พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๒

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยือนบริษัทแฮรร์กรุป เมืองกีล

 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยือนบริษัทแฮรร์กรุป เมืองกีล

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยือนบริษัทแฮรร์กรุป เมืองกีล

คืนที่ ๑๓๐

เมืองกีล

วันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๖

หญิงน้อย

เมื่อคืนนี้ ถ้าหากว่าจะไปให้ถึงกิลก็อาจจะถึงได้ แต่การที่ไปถึงกลางคืนก็ไม่มีประโยชน์อะไร พระยาชลยุทธจึงได้กำหนดจะให้มาถึงต่อวันนี้เช้า เวลา ๕ ทุ่มทอดสมออยู่นอกกีล ทางประมาณสิบห้าสิบหกไมล์ คลื่นลมสงบเรียบร้อยดี ครั้นเวลาเช้า ๒ โมงเศษ ออกเรือ เวลา ๓ โมงเข้าในช่องอ่าวกีล พ่อตื่นขึ้นได้ยินเสียงสลูต ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงปากคลองกีล ชายอุรุพงษ์กับกรมสมมตอยากเห็น จึงให้ไปปลุกลุกขึ้นดู สลูตบกบ้างเรือบ้างระมา แต่เวลานี้มีเรือรบอยู่น้อย ด้วยกำลังไปประชุมกันอยู่สำหรับรีวิ้ว ที่วานดะมุนเด เอมเปอเรอออกไปอยู่ในที่นั้น เรือเข้ามาทอดใกล้น่าโฮเตล ผู้บังคับการเรือรบรุสเซียลงมาหาก่อน บอกว่าได้รับโทรเลขว่าเอมเปอเรอรุสเซียเสด็จมายังไม่ถึง แต่ได้ลงในเรือพระที่นั่งสแตนดาดมาแล้ว จะมาพบเยอรมันเอมเปอเรอที่วานดะมุนเด แล้วไดเรกเตอที่วานดะมุนเด แฮรร์กรุปฟอนโบเลน อุนด์ ฮัลบาค ใช้ให้แฮรร์ เริตเกอ เปนประธานของที่ประชุมผู้อำนวยการแลแฮรร์ เบาเออ ผู้เปนประธานกรรมการอู่แกร์มาเนียที่กีล แลแฮรร์มาควารดต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการที่เอสเซน กับไดเรกเตออู่แกร์มาเนียอิก ๒ คนมาต้อนรับ มีเรือไฟสำหรับขึ้นบก พระยาศรีธรรมสาส์น มิสเตอ ลอฟตัส แลมิสเตอปิกกินแปก กงสุลเยเนอราลที่แฮมเบิคแลนายจำรัส[๑๙๕]นักเรียนทหารลงมาด้วยแฮรร์ ฟอนโบเลน มาไม่ได้ ด้วยติดธุระเรื่องเมีย เวลาเช้า ๔ โมงได้ลงเรือนั้นมาขึ้นบกตรงน่าโฮเตล ไม่ต้องขึ้นรถเพราะโฮเตลตั้งอยู่ริมน้ำ มีถนนคั่นเท่านั้น โฮเตลนี้เรียกว่า เซบาเดอันสตัลต ตั้งอยู่ที่ดุสแตร์นบรุก แปลว่าเปนสถานที่สำหรับอาบน้ำทเล โฮเตลนี้เปนของกรุป ซึ่งปรากฎว่าที่อาบน้ำนั้น เพราะมีโรงที่อาบน้ำปลูกอยู่ในทเล เยื้องน่าโฮเตลหน่อยหนึ่ง มีโรงทำไฟฟ้าของตัวเองอยู่หลังที่อาบน้ำนั้น โฮเตลนี้นับว่าเปนเรือนริมน้ำ ที่อยู่นอกจากหมู่เรือนริมน้ำทั้งปวง เปนต้นแถวขาเข้าไปในอ่าว ขึ้นพักบนโฮเตลหน่อยหนึ่งแล้วไปเที่ยวดูเมือง

ตำบลกีลนี้ เปนอ่าวยาวเข้ามาจากทเลบอลติกตรงข้ามกับเกาะเดนมาร์ก แลเยื้องประเทศสวิเดนนิดหนึ่ง คลองกีลที่ขุด ขุดใกล้ปากอ่าว เจาะแหลมที่เปนเชลสวิกฮอลสไตน ไปต่อกับยุตแลนด์ของเดนมาร์ก เพื่อจะเดินเรือจากทเลบอลติกไปทเลอังกฤษ เรามาเลียบมาทางยุตแลนด์ จึงผ่านปากคลองกีลเข้ามาในอ่าว เมืองกีลแท้ลึกเข้าไปหน่อยหนึ่งไม่ได้อยู่ริมน้ำ เปนเมืองเก่า ถนนคด แต่เดี๋ยวนี้เมืองใหม่ๆ เกิดขึ้นเกือบจะโยงติดกันเปนแผ่นเดียวตลอดทั้งสองฝั่งอ่าวนี้ ฝั่งฟากข้างโน้นเปนอู่เรือหลวงแลอู่ของกรุปต่ออยู่ตรงท้ายอ่าวติดกันเปนแผ่นเดียวหมด เปนเมืองใหญ่มาก มีพลเมืองถึงแสนห้าหมื่น แต่การก่อสร้าง ไม่มีอะไรที่จะแปลกประหลาดว่าเปนอย่างงามวิเศษ เปนตึกเหมือนๆ เมืองฝรั่งทั้งปวง ตอนข้างเมืองใหม่ ถนนตรงๆ มากขึ้น แลตึกอย่างใหม่มีมาก ลักษณของตึกอย่างใหม่นั้น มักจะย่อเปนกะเปาะยื่นออกมาห้องหนึ่ง ถลำเข้าไปข้างในสองห้อง มีแบลคอนีมากๆ ที่แบลคอนีปลูกต้นไม้กระถางบนพนักใช้ไม้สี รูปพรรณสัณฐานแลลวดลายหนาๆ หนักๆ อย่างเยอรมัน มีสระแลสวนรอบ ในหว่างเรือนทั้งปวงฤๅเปนสวนเปล่าบ้าง มีสระยาวขุดทำนองอย่างแม่น้ำ เลี้ยงเป็ดเลี้ยงห่านในสระ มีถนนรอบ ฟากถนนข้างในเปนวิลลามีสวนด้านน่า ลักษณสระเช่นนี้ คล้ายกันกับเมืองเดนมาร์ก โคเปนเฮเคนก็มีเหมือนกัน แต่สู้แฮมเบิคไม่ได้ ที่แฮมเบิคเขากว้างขวางจริง เพราะขุดช่วยแม่น้ำ เห็นจะเปนลักษณเมืองข้างเหนือเปนเช่นนี้ สิ่งที่ควรจะชมว่างามแท้นั้นคือต้นไม้ ถนนเหล่านี้เล่นต้นไม้ร่มครึ้มไปตลอดทั้งนั้น หลังโฮเตลขึ้นไปเปนป่าไม้ ไม้ใหญ่สูงๆ ปลูกชิดกันเปนหย่อมๆ ดูงามมาก ร้านตลาดขายของอยู่ในเมืองเก่า ที่ถนนคดเคี้ยวแลแคบนั้น ดูร้านรวงแน่นหนามาก แต่พ่อขับรถผ่านไปไม่ได้แวะร้านใดออกจะเชื่อๆ แลอยากจะดูเมืองให้ทั่ว วิลลามีมากแต่อยู่ข้างหนาๆ หนักๆ ทั้งนั้น วังปรินซเฮนรีใหญ่โต แต่รูปร่างเปนตึกสูงๆ ไม่มีอะไรงาม บ้านปรินซอาดัลเบิต[๑๙๖]ที่เคยเล่าว่าเอมเปอเรอจะทำให้นั้น ก็เปนวิลลาหลังใหญ่ๆ ตั้งอยู่ริมทเลทั้งสองวัง ไม่เปนที่งามจับใจแห่งหนึ่งแห่งใด ขับรถวนไปจนกระทั่งเข้าในป่า แล้วเวียนกลับออกมาน่าโฮเตล ได้แวะดูที่อาบน้ำ ที่อาบน้ำนี้ปลูกเปนเรือนแพปักเสาในน้ำ ฝากระดานกั้นเปนรเบียงรอบ ปันเปนส่วนผู้หญิงครึ่งหนึ่ง ผู้ชายครึ่งหนึ่ง ได้ไปดูแต่ส่วนข้างผู้ชาย รเบียงนั้นเปนที่สำหรับผลัดผ้าแคบๆ ที่ตรงกลางเปิดโถงกั้นคอกเปนสองคอก คอกในตื้นๆ สำหรับเด็ก คอกนอกลึกหน่อยสำหรับผู้ใหญ่ ดูก็เปนที่สำหรับคนว่ายน้ำไม่เปนทั้งสองคอก เพราะตื้นๆ มีฝาคั่น ด้านน่าออกไปคอกนอกอิกคอกหนึ่งน้ำลึกสำหรับคนว่ายน้ำเปน มีกระดานยื่นออกไปที่คอกสำหรับกระโดดน้ำ ที่น่าคอกนั้นสำหรับคนข้างเก่งน้ำเปิดลงอาบในทเลไม่ได้กั้นคอก แต่มีทุ่นทอดรายไว้สำหรับให้เกาะ มีกระดานสำหรับกระโดดจากเฉลียงหลายแห่ง ยังมีหอคอยสูงมีกระดานยื่นออกไปสำหรับให้กระโดดลงทเลเล่น แล้วแต่ใครจะกระโดดแต่ต่ำๆ ฤๅขึ้นไปกระโดดให้สูงก็ขึ้นไปกระโดดได้ ตามลำดับเปนสามชั้น หมดเรื่องที่อาบน้ำเพียงเท่านี้ ไม่เห็นมีใครมาอาบ เพราะปีนี้หนาวเต็มที เกือบจะไม่มีฤดูซัมเมอ วันนี้ตั้งแต่เช้ามาก็มืดคลุ้มมีแสงสว่างน้อย ลงปลายเมื่อเที่ยวรถก็มีฝนปรายๆ ลงมา ต้องทำไม่รู้ไม่เห็นดื้อไปดังนั้น ถ้าขืนทำรู้ว่าฝนตกเปนไม่ได้ไปข้างไหนกัน เวลาเที่ยงเศษกลับมาโฮเตล ได้รับหนังสือเมล์ อ่านหนังสือแล้วกินเข้ากลางวันในห้องนอก

