พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๗

อ่าวเนเปอล ทรงถ่ายจากเรือซักซัน

อ่าวเนเปอล ทรงถ่ายจากเรือซักซัน

คืนที่ ๓๐

เรือซักเซน

วันพฤหัศบดีที่ ๒๕ เมษายน

หญิงน้อย

เรือมาถึงเวลาเช้า ๔ โมงครึ่ง หมายว่าจะเขียนหนังสืออะไรก็เห็นเชิงจะไม่ทัน เพราะพอตื่นนอนขึ้นก็ได้ยินเสียงเรือรบอิตาลีสลูด ๓ ลำ ใครต่อใครมาคอยเฝ้า รีบแต่งตัวขึ้นไป แต่ก็เปล่า เขายังไม่อนุญาตให้ใครลงมากว่ามดหมอจะได้ตรวจแล้วตามแบบ เมื่อเรามาเรือของเราเองหมอขึ้นมาบนเรือ หมอในเรือบอกคำเดียวว่าไม่มีโรคอะไรก็พอ ใครๆ มาก็ถึงตัวทันที เพราะเคยเช่นนั้นจึงตกใจแต่งตัวเร็วเกินไป เปนนานจรูญ[๙๔]จึงได้ขึ้นเรือได้ มีกรมทหารเรือพวกอิตาลีแลพวกเรือรบใครๆ มาเปนหลายคน ทั้งหาดแมนกงสุลเยอรมันที่เคยเข้าไปอยู่ในบางกอก แลเอเยนต์ของเรือนี้ซึ่งเปนคนมั่งมีเปนนายทหารรีเซอฟของเยอรมันกับลูกชาย ได้ถ่ายรูปบนสพานแลข้างล่าง คนที่มาถ่ายนั้นว่าเปนช่างถ่ายรูปอย่างดีในเมืองนี้ แต่ท่าทางมันผลุบผลับอย่างไร เห็นพร้อมกันว่าเหมือนเกาวแมน น่ากลัวจะไม่ได้ เขามาบอกให้ขึ้นท่าอาสเนล ซึ่งเปนท่าไม่มีคนอื่นขึ้น มีเรือน้ำเรือหลวงมาคอยเสร็จ แต่รถของเราไม่มา ว่าสั่งแต่วานนี้แล้ว แต่ไปคอยอยู่ที่ท่าอื่น บอกโทรศัพท์ไปให้มาท่านี้ คอยเท่าไรๆ ก็ไม่มา สั่งเดิมว่าจะไปกินกลางวันบนบก จนเหลือคอยต้องกินในเรือ ขึ้นบกบ่ายสักสองโมง ขึ้นรถตรงไปแอคแควเรียมที่เลี้ยงปลาทีเดียว

