พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๑๒

รูปทรงถ่ายเรือรบอิตาลี

รูปทรงถ่ายเรือรบอิตาลี

คืนที่ ๓๘

เมืองซันเรโม

วันศุกรที่ ๓ พฤษภาคม ร. ศก ๑๒๖

หญิงน้อย

วันนี้ได้รับหนังสือจากบางกอกเปนครั้งแรก จึงมีธุระทั้งที่จะอ่านแลส่งหนังสือ เพราะกำหนดเมล์ได้ข่าวเปนแน่ว่าวันอาทิตย์ทางบรินดิซี วันพุฒทางเยนัว เสร็จธุระเหล่านี้แล้ว ลงไปนั่งกินกลางวัน สำเร็จแล้วจึงได้ไปถ่ายรูปเรือรบอิตาลี ซึ่งมาจอดอยู่น่าบ้านนี้มาถึงได้สองวันล่วงมาแล้ว มีพวกคนเรือขึ้นมาเดินพล่านอยู่บนบกตั้งแต่วานนี้ แล้วเลยขึ้นรถโมเตอคาร์ไปเที่ยว วันนี้ไม่มีที่จะไปแห่งไร ต้องซ้ำทางเดิมนั้นเอง เพราะวันแรกเปนแต่ผ่านบอร์ดิเคราไป วันนี้ตรงไปหยุดลงเดินถนน สิ่งที่จะซื้อได้นั้นไม่มีอื่นนอกจากโปสต์ก๊าด การที่จะซื้อโปสต์ก๊าดก็ไม่มีที่สุด ถ้าจะซื้อแห่งเดียวให้ได้หมดตลอดแถบทเลนี้ก็เกือบจะได้ แต่พ่อขยักไว้ซื้อเมื่อไปถึงที่ทุกวัน มีคนตามดูแต่ดูอย่างเรียบร้อย คืออยู่ที่ร้านไหนคนก็เต็มอยู่น่าร้าน เมื่อออกไปก็เปิดหมวกคำนับยิ้มแย้มแจ่มใส จะเดินไปแห่งไรก็เฮเกรียวตาม ค่อยๆ เดินเลื่อนตามไป มีคนรู้จักมากขึ้นทุกวันทุกวัน หน้าตาออกจะค่อยคุ้นกันเข้า พ่อได้หยุดถ่ายรูปบ่อยๆ ได้แวะเข้าที่โฮเตลแห่งหนึ่ง ชื่อโฮเตลเองเคลแตร์ซ้ำอิก โฮเตลเหล่านี้ชื่อมันไม่ใคร่จะแปลกกัน แต่โดยมากถ้าให้ชื่อตามชาติมักเปนอังกฤษ เหตุด้วยคนอังกฤษชอบมาเที่ยว เห็นชื่อเข้าจะได้ชอบใจ นั่นก็มีปารีส ซาวอย แลอื่นๆ ถ้าเปนชื่อแผนโฮเตล ก็เบลวือ บริสโตล เปนต้น ใช้ชื่อที่จืดๆ จำง่าย อย่างวัดโพธาราม วัดสว่างอารมณ์ ฤๅมหาธาตุ ราชบุรณะที่เปนหลักฐาน ดูดูโฮเตลแลเรสเตอรองต์เพลินๆ ไป นึกเผลอไปว่าเปนวัดบ่อยๆ โฮเตลเองเคลแตร์นี้ไม่ใหญ่โตเท่าไร ตั้งอยู่พื้นราบริมถนน จะเทียบชื่อว่าเปนเบลวือไม่ได้เปนอันขาด แต่ดีที่มีสวนออกไปข้างหลัง ไม่ใหญ่โตเท่าไร แต่ทำซอกแซกเปนลายพื้นถนนโรยศิลาป่น ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากออลิฟสนแลปามน้ำมัน แต่ไม่ปลูกหญ้า เอาต้นไม้เตี้ยๆ เล็กๆ ปลูกแทน ให้มีดอกแดงครืดไปตามพื้น เปนขอบแลเปนแม่ลาย มันก็งามอยู่เอง มีคนเข้าไปนั่งตากแดดอยู่ในนั้น ผู้หญิงโดยมาก เด็กๆ ก็มี การที่นั่งตากแดดนี้เปนกิจวัตร ซึ่งในปรอเมนาดที่ประชุมคนแห่งหนึ่งแห่งใดก็นั่งกันเปนแถว บางทีถึงนั่งหลับเย็นสบาย ที่ในสวนนี้มีคนเอาหนังสือเข้าไปแต่งบ้างอ่านบ้าง อยู่กลางแดดเปรี้ยงๆ มีแหม่มคนหนึ่งเข้าไปนั่งกางร่มอ่านหนังสืออยู่ มีลูกชายสองคน เอารถไฟตกั่วเล็กๆ เข้าไปเล่น กวาดผงศิลาพูนขึ้นเปนเขา เกลี่ยทางด้วยเท้าให้เรียบเปนทางรถไฟ พ่อไปยืนดูมันเล่นสนุกดี ได้บ่นกันว่านี่ถ้าเปนเด็กไทยๆ ขืนออกไปเล่นอยู่กลางแดดเช่นนี้ โทษถึงถูกเอ็ดกันใหญ่ ทั้งยายแม่ก็จะถูกนินทามาก ตัวเปนผู้ใหญ่ไปนั่งกั้นร่ม ปล่อยให้เด็กอยู่กลางแดด แต่ที่แท้ที่นี่มันกลายเปนสำหรับความศุขของเด็กนั้น เขาจัดโต๊ะให้เรานั่งกลางแดดเปรี้ยงเหมือนกัน ไปนั่งอยู่ก็รู้สึกร้อนทั้งที่เราเปนชาวเมืองแดดแจ๋เช่นนั้น กลับขี้ขลาดหันเข้าหาร่ม เห็นจะเปนด้วยเคยเข็ดหลาบ มันหลบเข้าไปเองโดยไม่ได้นึกว่าจะหนีแดด ให้นึกว่าที่เหมาะที่น่าจะนั่งนั้นอยู่ที่เงาไม้ ไม่ใช่ที่กลางแดด ที่จริงสังเกตได้ว่าพวกเราขี้ขลาดแดดกว่าฝรั่งเปนอันมาก กินน้ำชา มีลูกมะเขือเทศแลผักกาดแดงหัวเล็กๆ จิ้มเกลือกินกับขนมปังทาเนย ขนมปังสำหรับทาเนยนั้นหั่นบางจนโปร่ง แลมีขนมหวานกินด้วย นี่เปนอย่างที่เขาสำหรับเลี้ยงคนอังกฤษ มีตาช่างถ่ายรูปเมืองนี้มาเที่ยวตามถ่ายเสียจริงๆ พ่อยอมไปยืนให้แกถ่าย แต่ปรับไว้ว่าถ่ายแล้วต้องให้เอามาให้อย่างละรูป ขึ้นรถกลับมาถึงค่ำแล้วแต่ยังไม่ทันมืด