เวลากินเข้าแล้ว แอดมิราลฟอล พริตต์ วิตสอุนด์ กาฟฟรอนซึ่งเปนผู้บังคับการที่นี่แต่งเต็มยศมาเยี่ยม เขาว่าเปนคนโปรดของเอมเปอเรอ ได้ให้เจ้าพระยาสุรวงศ์ไปเยี่ยมตอบ แล้วอ่านหนังสือต่อไป จนเวลาบ่าย ๔ โมง จึงได้ไปลงเรือพร้อมด้วยพวกไดเรกเตอของกรุป ไปดูโรงทำงานอู่ของเขา ได้เห็นเรือไอรอนแคลดกำลังติดเหล็กลำ ๑ ข้างในเปนไม้สักข้างนอกเปนเหล็กแล้วจึงขึ้นไปดูโรงงานบนบกซึ่งเปนที่ต่อเรือ ปลูกโรงโครงเหล็กหลังใหญ่ต่อในร่ม ถ้าจะเล่าเรื่องที่ไปดูงานนี้จะเปนเรื่องที่เล่าให้ถ้วนถี่ยาก แลถึงโดยจะเล่าก็คงจะออกแห้งๆ ไม่สนุกอันใด อยากจะรวมเล่าว่า การที่ทำทั้งปวงนั้น ใช้กำลังสามอย่าง คือกำลังไฟฟ้า ใช้ในบรรดาเครื่องที่จะต้องยกเคลื่อนขึ้นสูงไปวางที่ แทนรอกแทนกว้าน แผ่นเหล็กโตๆ เท่าฝาผนังก็ยกขึ้นลอยลิ่วไปได้ด้วยกำลังไฟฟ้า การที่จะใช้รอกคนหันกว้าน ฤๅใช้สติมแทนกว้านเปนไม่มี เลิกหมดไม่มีเสียงเฮโลเฮล่า ไม่มีเสียงสู้ส้า ไม่ต้องใช้คนมาก มีคนอยู่บนปั้นจั่น เมื่อเกี่ยวสิ่งของเข้ากับสายโซ่แล้วกดตุ่มไฟฟ้านิ้วเดียว ของเหล่านั้นก็เลื่อนขึ้นไป หันหมุนไปได้ทุกทิศทุกทางเหมือนอย่างของเบาๆ นี่เปนอย่างใหม่ที่ได้เห็นว่าใช้กำลังไฟฟ้ามากขึ้น ตัดแรงคนลงไปหมด ส่วนที่ยังใช้สติมอยู่นั้นคือเครื่องเจาะเหล็กดัดเหล็กที่หนาๆ เท่าฝ่ามือเปนต้น เจาะแลดัดเย็นๆ ไม่ต้องเข้าไฟ ส่วนที่ยังใช้กำลังคนอยู่นั้น คือตกแต่งเหล็กให้เกลี้ยงเกลา แลตั้งกระสวนปากเรือ เปาแล่นต่อเหล็ก การเป่าแล่นต่อเหล็กนี้ ต่อง่ายๆ เหมือนต่อตกั่ว คือมีลวดเหล็กถือมือหนึ่ง ถือหัวแร้งที่เปนไฟอย่างแรงพ่นฟู่มือหนึ่ง เอาจ่อเข้าไปที่ตรงไหนเหล็กก็แดงละลายที่ตรงนั้น เขาว่าสิ่งนี้เปนเครื่องมือของขโมยที่จะลักเปิดตู้เหล็ก ได้เอาไปใช้แล้ว รวมความว่าได้เห็นการที่ทำเหล่านี้หมดทั่วตลอดแล้ว จึงไปกินน้ำชาที่ที่พักไดเรกเตอ แล้วลงมาดูเรือดำน้ำสองลำเปนของรัสเซีย ยังไม่แล้ว ลำเล็ก แต่ราคาก็ถึงล้านม้ากเศษ มีเรือตอปิโดของเตอรกีสองลำ ลำละสองล้านห้าแสนม้าก

แล้วได้กลับลงเรือ ให้แล่นลงไปดูปากคลองกีล ที่ปากคลองฝั่งขวา มีรูปเอมเปอเรอวิลเลียมที่ ๑ เข้าไปจนกระทั่งถึงล้อคแล้วจึงได้กลับออกมา คลองนี้พ่อได้เคยผ่านไปแล้วเมื่อครั้งก่อน ขากลับจากเดนมาร์กจะไปอิงค์แลนด์ ทางสักสองร้อยกิโลเมเตอ เดี๋ยวนี้ว่าแคบไปเพราะเรือรบตะเบ็งใหญ่ขึ้นไปคับคลอง จะขุดให้กว้างอิกเท่าหนึ่ง คลองนี้ไม่เหมือนคลองสุเอส ไม่ใช่คลองค้าขาย เปนคลองที่สำหรับจะเอาเรือรบลงไปข้างทเลอังกฤษ ไม่ต้องให้ไปอ้อมแหลมยุตแลนด์ เรือค้าขายที่จะต้องเดินในคลองนี้ก็มีแต่ลือเบก ปริเมน แฮมเบ็ค สามเมืองกับเมล์เดนมาร์กอิกเมืองหนึ่ง ไม่คุ้มค่าขุดคลองแลค่ารักษา กลับขึ้นมาฝนตก ต้องมาขึ้นโฮเตลทั้งฝน

เวลาค่ำไดเรกเตอกรุปเชิญให้ไปกินเลี้ยงที่ยอชต์คลับ ซึ่งอยู่ติดกันกับโฮเตลนี้ ยอชต์คลับนี้เปนที่เอมเปอเรอแลปรินซเฮนรีเจ้านายเสด็จในเวลาแข่งเรือ เอมเปอเรอนั้นมีห้องอยู่ชั้นบนเปนที่ประทับทำเหมือนอย่างกับห้องในเรือ เอมเปรสก็มีห้องแต่งพระองค์ห้องหนึ่ง แต่ปรินซเฮนรีนั้นมาทุกวันพฤหัสบดี เปนหัวน่าในคลับนี้ การเลี้ยงดูแลนั่งสนทนากันเปนอย่างเยอรมันไปคลับเต็มที่บริบูรณ์ ดูก็สบายดีดอก นั่งซดเบียกันเรื่อยไปจน ๕ ทุ่มจึงได้กลับ

โฮเตลนี้ห้องหับสบายมาก ตู้ต่างอะไรใช้ติดฝาทำในตัวเสร็จอย่างอ้วนๆ หนักๆ ถ้าจะดูฝีมือเยอรมันในเมืองเรามีก็พระที่นั่งภาณุมาศ เปนอย่างเยอรมันแท้ แต่น่าต่างเขาดี มีกระจกสองชั้นแล้วมีมุลี่ การที่จะปล่อยมุลี่นั้นง่าย จะปล่อยให้ลงมาเปนช่องโปร่งๆ อย่างมุลี่ก็ได้ จะปิดให้ลงมาทึบเปนบานน่าต่างตันทีเดียวก็ได้ ด้วยเชิงหย่อนม่านนั้น

ในอ่าวนี้กว้างใหญ่ ที่จริงเปนอ่าวดีมาก แต่ไม่มีเรือค้าขายเลย เปนอ่าวสำหรับเรือรบอย่างเดียว เวลานี้เรือรบไม่อยู่โดยมาก อยู่สี่ห้าลำดูหลวมว่างเหลือหลาย อยู่ข้างจะหนาว ปรอดกลางแจ้ง ฟาเรนไฮต์ ๖๒ เซนติเกรต ๑๗

เรื่องกรุปนี้น่าจะเล่าสักนิดหนึ่ง คือพ่อของแฮรร์กรุปคนที่ตายเปนผู้เริ่มตั้งโรงทำปืนขึ้น ประมาณสักห้าสิบปีเศษมาแล้ว ตำบลที่ตั้งนั้นเรียกว่าเอสเซน บ้านอยู่ใกล้กันกับที่ทำงานเรียกว่าฮูกัล ครั้นเมื่อพ่อตายแล้วลูกชายได้ทำการต่อมา ขยายการงานใหญ่โตขึ้น เหล็กซึ่งจะใช้ก็หาซื้อบ่อแร่ทำเหล็กเอาเอง จ้างคนที่มีวิชาอย่างดีๆ คิดแลทำปืนบรรจุท้ายต่างๆ ภายหลังแผ่ออกไปจนกระทั่งถึงทำเรือรบสำหรับปืนนั้นด้วย อู่ที่ทำการนี้ตั้งที่กีล ซึ่งพ่อไปดูนี้ ทำทั้งเรือหลวงในเยอรมันแลเรือประเทศต่างๆ มีที่ทำการใหญ่ๆ เปน ๕ ตำบลด้วยกัน ได้จดบาญชีว่าเปนกัมปนี เพื่อจะให้อยู่ในกฎหมายกัมปนี แต่ไม่มีผู้อื่นถือแชร์ มีแต่กรุปถือแชร์คนเดียว เขาตั้งไดเรกเตอแต่ก่อนดูเหมือนมีแต่ ๕ เวลานี้มี ๑๐ คน เปนผู้บัญชาการทั่วไป เมื่อเวลากรุปยังอยู่พวกไดเรกเตอเหล่านี้เหมือนอย่างเสนาบดี มีน่าที่ต่างๆ เพราะกรุปเขาเปนหัวน่าอยู่ในนั้นเอง คนพวกไดเรกเตอเหล่านั้นเลือกเอาคนดีๆ เปนข้าราชการทั้งฝ่ายทหารพลเรือน นึกจะเลือกเอาใครก็เลือกเอามาได้ รองปลัดทูลฉลองฤๅสิเกรตารีทูตที่เสมอชั้นราชทูต ก็ให้ออกจากตำแหน่งมาทำการของกรุปได้เอมเปอเรอโปรดปรานมาก เสด็จไปมาที่บ้านนั้น เจ้านายต่างประเทศรู้จักแทบทั้งหมด มีข้าราชการต่างประเทศเปนคอมมิสชั่นมาดูการทำปืนทำอาวุธอยู่ประจำมากๆ ที่ตำบลเอสเซนนั้นเปนเมืองโตทีเดียว แต่ไม่มีคนอื่น พวกลูกจ้างของกรุปทั้งนั้น เลี้ยงกันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งโรงเรียน โรงพยาบาล โรงดับเพลิง เลี้ยงแม่ม่ายที่ผัวตายในเวลาทำงาน มีร้านขายของสารพัดทุกอย่าง พ่อได้เคยไปอยู่ที่ฮูเกลนั้นสองสามวันได้ดูงานทั่ว กรุปเปนคนอายุปีเดียวกันกับพ่อ ถึงว่ามั่งมีบริษัทบริวารมาก ก็เปนคนถ่อมตัว เอมเปอเรอจะตั้งให้เปนฟอนก็ไม่รับ มีอัธยาไศรยกว้างขวางอารีอารอบ ใครๆ ก็เปนที่รักที่นับถือไปทั้งนั้น แต่เปนหืดแลตายเสียเมื่ออายุย่างเข้า ๕๐ ฤๅหย่อน มีแต่ลูกผู้หญิงสองคน ไม่มีลูกผู้ชาย เมื่อตายแล้วเมียเปนแทนที่ แต่ไดเรกเตอทั้งปวงเขาแขง ทำงานดีเสมออยู่ จนลูกสาวคนใหญ่แต่งงานกับฟอนโบเลน แม่จึงได้ออกจากน่าที่ลูกเขยเปนแทน แต่ทรัพย์สมบัติตกอยู่แก่ลูกสาวคนใหญ่ทั้งสิ้น เมื่อเวลาฝังศพกรุป เอมเปอเรอเสด็จแลสร้างรูปหล่อไว้ที่น่าคลับนี้ด้วย เมื่อเวลาแต่งงานลูกสาวเอมเปอเรอก็เสด็จ การงานของเขาไม่ได้ลดถอยเดินไปข้างน่าอยู่เสมอ ในการที่พ่อมาอยู่โฮเตลนี้ได้ว่าเช่า แต่ครั้นเวลาใช้เงินไม่ยักบอกราคา เลยไม่เอา ด้วยอยากจะแผ่ไมตรีกว้างขวางให้เหมือนอย่างกรุปที่ตายนั้น