แอคแควเรียมนี้ตั้งอยู่ที่สุดของสวนซึ่งต่อกับโฮเตลรอยัลใกล้ทเล ต้องผ่านน่าโฮเตลไป คราวก่อนได้เดินไปดูถึงสองครั้ง คราวนี้ก็ไม่มีอะไรแปลกขึ้นสักอย่างเดียว เหมือนกับอย่างเดิมเว้นแต่ดูไม่จืด ตั้งต้นเข้าทางด้านหุ้มกลอง ตึกนี้เขาก่อเปนผนังกันรอบ แล้วกั้นเปนห้องๆ เอากระจกบังด้านข้างในไว้เปนที่ขังน้ำ แสงสว่างลงทางข้างบนรอบผนังนอกชั้นหนึ่ง รอบผนังในประธานชั้นหนึ่ง จึงแลเห็นเปนน้ำไปทั้งสองข้าง เราเดินไปในหว่างกลางอยู่ในที่มืด ปลาอยู่ที่สว่างจึงไม่แลเห็นเรา ห้องที่ปันๆ ไว้นั้น ๒๖ ห้องด้วยกัน เขาเลือกเอาปลาที่อาหารเหมือนกันที่อยู่อย่างเดียวกันไว้ตามพวกที่ควรจะปนกันได้ อาหารนั้นปลาซาดินสดๆ เปนพื้น นอกนั้นก็มีอาหารเลอียดๆ บ้าง เช่นพวกปการังที่ไหวไปมาไม่ได้ ชั่วแต่กระดิกเมื่อเวลาจะกินอาหาร ฤๅตัวยุ่มย่าม จะเปนปลาก็ไม่ใช่หอยก็ไม่ใช่ ซึ่งพวกเราเรียกกันว่านกเค้าแมว เพราะเวลานั่งงอมืองอตีนอยู่ในน้ำเหมือนนกเค้าแมว ตัวเช่นนั้นกินปู พื้นที่อยู่นั้นเล่าก็ต่างกัน บางพวกชอบพื้นทรายหยาบ บางพวกชอบทรายเลอียด แลบางพวกก็เกาะอยู่ตามปการัง ที่ชอบอยู่ในภาชนะเช่นพวกเพศปลาไหลก็เอาหม้อแตกๆ บิ่นๆ ทิ้งลงไปไว้ให้ขดอยู่ ปลาบางพวกที่ชอบหมกอยู่ในใต้ทราย จนกระทั่งว่ายน้ำขึ้นมา ทรายยังเกาะอยู่บนหลังเต็ม ก็หมกอยู่ในทรายจนไม่แลเห็นว่าเปนปลา เมื่อไปถึงที่ห้องใดเขาก็ให้อาหาร ดูอาการที่แย่งชิงอาหารสนุก ปลาบางพวกชอบซุกๆ นอนซ้อนๆ กันอยู่ ฤๅนอนอยู่บนต้นปการังในน้ำซึ่งอ่อนเยิ่น กระดิกตัวก็ไหวดูตัวมันจะเบาเต็มที ซ้อนกันลงไปสองตัวสามตัวก็ไม่เห็นว่าไรกัน มีกุ้งทเลตัวใหญ่ตัวหนึ่ง น่าดูเต็มที สีก็เปนสีน้ำเงินอ่อนงาม เจ้าพวกกุ้งทั้งปวงที่เดินถอยหลังกรูดๆ ตะกลามมากกว่าเพื่อน ปลาซาดินทั้งตัวทิ้งลงไปกอดไว้ ตามไล่แย่งกันโดดโหยงๆ ตพาบน้ำพึ่งได้แลเห็นว่ามันว่ายน้ำอย่างไร มันไม่ได้ว่ายแบนๆ เช่นคเนว่าจะเปนเช่นนั้น ว่ายตัวตั้งเอาหัวขึ้นสองมือตกาย เวลาจะหยุดพักไม่ใช่ลงไปแบนๆ อยู่กับพื้น เอาหลังแหมะเข้าไปกับฝาเฝืองอะไรก็ได้ แล้วทิ้งเค้เก้ลอยอยู่เช่นนั้น ไม่เห็นลงถึงพื้น ตัวแมงยุ่มย่ามที่กินปูนั้น เวลาอาหารลงไปถึงคลายรูปนกเค้าแมวออกเปนมือเปนตีนรอบ ไปจับปูเข้าในช่องปาก แล้วคลานยืดยาดไปหุบเข้าเปนนกเค้าแมวอย่างเก่า มีปลาหลายพวกที่ขี้เกียจ ต้องเอาไม้แหย่จึงจะกระดิก แต่ถึงกระดิกก็ยังทำท่าขี้เกียจอยู่เช่นนั้น ในพวกขี้เกียจนี้มีปลาหมึก ซึ่งมีเพิ่มเติมโทษะเข้าอยู่ในนั้น พอถูกตัวเข้าก็พ่นน้ำดำออกมาเปนหมึกจริงๆ เต็มไปทั้งอ่าง อ้ายหมึกนั้นเองสำหรับถูกสัตว์อะไรจับเปนอาหารได้ ตรงกันข้ามกับเจ้าหมึกกล้วย อ้าปากว่ายเรื่อยไปไม่หยุดจนกว่าอะไรจะเข้าปาก คราวนี้แถวในเปนพวกสัตว์ที่จะมีวิญญาณฤๅไม่มีวิญญาณก็ใช่ งอกอยู่ตามก้อนศิลาเล็กๆ น้อยๆ เขาจัดไว้งามจริงๆ เหมือนต้นไม้ฤๅดอกไม้ แต่กลีบนั้นเปนมือ สำหรับกวาดอาหารเข้าปาก สีต่างๆ แดง น้ำเงิน เขียว บางอย่างก็รู้จักตกใจ เอาไม้แกว่งลงไปใกล้ๆ หดใบเข้าไปเสียในก้านได้ สงบงบเงียบก็ยื่นออกมาใหม่ เจ้าพวกนี้วางเรื่อยมาจนกระทั่งถึงพวกที่ไม่รู้กระดิกกระเดี้ยเลย ไม่ต้องกินอาหารอะไรด้วย อาไศรยโอชะที่มีอยู่ในน้ำเปนอณูปรมาณูเลี้ยงชีวิตร เช่นคอรัลคือประพาฬนี้ก็เปนสิ่งหนึ่งในจำพวกนั้นเหมือนกัน บรรดาสัตว์น้ำที่เลี้ยงไว้ในที่นี้ อยู่ได้ด้วยเขาเปลี่ยนน้ำเสมอ คือสูบน้ำขึ้นมาจากทเลให้เข้าในท่อเล็กๆ เติมน้ำ มีท่อน้ำล้นสำหรับถ่ายน้ำเก่าออกไปทีละน้อย จนน้ำไม่กระเพื่อมเลย ได้ไปดูข้างบนแลดูที่เขาแช่สัตว์เหล่านี้ในเหล้าออลกอฮอล เล่ามาเลื้อยเจื้อย เพราะไม่มีอะไรทำ สำหรับอ่านเล่น