ได้ดูสำรวจเรื่องปลูกต้นไม้อิก ทางซึ่งผ่านตาแต่คราวเดียวดูวันเดียวไม่ทั่ว เพราะมันจะแหงนจะก้มเหลียวลอกแลกไม่ทันท่วงที หลายวันเข้าก็ยิ่งเห็นมากออกไป เรื่องต้นกุหลาบนี้ ที่ว่ามาแต่ก่อนยังไม่เต็มภาคภูมที่ควรจะกล่าว ที่จริงไม่ควรจะเรียกว่าสวน น่าจะเรียกว่าไร่ คือตามพื้นที่ข้างเขาตั้งแต่ทเลขึ้นมาจนถึงถนนมีกำแพงฤๅรั้วกั้นริมถนน มีประตูเปิดปิดได้ ฤๅทางขึ้นลงข้างเขานั้นฟันเปนคั่นกว้างบ้างแคบบ้างตามรูปเขา ก่อศิลาก้อนๆ เปนคันกันดินขึ้นมาเปนคั่นๆ ตามในท้องคันเหล่านั้นเกือบจะไม่มีอื่นนอกจากปลูกกุหลาบทั้งนั้น ปลูกเปนกอกลมๆ มีระยะเหมือนดำนา สูงต่ำขนาดๆ กัน พ้นทางขึ้นไปข้างบน เหนือคันกันดินริมทางก็ก่อก้อนศิลาเปนคัน บั้งๆ ขึ้นไปอย่างนั้นจนตลอดยอดเขา เต็มไปด้วยต้นกุหลาบ เท่าๆ กันเหมือนกอเข้าในนา บ้างก็ผลิ บ้างก็ตูม บ้างก็แย้ม แดงครืดไปเปนสีเหมือนกับเอาผ้าลายดอกกุหลาบตาก ผ้าลายอย่างที่ดอกเปนช่อกุหลาบรูปเปนพุ่มเข้าบิณฑ์ ถ้าที่ไหนเปนที่ศิลาครุครุ มักจะเปนที่ในตรอกซอกเขา ไม่ใช่ที่ตรงแหลม น้ำจะตกตรงนั้นแรงเกินไป ชะดินเหลืออยู่น้อยฤๅอย่างไร ไม่เห็นใคร่จะปลูกกุหลาบ มักจะปลูกต้นออลิฟ ต้นออลิฟทีจะมีลูกมากอยู่ หน้าตามันจืดๆ แห้งๆ โงเงเหมือนต้นพุทรา แต่ใบไม่เหมือนกันเลย ลูกทีจะมากเหมือนพุทรา เมื่อจะว่าไปในที่สุดแล้ว แทบจะหาที่ว่างจนสักนิ้วเดียว ที่ไม่มีรอยมือคนจับ ไม่มีรอยตีนคนเหยียบ หาไม่ได้ จะหาต้นไม้ที่ขึ้นเองแต่สักต้นหนึ่งก็เปนไม่มี ตั้งแต่เมืองเยนัวไปจนถึงเมนโตนที่ได้เห็นแล้วนี้ เรื่องทำถนนอิกอย่างหนึ่ง น้ำอย่างหนึ่ง ไฟอย่างหนึ่ง ได้สังเกตไว้มากแล้ว แต่ยังต้องการถาม ได้สั่งให้ไปตามพระสารสาสน์ (เยรินี) จะต้องเอาตัวมาชำระ ได้สังเกตด้วยตามาก พอที่จะเปนโจทย์ถามให้แกให้การได้