• • • • • • • • •

พระบรมรูปทรงรถที่กรุงเบอลิน

พระบรมรูปทรงรถที่กรุงเบอลิน

คืนที่ ๑๓๑

เมืองเบอลิน

วันอาทิตย์ที่ ๔ สิงหาคม

เวลาเช้ากินเข้าเช้าแล้วขึ้นรถ แตรทหารเรือที่เที่ยวเล่นมาแต่วานนี้ไม่มีเวลาหยุด ตั้งแต่แรกมาถึงจนกระทั่งเวลาไปดูงาน ก็เที่ยวบรรเลงเรื่อยอยู่จนกลางคืนเลี้ยงกัน แล้วยังซ้ำมาเป่าเช้าวันนี้อิก สเตชั่นรถไฟอยู่ฟากข้างโน้น ใกล้ที่อู่ของกรุป พวกไดเรกเตอทั้งปวงไปส่ง รถไฟออกจากกีล ๔ โมงเศษ ระยะทางที่มาวันนี้ตั้งแต่กีลมาถึงนอยมึนสเตอที่แผ่นดินออกจะไม่สู้ดี แต่เปนวันที่ได้เห็นแรกเกี่ยวเข้า แต่ไม่ใช่เข้าสาลี เรียกว่าไรเปนเข้าสำหรับที่ทำขนมปังดำๆ ได้เกี่ยวแล้วโดยมาก กับอิกอย่างหนึ่งเรียกว่าบักฮวีต เปนดอกขาวๆ ต้นเตี้ยๆ สำหรับคนจนกินต่างเข้า ไร่ผักอื่นๆ ก็มีน้อย ที่ซึ่งจะเพาะปลูกอะไรไม่ได้ ปลูกต้นสน แลมีทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์เช่นวัวแลแกะมาก เพราะเหตุที่ที่นั้นฝนตกเสมอๆ หญ้างาม ถัดนั้นมาถึงเมืองอัลตอนาเปนที่ตั้งรถไฟของรัฐบาล ไม่ช้าก็ถึงแฮมเบิค อัลตอนากับแฮมเบิคมีบ้านเรือนมาก เกือบจะติดกันแล้ว ตำบลอันตอนามีคน ๑๕๐๐๐ แฮมเบิค ๘๐๐๐๐๐ รวมทั้งสองตำบลคนจวนจะถึงล้าน ที่ไร่นาบริบูรณ์มากขึ้น แต่ไม่ใช่ดีตลอดทั่วไป บางแห่งเปนทรายต้องปลูกป่าไม้มาก มีเอสเตตของผู้มีเงิน เลี้ยงเนื้อแลเลี้ยงแกะสองสามแห่ง ที่แฮมเบิคมิสเตอลอตซกับเจ้าของสวนเอาดอกไม้มาให้ มีคเนชั่นเทือกกำมหยี่เก้าอย่าง อย่างขาวริมคลิบแดงเปนของเปนเอง แต่ขาวริมคลิบเขียว ได้ความว่าเขาเขียน เขียนด้วยน้ำยาซึ่งไม่ร้อน ที่จะทำให้กลีบดอกไม้เหี่ยว แต่น้ำยานั้นเขาปิดไม่ให้ใครรู้ งามเหมือนอย่างกับแพรริบิน จีบเปนดอกทั้งสองอย่าง วันนี้เข้าทางข้างหลังแฮมเบิค ช่างใหญ่โตเสียจริงๆ แดดจัดร้อนน่าเที่ยวเต็มที เราไปสองคราวช่างผเอิญถูกฝนทั้งสองคราว ในทเลสาบเรือใบแล่นออกขาวไป พ้นนั้นมามีอิกตำบลหนึ่งเรียกว่าวิตเตนแบรค

กินเข้าบนรถไฟ รถไฟสายนี้ตัวรถเปนอย่างใหม่ที่สุด การจัดรถกระจุกกระจิกมาก มีตู้เล็กตู้น้อยที่นั่งที่นอนสบาย มาถึงเบอลินเวลาบ่าย ๔ โมง นอกเมืองมีสวนที่สำหรับคนจนไปทำเช่นที่เดนมาร์ก แต่มากกว่ากันมาก เต็มไปทั้งนั้น ตั้งแต่สเตชั่นนี้มาพ่อไม่เคยเห็น มาแต่ก่อนก็ไม่ได้เคยไปถึง เพราะตรงไปอยู่ปอสดัม คนละทิศกันทีเดียว เข้ามาในเมืองจำได้ ๓ แห่งคือ เสาในเรื่องชนะศึก ไรสต๊ากที่ประชุมปาลิเมนต์ แลประตูไชย นอกนั้นมาจำได้หงิดๆ ที่ชานเซเลออยู่ แต่จะเอ่ยทักขึ้นมาเองก็ยังไม่ได้ ขึ้นรถตรงมาไกเซอฮอฟโฮเตลนี้.

วันนี้ไม่มีเรื่องอะไร เพราะเปนวันอาทิตย์ มาพบดุ๊ก ระพี เพ็ญ ดิลก ศิริวงศ์ เพ็ญดูยังผอมเขียวมาก ยังมีนักเรียนอิกหลายคนกับปอลเมอลิง กงสุลเยเนอราลเกฮีเนียส คอยรับอยู่ที่โฮเตล

เมื่อก่อนพ่อจะมาเบอลิน ได้โทรเลขสั่งให้หาหมอที่ดีดีมาตรวจอิกสักหนหนึ่ง เพราะจวนจะกลับแล้ว ควรจะตรวจให้รู้อาการที่ได้มารักษาตัวมีผลอย่างไร ฤๅจะยังควรรักษาอย่างไรต่อไปอิกบ้าง เมื่อก่อนออกจากยุโรปก็จะได้รักษาพาใจกันเสียให้ดี อย่าให้เสียทีที่มา เขาหาได้โปรเฟสเซอที่มีชื่อเสียงสำคัญสามคน กับผู้ชำนาญในการรักษาจมูกอิกคนหนึ่งมาตรวจ ได้ลงมือตรวจเวลาบ่าย ๕ โมง วิธีที่ตรวจนั้น ให้ถอดเสื้อหมด นอนบนที่นอน แล้วให้เล่าอาการตั้งแต่ต้นจนตลอด คือตั้งแต่เกิดมาเปนอย่างไร เคยเปนอะไรบ้าง เมื่อเล่าสำเร็จแล้วคราวนี้ตรวจ เปลี่ยนกันตรวจทีละคน วิธีตรวจดูก็ไม่เหมือนกันทีเดียว คนหนึ่งตรวจอย่างหนึ่ง คนหนึ่งตรวจอย่างหนึ่ง โปรเฟสเซอเกราซ์ใช้ฟังด้วยหู แลเคาะก็มาก เคาะอย่างแรง โปรเฟสเซอเกรลใช้เคาะเบา แต่เคาะทั่วไป เหมือนกับจะไม่ให้มีที่ว่างจากได้เคาะเลย ราวกับจะถอนสีมา วัดกะไปตลอดทั้งตัว โปรเฟสเซอฟอนนอรเดนตรวจด้วยวิธีเคาะแรง ตาหมอเหล่านี้ตรวจแต่ละคนละคนนานเต็มที วิธีลองโลหิตใช้รัดต้นแขนสูบ ไม่ใช้แทงโลหิตเลยทั้งสามคน ต่อนั้นไปถึงโปรเฟสเซอเมเยอ ซึ่งเปนสเปเชียลิสต์ในการจมูก การตรวจจมูกนี้เปนการใหญ่มาก เข้ามาตรวจพร้อมกับหมอ ๔ คนเสียครั้งหนึ่ง ที่ดูเหมือนๆ กัน คือลิ้นเปนต้น แล้วจึงไปเข้าห้องตรวจ ต้องยกเครื่องไฟฟ้ามาตั้งมีหลายอย่าง ส่องดูในจมูก ฉายด้วยริเฟลกเตอแล้วให้อมไฟฟ้า ให้สว่างแลเห็นช่องภายในว่าจะมีบาดแผลอย่างไรบ้าง แล้วเอาไฟฟ้าจดกระบอกตา ให้แลเห็นภายใน ผลของการตรวจอย่างไร จะได้เขียนฉบับหนึ่งต่างหาก จะลงในนี้ก็จะรุงรังมากไปไม่สนุก การทดลองแลปฤกษากัน จนเวลาดึกจึงได้แล้ว เมื่อกินเข้าแล้วจึงได้มาประชุมกันอิกครั้งหนึ่ง ตกลงเห็นว่ายังไม่ปรกติดี ขอให้งดการที่จะเที่ยวเตร่ต่อไปนั้นเสีย ให้เปลี่ยนไปรักษาตัวที่ฮอมเบิค ซึ่งเปนเมืองอาบน้ำเมืองหนึ่งเหมือนกัน อยู่ใกล้แฟรงก์เฟิต ทางรถไฟ ๒๐ มินิตเท่านั้น การที่จะดูแลรักษาอย่างไร มอบน่าที่ให้โปรเฟสเซอเกรลไปเปนผู้จัดการ แต่เรื่องรักษาจมูกนั้นจะได้ลงมือรักษาตั้งแต่พรุ่งนี้ไป โปรเฟสเซอเมเยอจะเปนผู้ทำ