ออกจากแอคแควเรียมหมายว่าจะไปดูมิวเซียม แต่ได้ข่าวว่าเขาปิดเสียแล้ว จึงตกลงเปนไปซันต์มาติโน ซึ่งเปนวัดอยู่ยอดเขาเมืองนี้ ภูมนิเทศของเมืองเนเปอลนั้น เปนพื้นเขาไปทั้งนั้น มีที่ราบน้อย ตั้งแต่ขึ้นท่าไปก็เปนอันตั้งหน้าจะขึ้นที่สูง ตัดเปนถนนคั่นๆ ขึ้นไป ตัวถนนนั้นคงวงอ้อมไปให้ลาดๆ พอรถขึ้นได้ โดยมากไม่ใคร่จะรู้สึกว่าขึ้นเขา รู้แต่ว่ามีแต่ขึ้น ในหว่างถนนต่อถนนนั้น เขาก่อตึกรามสูงกว่ากันขึ้นไปเปนชั้นๆ ในตึกหลังเดียวข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่งต่ำก็มี แต่หลังคาเสมอกันพื้นลดเปนชั้นๆ ในหว่างตึกเหล่านี้มีทางลัดขึ้นถนนชั้นบนโดยมากแต่เปนคั่นบันได ถนนปูด้วยศิลาหนาๆ แต่งน่า แต่ด้านข้างบนให้คุรคระไม่เกลี้ยง สำหรับไม่ให้ลื่น ตอนล่างเปนตลาด คนจอแจเต็มไปทั้งนั้น ตอนกลางๆ เปนพวกคนจน มีสวนต้นมะเดื่อที่เขาผูกกิ่งชักติดกับไม้ค้าง ไว้กิ่งแต่สองข้างโยงถึงกันเหมือนรั้ว แลต้นแอบเปอลกำลังออกดอกบ้าง เพราะหนาวปีนี้ล่าสโนพึ่งจะหมดเมื่อเดือนเศษ ต้นไม้จึงพึ่งจะผลิใบน้อยต้น ผู้หญิงยังใช้เฟอ (คือขนสัตว์คล้องฅอเปนต้น) อยู่มาก ถัดขึ้นไปจวนจะถึงยอดถนนแคบลงจนถึงไม่มีทางคนเดินสองข้าง แล้วแคบหนักเข้าไปจนถึงรถหลีกกันไม่ได้ เมื่อไปถึงที่ราบก็ไปเปนสแควร์ (ลานกว้างปูศิลา) มีตึกใหญ่รอบแล้วก็กลับเข้าที่แคบไปอิกจนถึงวัด