ตามหนทางเหล่านี้ตลอดทั่วทุกหนทุกแห่ง ออกเดินไปอึดใจเดียวก็พบเรสเตอรองต์เทียบกับโรงเข้าแกงของเรา ตั้งแต่เรือนสามห้องเล็กๆ โต๊ะเล็กๆ นั่งกิน ๔ คนตั้งริมถนน ไปจนหลังโตๆ ฝากระจก คนนั่งกินได้ตั้งห้าสิบหกสิบ บางทีก็ติดๆ กันไปหลายๆ หลัง จนกระทั่งโฮเตลที่คนกินได้ตั้งร้อย สุดแต่เดินไปจากบ้านสักสิบมินิต เปนต้องพบที่สำหรับกินเข้ากินขนม ไปอิกนิดหนึ่งก็พบอิก จนใกล้จะสุดตำบลบ้านถึงอ้ายพวกหลังเล็กๆ หมดหลังเล็กๆ นั้นแล้ว จึงจะถึงโรงเหล้ารายๆ เช่นได้กล่าวแล้วแต่ก่อน ถ้าจะนับแต่เก้าอี้ที่คนนั่งกิน ในวันเดียวเดินนับดะไป จะได้ตั้งพันตั้งหมื่น แต่คนในพื้นเมืองเหล่านี้ไม่มีมากจอแจเหมือนอย่างเมืองเนเปอล ไม่พอที่จะนั่งเก้าอี้เหล่านั้น เพราะคนที่จะแต่งตัวเรี่ยมๆ นั้นต่างหากที่เปนผู้จะไปนั่งกิน ไม่ใช่ตาใส่กางเกงปะ ไม่ใช่ตาเสื้อกั๊กเขียวคราม ไม่ใช่พวกที่นอนคว่ำฤๅนอนหงายขับเกวียน ไม่ใช่ท่านยายที่ไปเที่ยวรดน้ำต้นกุหลาบ แลที่กระเดียดกระจาดผัก ไม่ใช่อ้ายหนูที่ปั่นอีแปะอยู่ตามมุมๆ ไม่ใช่ที่หกคะแมนเล่นอยู่บนกองทรายทั้งหมู่ ไม่ใช่ที่เอากิ่งไม้คอยแหย่ล้อรถ จะเปนผู้ไปกิน เปนของพวกที่สรวมเสื้อเดินทางสรวมหมวกพับกลาง ฤๅหมวกเบาเลออย่างแขง แต่ชั้นแหม่มที่นุ่งสะเกิ๊ดดำเสื้อขาวก็ไม่ใคร่จะเห็นไปกิน มักจะเปนแหม่มที่แต่งตัวสีเดียวทั้งสำรับ ที่ใส่หมวกเหมือนดอกหน้าวัวขาวแลอื่นๆ หน้าเปล่งๆ จะไปนั่งกิน พวกคนชั้นนี้ดูไม่มากเท่าไร ทำไมที่กินจึงได้มากเหลือเกินนัก ข้อนี้ต้องการคำอธิบาย ที่ซันเรโมฤๅแถบเมืองริมทเลเมดิเตอเรเนียนตอนข้างใต้นี้ น่าหนาวมันร้อน เขาว่าควรจะร้อนได้เสมอกับเวลาเดี๋ยวนี้ คือเท่าน่าหนาวเมืองไทย พวกที่อยู่แถบข้างเหนือมีอังกฤษเปนมากกว่าชาติอื่น ชอบหนีหนาวมาเที่ยวอยู่แถบนี้ เหตุด้วยในเมืองอังกฤษมันชื้นนัก น่าหนาวแล้วไม่ค่อยสบาย คนที่ออกจะมีโรคหน่อยๆ เปนต้องหนีหนาวด้วยความจำเปน ใช่แต่เท่านั้น เมื่อคนมาประชุมมากเข้ามันกลายเปนขึ้นพระบาท ต่างคนต่างมาเที่ยวจากเมืองโน้นบ้างเมืองนี้บ้าง รถโมเตอคาร์ตั้งร้อย วิ่งไขว่กันไป โฮเตลเต็มทุกหลังทุกหลังหาที่เช่ายาก เมื่ออยู่ที่ตำบลนี้ ไปเที่ยวตำบลอื่น ก็คงจะกะไปกินกลางวันตำบลนั้น กินน้ำชาตำบลนี้ กินเย็นตำบลโน้น เปลี่ยนเวียนกันไป คนที่มั่งมีก็ลงทุนสร้างวิลลาอยู่ แล้วมีเพื่อนฝูงพวกพ้องมาอยู่ด้วย พวกชาวเมืองได้ช่องที่จะซื้อขายอาหารแลดอกไม้ รถเกวียนรับจ้างขายของได้ราคา เปนประโยชน์มีกำไรมากๆ แต่โปสต์ก๊าดอย่างเดียวนั้น จะเปนราคาสักเท่าใดก็จะเห็นได้ จนปรากฎว่าชาวอิตาเลียนได้ผลประโยชน์จากคนต่างประเทศมาก มีพยานเมื่ออังกฤษรบกับบัว พวกลูกหลานอังกฤษไปตายมาก ชวนกันไว้ทุกข์เสียไม่ใคร่มีใครมา ถึงเงินภาษีเมืองอิตาลีตกมีจำนวนเปนอันมาก เพราะฉนั้นคนที่นี่ถึงจะไม่มีที่ทำมาหากิน เช่นทำไร่ทำนาก็มีผลประโยชน์ที่หาได้ในการคนมาเที่ยวนี้มาก พอเจือจานในการซื้ออาหาร ถึงเช่นนั้นก็ยังปรากฎว่าคนอิตาเลียนเปนคนจน

เหตุไรเราจึงไม่พบเวลาที่เมืองนี้จอแจอย่างเช่นที่กล่าวมาข้างบน จึงต้องมาพิศวงว่าจะเอาคนที่ไหนกิน ข้อนี้อธิบายว่าเพราะเรามาความมุ่งหมายผิดกันตรงกันข้ามกับเขา ข้างเขาหนีหนาวมาหาร้อน เราหนีร้อนมาหาหนาว พอเมืองนี้ร้อนมากเกินต้องการ เมืองข้างเหนือหย่อนหนาวพอแก่ความต้องการ ข้างเขาก็กลับไปเมืองที่กำลังสบาย ข้างฝ่ายเราต้องหาที่เวลาไม่ใช่หนาวนัก หะแรกมาเจอหนาวทันทีเกรงจะไม่สบาย จึงต้องต้วมเตี้ยมมาเมื่อภายหลัง ยังใช่แต่เท่านั้น เดี๋ยวนี้หมอแนะนำจะให้ไปเมืองบาเดนบาเดนซึ่งฝรั่งเขาตั้งต้นกันเดือนนี้ที่คนจะประชุม แต่เขาต้องแนะนำให้เราไปต่อเดือนน่า เพราะว่าเวลานี้จะหนาวเกินเราต้องการไป แต่ข้างฝรั่งเดือนน่าเขาเลิกกันแล้ว เราก็ต้องไปฤดูล่า เหมือนกับมาที่นี่เหมือนกัน นี่แหละเปนข้ออธิบายยังลืมอิกนิดหนึ่งด้วยเรื่องปลา ที่นี่มีปลาดีๆ กิน เปนทางหาเลี้ยงชีวิตร์ของชาวเมืองอิกอย่างหนึ่ง เราได้กินปลาดีๆ ทุกวัน ยังมีอิกอย่างหนึ่ง ไปตามทางได้เห็นคนตะพายปืนแลมีหมาตัวหนึ่งเดินสวนทางก็มี นั่งอยู่นอกพนักที่กันทางข้างเขาริมทเลก็มี เดินกลับขึ้นมาก็มี ถ้าดูเหมือนว่าไปยิงนก แต่ไม่เห็นได้นกขึ้นมา ไม่ใช่คนผู้ดี นี่เปนคนชาวเมืองธรรมดา สรวมเสื้อกั๊กแดง ไปยิงอะไรริมทเลยังแลไม่เห็นเลย คิดจะถามแต่ไม่สำเร็จ