การที่ต้องหยุดไม่ให้เดินทางต่อไปในเวลารักษานี้ เพราะเหตุที่จะต้องอาบน้ำคาโบนิกแอซิดอย่างหนึ่ง เพราะจะต้องใช้ยา ดิยิสเตลิสอย่าง ๑ ต้องการให้อยู่นิ่งๆ สัก ๗ วัน ต่อนั้นไปเที่ยวเตร่ได้ การห้ามปรามของแสลงไม่กวดขัน เหมือนโปรเฟสเซอไฟลเนอ ห้ามแต่เปนการจำเปนแท้ วันนี้ร้อนเต็มที วุ่นด้วยเรื่องหมอนี้เสียจนตลอดเวลานอนไม่ได้ไปข้างไหน

• • • • • • • • •

คืนที่ ๑๓๒

วันจันทร์ที่ ๕ สิงหาคม

เวลาเช้าพอกินเข้าเช้าแล้ว หมอมา แต่รอให้ช้าเสียหน่อยหนึ่ง เวลาเที่ยงได้ลงมือชำระจมูกแลพาดยา วิธีที่ทำไม่ได้ใช้แยงด้วยสำลีเช่นยอนหู มีเครื่องมือเหล็กสำหรับแยง พันด้วยสำลีเหมือนกัน ล้างครั้งหนึ่ง แยงครั้งหนึ่ง ลึกมาก แล้วล้วงทางปากขึ้นไปล้างแลพาดที่ช่องจมูกต่อกับปาก อยู่ข้างจะไม่สู้สนุก แต่ไม่ช้าประเดี๋ยวเดียวก็แล้ว แล้วขึ้นรถไปเที่ยว ไปที่วัดใหม่น่าวัง พ่อได้เคยไปครั้งก่อนแต่ยังไม่แล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้แล้วเสร็จเปนโดมใหญ่ มีเครื่องประดับประดามาก เครื่องประดับทั้งปวงดูเปนอย่างใหม่ๆ มีมุขที่ทำเปนที่ฝังศพผู้มีชื่อเสียง แต่ศพนั้นไม่ได้ฝังจริงๆ ไม่สู้จะโตมากนัก เพราะวัดเก่าๆ เขาทำไว้ใหญ่โตเสียมาก เปนแต่เครื่องประดับประดาเพียบ จะสู้ของเก่าแต่ด้วยกระบวนประดับประดา ออกจากนั้นแวะห้างกล้องเมียช่อม ไม่สู้มีอะไรน่าซื้อ เขาไปคลั่งเล่นกล้องอำพันกันเสียมาก อยู่ประเดี๋ยวเดียว ไปที่ร้านคิวริโอซิตี้คล้ายกับร้านตาแก่ที่บาเดนบาเดน เจ้าของร้านเปนคนสนุกคล้ายกัน แล้วกลับมากินเข้ากลางวัน

เวลาบ่ายไปขึ้นรถไฟ ไปสวนเลี้ยงสัตว์ รถไฟสายนี้ไปในใต้ดินบ้าง ไปบนพื้นราบๆ บ้าง ไปบนสพานเหล็กสูงๆ บ้าง ที่เดินเช่นนี้เพราะเหตุว่า ถ้าจะไปบนดินได้ก็ไปบนดิน ถ้าไปไม่ได้ด้วยเหตุที่จะทำให้เสียงามของถนนนั้นเสีย ก็มุดลงใต้ดินไป ถ้าเปนหนทางที่จอแจก็ตั้งเสาเปนสพานพาดรางไปบนหลังถนน เดินขึ้นๆ ลงๆ สูงๆ ต่ำๆ ต่างๆ ถ้าเวลาลงใต้ดินไฟฟ้าก็ติดเอง เวลาขึ้นข้างบนไฟฟ้าก็ดับเอง ที่ไฟติดแลดับได้เช่นนี้ เพราะเขาทำลวดไฟฟ้าให้สูงแลต่ำ ถ้าสูงขึ้นมาจนลวดกระทบกันก็ไฟติด ถ้าต่ำลงไปไฟฟ้าก็ดับ สเตชั่นที่ไปเปนสเตชั่นใต้ดิน เวลาไปถึงก็ถึงใต้ดินเหมือนกัน

ที่สวนเลี้ยงสัตว์นี้แต่ก่อนเปนของรัฐบาลตั้งแต่ร่วงโรยจึงต้องปล่อยให้กัมปนีจัดการ กัมปนีไปทำเปนเรสเตอรองต์ขึ้น อย่างเดียวกับที่แฟรงก์เฟิต คนจึงได้ติดมาก มีที่ก่อสร้างเปนอย่างจีนอย่างยี่ปุ่นแลอียิปต์ ฮินดูต่างๆ เปนหย่อมๆ สัตว์นั้นก็ไม่ประหลาดอะไรตามเคย เห็นจะไม่ดีกว่าแฟรงก์เฟิต มีกั้นคอกเปนกลีบๆ ทำนองอย่างเชินบรูนที่เมืองออสเตรีย แต่เลวกว่าเชินบรูน มีแปลกอยู่แต่เอานก ไม่ใช่นกตู๊ก ไม่ใช่นกเค้าแมว แต่ลักษณเดียวกัน ปากช่างกว้างเสียจริงๆ จนแลดูเปนสามเหลี่ยม อุ้มมาได้ในมือ แล้วพกหนูตัวเล็กๆ มาในกระเป๋าเอามายัดใส่ปากจะให้กลืน เหตุใดจึงไม่กลืนก็ไม่ทราบ หนูพลัดตกลงมาที่พื้นสองครั้งสามครั้ง ลงปลายกิน แต่อ้ายหนูยังจุกอยู่ที่คอ ลิ้นมันแขงรูปเปนใบเข้า เรียกนกอะไรก็ไม่รู้ ออกเกลียดๆ เลยไม่ได้ถามชื่อ กับยังมีลิงอย่างที่เรียกว่าชิมปันสี ไม่ใช่ออรังอุตัน แต่ลักษณเดียวกัน คนจูงมาได้ ร้องโฮ่โฮ่ สูงสักค่าปั้นเอวคน เดินสองตีนเหมือนอย่างคน นอกนั้นก็มีเด็กๆ ขี่อูฐตามเคย ดูทั่วแล้วหยุดกินน้ำชา ร้อนเต็มที ปรอดหย่อน ๘๐ สักนิดเดียว เหตุด้วยแต่งตัวหนาจึงได้รู้สึกร้อนมากถึงเหื่อออก คนไปเที่ยวก็มากอยู่ แต่ยังน้อยกว่าวันไปสวนสัตว์แฟรงก์เฟิต

เรื่องเมืองเบอลินนี้ การที่จะเล่าว่าเปนอย่างไรพ่ออยากจะขอผัดไปอีก ให้ได้ดูเสียให้ทั่วสักที เพราะเมื่อมาคราวก่อนไม่เคยเที่ยว แต่จะบอกโดยย่อได้ว่า ถ้าจะเปรียบด้วยวิธีตั้งโต๊ะ[๑๙๗] เมืองปารีส เหมือนโต๊ะหลวง เมืองลอนดอนเหมือนโต๊ะกรมหลวงนเรศร์ เมืองเบอลินเหมือนโต๊ะท่านเล็ก ขากลับมารถตามธรรมดา ได้แวะที่ร้านขายเครื่องหอม ซื้อเครื่องหอมต่างๆ แล้วจึงกลับมาที่โฮเตล ดอกไม้มีมาก กำลังเปนเวลาดอกรักเร่ อย่างหนึ่งสีเหมือนกลีบบัวหลวงตบิดเหมือนอย่างจะทำแขนตุ๊กตา ดอกบัวทุกๆ กลีบที่โต๊ะกินเข้าจัดเต็มทั้งโต๊ะ ดอกกุหลาบมีต่างๆ มาก แต่ไม่โตอย่างอิตาลี น่าสงไสยว่าบางทีจะมาจากอิตาลีบ้างก็จะมี ดุ๊กไปได้เครื่องลายครามมาอิกมาก ตั้งในโฮเตลออกครืดไป เห็นเข้าตกใจว่าทำไมที่นี่ถึงได้มีเครื่องลายครามมาก ล้วนแต่เก่งๆ แป๊ะเต๋งก็มีขาวก็มี ไม่ได้การ เครื่องลายครามมาเมืองฝรั่งเสียมากแล้ว ซ้ำไม่มีใครรู้จักดีรู้จักชั่วด้วย ที่ดุ๊กซื้อนั้นไปซื้อเลหลัง ได้ประมาณสักสามร้อยชิ้น ข้อที่เมเปอลขายราคาถูกนั้น ทีก็จะไปรับเลหลังมาอย่างดุ๊กนั่นเอง มาเที่ยวยุโรปคราวนี้ดีกว่าจิระไปเมืองจีน เครื่องลายครามมากกว่าจิระเปนแน่ ขอให้อวดกรมดำรงให้ด้วย ชิ้นเชี่ยงฮ้อของเราถูก “มี” ก็หลายชิ้น อยู่ข้างเจ็บแสบมาก

• • • • • • • • •

คืนที่ ๑๓๓

วันอังคารที่ ๖ สิงหาคม

เวลากินเข้าเช้าแล้ว หมอตามาตรวจ เอาตัวออกไปตรวจกลางแจ้งก่อน ให้ใส่แว่นตา แต่เอาลิ้นทองเหลืองปิดเสียทีละข้าง ให้อ่านตัวเลข ตกลงมันก็ไม่ผิดอะไรกันมากทั้งสองข้าง ลงปลายได้ความว่า ในการอ่านหนังสือจำจะต้องใส่แว่นตา สบายกว่าไม่ใส่ แต่ยังไม่ได้ตรวจในที่มืด เพราะเวลาไม่พอ หมอจมูกรักษาจมูกเสียก่อน