คนที่นี่ไม่เห็นมีใครแต่งฟรอกโก๊ตแลหมวกตอบแฮตสักคนเดียว ใส่เสื้อธรรมดาทั้งนั้น พวกชั้นเลวๆ ยายแก่ยายเถ้าพะรุงพะรังมาก เด็กเล่นกลางถนนมากเสียจริงๆ นั่งซุกอยู่ตามมุมๆ ซอกๆ สี่ห้าคน วิ่งอยู่สามคนสี่คน เปนแห่งๆ ไป เสื้อผ้าขาดวิ่นร่องแร่งเปื้อนมอม เปนเด็กกลางถนนแท้ ได้ถามเขาว่ามันนั่งเล่นอะไรกัน เขาว่ามันนั่งเล่นปั่นอีแปะกันเปนพื้น ถามต่อไปว่าไปได้เงินที่ไหนมาเล่น จึงได้ความว่ามือไวอย่างยิ่ง ความลามกก็มาก แต่ดีที่มันยิ้มย่องผ่องใส ยายแก่ยายเถ้าเห็นเราผ่านไปโบกโบยโมทนาเรื่อย เด็กๆ ก็ไม่จองหอง หัวเราะแหยล้อเล่นก็ได้ พ่อเอนดูเจ้าพวกเด็กๆ มาก เสียใจที่รู้ว่าขโมย ที่จริงดูมันเล่นของมันก็สนุก รถจ้างที่นี่สรวยดี ล้อทาแดงตัวดำ แต่เกวียนเทียมม้าสามตัว เครื่องม้านั้นหรูมาก รถรางไฟฟ้าเดินต่อกันถึงสามหลังก็มี แต่มันเดินช้าๆ แลการหลีกรถดีอย่างยิ่ง ถนนโดยมากกว้างเท่าถนนบำรุงเมือง รถหลีกกันเกือบจมูกคนบนรถจะโดนกัน แต่ไม่มีเหตุการณ์อันใด ไม่เอะอะ ดูเหมือนมันรู้ในใจว่าเปนน่าที่ที่จำจะต้องหลีกกัน ไม่อยากจะเถียงกันว่าใครเดินถูกเดินผิด คนเดินฤๅออกแน่น ดูรถไม่ต้องหยุดว่ากลัวใครจะมาโดน คนเดินก็ไม่มีกิริยาว่ากลัวรถจะมาโดน ด้วยมันชินมาเสียช้านาน ว่าถ้าโดนเข้าแล้วไม่มีผลดีอย่างใด ปลาดที่มีคนขอทานแต่คู่เดียว แต่โปลิศลับขึ้นรถไบสิเกิลตามติดรถพ่อขึ้นไปสองคนคอยไล่ อ้ายนี่ออกจะใช้ราชการได้ด้วย ที่ทำให้พ่อคิดถึงมากนั้นเรื่องดอกไม้ ไม่ว่าซอกไหนมุมไหน เต็มไปด้วยดอกไม้ทั้งนั้น งามงาม มันนั่งขายได้สบายกลางแดด มีตู้กระจกใส่บ้าง เอาร่มปักพอบังเงาบ้าง พวกผู้ใหญ่นั่งอยู่ที่ร้าน เด็กๆ วิ่งชูไปทุกหนทุกแห่ง ใครผ่านไปร้องเรียกให้ซื้อดอกไม้ ที่เห็นมากในเวลานี้คือดอกกำมหยี่ซ้อนสีชมภู ดอกเดียวมันโตเท่าดอกแก้วพวงทั้งช่อ อิกอย่างหนึ่งดอกคล้ายลั่นทมที่พึ่งแย้ม แต่มีอะไรแต้มข้างในงามหรูขึ้นอิกอย่างหนึ่งคล้ายดอกแต้ฮวย เบญมาศมีมาก กุหลาบสีครั่ง กุหลาบเหลือง กุหลาบขาว นี่เปนดอกไม้ที่สังเกตได้ แต่ที่ไม่รู้จักผ่านไปเร็วๆ ไม่ทันสังเกตมีมาก เอากระบุงมาใส่เอาได้ แต่ฝรั่งที่นี่มันตัดดอกไม้สั้นๆ ไม่ใคร่มีก้านอย่างเราตัด แล้วผูกปลายไม้เหมือนกัน แต่ไม้ที่สำหรับผูกนั้นมันเหลาเสียเกลี้ยงอย่างเอกผูกด้วยลวด

เวลาขึ้นไปตามทางผ่านคาเซอลแห่งหนึ่งว่าเปนคาเซอลโบราณ ก่อด้วยศิลาใหญ่โต หน้าตาร้างๆ แต่ทหารอยู่