ค่ำวันนี้ได้รับหนังสือดุ๊กออฟเยนัว[๑๑๘] มาจากตุริน ว่าดีใจว่าพ่อมาถึง จะมาหาในวันอังคารน่าเหมาะฤๅไม่ ขอให้ตอบโดยทางโทรเลข ผเอินโดนตรงกันกับที่พ่อก็จะเขียนไปนัดว่าจะไปตุริน ได้ตอบโทรเลขให้มาตามกำหนด เลื่อนวันที่เราจะไปนีศไปเสียอิกวันหนึ่ง ที่เที่ยวที่ซันเรโมออกจะข้นๆ เข้าแล้ว เพราะทางที่ใช้โมเตอคาร์ได้ มันมีถนนสายเดียวแท้ๆ ที่ล่ามไปตามริมทเล สายในๆ ขึ้นไปข้างบนเขาก็ไปได้น้อย จะต้องคิดอ่านไกล่เกลี่ยใช้รถม้าบ้างพอขัดจังหวะ จึงได้คิดจะออกไปเที่ยวไกลถึงมอนติกาโลแลนีศ ค้างคืนสองคืนแล้วจึงจะกลับมาเลี้ยงวันเกิดลูกเอียดที่นี่ วันนี้ร้อนไม่หนาวเลย รังสิตแลดิลกกับเซอแปตริกแมนซันลากลับ โต๊ะกินเข้าต้องผ่อนขุนนางขึ้นมานั่ง เปนเสร็จสิ้นเรื่องส่วนจำนวนวันนี้ ต่อไปเห็นจะต้องถึงเล่นคำให้การพระสารสาสน์ เรื่องมันก็จะข้นเข้าทุกที

• • • • • • • • •

คืนที่ ๓๙

วันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม

วันนี้มองสิเออคาโรลัสดุรังช่างเขียนฝรั่งเศสที่จะเขียนรูปพ่อมาถึง มาตรวจดูที่ที่ในวิลลานี้แต่เช้าเห็นใช้ไม่ได้หมด ว่าแสงสว่างไม่เหมาะจึงได้ไปหาสตูเดียวแห่งหนึ่งของช่างเขียนที่นี่ ขอให้ไปเขียนที่นั่น พ่อก็ยอมตกลง แต่จะลงมือวันนี้ก็ยังไม่ได้ เฉภาะแสงแดดพอดีที่จะเขียนเวลาบ่าย ๒ โมงครึ่ง วันนี้เปนอันมาเฝ้ากันเสียที ตานี่เปนพระเจ้าช่างเขียนถึงได้ตราที่ ๑ ฝรั่งเศส อายุแก่มากแล้ว ผมขาว ต้องการดูตัวแลดูเครื่องแต่งตัว ขอให้ออกไปยืนที่เฉลียงที่สว่างมาก แรกทักออกมานั้นว่ารูปหัวพ่อดี เห็นจะเขียนเอางามได้ คราวนี้เอาคทามาให้ลองกำดูมือ มองอยู่สักครู่หนึ่งบอกว่ามือก็งามใช้ได้ ดูสองแห่งเท่านั้นแล้วพอในสำหรับวันนี้ ไปคลำเครื่องแต่งตัวเรื่อยไปอิกประมาณสักครึ่งชั่วโมงแล้วเลิก วันนี้พ่อมีธุระอะไรที่ต้องทำต่างๆ นาๆ แต่ไม่ขบขัน เปนธุระเล็กๆ น้อยๆ เลยเรื่อยไปจนบ่ายเกินเวลาที่จะไปไหนไกล จึงตกลงเปนไปทางข้างเยนัวไปที่แตคเจีย ซึ่งไปแล้วแต่ก่อน ที่ไปนั้นเปนแต่ที่ทำรถไฟตอนข้างริมทเล ตัวเมืองจริงๆ อยู่ลึกเข้าไปในหว่างเขาซึ่งมีแม่น้ำกว้าง แต่ไม่มีน้ำด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมาแต่ก่อนแล้วนั้น เวลาน่าสโนละลายเขาว่าล้นท่วมฝั่ง สวนที่อยู่สองข้างแม่น้ำนั้นก็ท่วม ตามถนนที่เข้าไปในหว่างเขานั้น ก็เปนสวนออลิฟสวนดอกไม้อย่างเดียวกับที่อื่นๆ อันกล่าวมาแล้ว แต่คนขับเกวียนเปล่าที่พบวันนี้เก่งกว่าทุกวัน ไม่ใช่แต่นอนเล่น นอนหลับสนิทหงายมาบนกลางเกวียน ม้าก็ออกจะเดินตามบุญตามกรรมอยู่สักหน่อย ไม่สู้ชิดฟากข้างขวามือ ซึ่งจะแน่ใจว่าโมเตอคาร์จะไม่โดนโชเฟอต้องโดดลงไปจูงม้าให้หลีกเข้าไปริมทาง แล้วรถเราจึงผ่านไป คนที่นอนบนเกวียนนั้นไม่ตื่นเลยจนแล้ว ตามทางมีสวนส้มกำลังลูกดกเหลืองงาม หยุดรถแวะลงไปดู หาเจ้าของไม่พบ พบคนทำงานก็พูดกันไม่เข้าใจ มีชายผู้ใหญ่คนหนึ่ง เดินมาหยุดดูอยู่ที่นั่น ขอให้ช่วยบอกเจ้าของสวนว่าเราจะลงไปชมในสวน แกว่าจะลงไปดูทำไมที่นี่ สวนแกอยู่ใกล้ ให้ไปดูสวนของแกเถิด พ่อก็ตกลงเดินทวนทางกลับลงมา แล้วไปกระซิบถามรพีว่านี่เจ้าแผ่นดินฤๅไม่ใช่ รพีถามว่าจะให้รับฤๅไม่ให้รับ พ่อบอกว่าให้รับ แกก็เดินพุ่งเข้าไปคำนับจับมือเจ้าพระยาสุรวงษ์ เล่นเอาเยนตราเรี่ย ต้องเลยโบกมาใส่พ่อ พากันเดินมาจนถึงตึก ๕ ห้องอยู่ริมทาง ห้องกลางเปนบันไดลงไปในสวน ที่สวนนี้ยกร่องเตี้ยๆ มีทางแคบเดินเปนขนัดๆ สองข้างทางเดินนั้นเปนร้านองุ่น ซึ่งพึ่งจะแตกเถาทุกๆ ขนัด ในกลางขนัดสวนปลูกไม้ดอกต่างๆ ได้เดินออกไปจนหลังสวน ตกทางที่จะขึ้นเขา ที่นี่เปนเขาสูงเงื้อมง้ำรอบทั้งสามด้าน บนเขาเต็มไปด้วยต้นออลิฟ มีบ้านหมู่ใหญ่หมู่หนึ่ง แลเรือนเล็กๆ น้อยๆ รายไปห่างๆ ที่มุมสวนเลี้ยงไก่ตัวผู้เหลืองตัวเดียว ตัวเมียดำเหมือนกันหมด สักสิบหกสิบเจ็ดตัวงามดี อิกกรงหนึ่งมีไก่ลายทั้งกรงน่าดูเหมือนกัน