เวลา ๔ โมง ไปขึ้นรถไฟทางที่มานั้นเอง ไปตำบลเนาเอน ซึ่งเปนที่ตั้งเสาโทรเลขไม่มีสาย อยู่นอกเมืองเบอลิน เมื่อผ่านมาก็แลเห็นระยะทาง ๔๕ มินิต ไม่มีสเตชั่นในที่นั้น เขาจัดรถโมเตอคาร์มารับหลายหลัง ไดเรกเตอบาชมันน์เปนผู้รับรอง กับเคานต์อาร์โก ซึ่งเปนผู้คิด เปนผู้สันทัดในเรื่องไฟฟ้า แลผู้อื่นๆ อิกหลายคนในพวกกัมปนีนั้น การที่ต้องออกไปตั้งนอกเมือง เพราะเหตุที่ต้องใช้ที่กว้างกลางทุ่งไม่มีอะไรกีด ลงจากรถไฟแล้ว ไปโมเตอคาร์ตามถนน จนถึงที่น่าเสาสูง ต้องไปในท้องทุ่งซึ่งไม่มีถนน แล่นดื้อๆ ไปอิก จนถึงที่เสานั้น มีโรงหลังหนึ่งสองชั้น ชั้นล่างเปนที่ตั้งเครื่องที่จะใช้โทรเลข ชั้นบนเปนที่ตั้งแบตเตอรี่ไฟฟ้า มีกระบอกแก้วสูงประมาณสองศอกเศษมาก มีลวดขดแบตเตอรี่ใหญ่ๆ ๔ เครื่องจักรสำหรับหมุนแบตเตอรี่ เปนโรงติดอยู่กับโรงสองชั้นนั้น เปนเครื่องจักรแปดสิบแรงม้า เวลาเปิดให้ไฟฟ้าเดินเสียงดังเปรียะลั่นสดุ้งได้ สายไฟโต ไดเรกเตอบาชมันน์ เลกเชอเทศนาในวิธีที่ใช้เครื่องโทรเลขไม่มีสาย จบแล้วจึงกลับลงมาลองบอกไปหัวเมืองข้างฝ่ายตวันตกเฉียงใต้ รับแลตอบกันแล้วจึงได้ไปดูที่เสา เสานั้นทำเปนโครงเหล็ก รูปสามเหลี่ยมเหมือนตะใบ แต่ก้านที่ปักลงดินนั้นเปนก้านเดียวเหมือนตะใบ ปักลงในด้าม ฐานเปนศิลา มีระยางใหญ่สายเหล็กสามระยาง แล้วขึงลวดจากเสานั้นออกไปเหมือนร่ม รูปเปนกระโจม มีสายที่ทแยงออกไปจากเสาอิก เขาก็เรียกว่าร่ม ด้วยรูปมันเหมือนร่ม ที่ขึงสายลวดออกไปเช่นนั้น แลมีสายลวดออกไปจากเสา ติดกับสายที่ขึงเปนร่มนั้น เพื่อจะไม่ให้เคอรันต์คือสายไฟฟ้าเดินแพร่ไป

อันเรื่องโทรเลขไม่มีสายนี้ เปนข้อที่วิวาทถุ้มเถียงกันอยู่มากในระหว่างผู้คิด ซึ่งเปนชาวอิตาเลียนคนหนึ่ง ชื่อมาโคนี แลเคานต์อาร์โกคนหนึ่ง ซึ่งเปนเยอรมัน ฝ่ายเยอรมันกล่าวว่า ในเรื่องที่คิดเห็นว่าสายของไฟฟ้าเดินได้ในอากาศไม่ต้องมีสายลวดนั้น เปนความคิดของโปรเฟสเซอแมกสเวลคนอังกฤษ แต่โปรเฟสเซอฮารซ คนเยอรมันเปนคนที่คิดว่าจะใช้พูดกันได้ โปรเฟสเซอฮารซตายเสียเร็ว มาโคนีซึ่งเปนคนหนุ่มที่โปรเฟสเซอฮารซใช้อยู่รู้ความคิดอันนั้น จึงไปอเมริกาแลไปคิดเรื่องโทรเลขไม่มีสายนี้ขึ้น ฝ่ายเคานต์อาร์โกเยอรมันก็คิดอยู่ทางหนึ่ง แต่มาโคนีสำเร็จ ได้ทดลอง อังกฤษรับใช้จนกระทั่งถึงอเมริกา แลฝรั่งเศสรับใช้ เปนอันโทรเลขอย่างมาโคนีเกิดขึ้น ใช้แพร่หลายอยู่แถบทางนั้น ข้างฝ่ายเคานต์อาร์โก คิดอยู่ทางหนึ่งข้างเยอรมัน ก็มีที่ใช้ฝ่ายหนึ่ง แต่กัมปนีทั้งสองกัมปนีนั้นลอยกัน ข้างมาโคนีไม่ยอมรับโทรเลขอย่างอาร์โก ว่าไม่เข้าใจ แต่ข้างฝ่ายอาร์โกบอกว่า ข้อซึ่งผิดกันในระหว่างโทรเลขอย่างมาโคนีกับของเขา ผิดกันเพียงเกลียวไฟฟ้ายาวแลสั้น ซึ่งเขาจับได้แล้ว โทรเลขทั้งสองชนิดนี้ควรจะใช้ด้วยกันได้ เพราะเหตุอันนี้ จึงต้องให้เกิดประชุมคอนเฟอเรนซ์นานาประเทศที่จะนัดสัญญากันเปิดสเตชั่นใช้โทรเลขไม่มีสายใช้ให้ถึงกันได้ แต่มาโคนีไม่ยอม อังกฤษซึ่งเปนผู้ลงเงินทองทำอย่างมาโคนีขึ้นไว้มาก จึงต้องไม่ยอมใช้ด้วย ในการที่มาโคนีแกล้งบิดเบือนเพื่อจะไม่รับโทรเลขข้างฝ่ายอาร์โกนั้นยังมีเรื่องต่อไปอิก คือเรือลูกค้าชาวเยอรมันไปอับปางใกล้ฝั่งอเมริกา ได้ส่งโทรเลขไม่มีสายไปที่สเตชั่นมาโคนี กัมปนีมาโคนีแกล้งทำไม่เข้าใจเพิกเฉยเสียจนเรือนั้นอับปาง รัฐบาลอเมริกันได้ตั้งข้าหลวงตรวจสอบ ได้ความชัดเจนจึงได้เลิกไม่ใช้โทรเลขมาโคนี ข้อความทั้งนี้เปนฝักฝ่ายข้างพวกเยอรมันเขากล่าว

แต่ในข้อซึ่งจะเข้าใจว่าโทรเลขไม่มีสายเปนอย่างไรนั้น ยากที่จะอธิบาย ด้วยหนังสือไม่มีรูปเขียน แต่ถ้าจะว่าโดยย่อพอเปนเค้าลองดูเห็นจะพอเข้าใจได้บ้างกระมัง ตั้งต้นคือแสงอย่างเช่นแสงพระอาทิตย์กับสายคือเคอรันต์ของไฟฟ้า เปนอย่างเดียวกัน ถ้าหากว่าแสงพระอาทิตย์ก็ดี ไฟฟ้าก็ดี ไม่กระทบอีเท่อ ก็ไม่มีปรากฎ อีเท่อนั้นเปนปรมาณูอันหนึ่ง ซึ่งอยู่ในลมอากาศที่ไม่อาจจะชั่งได้ ส่วนลมอากาศอาจจะชั่งได้ เช่นลมแกสเบากว่าลมสามัญ เมื่อเป่าเข้าไว้ในลูกบาลูนก็อาจที่จะลอยขึ้นไปได้บนลม เพราะเหตุที่เบากว่าลมเช่นนี้เปนต้น ส่วนอีเท่อนั้นชั่งไม่ได้ แต่รู้ได้ว่าอีเท่อนั้นมีอยู่ เมื่อแสงพระอาทิตย์มากระทบอีเท่อก็ทำให้แสงสว่างได้ ฉันใดไฟฟ้าไปกระทบอีเท่อ ก็ทำให้เกิดแสงสว่างปลาบๆ สายไฟฟ้านั้น เมื่อตัวผู้กับตัวเมียกระทบกันทำให้เสียงลั่นเปรียะๆ แต่ถ้าหากว่าจะตั้งเสาขึ้นไว้สองเสา เปิดให้เคอรันต์เดินไปหากัน จะเดินพร่าไปหมดออกโดยรอบเปนวงกลม เปรียบเหมือนเอาก้อนศิลาโยนลงไปในน้ำ น้ำก็กระเซนรอบไป ไม่สำเร็จกิจในการที่จะบอกข่าวคราวอันใดกันได้ ข้อซึ่งไปรู้ว่าจะใช้ได้นั้น คือมีหลอดแก้วอันหนึ่ง เอาโลหะที่กรางเลอียดเล็กๆ เหล็กฤๅทองใช้ได้หมด บรรจุเข้าในกลักแก้วนั้น เอาเข้าไว้ในระหว่างกลางแบตเตอรี่ไฟฟ้าต่อกันทั้งสองข้าง ไฟฟ้านั้นจะไม่เดิน เพราะไม่ผ่านอีเท่อ เพราะเหตุที่รู้ทางที่จะกันไฟฟ้าไม่ให้เดินได้เช่นนี้ จึงเอาสายขึ้นไปล่อไว้ที่เสาสองต้น ไม่โยงลวดให้ถึงกัน แล้วใช้แรงไฟฟ้าให้ขึ้นไปที่ปลายลวดนั้น ไฟฟ้าที่ปลายลวดนั้นเดินผ่านอีเท่อโดยเร็วที่สุด ไปกระทบลวดอิกข้างหนึ่ง แล้วลงในกระบอกแก้วซึ่งกรอกโลหะไว้นั้น ไปลงในเครื่อง ไฟฟ้าที่จะเดินไปลงในกระบอกแก้วนั้น ได้แต่เฉภาะที่ผ่านอีเท่อ ถ้าไม่ได้ผ่านอีเท่อก็ไม่เดินในกระบอกแก้วนั้นได้เช่นกล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะเหตุฉนั้นจึงกันเสียงไม่ให้พร่าไปอื่นได้ ไฟฟ้าที่ผ่านโดยอีเท่อแล้วก็ไปลงในกระบอกแก้วนั้นไปลงเครื่องทีเดียว เพราะเหตุฉนั้น เมื่อเปิดไฟฟ้าให้เดินเปนระยะยาวแลสั้นตามวิธีบอกโทรเลข ก็เปนอันกำหนดได้ด้วยเสียง แลมีเครื่องให้เขียนได้เหมือนอย่างโทรเลขที่เดินด้วยสายลวด ข้อซึ่งใช้ลัทธิแปลกกันต่างๆ ไปนั้นต่างด้วยเกลียวไฟ คือธรรมดาไฟฟ้าที่เดินไปไม่เดินตรง ต้องคดเปนเกลียวเรียกว่าฉวัดเฉวียน แตกเปนสองเส้นแล้วรวมกันเปนเส้นเดียว บางลัทธิใช้เปลวยาวไปรวมกันห่างหน่อย บางลัทธิใช้เปลวสั้นไปรวมกันเร็วหน่อย ในการที่ระยะไม่เท่ากันนี้ทำให้ผิดต่างกันเปนคนละลัทธิที่ว่าเข้าใจกันไม่ได้ แต่ข้างฝ่ายเยอรมันเขายืนว่าเข้าใจได้ โดยลองหันเขมในเครื่อง จับดูให้พอรู้ว่าใช้เคอรันต์ยาวฤๅเคอรันต์สั้นเพียงเท่าไร ถ้ารู้แล้วก็เปนอันใช้กันได้ ช้อที่ว่าไม่รู้นั้นไม่จริง รวบรวมใจความว่า ข้อที่โต้เถียงกันอยู่ทั้งนี้ก็เรื่องแย่งกันหากิน ที่จะได้รับเหมาทำการ เขามีแผนที่ปักธงลงไว้บอกว่ากัมปนีนี้ได้ทำแห่งใดแห่งใดบ้าง แลคิดจะขยายการต่อไปอิก ที่ห้างบีกริมเอาเข้าไปลองที่เกาะสีชังแลบางกอกก็ไปจากกัมปนีนี้ แลกัมปนีนี้ก็ยังอยากจะได้ทำการให้สำเร็จอยู่นั้น โดยว่าเดี๋ยวนี้ได้ทำดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก การที่เล่าเรื่องนี้พ่อไม่สู้สันทัดที่จะชี้แจงให้เลอียดได้ ทั้งไม่ได้เขียนรูป เล่าแต่พอให้เข้าใจเปนเค้าตามที่พ่อเข้าใจ ถ้าพูดเห็นจะอธิบายได้อิกบ้าง