วัดซันต์มาติโนนั้น เปนวัดร้างเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เขาใช้เปนมิวเซียม ยังมีรูปเขียนดีๆ แต่จะเล่าถึงรูปเขียนน่าจะโดนกับที่หม่อมนเรนทร์เล่าจึงของดเสีย เปนแต่จะกล่าวว่าได้เห็นเขียนเพดานรูปตั้งจริงตัวเดียวเท่านั้น มีของต่างๆ เก็บไว้หลายอย่าง จะข้ามเสียไม่เล่าเหมือนกัน มีที่ดูวิ้วดีสองแห่ง แต่วันนี้อยู่ข้างมีหมอกมาก ดูไปไม่ได้ไกล แต่ในพื้นเมืองเนเปอลเห็นได้หมด ได้ยินเสียงอึงทั้งเสียงคนเสียงล้อเกวียนแลเสียงระฆังวัดต่างๆ ซึ่งกรมสมมตออกอุทานออกมาเอง ว่าได้ยินเสียงระฆังเพราะ กลับลงมาจากนั้นจะแวะที่มิวเซียม แต่ตาภารโรงแกวุ่นเสียใหญ่ โทรศัพท์บอกเจ้ากรมให้มาเปิด จะเหนี่ยวเอาไว้คอยดูให้ได้ เวลาฤๅก็ห้าโมงเศษ จวนย่ำค่ำแล้ว ร้านเขาจะปิด ลุกขึ้นเดินแกก็ชวนลากลู่ถูกังจะให้เข้าไป ตกลงต้องตีกินหนีแกซึ่งๆ หน้าจึงกลับลงมาร้านได้ การที่ลงมาร้านนั้นแปลว่าต้องขี่รถเดินรอบเมือง จนเกินกว่าบรรจบที่เก่า ก็วนมาที่หลังโฮเตลนั้นเอง เดินจากโฮเตลอึดใจเดียว มาคราวก่อนยังไม่ยักรู้ว่าร้านอยู่ที่นี่ ได้ซื้อของแล้วเสร็จในเวลาย่ำค่ำเศษ แต่ยังไม่สว่าง จะไม่พรรณาด้วยร้าน แต่ควรจะรู้นิดเดียวว่า ร้านที่นี่ไม่ใช่เช่นเมืองอังกฤษฤๅเมืองฝรั่งเศส ซึ่งรูปร่างเปนศาลายุทธนาธิการ[๙๕] แต่ในกลางสนามหญ้านั้นมีหลังคากระจก ตั้งของอะไรหรูไป มีแพรริบินแลพรมห้อยหรูอยู่ในกลาง ซึ่งถ้าเล่าถึงควรจะเข้าใจเช่นนั้นในแถบเมืองอังกฤษเมืองฝรั่งเศส แต่ร้านข้างอิตาลีนี้ถ้าจะเล่าถึง ควรจะเข้าใจว่าตึกถนนบำรุงเมือง เช่นห้างแบดแมนเก่า[๙๖] มีตู้ๆ ตั้งของขายเท่านั้น จึงไม่น่าจะต้องเล่าอะไร

