเนย แต่เปนเวลาที่เขาไม่ได้ทำงาน ได้เห็นแต่เครื่องมือแลคริม กับทั้งเนยแขง ซึ่งพึ่งจะเข้าเครื่องอัดบ้าง แช่เกลืออยู่บ้าง ขึ้นร้านผึ่งบ้าง ห้องที่เก็บนั้นต้องให้พื้นเปนน้ำฉ่ำอยู่เสมอ

กลับจากที่ดูทำเนย ผ่านบ้านคนซึ่งอยู่ในที่นั้น เปนหมู่ใหญ่ตลอดถนน มีร้านขายของ แล้วจึงกลับไปที่เรือนหยุดพัก เวลาบ่าย ๕ โมง ทุ่มหนึ่งแต่งตัวดินเนอ คนนั่งโต๊ะทำนองเมื่อกลางวัน แต่เปลี่ยนเครื่องโต๊ะใหม่หมดทั้งสำรับ จัดโต๊ะทำนองบ้านเช่นนี้อยู่ข้างเปนการใหญ่ เปนน่าที่ของแม่บ้านที่จะต้องสำแดงวิชาจัดให้สนุกแลให้งาม การสนทนาในเวลาโต๊ะนั้นเปนเรื่องที่สนุกสนาน เชาชำนาญในการพูดจริงๆ กรมสมมตร้องว่าหมดพุง เคาน์เตสอาลเบลต์ เปนชาววิลันดาคนหนึ่ง เวลาค่ำนี้นั่งใกล้พ่อ ถามความเห็นว่า พ่อเห็นไนยตาดำงามฤๅไนยตาน้ำเงินงาม พ่อว่าถ้าไนยตาดำอย่างนิโครแล้วไม่งาม เขาก็ไม่เอา ว่าดำอย่างเช่นตาพ่ออย่างนี้ บอกว่ามันก็ต่างกัน งามได้เหมือนกัน ไม่เอาจะให้ว่าดำงามกว่าน้ำเงินฤๅน้ำเงินงามกว่าดำ พ่อบ่นว่าถามกรอกช่องอย่างนี้เต็มที นี่จะให้ตอบจริงๆ ฤๅอย่างไร บอกว่าอยากรู้จริงๆ ให้ตอบให้ได้ พ่อบอกว่าจะเอาจริงๆ ก็ต้องบอกว่าดำงาม แกหัวเราะกันกราว แลบอกกันว่าพ่อไม่ชอบตาน้ำเงิน นั่นมิใช่ได้นึกไว้แล้ว พ่อว่าแกใส่ความ เมื่อบอกว่ามีงามได้เหมือนกันก็ไม่เอา จะให้งามกว่ากันให้ได้ ก็ต้องบอกตามจริงเช่นนั้น ไม่ได้ว่าๆ ตาน้ำเงินน่าเกลียด แกก็ยังขืนแกล้งว่าพ่อเกลียดตาน้ำเงิน พ่อว่าได้ยินเขาพูดกันแมะว่า กวีนอิตาลีนั้นงามนัก งามด้วยอะไร งามเพราะผมดำตาดำ มิใช่จะงามแต่เฉภาะคนไทยเมื่อไร เคาน์เตสถามว่าผมขาวๆ เปนอย่างไร พ่อว่าจะแปลกอะไร ที่บ้านพ่อก็มีถมไป ผมขาวๆ เลยเข้าใจกัน ถามว่าอย่างงั้นตาน้ำเงินมีแมะ พ่อบอกว่ามี แต่ทีจะจางไปกว่าตาน้ำเงินที่เห็นอยู่เดี๋ยวนี้ ได้ฮากันอิก แกทำเปนโกรธตะปัดตะป่อง ประเดี๋ยวหนึ่งเคาน์เตสฟริสพูดถึงเรื่องที่จะให้ซองบุหรี่เปนรูปตัวเขาเองลงยา แก่พ่อ เคาน์เตสอัลเฟลต์บอกว่า แล้วกัน ตัวไม่มีอะไรจะให้เพราะพ่อเกลียด เคาน์เตสฟริสบอกว่า พ่อชอบตาน้ำเงินเหมือนกันก็เอาตาน้ำเงินให้ เจ้าของไนยตาบอกว่ากลัวจะไม่ชอบ ถ้าชอบก็จะควักให้ได้ นี่จะควักออกมาก็เต็มที พ่อบอกว่าไม่ต้องควักอย่าวิตก ได้เก็บตาน้ำเงินของเขาไว้ในหัวใจแล้ว เคาน์เตสฟริสบอกว่าราวกับควีนแมรีจดชื่อฝรั่งเศสไว้ในหัวใจ ได้ฮากันใหญ่ เจ้าของไนยตาเลยอาย คราวนี้เที่ยวเล่าเรื่อยทีเดียวไม่ว่าใครๆ เวลาลุกจากโต๊ะไปแล้วปรารภกันว่า อยากจะลงไปดูเรืออัลเบียน เคาน์เตสอาลเบลต์ ว่าเกิดเรื่องตานี้ขึ้นเสียแล้ว ไปไม่ได้ ประเดี๋ยวจะว่าไปตามไนยตา ฮากันเรื่อยตลอด จนกระทั่งเวลารถไฟก็ลากลับ เคานต์ฟริสมาส่งถึงสเตชั่นรถไฟ ที่แท้ฝนตกเหลือเกิน ไม่มีใครลงมาต่ออิกได้ รับกันเปนทอดๆ แต่เขาก็ทนทานกันเต็มที ทั้งฝนไม่มีย่อท้อ เวลากลับลงมา ๔ ทุ่มแล้ว ถึงเรือเปน ๕ ทุ่ม แต่คนยังแน่นทุกแห่ง โห่กันเกรียวกราวอยู่กลางฝนแลกลางหนาว เมื่อได้ส่งของแลแจกของเสร็จแล้ว ได้ออกเรือเวลา ๕ ทุ่มเศษฤๅ ๒ ยาม