คราวนี้พอดูเครื่องใหญ่นี้สำเร็จแล้ว ออกไปดูเครื่องที่สำหรับบรรทุกหลังม้าไปใช้ในการศึก ต้องออกไปตั้งในกลางทุ่งห่างจากกระโจมร่มใหญ่นั้น ท้องทุ่งยังแฉะอยู่ เพราะฝนตกมา ๔ วิก พึ่งจะหยุดเมื่อวันพ่อมาถึง เอมเปอเรอเสด็จมาทอดพระเนตรเมื่อเร็วๆ นี้ต้องลุยน้ำ ม้า ๔ ตัวนั้นถึงของบรรทุกอยู่บนนั้นหมด เขาจ้างนายร้อยโทคนหนึ่งมาเปนผู้ดูการ เมื่อไปถึงที่นั้นแล้วเปลื้องเครื่องลงจากหลังม้า จูงม้าไปไว้เสียให้ห่าง แล้วลงมือตั้งเสา เสานั้นทำด้วยอาลูมินัมเปนท่อนๆ มีปลอกสวม มีสายลวดโยงเปนร่มเหมือนกันกับเสาใหญ่ กว่าจะเอาขึ้นไปได้ประดักประเดิดมิใช่เล่น สูงประมาณสักสามวาเศษเกือบ ๔ วา ไม่ได้ปักดิน ใช้แผ่นศิลามีอินสุเลเตอรอง ตั้งบนดิน ในระหว่างที่คุมเสาอยู่นั้น อีกพวกหนึ่งคุมรถไบสิเกอล มีไดนาโมอันเล็กๆ ตั้งอยู่ข้างน่าเครื่องลงในหีบหนังเล็กๆ สองใบ ล่ามสายลวดติดกับไดนาโม ใช้คนถีบรถไบสิเกอลนั้นเปนแรงให้เกิดไฟฟ้า ใช้ได้เหมือนอย่างกับสายใหญ่ แต่ระยะแคบเข้าเพียง ๒๐ กิโลเมเตอ

เมื่อดูเครื่องหลังม้านี้แล้วไปดูเครื่องที่ตั้งอยู่ในล้อรถซึ่งอยู่ระยะห่างกันต่อไปอิก รถนั้นเปนสองหลังต่อกันเหมือนอย่างปืนใหญ่ เสาใช้สูงกว่าหน่อย แรงที่ให้เกิดไฟฟ้าใช้เครื่องรถโมเตอคาร์ วิธีลักษณบอกเล่าก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้มีวิเศษออกไปที่ใช้เปนโทรศัพท์ได้ ฟังเสียงคนพูดได้ยิน แลเสียงหีบเพลงได้ยิน แต่ยังเบาเต็มที เขาว่าเปนเวลายังเปนเด็กอ่อนอยู่ ต่อไปคงจะดีขึ้น พ่อก็เชื่อ

เมื่อดูเสร็จหมดแล้วกลับมาเลี้ยงที่โรงโทรเลขใหญ่นั้น เสียแต่ไม่มีน้ำกิน ร้อนจนเหื่อไหล มีแต่แชมเปนแลแชรีเลี้ยง กับของกินต่างๆ เจ้าของที่แผ่นดินทุ่งนี้ ได้มาหาทั้งครัวเรือน มีลูกชายคนหนึ่งลูกหญิง ๓ คน กับเมียมีดอกไม้มาให้ด้วย กลับจากนั้นมาขึ้นรถไฟ มาถึงในเบอลินเวลาบ่ายโมงเศษล่าไปหน่อย

กินเข้ากลางวันแล้ว แฮรฟอนเติซกิอุนด์โบเคนดอฟ เสนาบดีว่าการต่างประเทศมาหา เปนคนมีอัธยาไศรยดีมาก ท่านผู้นี้เปนผู้ที่ได้ช่วยจัดในการเรือซักเซน แลว่าจะได้ไปพบกันอิกที่วิลเลียมสเฮอนั้นด้วย

เวลาบ่ายไปที่เอกสหิบิเชน เอกสหิบิเชนนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นใหม่ เปนของประจำเมือง ที่แท้ก็ลักษณเดียวกันกับสะลองที่เมืองฝรั่งเศส แต่ของมีมากไปกว่ารูปภาพรูปปั้น จนถึงเต็มห้อง มีเฟอนิเชอตกแต่งไปเข้ารูปที่แฮมเบิคอยู่บ้าง เขาจึงเรียกกันว่าเอกสหิบิเชน โรงที่ตั้งเอกสหิบิเชนนั้นงาม มีรูปเขียนภายในโดมเปนรูปตั้งจริง แต่เล็กกว่าที่ปารีสมาก รูปตุ๊กตาใหญ่ๆ ก็ไม่ใคร่มี มีตุ๊กตาบรอนซ์อยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งดุ๊กรักว่างามมาก รูปภาพในนั้นจะเอาดียาก ด้วยกำลังตื่นรูปอย่างใหม่จัดเต็มที รูปมากหลายร้อยตั้งพัน พ่อเห็นมีดีอยู่แผ่นเดียว นอกนั้นก็เหยอะมากฤๅเหยอะน้อย เดินผ่านๆ ก็แล้ว แต่เพราะเหตุที่รูปมากต้องเดินมากพอเมื่อยอยู่ ขากลับแวะร้านเครื่องบรอนซ์ ซื้อของบ้างแล้วกลับมาโฮเตล

วันนี้ทูตมีการเลี้ยงที่ลิเคชั่น มีนักเรียนไทยแลคนที่เคยอยู่เมืองไทย คือ มิสเตอเคิตซผู้แทนเจ้ากรมรถไฟแต่ก่อน แฮรโคล้กแลพวกพ่อค้า ที่ลิเคชั่นใหม่นี้ไม่โตกว่าเก่าเท่าใด แต่ท่วงทีดีกว่าเสียอยู่ที่ขนาบคาบเกี่ยวกับคนอื่น ชั้นล่างเปนของคนอื่นเสียถึงสองชั้น ลิเคชั่นขึ้นไปอยู่ชั้นที่ ๓ แล้วขึ้นไปถึงชั้นที่ ๔ มีคนอื่นคั่นเสียทีหนึ่ง ชั้นที่ ๕ เปนลิเคชั่นอิก นักเรียนที่นี่เปนนักเรียนทหารเปนพื้น มีตาเตี้ย[๑๙๘]ยังเก่งอยู่เหมือนอย่างแต่ก่อน ลูกกรมดำรง[๑๙๙]ดูหงิมๆ นักเรียนทหารที่หลักแหลมมาก นายจำรัสลูกหลวงนายฤทธิ์ พุด วันนี้ร้อนเต็มทีที่ลิเคชั่นจนต้องเปิดน่าต่าง

พ่อรู้สึกไม่ใคร่จะสบาย เรื่องกินเข้าไม่ได้ อาหารในโฮเตลนี้มันชอบกล กินไม่อร่อยเลย จะว่าเลวก็ไม่ใช่ ดูเขาก็บรรจงที่จะทำให้ดี แต่มันจืดๆ เลี่ยนๆ ปร่าๆ ถูกกินไม่ได้เข้าหลายเวลา ท้องออกจะไม่สู้สบาย นอนไม่ใคร่หลับ เรื่องโฮเตลสำคัญอยู่ที่ครัวเปนอันมาก ถ้าหากว่าครัวดี ถึงคนอยู่ที่อื่นก็มากินได้ ถ้าครัวไม่ดี คนอยู่ในโฮเตลก็ออกไปกินเสียที่อื่น โฮเตลนี้ได้เคยถูกร่วงโรยมาหลายครั้ง แต่ที่จริง ที่อยู่ห้องหับสบายมาก ทั้งที่นั่งที่เล่นก็กว้างขวาง แต่น่าโฮเตลเวลานี้กำลังทำรถไฟใต้ดินกั้นคอกไว้ อยู่ข้างจะเกะกะ ลืมไป วันนี้ได้ตัดผมด้วย เพราะไม่ได้ตัดนานมาแล้ว

• • • • • • • • •

คืนที่ ๑๓๔

วันพุฒที่ ๗ สิงหาคม

เวลาเช้าหมอตามาตรวจตาอิก แต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากอ่านหนังสือควรจะสวมแว่น แว่นที่สวมอยู่ คือแว่นพระยาสามภพ[๒๐๐] แรงไปกว่าไนยตา เขาว่าไม่ดี มักพาให้ตาเสีย จึงจะหามาให้ใหม่ โปรเฟสเซอไมเยอ รับจะไปด้วย จนถึงฮอมเบิค แล้วจึงจะมอบให้หมอนอรเดน ซึ่งเปนน้องโปรเฟสเซอฟอนนอรเดน เปนหมอประจำอยู่ที่เมืองฮอมเบิคทำการต่อไป