เสด็จขึ้นประพาศเมืองเนเปอล

เสด็จขึ้นประพาศเมืองเนเปอล

วันนี้ได้คิดอ่านกันในเรื่องกินเข้า เขาจัดไว้ที่โฮเตลรอยัล แต่พ่อขี้เกียจซ้ำซาก อยากจะไปกินเรสเตอรองต์ จึงได้จัดการใหม่กับมิสเตออาเซลเมเยอ จ้างรถมารับตอนข้างหลังตึก สำหรับที่จะได้หลบคนดู ตอนข้างในให้กรมประจักษ์แอกต์เปนพระราชา ขึ้นรถแลนดอตั้งกระบวนแห่ไปกินเลี้ยงที่โฮเตล ที่จริงหาไม่การจะเรียบร้อยดี แต่บังเอินมีฝรั่งที่เคยไปอยู่เมืองไทยมาอยู่ที่นี่คนหนึ่งหูบอนเปนที่สุด พูดภาษาอะไรๆ กัน จนที่สุดภาษาไทยก็เข้าใจ ได้ยินแล้วกลั้นไว้ไม่ได้ ต้องสำแดงให้ปรากฎว่าข้าเจ้าเข้าใจ รู้อะไรแล้วก็นิ่งไม่ได้ อยากทำบุญคุณกับชาวเมืองของตัว จนชั้นคนกลางถนนมันก็แอบไปเล่นตาบอกให้รู้ว่าพ่อจะไปทางหลัง ได้แลเห็นแก่ตาทีเดียว มีคนไปคอยดูสัก ๒๐ ออกกลแตก แต่ต้องดันมันไปดื้อๆ ขึ้นรถได้ก็ให้ขับไป รถจ้างที่นี่มันนั่งสองคน พ่อกับมิสเตออาเซลเมเยอ บริพัตรกับกับตันโวลเตมาส เยนตรากับพระยาบุรุษ พอขึ้นรถได้มันก็ตีตะบึงทีเดียว ขับเร็วเปนที่สุด แต่ไม่เร็วเรื่อยอย่างรูเซีย มันเร็วหวือๆ ถึงที่เลี้ยวถึงรถเอียง อ้ายคนที่จะตามดูก็เหลือกำลังไปเอง ประเดี๋ยวเดียวรถที่ ๒ ขึ้นน่าไปแล้ว เลยสำเร็จกิจไม่มีใครรู้จัก ตรงไปเรสเตอรองต์ชื่อยารดิเน อินตานาเซียนาลี ซึ่งได้ส่งกิติคุณของเขาอันได้พิมพ์ไว้เข้ามาให้ในซองนี้ด้วย เรสเตอรองต์เช่นนี้มีมาก ที่เปนส่วนชาวเมืองแท้เขาว่าออกจะสกปรก จึงเลือกเอาที่อินเตอแนแชนัลเช่นนี้ ที่นั้นอยู่ในถนนซึ่งเปนที่ประชุมคนอย่างแฟชันเนเบอล แต่เลี้ยวเข้าไปลงจากรถในที่ของเขา ไม่ต้องลงกลางถนนหลวง ขึ้นกระไดแคบๆ หน้าตาออกไทยๆ แรกก็ถึงครัวทีเดียว ที่ครัวนี้สนุก มีเตาเหล็กตลอดผนังด้านหุ้มกลอง นอกนั้นก็ตั้งเตาอะไรต่างๆ คนทำงานที่เปนคนครัวประมาณสักสิบเอ็ดสิบสองคน แก่คร่ำๆ จนหัวขาวหนวดขาวก็มี ในห้องนั้นมีตู้กระจกตั้งของสด สารพัดกุ้งปูปลาเนื้อผักผลไม้ อยู่ใกล้ทางที่จะเดินเข้าไปข้างใน ใครอยากกินอะไรก็ไปยืนเลือกสั่งให้เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ทำ แล้วมีผู้มารับค่ำสั่งหาฤๅว่าจะทำเมนูอย่างไร เราก็เดินล่วงเข้าไปข้างใน ที่ข้างในก็ตึกแถวแต่คั่นเปนห้อง ห้องละสามโต๊ะ สี่โต๊ะ นั่ง ๘ คนก็มี ๔ คนก็มี ถึงที่จะมากเท่าไร จะนั่งสักสองคนก็ได้ นั่งทั้งพวกไม่ให้คนอื่นเห็นเลยก็ได้ เขาจัดไว้เช่นนั้นแต่พ่อไม่เอา ไปเลือกนั่งที่ในห้องกลางที่มีหลายโต๊ะ แลเปนห้องทางสำหรับคนเดินผ่าน จะได้แลเห็นคนแปลกๆ เวลาไปถึงเข้าที่นั่น เห็นพระยาบุรุษกับเยนตราหายไปแล้ว นึกทอดธุระว่าช่างมัน หมดตำราเข้าคงไปที่โฮเตลเอง เพราะเยนตราสันทัดโฮเตล อาเซลเมเยอจะมาตามก็ห้ามไว้ สักครู่หนึ่งเห็นพระยาบุรุษกับหม่อมนเรนทร์ขึ้นไป ผิดสังเกต ไม่ได้สั่งไว้ให้หม่อมนเรนทร์ตามเลย ทำไมถึงได้หม่อมนเรนทร์มา ได้ความว่าหม่อมนเรนทร์จำจะต้องมากับพระยาบุรุษเพราะพระยาบุรุษไม่มีปาก แต่เยนตรานั้นหายไปไม่มีใครรู้ ตกลงกระทำใจว่าคงกลับไปโฮเตล ให้เจ้าอาเซลเมเยอเปนผู้เลือกกับเข้าเพราะเขาเกิดที่นั่น แล้วนั่งคอยอยู่เปนนาน กว่าจะแล้วช้ามากหิวเต็มที เขาเอาขนมปังมาก่อน ว่าขนมปังเปล่ากันเสียเพลิน หม่อมนเรนทร์ตะกลามมากกว่าเพื่อนกดเข้าไปเสียหมดก่อน เนยมาก็กินกับเนยกันต่อไป ต้องมีเจรจาระหว่างกับเข้ายังไม่แล้ว ตาเจ้าของโรงรูปร่างอ้วนใหญ่คล้ายตาโอ แต่โตกว่ามาก พูดภาษาอื่นก็ไม่ได้ ต้องมีล่าม มาพรรณาถึงการทำกับเข้า ว่าทำเช่นนั้นถึงจะอร่อยจะดี จะทำให้วิเศษต่างๆ ที่จริงมันก็ยั่วความหิวของเราอยู่บ้าง เหมือนคนกำลังหิวๆ ไปเล่าให้ฟังว่าทำอ้ายนั่นอ้ายนี่อร่อยชักให้อยากมากขึ้น แต่ที่นั่งอยู่ที่นั้นก็ไม่จืดอะไร ดูคนไปคนมา บ้างนั่งกิน บ้างเดินเข้าเดินออก บางพวกที่มาทีหลังเรา ได้ของกินก่อนเราเปนนานๆ ทอยกันอยู่เสมอ โต๊ะเราถึงไม่รู้ว่าใครก็รู้ว่าเศรษฐี เพราะสั่งกับเข้ากับปลามันหรูมาก มีดอกไม้กลางโต๊ะ เขาจึงได้ประจง ในเวลาเมื่อเคี้ยวกันเพลินอยู่นั้น เยนตราทลึ่งตึงตังขึ้นไปเสียงหืดขึ้นฅอหน้าเขียว ด้วยแกไม่หยุดตามจนถึงเวลานั้น เกือบหวิดอดเข้า ตกลงเปนได้ความว่าพอออกจากร้าน หม่อมนเรนทร์ก็วิ่งถลันออกมาเอากระเป๋าเครื่องแป้งส่งให้เยนตรา เยนตราก็อุ้มกระเป๋าเปนนางวิยดาตามเสด็จเรื่อยทีเดียว ไปก็ไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน พูดกับมันภาษาอะไรก็ไม่เข้าใจสักอย่างหนึ่ง ตามเรื่อยไป เยนตราก็ตั้งใจเสียว่าช่างเถิด วันนี้อดเข้าก็จะตามให้ได้ ตั้งใจเที่ยวมะงุมมะงาหรา มันก็พาเรื่อยขึ้นไปเขา ไปจนมืดเข้านึกหนักใจเรื่องวิยดาที่อุ้มไปด้วย จึงคิดจะกลับเอามาส่งไว้เสียที่โฮเตลก่อน พอนึกได้ก็ออกชื่อโฮเตลถูก อ้ายคนขับรถก็เข้าใจ มาถึงโฮเตล ได้ความจากผู้ที่อยู่โฮเตลว่าเสียงเอ็ดทีเดียว มาถามหาพระยาบุรุษ สันนิษฐานกันว่าเยนตราถูกไล่ แต่แกก็จำเภาะมาเจอเจ้าตัวบอนที่ว่ามาแล้ว บอกถิ่นที่ที่เราจะไปให้รู้ตลอด บอกที่แลซ้ำจัดคนที่โฮเตลให้นำไปด้วย จึงได้ไปถึงโต๊ะเรากลายเปน ๗ คนขึ้น