• • • • • • • • •

พระบรมรูปถ่ายเมื่อทอดพระเนตรเอาไลฟโบตลงที่สกาเคน

พระบรมรูปถ่ายเมื่อทอดพระเนตรเอาไลฟโบตลงที่สกาเคน

คืนที่ ๑๐๐

วันพฤหัศบดีที่ ๔ กรกฏาคม

เมื่อตอนเช้ามืดคลื่นจัดเรือแคลงมาก ดูรู้สึกขอบใจตรงข้างที่นอนอยู่บ้าง ถ้าหากว่าไม่มีลูกกรง คลื่นฟัดหนักเข้า บางทีจะพลัดตกก็ได้ เวลา ๕ โมงเช้า จึงได้ถึงเฟรเดอริกเซาวน เปนเมืองท่า เจ้าเมืองกรมการลงมาคอย แลคนคอยแน่น เห็นจะว่าหมดเมืองได้ ทั้งเรือทั้งบกชักธงไสวไป ธงช้างก็มีมาก วันนี้ไม่มีฝน แต่ยังหนาวครึ้มอยู่ บนบกดูเหมือนจะมีตึกอยู่ในถนนสายเดียว แต่ดูก็แน่นหนา ยาวสุดตา ไปตามทางเด็กวิ่งกราวราวกับจะเข้าลากรถ ยายแก่ยายเถ้าเต้นแร้งเต้นกาตลอดหนทาง ไม่มีใครนิ่งดูเฉยๆ สักคนเดียว ขึ้นรถไฟสายเหนือไปตำบลสกาล์เคน เปนตำบลปลายแหลมที่สุดเหนือของเดนมาร์ก ตรงกับช่องที่จะเข้าไปเมืองคริสเตียเนียข้างนอร์เว เปนทางที่สินค้าฝ่ายเหนือมาเข้าในทางนี้ สกาล์เคนนี้เปนที่สุดของปลายแหลม ตามทางที่ไปแรกก็เปนบ้านเรือนห่างๆ ทำไร่ ถัดออกไปบ้านเรือนก็ห่างลงจนไม่มี ที่เปนทรายมากขึ้นทุกๆ ระยะ แลเห็นทเลใกล้รถไฟเข้ามาโดยลำดับ พระยาชลยุทธเรียกว่าแหลมตลุมพุก[๑๘๕] ของเมืองเดนมาร์ก เห็นว่าแต่แหลมตลุมพุกยังเสด็จขึ้นนี่ควรจะขึ้นได้ เพราะแกได้คิดกะโปรแกรมจะให้มีเวลาขึ้นบกทุกวัน อย่างเช่นเคยไปเที่ยวทเลแต่ก่อน มีวิธีที่เขาแก้ไขแผ่นดินซึ่งเพาะปลูกอะไรไม่เปน เหตุด้วยเปนทรายไม่มีดิน ก็เหมือนกันกับริมหาดของเราเวลาที่คลื่นจัดซัดทรายขึ้นมากองมูลสูงๆ แลดูเหมือนเทือกเขา เรียกกันว่ากระเสดนั้น แต่ที่จริงไม่มีอะไรเปนทรายเท่านั้น กองทรายเช่นนี้ถ้าลมพัดแรงๆ ทรายปลิวดาดไปตามพื้นถมหนาๆ ที่นั้นจะปลูกเพาะอะไรก็ไม่ขึ้น จึงมีเจ้าพนักงานสำหรับหาหญ้าไปปลูก หญ้าอย่างแขงๆ เช่นลูกปลิวตามลม ตามชายทเล เปนลูกปลิวบ้างเปนรวงบ้าง ไปปลูกเสียก่อน จนให้ครุคระพอที่หญ้าอื่นๆ จะไปเกาะขังเข้าได้ แล้วก็เกิดหญ้าขึ้นในที่นั้น เมื่อมีหญ้าแล้วก็มีดินขึ้นเลยเพาะปลูกอะไรๆ ต่อไปได้ เข้าสาลี เข้าโอต ปลูกไม่ขึ้นเสียแล้ว ปลูกได้แต่บาเลแลผักอื่นๆ แลต้นไม้อื่นๆ รัฐบาลคอยช่วยอุดหนุนให้พืชพรรณที่จะเพาะปลูกแก่ผู้ที่จะมาทำ ส่วนของรัฐบาลเองปลูกต้นสนอย่างไปน์เปนหมู่ๆ ตามแต่ที่มีว่างพอปลูกได้ แต่ไร่เหล่านี้มีอันตรายเสียหายได้ ด้วยคลื่นจัดลมจัด พัดทรายมาถมก็เปนที่เสียไปทำไม่ได้อิกนาน กว่าจะได้ตั้งต้นให้หญ้างอกจนกลับมีดินขึ้นมาใหม่ ส่วนต้นสนไปน์นั้น มีอันตรายอย่างใหม่ขึ้น คือเขาปลูกชิดๆ กันห่างคืบเดียวเสี่ยงทายไป ว่าต้นไหนแรงต้นนั้นก็ดันขึ้นไป ต้นที่อ่อนก็ตาย เปนธรรมเนียมที่ปลูกป่าไม้เช่นนี้ทั้งนั้น แต่ครั้นเวลามีรถไฟขึ้น ถ่านรถไฟปลิวไปถูกต้นแห้งๆ ที่อยู่ใต้ต้น เลยไหม้ต้นที่ดี คราวนี้เจ้าพนักงานต้องไปตรวจตัด ต้นไหนที่ท่วงทีจะไม่แรงชัดขวางกันแล้ว ตัดมาขายเปนฟืนเสียทีเดียว ที่นี่มีถ่านใต้ดินอย่างหนึ่งไม่ใช่ถ่านศิลา เปนไม้แห้งๆ ที่ทรายทับถมอยู่ในดินนานๆ ขุดขึ้นมาผึ่งเสียให้แห้ง แล้วใช้ต่างถ่านศิลา ราษฎรใช้กันเปนพื้น ทางไปประมาณชั่วโมงหนึ่งถึงสกาล์เคน เปนหมู่บ้านย่อมๆ จากสเตชั่นสกาล์เคน ต้องขึ้นรถม้าไปอิกตอนหนึ่ง ตอนนี้ไม่มีการเพาะปลูกอะไรเลย เปนหาดทรายเก่า เช่นเราเรียกว่า ตะกาด ลมพัดจัดเต็มที เสื้อปลิวว่อน หมวกราวกับจะตก ไปถึงไลต์เฮาส์เก่าซึ่งทำไว้ประมาณสักร้อยปีแล้ว ลึกเข้าไปอยู่ในฝั่งมาก ต่อนั้นออกไปอิกจึงถึงไลต์เฮาส์ใหม่ แล้วไปจนถึงทรายมูลเหนือหาด มีโฮเตลสองหลังต่อกัน ทำด้วยไม้รูปพรรณสันฐานอย่างนอรเว ช่อฟ้าหัวตะเข้ พักที่โฮเตลนี้ กินเข้ากลางวันอาหารจัดดีมาก แมนูเขาช่างทำ เปนรูปเรือไลฟโบต ใบล่างเปนบาญชีกับเข้า ใบบนเปนตราพระบรมราชโองการ ชักธงช้างแลธงเดนมาร์ก บนโต๊ะก็ชักธงสองอย่างเสาเล็กๆ ที่เพดานห้องกินเข้านี้มีเข็มไม้ บอกทิศลมมีจังหันล่อลม อยู่บนหลังคา ใช้ผู้หญิงเปนคนเลี้ยง