มีเรื่องน้ำที่น่าดูอยู่เรื่องหนึ่ง เขาขุดรางศิลามาแต่เขา กว้างประมาณสักศอกหนึ่ง ลึกเห็นจะสักเจ็ดศอกแปดศอก น้ำไหลโจ้กๆ เปนลำธาร ผ่านเข้ามาในสวน เก่งอยู่ด้วยวิธีตัก คือขุดบ่อลงไปให้ลึกเคียงข้างรางน้ำนั้น ห่างเห็นจะสักสามวาสี่วาได้ ขุดรางจากรางน้ำนั้น ให้แบ่งไปตกลงในบ่อ แล้วตั้งระหัดที่ปากท่อ ใช้แครงทองเหลือง มีเหล็กฟันจักรปักขึ้นไปข้างบน แล้วมีคันชั่งขวาง ผูกม้าไว้ที่หัวคันชั่งข้างหนึ่ง เปนตุ้มเหล็กข้างหนึ่ง แล้วเอาผ้าผูกตาม้าเสีย ไล่ให้ม้านั้นเดินวนไปรอบๆ ระหัดก็พัดน้ำขึ้นมาเข้าท่อพลั่งๆ ท่อนั้นล่ามมาหาสระซึ่งก่อบนพื้นดิน มีขอบสูงประมาณสักศอกคืบฤๅสองศอก ทิ้งให้น้ำนั้นนอนในสระ แล้วจึงเปิดรางซึ่งทำไว้สูงกว่าพื้นสระหน่อยหนึ่ง ไขน้ำนั้นไปรดต้นไม้ในสวน ม้านั้นมันออกรู้ๆ พอน้ำเต็มสระก็หยุดเอง เห็นจะโดยเคยกำหนดว่าต้องเดินสักกี่มากน้อยเปนหยุดได้ แต่พ่อยังถ่ายรูปไม่แล้ว ต้อนให้มันเดินอิก มันก็เดินโดยเสียไม่ได้ พอน้ำล้นมันก็หยุด ได้สนทนากับตาครูคนนี้ ได้เรื่องราวดังนี้