เหล้าอิตาเลียนที่กินนี้ มีสองอย่างที่สำหรับกินต่างน้ำ เหล้าเหลืองรศเปรี้ยวอ่อนหน่อยหนึ่ง เหล้าแดงรศหวานดื่มง่ายแต่ฉุน แต่ถ้าเทียบกับเหล้าอื่นแล้วจะว่าอ่อนไม่ได้ ฉุนทั้งคู่ขึ้นตาทีเดียว เครื่องที่จะรินต้องมีเครื่องโก้งเก้งคล้ายรางปืนใหญ่ เมื่อวางขวดแล้วเวลาจะรินขันควงข้างหลังเหมือนยกปืน แต่เขาก็มีน้ำกินดีมาก เปนน้ำลำธารอร่อย ของหวานมีแชมเปนช์ นับว่าเปนแชมเปนช์อย่างอ่อนกว่าของชาติอื่นหมดหวานมาก กับเข้าตั้งต้นมักกะโรนีเส้นเล็ก ตักเสียสุ่มจาน ดีที่ร้อนควันพลุ่งๆ ทุกอย่าง กินยั้งไม่ใคร่จะอยู่ ถึงห้ามกันให้หยุด สิทธิการิยะวิธีกินมักกะโรนีนั้น ท่านให้ถือซ่อมมือขวา ถือช้อนมือซ้าย เอาซ่อมหมุนม้วนเส้นมักกะโรนี แล้วเอาช้อนประคองจนกลมเปนคำแล้วจึงใส่ปากแล กับเข้าที่สองเข้าสุกกับตับไก่ หั่นชิ้นเล็กๆ ปรุงด้วยเนยแขงเจือมะนาว แต่เปนมะงั่วฤๅมะนาวนมยาน การที่จะบีบนั้นต้องมีเครื่องมือ อร่อยอิก เพราะมันควันพลุ่งมาอิก ที่สามปลา ปลานั้นยาวกว่าปลาทูหน่อย พอพาดปากจาน ทอดหนังกรอบเนื้อในนุ่มไม่พบก้าง หว่างจานที่ว่างอยู่สองข้าง ข้างหนึ่งเปนกุ้งฝอย ข้างหนึ่งปลาหมึก ขันที่ปลาหมึกฝรั่งมันเรียกอิงก์ เหมือนอย่างกับเรา หวานดีทั้งสามอย่าง กับเข้าสามที่นี้อิ่มเกินต้องการอิกเสียแล้ว ที่สี่เนื้อโคย่าง หั่นชิ้นบางๆ ที่สุดจึงกินไม่ใคร่จะได้ พุงซื่อเต็มที ของหวานไข่เจียวหวานแลผลไม้ ผักที่สำหรับกินกับผลไม้อย่างหนึ่ง เรียกว่าเฟนอกคี หัวเหมือนจุ๊ยเซียนจิ้มเกลือกิน หวานจริงๆ กินลักษณเซเลรีของอังกฤษ แต่เซเลรีมันออกเผ็ดๆ นี่ไม่มีรศเผ็ดเลย ลืมกับเข้าเสียสิ่งหนึ่ง คืออาติโจ๊กที่นี่เขาไม่กินแต่ชั่วแว่น ซึ่งรูปร่างเปนตคัน ฤๅปลิดกลีบจิ้มเนยดูด เขาตัดกลีบที่แขงออกเสียหมด แล้วผ่ากลางเปนรูปรีๆ ทาบบนขนมปังทำเหมือนอย่างนก ผลไม้มีส้มลูกโตเท่าส้มเปลือกบาง รศเปรี้ยวเห็นจะเกือบถึงส้มแก้ว แต่ชุ่มดี กับลูกแอบเปอลอเมริกา ตกลงเลิกไม่กินน้ำชา กินกาแฟ ตอนอิ่มเข้านี้ดูมันรู้กันมากขึ้น เจ้าของโรงจะขอให้เซนชื่อ พ่ออึ๊ดกันไม่เซน เลยตีกินออกจากโรงนั้น เดินตามถนนมาที่สลอนีมากะริตา ซึ่งอยู่ไม่สู้ห่างกันนัก อิ่มเต็มที ได้เดินเสียค่อยยังชั่ว ที่นี่เปนเรือนหลังคากระจกจตุรมุข เปนถนนกว้างมีร้านสองข้าง แต่ที่พ่อไปไม่ได้เข้าไปในนั้น ไปเข้าทางหนึ่งต่างหาก แล้วลงในใต้ดินมีโรงลครโตกว่าดึกดำบรรพ์มาก เปนรูปกลมดิกทีเดียว สเตชที่ลครออกมาเล่นก็กลม ชักม่านวงอ้อมมาตามกลม พื้นกลางมีโต๊ะเล็กๆ สำหรับกินน้ำชาสูบบุหรี่ได้ พ่อไปนั่งในบอกสไม่กล้าลงไปนั่งกลางเพราะหลบยาก ลงมือเล่นยามครึ่ง มีผู้หญิงออกมาร้องเปนพื้น แก่ๆ คร่ำหวอด มันแต่งสำหรับดูไกลๆ เท่านั้น มีอีนิโครปนฝรั่งแขนด่างๆ ออกมาหกคะเมน แลนิโครไต่ลวด พ่อกลับเสียในที่ ๗ ฤๅ ๘ ของโปรแครม มาลงเรือเหมือนอย่างเมื่อขาขึ้น เรือออกเวลา ๑๑ ทุ่ม ได้ให้ปิ่นปักฅอมิสเตออาเซลเมเยออันหนึ่ง กับให้รางวัลนายโปลิศที่ตามกำกับ อันที่จริงก็ใช้เขาได้ เปนสิ้นชุดจบเรื่องเนเปอลกันเท่านี้ที