กินเข้าแล้วไปดูเรือไลฟโบต โรงเรือไลฟโบตนี้เขาตั้งไว้หลังทรายมูล เพราะที่ตำบลนี้เปนที่สำหรับเรือแตกปีละมากๆ เรือนั้นขึ้นบนล้อม้าลาก คนที่สำหรับตีกระเชียงมีเครื่องลอยน้ำสวมตัว เขาเอาเรือลงน้ำให้ดู แล้วจุดกรวดๆ นั้นเปนกรวดบอกเหล็กมีเชือกติดหางกรวดไปด้วย สำหรับยิงให้ไปตกในเรือที่มีอันตราย แล้วเอาเชือกขึงไว้ มีสาแหรกสำหรับเปนที่นั่ง สาวมาตามสายเชือก ดูกรวดแล้วไปดูที่น้ำทเลเหนือกับทเลตวันตกต่อกัน เขาเรียกว่าแบดเตอลออฟซี ทเลสองทเลนี้ไม่ปรองดองกันเลย ที่ปลายแหลมในระหว่างกว้างประมาณสักสิบวา ยาวออกไปในทเลประมาณสักสามไมล์ คลื่นทเลเหนือกับคลื่นทเลตวันตกเฉภาะไหลไปโดนกันที่ตรงนั้น เปนฝอยขาวพลุ่งขึ้นสูงๆ อยู่เปนนิจ นอกจากที่ ๑๐ วาซึ่งทเลชนกันนั้นเรียบอยู่ ดูก็ขัน จะว่าสดือทเลก็ไม่ใช่ สดือมันต้องวน นี่ขึ้นมากระทบกันบนหลังน้ำ ถ้าเรือจะเดินต้องเดินออกห่าง ถ้าเข้ามาข้ามในที่สามไมล์นี้เปนอันตรายทุกลำ

คนตามมาดูมาก เวลากลับก็ตามกลับ ลงจากรถไฟก็แน่นตลอดเหมือนขาขึ้น มาถึงเรือเวลาบ่าย ๔ โมง จอดอยู่กินเข้าเสียก่อน เพราะกลัวจะถูกคลื่น ได้ออกเรือเปนสองทุ่ม แต่คนไมได้ซาเลย เต็มตลอดจนบนหลังคาก็ยั้วเยี้ยไปทั้งนั้น เห็นตัวพ่อเมื่อไรเปนได้ฮูเรกันเมื่อนั้น ไม่หยุดจนกระทั่งต้องหลบเข้ามาในเก๋งก็สงบไปได้คราวหนึ่ง เห็นแวบเดียวก็ฮูเร ตอนบ่ายนี้แดดออกตั้งแต่ขากลับลงมา ในเก๋งเรืออุ่นสบายดี เวลาสองทุ่มครึ่ง ได้ถ่ายรูปพระอาทิตย์เมื่อจวนจะลับดวงลงไปบังเมฆ เมื่อวานนี้เวลา ๔ ทุ่มครึ่งจึงได้มืด วันนี้ ๔ ทุ่มแล้วยังเปนสีน้ำเงินดีอยู่ จะมืดช้าออกไปฤๅอย่างไรไม่ทราบ ขอจบไว้เพียงเท่านี้ที เปนสิ้นแดนเมืองเดนมาร์ก จะตั้งต้นเมืองนอรเวต่อไปต่างหาก ถ้าเวลาแดดออกแล้วรู้สึกชื่นใจ ไม่ใช่แต่ฝรั่งเห็นพระอาทิตย์เข้าปลื้ม เราเห็นพระอาทิตย์เข้าก็ปลื้มเต็มที เปนต้องทักเสมอ ถ้าวันใดฝนตกมืดเปนอดบ่นไม่ได้ แลออกจะท้อแท้อยากจะร้องว่ารู้งี้ ทั้งหนาวทั้งแฉะไม่สนุกเต็มที

จุฬาลงกรณ์ ป.ร.

ทรงชักรูปที่สกาเคน เดนมาร์ก

ทรงชักรูปที่สกาเคน เดนมาร์ก

จุดรอกเกตทิ้งเชือกที่สกาเคน

จุดรอกเกตทิ้งเชือกที่สกาเคน



[๑๘๑] เจ้าหญิงมารี ปรินเซลวัลดิมาร์

[๑๘๒] พระเจ้าคริศเตียนที่ ๙ กับพระราชินีหลุยซา กรุงเดนมาร์ก

[๑๘๓] กัปตันกุลเบิค เคยรับราชการในกรมทหารเรืออยู่ในกรุงเทพฯ

[๑๘๔] พระพลสินธุ์ เปนน้องชายพระยาชลยุทธโยธินทร เคยรับราชการอยู่ในกรมทหารเรือ

[๑๘๕] คือแหลมตลุมพุกที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