ตัวแกเอง ได้รับราชการในกรมทหารเรือหน่อยหนึ่ง แล้วไปเปนกับตันเรือค้าขาย ชื่อกับตัน เอศ สิเคโร มีสวนออลิฟมาก ลากเอาแผนที่ในกระเป๋าซึ่งแกซื้อใหม่ ออกมาให้ดูเปนคำอธิบาย เขาทำเปนขนัดแลออกโฉนดเหมือนอย่างที่สวน ที่ที่แกมีอยู่เปนที่มรฎกมาก ที่ซื้อใหม่บ้าง ราษฎรซื้อแลยึดถือที่นั้นได้เปนกรรมสิทธิ์ เหมือนอย่างว่าสวนหนึ่งแกต้องลงทุนปีละ ๔๐๐๐ แฟรงก์ สองปีเปน ๘๐๐๐ แต่จะได้ประโยชน์คืนต่อปีที่สอง ๑๒๐๐๐ แฟรงก์ ถ้าจะคิดถัวเปนเปอร์เซนต์ แกเข้าใจว่าอยู่ใน ๔ เปอเซนต์เปนอย่างดี เพราะออลิฟไม่เสมอ บางปีก็มีผลดี บางปีก็ไม่ดี เหตุด้วยอากาศร้อนเย็นอย่างหนึ่ง เหตุด้วยตัวแมลงกินนั้นอย่างหนึ่ง สี่ห้าปีมานี้ออลิฟไม่ใคร่จะดี คนออกไปหากินเมืองอเมริกามาก ที่ทิ้งสวนออลิฟไปปลูกไม้ดอกเสียก็มาก เพราะตั้งแต่มีรถไฟมาแล้ว ดอกไม้ขายได้ดีมาก กุหลาบนั้นสำหรับกลั่นน้ำมันแลน้ำหอม แต่ดอกไม้อื่นๆ ขายส่งไปทั่วทั้งประเทศยุโรป จนกระทั่งรุสเซีย ที่ตำบลแถบเหล่านี้ได้เปรียบที่ฤดูหนาวไม่มีสะโนตก ต้นไม้เขียวอยู่ได้ตลอดปี ไม้ดอกก็ผลัดเปลี่ยนกันปลูกได้ดอกตลอดปี เว้นไว้แต่ปีนี้หนาวเกินไปจนใบไม้ไหม้ ไร่ดอกไม้อยู่ข้างจะไม่งามบริบูรณ์เช่นทุกปี ผลไม้ต่างๆ ก็ล่าหมด ออลิฟก็ใบร่วงมาด้วยถูกหนาว ออลิฟต้นหนึ่ง ถ้าได้ผลอย่างดี ต้นละสองกระสอบ ลูกจ้างนั้นจ้างเปนรายวัน วันละสองแฟรก์ กับน้ำองุ่นขวดหนึ่ง ถ้ามีงานมาก เช่นเวลาเก็บลูกออลิฟจึงต้องจ้างคนมาก เวลาปรกติ มีแต่พอรดน้ำต้นไม้ การตัดดอกใช้ผู้หญิง ต้นองุ่นนั้นต้องฉีดยาอยู่ ๗ วันครั้งหนึ่งฤๅสองครั้ง ยานั้นได้เห็นเขากำลังฉีด ไม่เห็นมีอะไรนอกจากกำมะถันตั้งไว้ทั้งถุง พื้นดินนั้นพรวนซุยทีเดียว เถาองุ่นลงมือแตกตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไป เดือนกันยายนถึงกำหนดเก็บ องุ่นแถบนี้ไม่ได้ปลูกเก็บเปนผลประโยชน์ซื้อขายมาก เพราะที่ไม่สู้ดีเหมือนข้างในเข้าไป วิธีส่งดอกไม้ไปต่างประเทศนั้น ตานี่ไม่ได้เล่า พ่อรู้มาแต่คราวเมื่อไปเห็นที่แฮมเบิคครั้งก่อน เขามีฮอติกัลจูรัลโช เมื่อไปเที่ยวๆ เห็นหีบทำด้วยหญ้าขัดโปร่งๆ ยาวประมาณสักศอกเศษ กว้างสักสิบสี่สิบห้านิ้ว มีคนนั่งทำอยู่ข้างทางบ้าง บรรทุกเกวียนไปบ้าง เข้าใจได้ไม่ต้องมีใครบอก ว่าเขาสำหรับบรรจุดอกไม้ วิธีที่บรรจุนั้น เอาสำลีห่อดอกไม้แลเอาสำลีวางรองพื้น เอาดอกไม้ที่ห่อสำลีไว้นั้นเรียงพอเต็มแล้วกรุสำลีอิกชั้นหนึ่ง ซ้อนกันขึ้นไปอย่างนี้จนเต็มหีบแล้วส่งไป เมื่อถึงที่แล้วเขาเอาไปแช่น้ำ ก็สดดีบริบูรณ์ บริบูรณ์อยู่ได้หลายๆ วัน ที่ทำได้ดังนี้ก็เพราะเรื่องหนาวเปนสำคัญกว่าอย่างอื่นหมด อย่างเช่นเมืองเราจะทำก็คงจะไม่ทนได้เช่นเขา เสบียงอาหารของพวกนี้มาแต่รุสเซียมาก เห็นแป้งบรรทุกเกวียนเต็มๆ กับตันสิเคโรรับว่าจะนำให้ไปดูเมืองแตคเจียเก่า ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอิกนิดหนึ่ง พ่อออกเกิดชอบแกขึ้นมา เลยชวนแกขึ้นรถโมเตอคาร์ไปด้วย อยู่ข้างปลื้มสบายใจมาก นำให้ไปที่บ้าน ซึ่งตั้งอยู่ในมุมบังเวียนแห่งหนึ่งตอนข้างเมืองใหม่ แกว่าแกทำของแกเองเปนแฟลต คือบ้านแต่ปลูกติดกันเหมือนตึกแถว พาขึ้นเรือนให้เดินลุยลายในห้อง พาเมียแลลูกสาวออกมาหา ที่จริงบ้านเรือนแกดี แลตกแต่งก็หมดจด เปนคนมีอันจะกิน พาขึ้นไปบนหลังคา ซึ่งแลเห็นวิ้วเมืองเก่าใหม่ได้รอบ ตอนที่บ้านตากับตันอยู่นี้เปนตอนใหม่ ซึ่งดูพึ่งทำแล้วทั้งนั้น ตึกโตๆ ตอนเก่าขึ้นไปบนข้างเขาเบียดกันซุกซิก ตอนล่างนี้ว่าแผ่นดินไหวพังจึงได้ทำขึ้นใหม่ ดูแล้วพากลับลงมาห้องรับแขก ห้องรับแขกของแกนั้นเปนออฟฟิศด้วย จึงได้ความว่าตานี่เปนแบงเกอ ให้กู้ยืมเงินอยู่ในตำบลนี้ เอาเหล้าหวานสีขาวอย่างอิตาเลียนออกมาเลี้ยงคนละถ้วย แล้วก็ลาแกกลับมาที่น่าเรือนมีคนล้อมทึ่งกันเต็มรอบรถ