ได้ส่งเมนูที่เรสเตอรองต์ฉบับหนึ่ง แผนที่เดินเรือซึ่งเรือซักเซนมาครั้งนี้จนถึงเยนัว บรรจุมาในหีบของกับรูปปะโนรามาแลโปสต์ก๊าดต่างๆ รูปเขียนเมืองปอมปีไอ ซึ่งจมอยู่ในขี้เท่าขุดขึ้น ยังแลเห็นลายปรากฎเข้ามาพอดูเปนเค้า จะได้แลเห็นเรื่องได้ตลอด พ่อคิดถึงลูกจริงๆ ถ้าได้มาเที่ยวจะสนุกนัก ขอจบตอนหนึ่งเท่านี้ จะแยกตั้งต้นเยนัว เปนเรื่องทางบกต่อไปต่างหาก

จุฬาลงกรณ์ ป. ร.



[๙๔] หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร ในพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงนเรศวรฤทธิ เปนตำแหน่งอรรคราชทูตสำหรับประเทศอิตลีและฝรั่งเศส (เดี่ยวนี้เปนพระองค์เจ้า)

[๙๕] คือศาลาว่าการกระทรวงกลาโหมบัดนี้

[๙๖] ห้างแบดแมนเก่าอยู่ตึกแถวถนนบำรุงเมืองฟากใต้ ต่อเชิงสะพานช้างโรงสี

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