แล้วไปที่ห้าง เคาฟเฮาส เดลเวสเตนส์ ห้างนี้เปนห้างใหญ่โตมาก ขายของสารพัดทุกอย่างไม่เลือกว่าอะไร ตั้งเปนหมวดๆ ไป ร้านนั้นอยู่มุมที่ทางสามแพร่ง ตลอดตั้งแต่พื้นดินถึงพื้นชั้นบนหลายสิบห้อง มีลิฟต์ถึง ๒๘ ลิฟต์ มีสิ่งของที่ขายอยู่ในร้านเปนราคาถึงห้าล้านม้าก คนที่ขายของทั้งผู้หญิงผู้ชายเด็กผู้ใหญ่ถึงสองพันคน จะซื้อสิ่งใดเปนแต่ไปชี้ว่าให้เอาสิ่งนั้นสิ่งนั้นไปเลือก แล้วเขาก็เอาไปที่ห้องสำหรับเลือก ถ้าจะไปมัวซื้ออยู่แต่แห่งเดียวจะไม่ได้เห็นอะไร ต้องใช้เดินประเมินเสียก่อน แต่ชั่วค่าเดินประเมินไม่สู้ทั่วถึงทีเดียว กินเวลาถึงสองชั่วโมง พอถึงเวลากินเข้าได้ตระเตรียมจะกินเข้าที่นั่นด้วยทีเดียว เขาจัดห้องซึ่งมีไว้เฉพาะสำหรับเจ้านายไปเสวย ร้านนี้เปนร้านที่เอมเปอเรอเสด็จ เพราะถนนสายนั้นเปนถนนราชดำเนิน ซึ่งเอมเปอเรอเดินไปมาอยู่เสมอ อาหารดีมาก ชั่วแต่กินเข้าแลเลือกของเล็กน้อยเท่านั้นหมดเวลา ของที่สั่งไว้ให้ยกขึ้นมาให้ดูยังดูไม่ทั่ว ถึงเวลาที่จะไปดูโรงพยาบาล จึงต้องไป

โรงพยาบาลนี้ ตั้งอยู่ในแถบข้างเมืองที่ขยายออกไปใหม่ เรียกว่า วิรโช ฮอสปิตล เปนโรงพยาบาลสำหรับคนจน ชั้นที่ ๓ เสมอกันหมด ตั้งอยู่ในที่แผ่นดินกว้างยาวถึง ๒๐๐ เฮกตา ด้านน่ามีตึกสามชั้นสูงใหญ่เปนอย่างที่เราเรียกว่าแพทยาลัยสำหรับหมอที่ประจำน่าที่อยู่เปนห้องๆ ในพื้นที่นั้นกลางเปนสนามหญ้า ปลูกต้นไม้สองข้างข้างละสองแถว มีทางคนเดินใต้ร่มไม้ แลมีทางรถเดินได้รอบ เปนตึกสามขา สูงสามชั้นสี่ชั้น รายรอบ มีหอสูงซึ่งเปนที่สูบน้ำจากบ่อใช้ในโรงพยาบาลนั้น แถวในที่ต่อกับถนนรอบสนามหญ้ามีตึกที่เรียกว่า วาร์ด รายรอบในอิกชั้นหนึ่ง ในที่นั้นปันเปนสองส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับผู้หญิง ส่วนหนึ่งสำหรับผู้ชาย ได้เข้าดูในวาร์ดต้นซึ่งไม่มีคนอยู่ เปนสองหลังต่อกัน มีทางเดินเชื่อมกลาง บรรดาผนังในนั้น ทำไม่ให้มีมุม ให้มนเสียหมด เพื่อจะให้ชำระสะสางง่าย ดาดด้วยกระเบื้อง สอาด มีห้องสำหรับแยกคนไข้ ๖ ห้อง นอกนั้นเปนที่นอนเรียงกัน เตียงนอนใช้เหล็กทั้งสิ้น ไม่ให้มีไม้ปน มีฟูกหมอนอย่างบริบูรณ์ เตียงหนึ่งมีตู้หลังเปนโต๊ะ ข้างที่นอนเปนที่สำหรับเก็บหวีเก็บแปรงแลยา มีกระบะใบหนึ่ง หม้อแลกระโถนทำด้วยแก้วทั้งนั้น โรงพยาบาลหลังหนึ่งมีห้องล้างหน้า ห้องอาบน้ำแลครัวอย่างเล็กสำหรับต้มน้ำแลอุ่นของ โรงนี้ทำโปร่งให้ลมเดินได้ ใช้น่าต่างกระจกทั้งสองด้าน ไม่มีบาน ใช้ม่านรูด มีชานที่ริมผนังข้างนอกทั้งสองด้าน สำหรับคนไข้ออกไปนั่งกลางแจ้งเหมือนกันเช่นนี้ทุกๆ โรง

แล้วไปดูที่ซักผ้า การซักผ้าใช้เครื่องจักรสติมตั้งต้นแต่แช่ซ่าบู่ฟาด แต่ไม่ได้ใช้ผึ่งแดด ใช้พาดราวเข้าในกี่ หมุนไปในห้องซึ่งมีสติมอบให้ร้อน เดินทบไปทบมา พอตลอดทางก็พอแห้งออกมา แล้วจึงเอาเข้าเตารีดให้เกลี้ยง ถ้าเปนผ้าผืนธรรมดาเข้าลูกหีบ ผ้าเล็กๆ ใช้รีดด้วยมือ แลที่พับที่เก็บพร้อม

แล้วไปดูครัว การต้มย่างทอด ใช้สติมแลแก๊สทั้งสิ้น เปนหม้อใบโตๆ แลดูใหญ่ จนกระทั่งปอกมันก็ไม่ได้ปอกด้วยมือ ใช้ด้วยสติมเขย่าให้มันถูกันเองจนเปลือกล่อน แล้วลงแช่น้ำไว้จนเวลาขึ้นนึ่ง การกวดขันในที่ทั้งสองแห่งนี้ด้วยเรื่องความสอาด น้ำก็ใช้น้ำกรองสอาดทั้งสิ้น

ออกจากครัวไปดูที่ตัดผ่า ห้องที่ตัดผ่านี้ทำอย่างประณีตที่สุด ด้านข้างในหุ้มกระเบื้องตลอด ด้านข้างนอกใช้ทั้งฝาทั้งเพดาน เปนกระจกฝ้า ถ้าทำงานในเวลากลางคืนไม่จุดไฟในนั้น จุดไฟฟ้าเสียข้างนอก ให้แต่แสงสว่างลงไป แลแสงสว่างนั้นไม่ทำให้มีเงา เช่นกับมือคนที่จะตัดผ่า วางลงบนขาฤๅแขนก็ไม่มีเงาทับขาฤๅแขนของคนไข้ ที่ไม่จุดไฟในนั้น เพื่อจะไม่ให้มีผง สิ่งที่สอาดทั้งปวงนั้นเปนเครื่องป้องกันตัวสัตวต่างๆ ที่สงไสยว่าเปนที่เกิดโรคอย่างหนึ่ง เปนข้อสำคัญยิ่งใหญ่ทั่วไป อิกอย่างหนึ่งนั้นก็ป้องกันผงแลลออง มีวิเศษอย่างหนึ่งเรื่องดมยาสลบ เขามีเครื่องมืออย่างใหม่ ที่ผสมคลอรอฟอมกับไฮโดรเยน ให้ดมพร้อมกัน เปนเครื่องป้องกันไม่ให้มีพลาดพลั้งที่จะถึงตายได้ เพราะการที่จะดมคลอรอฟอมตายก็ด้วยไม่มีไฮโดรเยนพอ นอกนั้นยังมีที่อาบน้ำแก้โรคเข้ากระโจมแดดกระโจมไฟ เครื่องทุบนวดดัดต่างๆ อย่างที่อาบน้ำทั้งปวง

คนไข้ที่จะมาเข้าโรงพยาบาลนี้ ต้องอาบน้ำก่อนแล้วต้องแต่งตัว เครื่องแต่งตัวสำหรับโรงพยาบาลเปนผ้าริ้วขาวกับน้ำเงินทั้งผู้หญิงผู้ชาย เสื้อผ้าเก่ารมแล้วเก็บไว้ให้ต่อเมื่อเวลาจะออกจากโรงพยาบาล ถ้าหากว่าเปนคนจนก็เห็นจะสบายดี แต่ถ้าหากว่ามีบ้านเรือนดูยังเต็มที ไม่พ้นจากเปนอันถูกขัง แต่ที่ผ่าตัดแล้ว ถึงจะเปนคนชั้นไหนชั้นไหน ถ้าไปตัดผ่าในนั้นดีกว่าข้างนอกเปนแน่ โรงพยาบาลนี้เปนที่สรรเสริญกันว่าเปนอย่างใหม่ที่สุด แลดีที่สุด ถ้าไม่กว่าที่อื่นในโลกก็กว่าในประเทศยุโรปทั้งปวง

กลับมาพักแลทำงานอะไรบ้าง เวลาทุ่มหนึ่งไปกินเข้าที่เรสเตอรองต์ฮิลเลอ ซึ่งเปนที่ขึ้นชื่อฦๅนามในเมืองนี้ แต่งงดงามมาก มีห้องนั่งได้แต่เฉภาะพวก กับเข้าดีอย่างยิ่ง รู้สึกสบายหายเดือดร้อนเปนอันมาก กินเข้าแล้วเวลา ๒ ทุ่มเศษไปดูลครเมโตรโปล มีรังสิตแลศิริวงษ์ไปด้วย เล่นเปนอย่างลครร้อยเรื่อง คือจับเอาบทกลอนที่ว่าด้วยสิ่งไรเปนที่ตั้งแล้วทำรูปเข้าหานั้นอย่างหนึ่ง เล่นล้อในราชการของเยอรมัน แลประเทศอื่นๆ นั้นอย่างหนึ่ง เปนท่อนๆ ไป เล่ายาก มีเจรจาพาดถึงเมืองไทยนิดหนึ่ง เพราะเราไปดู โรงลครนี้นั่งสามชั้นแต่ทำงามดี การที่เล่นนั้นตรงกันกับยี่เกของเราทีเดียว ลงท้ายก็เปนบาเลต์ เลิกได้กลับมาเวลา ๕ ทุ่ม