เวลาที่กลับมานี้ยังวันอยู่ ถึงที่โรงน้ำชาข้างทางจดชื่ออยู่ข้างจะหรูมาก อัล ริโตรโวเดลลา เวสคา ริสตอรันเต พรรณาว่าพูดฝรั่งเศสก็ได้ เยอรมันก็ได้ อังกฤษก็ได้ จึงลองแวะเข้าไปดู ไหนๆ ได้ดูกันมามากแล้วก็ดูเสียให้ถึงที่ เรสเตอรองต์นี้ตั้งอยู่ในระหว่างทางหลวงข้างหนึ่ง ทางรถไฟข้างหนึ่ง เปนตึกสี่เหลี่ยม ด้านละสองน่าต่าง เพิงหลังเปนครัว เพิงน่าเปนที่คนนั่ง แลมีลานกลางแจ้งโรยศิลาสอาดอยู่ใต้ปะรำเถาองุ่น มีโต๊ะเก้าอี้ทำด้วยไม้อย่างกำมลอแต่สอาดหมดจด ที่ริมเรือนนั้นมีสวนปลูกผัก อาจจะกินได้สดๆ ในเรือนชั้นต่ำตอนข้างน่าเปนร้านเหล้าแลห้องกินเหล้า กระไดอยู่กลางประธานห้อง เจ้าของยอมให้ค้นจนถึงก้นครัว ในครัวมีเตาก่อเตาหนึ่ง เตาเหล็กเตาหนึ่งติดไฟอยู่แล้ว ซึ่งว่าพูดได้สามภาษานั้นก็จริง อังกฤษพูดได้แต่ยายแม่บ้าน ซึ่งกำลังเปนรำมนาดบวมเอาผ้าผูกลูกคางไว้ แต่แกต้อนรับแขกเก่ง พรรณาถึงเรื่องที่จะกิน ชวนให้กินถั่วฝักยาวดิบจิ้มเกลือว่าหวานนักนั้นอย่างหนึ่ง พ่อได้ลองดูสามเม็ด ของแกหวานจริง แต่จะกินอิกกลัวท้องขึ้น อิกอย่างหนึ่งอาติโจ๊กสดก็ดีอิก เหตุด้วยแกใช้ให้ผัวแกไปเก็บมาเดี๋ยวนั้น ยายเมียต้มน้ำร้อน ลูกปอกอาติโจ๊ก วันนี้เปนอันได้ความว่าอาติโจ๊กนี่เปนสองอย่าง อ้ายอย่างเขียวๆ หัวกลมที่เราเคยกินนั้นอย่างหนึ่ง รูปรีที่วางมาบนขนมปังทอด แลดูเหมือนนกเมื่อวันที่เนเปอลนั้น มันอย่างหนึ่งต่างหากทีเดียว มันรูปร่างเหมือนหัวปลีอ่อน สีก็เขียวๆ แดงๆ อย่างหัวปลีอ่อน กินก็จิ้มเกลือกับพริกไทยเท่านั้น เนยนั้นทาเสียกับขนมปัง ขบตุบๆ หวานๆ พอกินได้ แต่สู้เฟนอกคีไม่ได้ มีไข่ไก่สดแลน้ำชา วันนี้กลับมาวันกว่าทุกวัน

พระสารสาสน์ (เยรินี) ซึ่งให้ไปตามแต่วานนี้ไม่ได้ตัว เพราะสายโทรเลขขาด ได้มาพบกันวันนี้ สายโทรเลขมันก็น่าจะขาดอยู่บ้าง เพราะเสานั้นใช้ไม้สนโตเท่าเสาเล้าหมู หน้าตามันช่างเหมือนเสาโทรเลขของเราชั้นที่คลั่งบ่นกันอยู่จริงๆ แต่ของเขาเห็นจะได้เปรียบเราที่ฟ้าฝนมันไม่มากมายเหมือนเมืองเรา น้ำก็เห็นจะไม่มีหลากมาท่วมให้เสาเอนเซ ได้นั่งไกล่เกลี่ยอยู่ในรถเมื่อวานซืนนี้ รุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าสายขาด พระสารสาสน์นี้อยู่ที่ตำบลเมืองอาลเบงคัลระหว่างครึ่งทางไปเมืองเยนัว อยู่ในมณฑลเยนัว แกคุยว่าเปนเมืองเก่าน่าดูกว่าซันเรโม ได้นึกไว้ว่าจะไปดู ที่เอาตัวมานี้เพื่อจะไล่เลียงสอบข้อที่สันนิฐาน ว่าจะถูกผิดประการใด แต่ถูกเสียไม่ต้องเล่าเปนอันมาก คือเรื่องสวนออลิฟ เรื่องไร่ไม้ดอก เรื่องไม่มีอาหารในพื้นเมือง ต้องซื้อจากที่อื่นกิน เปนที่ถูกต้องหมด ได้ความพิเศษออกไปในข้อที่เรื่องยิงนก ว่าเปนยิงนกคุ่ม มีกำหนดให้ยิงได้แต่ในเขตรสามกิโลเมตเตอตั้งแต่ทเลขึ้นไป ในเข้าไปอิกห้าม แลกำหนดนี้จะสิ้นเพียงวันที่ ๑๕ เดือนนี้ เหตุด้วยเปนเวลานกฟักฟอง

เรื่องที่เห็นคนทำถนนอยู่เสมอ งดไว้ไม่ได้กล่าวแต่ก่อน บัดนี้เปนอันได้ความว่าการทำถนนนี้เปนของคอมมยูนนิโล ตรงกันกับศุขาภิบาลอย่างฝรั่งที่เรียกว่ามิวนิสิเปอล (ไม่ใช่ศุขาภิบาลไทย) เปนผู้ทำ ซื้อที่ขยายถนน ทำพนัก ใช้เงินค่าน้ำ ค่าไฟ เปนต้น น้ำแถบนี้เปนอย่างชั้นใหม่ คือใช้ท่อเหล็กฝังมาแต่ลำธาร ไม่ใช่ท่ออย่างเก่าที่เรียกว่าเอเควดัก ที่เราเคยอ่านในหนังสือเรื่องราวของอิตาลี ก่อสพานโค้งมาแต่ภูเขา หลังโค้งเปนรางน้ำ รางน้ำอย่างเก่าเช่นนั้นยังใช้อยู่ในเมืองโรมแลที่อื่น เช่นเยนัวเรายังแลเห็นได้ที่ซันโตกัมโปที่ฝังศพนั้น การทำถนนนี้เปนที่น่าดูมาก แลเห็นได้ว่าแรกทำอย่างไร ถ้าแล้วสำเร็จหมดจะเปนอย่างไร ถนนนี้ทำมาแต่ดึกดำบรรพ์ ฟันเข้าไปในข้างเขาบากให้เปนทาง ส่วนข้างชันริมเขานั้น เอาศิลาที่ต่อยออก ย่อยเปนก้อนย่อมๆ ก่อเปนเขื่อนกันดินพัง เขื่อนเช่นนี้บางทีสูงสามวาสี่วาก็มี แต่ฟากถนนข้างริมทเลนั้น แรกทำเอาศิลาก้อนยาวๆ ตั้งไว้เปนระยะ ถ้าล้อเกวียนอะไรเดินเฉียดไปริมทเลมากก็โดน ถ้าที่ไหนหมิ่นเหม่มากเอาต้นหญ้ามาผูกขนาบเปนรั้วกั้นไว้ แล้วคราวนี้ค่อยพยายามต่อยศิลาฟากข้างเขาออกไปก่อเปนพนัก ถ้าเปนของคอมมยูนนิโลทำ เตี้ยหน่อย พอกันล้อเกวียนพลาดพลั้ง แต่เจ้าของทำเองก็มี ถ้าเช่นนั้นมักจะก่อสูงหน่อย มีประตูเปิดปิดได้ กันคนไม่ให้ลงไปลุยลาย ในสวนข้างเขาต่ำกว่าทางลงไป คงมีคนทำงานอยู่ นานๆ มีหย่อมหนึ่งตลอดไป แต่มีพวกที่ต่อยศิลาไปขายสำหรับทำตึกนั้นอิกพวกหนึ่ง เพราะอิฐที่นี่อยู่ข้างจะแพง ศิลาถูก ถ้าหากว่าก่อผนังรอบนอกที่เปนผนังหนาๆ ใช้ศิลา ต่อก่อเตาไฟฤๅฝาประจันห้องให้บางจึงใช้อิฐ คงจะใช้อิฐปนศิลาทั่วทุกแห่ง