• • • • • • • • •

คืนที่ ๑๓๕

วันพฤหัสบดีที่ ๘ สิงหาคม

เย็นวานนี้ลงมือเปลี่ยนยา ดูเหมือนจะมีผลบ้าง วันนี้จรูญมาแต่ปารีส ได้สนทนากันในการรับรองที่ปารีส เขาได้ออกก๊าดเชิญแลได้ตระเตรียมที่จะมีดอกไม้เพลิง ได้ทำตราไว้แล้ว เห็นว่าการที่จะเลื่อนวันตามความประสงค์ของหมอจะลำบากในทางราชการจะทำให้เกิดเข้าใจผิดกันขึ้น การที่จะกลับความปราถนาของพ่ออยากจะไปปารีสอิก หวังว่าจะให้เปนการสนิทสนมดีขึ้น จึงตกลงหาฤๅท่านโปรเฟสเซอ ขอเลื่อนกำหนดไปฮอมเบิค ให้ช้าลงอิกสัก ๗ วัน ไปปารีสเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับขึ้นไปฮอมเบิค ขากลับลงจากฮอมเบิคไปสวิตเซอแลนด์ แล้วไม่ต้องย้อนมาปารีส เปนที่ตกลงกันได้ ยังขัดข้องแต่เรื่องรักษาจมูก โปรเฟสเซอไมเยอไม่ยอมไปปารีส จะได้ใครเปนผู้ทำแทน แต่ครั้นเวลาพ่อพบกันกับตัวแกบ่นว่าเปนการลำบาก นิ่งอึ้ด ประเดี๋ยวรับตกลงว่าจะไปเปนอันเสร็จสิ้นธุระ ตกลงเปนคงต้องเลิกแต่บาเวเรียแลเวียนา บางทีเฉลิมพระชนม์พรรษาจะต้องทำที่ฮอมเบิค เพื่อจะได้อยู่รักษาตัวให้ครบ ๔ วิก แล้วฟอนซัลเดอนที่เปนทูตอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ก่อนมาหาดูโทรมไปมาก เวลากลางวันไปกินเข้าที่ห้างเคาฟเฮาสเดสเวสเตนสเพื่อจะเลือกของซึ่งยังค้างอยู่อิก เวลาบ่าย ๔ โมงไปถ่ายรูปที่ห้างบีเบอ เพราะเหตุที่ยังไม่มีรูปเต็มยศ ที่ถ่ายไว้ไม่ดี แลจะได้ลองเสื้อด้วย เพราะพรุ่งนี้ต้องแต่งยุนิฟอม ครั้นไปแต่งเข้าก็เกิดความจริง สายเข็มขัดต้องร่นจนหมดรู ตกลงเปนตั้งแต่มาจากบางกอกถึงซันเรโม ท้องโตขึ้นนิ้วหนึ่ง ตั้งแต่ซันเรโมไปฟลอเรนศ์ ถ่ายรูปครั้งหลังที่สุดรวมเปนสองนิ้ว ครั้นมาวันนี้ต้องเลื่อนออก ๔ นิ้ว รวมเปนตั้งแต่มาคราวนี้ท้องโตขึ้น ๖ นิ้ว สายราตตะคดคาดไม่ได้ เวลาถ่ายรูปต้องเอาเชือกโยงไว้ต้องไปเย็บใหม่ ที่รีบตะลีตะลานถ่ายเสียที่นี่ เพราะช่างถ่ายรูปบ้านนอกสู้ในเมืองหลวงไม่ได้ กลับมาเวลาบ่าย ๕ โมง

เมืองเบอลินนี้ มีสิ่งสำคัญที่จะจำง่ายนั้นคือหลักไชยที่ได้สร้างขึ้นด้วยเหล็กปืนชเลยที่ปรูเซียได้ชะนะเดนมาร์กครั้งหนึ่ง ออสเตรียครั้งหนึ่ง ฝรั่งเศสครั้งหนึ่ง ตั้งอยู่ในสูนย์กลางของป่าในเมือง ที่ตัดถนนออกประมาณ ๑๒ แพร่ง อยู่ตรงหน้าไรสตาค ซึ่งเปนที่ประชุมปฤกษาราชการ ไรสตาคนี้ก็เปนเครื่องจำง่ายอันหนึ่ง ประตูไชย ซึ่งเปน ๕ ช่อง มีรูปชักรถอยู่บนนั้น รูปชักรถนี้ เดิมเอมเปอเรอนะโปเลียนโบนะปาตมาได้เมือง พาเอาไปตั้งไว้เมืองฝรั่งเศส เมื่อเยอรมันไปชะนะนะโปเลียนที่ ๓ คราวหลัง จึงพาเอากลับมาไว้ตามเดิม สิ่งซึ่งทำขึ้นใหม่คือถนนสายหนึ่ง ทำรูปในเชื้อวงษ์โฮเฮนโซเลิน คือในพระราชวงษ์เอมเปอเรอเดี๋ยวนี้ ตั้งเปนคู่ๆ เรียงกันตลอดถนน เปนรูปทำด้วยศิลาขาว แต่เมื่อทำแล้วเสร็จ มีผู้ร้ายไปลักถากทำลายรูปนั้นเสีย เพราะรูปนั้นหันหลังเข้าทางป่า ผู้ร้ายเข้าได้ทางป่า โปลิศไม่เห็น เดี๋ยวนี้จึงได้กั้นรั้วเหมือนฉากบังข้างหลังเสียทุกๆ หย่อม ในป่าเหล่านี้ใช่ว่าทึบ พื้นล่างโปร่งปลูกหญ้าทั้งนั้น ตัดถนนซอยหั่นไปเปนชิ้นๆ แต่ถึงดังนั้นก็ยังเปนที่เปลี่ยวอยู่ในกลางเมือง มีผู้ร้ายชุมแห่งหนึ่ง ถนนวิลเลียมสตราส เปนรั้ววังบ้านเรือนผู้มีบันดาศักดิไปทั้งนั้น เวลากลางคืนเงียบ ถนนที่จอแจเปนที่ขายของร้านรวงมาก ถนนไลปซิค แต่ถึงดังนั้น ร้านริมถนนไม่เหมือนเมืองปารีส น้อยกว่ากันมาก ไปรวมอยู่เสียในร้านใหญ่มาก พระราชวังนั้นใหญ่โตมาก ด้านน่ามีมอนิวเมนต์เอมเปอเรอวิลเลียม ดิ เครต มอนิวเมนต์อันนี้นับว่าเปนงามอย่างวิเศษในเมืองนี้ ไม่เห็นมีอะไรสู้ มีรูปผู้ที่มีชื่อเสียงเช่นบิสมาก อยู่น่าไรสตาคแลโรน มอลเกเปนต้น ใหญ่บ้างเล็กบ้าง เปนบรอนซ์บ้าง ศิลาขาวบ้าง หยอดไปทุกแห่ง ผนังตึกทั้งปวง อย่างเก่าๆ งามมากกว่าอย่างใหม่ๆ ต้นไม้มีไม้เก่าๆ งามๆ เพราะเล่นมานานแล้ว พ่อไม่สันทัดเมืองนี้ แต่เขากล่าวว่า การตกแต่งเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในแผ่นดินเอมเปอเรอเดี๋ยวนี้มาก เวลานี้เปนเวลาร้อนที่ใครๆ ออกไปจากเมืองหมด เหลืออยู่แต่คนชั้นกลางๆ ฤๅที่มีงานประจำ แต่ในถนนผู้คนก็ยังจอแจมาก เห็นจะออกไปแต่ชั้นผู้ดี เมืองนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสเปร แลมีคลองขุดบรรจบแม่น้ำนั้น ใช้เรือได้มาก แต่เปนเรือบรรทุกทั้งสิ้น ใช้ถ่อฤๅเรือไฟเล็กๆ ลาก สิ่งซึ่งบรรทุกเรือนั้นเปนอิฐแลไม้กระดานเปนพื้น ใช้ขนของหนักช่วยแรงรถบรรทุก วัดไม่สู้จะมีงามๆ แลไม่สู้ใหญ่ เมื่อจะว่ารวบยอดถึงเมืองอื่นด้วยแล้ว แถบข้างเหนือนี้ไม่ใคร่จะอิน วัดวาอารามก็เกลี้ยงๆ โดยมาก หรูอยู่ที่เอมเปอเรอสร้างก็ไม่ใหญ่ ไม้กางเขนที่สร้างไว้ตามถนน เช่นที่กล่าวในเมืองบาเดนบาเดน แถบข้างเหนือนี้ไม่มีเลยจนตลอดเมืองนอรเว อากาศที่ร้อนในวันแรก เดี๋ยวนี้สงบไป เพราะมีฝนโปรยๆ ลงมา บางเวลาก็ออกหนาวๆ แต่อยู่ในเรือนพอสบาย

เวลาค่ำชายบริพัตรไปที่เรเยเมนต์ของเขา ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองเบอลิน พ่อกับดุ๊กแลกรมสมมต ดิลก เพ็ญ รังสิต อุรุพงษ์ ศิริวงษ์ หม่อมนเรนทร์ ไปกินเข้าที่เรสเตอรองต์รูดอลฟเดรสเซล กับเข้าก็ทำดีแต่ยังสู้เมื่อคืนนี้ไม่ได้ กินแล้วพากันขึ้นรถดูเมืองในเวลากลางคืน ถนนที่ครึกครื้น คือ ฟรีเดอริกสตราสเซ แลไลปซิกเกอร์สตราสเซ ผู้คนแน่นหนามาก แต่ถ้าจะเปรียบกับลอนดอนแลปารีสยังไม่ถึง กลับมาเวลา ๔ ทุ่ม เพราะจะรีบจบหนังสือวันนี้ ให้เปนแล้วกันเสียตอนหนึ่ง

จุฬาลงกรณ์ ป.ร.



[๑๙๕] นายจำรัส เทพหัสดิน ณกรุงเทพ (เดี๋ยวนี้เปนพระยาอานุภาพไตรภพ)

[๑๙๖] ปรินซอาดาลเบิต โอรสเยอรมันเอมเปอเรอ เคยเข้ามากรุงเทพ ฯ

[๑๙๗] คือโต๊ะเครื่องบูชาอย่างจีนที่เล่นประกวดกันในรัชกาลที่ ๕

[๑๙๘] คือหม่อมเจ้าวงศนิรชร ในกรมหลวงเทวะวงศวโรปการ

[๑๙๙] หม่อมเจ้าในกรมหลวงดำรงราชานุภาพ คือหม่อมเจ้าทรงวุฒิภาพ

[๒๐๐] พระยาสามภพพ่าย เจริญ หงสกุล

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