โรงเรียน ชั้นปฐมศึกษาเปนของเมือง แต่มัธยมเปนของรัฐบาล การปกครอง มีแมร์ซึ่งเปนหัวน่าคอมมยูน ราษฎรเลือก ปกครองการใช้จ่ายสำหรับตำบล ถ้าเมืองน้อยก็มีสับแมร์ แต่มีปรีเฟซึ่งเปนข้าราชการของรัฐบาลตั้งกำกับ เมืองน้อยก็มีสับปรีเฟ แต่สับแมร์ไม่ได้ขึ้นแมร์ใหญ่ ขึ้นตรงต่อสับปรีเฟแลปรีเฟ เมื่อก่อนนี้ตำรวจภูธรอยู่ในบังคับแมร์ เดี๋ยวนี้ยกไปอยู่ในบังคับปรีเฟ แมร์ที่นี่เปนโซเชียลลิสต์ แต่เขาว่าโซเชียลลิสต์ที่นี่อ่อนไม่รุนแรง จัดการในตำบลของตัวอยู่ข้างจะดีมาก ผู้ดีก็มีน้อยมีแต่คนทำงานโดยมาก เมื่อวันที่ ๑ เดือนพฤษภาคม ที่เปนวันใหญ่ของพวกโซเชียลลิสต์ ก็มีแห่ถือธงแดงแลเป่าแตรตามถนน แล้วก็ไปเลี้ยงกัน ไม่มีเหตุการอะไร ในเวลาเย็นวันนั้นพ่อไปที่โรงเหล้า ซื้อเหล้าให้นักเลงซึ่งอยู่ที่นั้น โดยไม่ได้รู้ว่าเปนโซเชียลลิสต์ รุ่งขึ้นฦๅกันมาก ว่าพ่อไปซื้อเหล้าให้พวกโซเชียลลิสต์กินในวันใหญ่ของเขา

ราษฎรที่นี่กินอาหาร ซุป มีผักแลมันปน ไม่ได้กินเนื้อ เจ็ดวันจึงได้กินเนื้อครั้งหนึ่ง ปลาเล็กๆ ได้กินบ้าง อาหารก็คงจะอยู่ในราคา ๒ แฟรงก์ ตามที่ได้ค่าจ้างนั้นพอหมด ผ้านุ่งห่มนั้นต้องขมิดแขม่โดยหาอติเรกลาภอย่างอื่น เพราะฉนั้นคนอยู่ข้างจะขัดสนพอกลั้วเกลี้ย แต่เมืองเยนัวว่าเจริญขึ้นมากจนท่าไม่มีที่เรือจอด เพราะเจาะปล่องทางรถไฟภูเขาทางเซนต์โกถาด ชาวเมืองเขาคุยว่าจะเปนเมืองที่แข่งกันกับมาเซลสืบไปภายน่า

เรื่องที่จดๆ เล่ามานี้ ไม่ได้ค้นจากตำราอันหนึ่งอันใด ว่าแต่โดยที่ตาเห็น เฉภาะตำบลที่ได้มาแล้ว ต้องอย่าเข้าใจว่าทั่วไปในประเทศอิตาลี เพราะที่เขตรแดนกว้างขวางแผ่นดินต่างๆ กัน ว่าแต่เฉภาะตอนริมทเลเมดิเตอเรเนียนนี้เท่านั้น เมื่อเห็นอย่างไรต่อไปจึงจะเล่าไปตามเรื่องที่เห็น ไม่พยายามจะให้เปนหนังสือที่แต่งว่าด้วยเรื่องอย่างหนึ่งอย่างใดเอาแน่นอนเฉภาะเรื่อง เปนหนังสือฝากเล่าให้ฟังอย่างกันเองเท่านั้น

• • • • • • • • •

คืนที่ ๔๐

วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤษภาคม

เวลาบ่าย ๒ โมงเศษไปที่สตูเดียวของมากอตตีซึ่งอยู่ไม่ห่างกันกับวิลลานี้นัก มองสิเออดุรังไปจัดไว้เปนที่เขียนรูป เปนเรือนอยู่ในสวนที่รกๆ เรือนเก่าๆ หญ้าแลต้นไม้ขึ้นตามกระไดแลตามผนัง มีห้องที่เขาจัดไว้ให้แต่งตัว การแต่งตัวอยู่ข้างประดักประเดิด เพราะสิ่งที่เปลี่ยนใหม่เช่นเข็มขัดไม่ได้ร่นออกให้ได้ที่ ร่นสามสี่หนจึงได้แล้ว รอดตัวที่เสื้อแลกางเกงไม่ได้ตัดใหม่ ถ้าเปนของที่ตัดใหม่ก็เปนสรวมไม่ได้ เพราะสรวมเสื้อชั้นในหนาเสื้อจึงได้คับอยู่สักหน่อย ถ้าหากว่าหนาวจะสรวมกั๊กชั้นในไม่ได้ ถ้าเปนมาออฟฟิเชียลอย่างแต่ก่อนโทษก็ต้องถึงตัดเสื้ออิก แต่งเสื้อขาวสรวมเสื้อครุยสายสร้อยจุลจอมเกล้าแลช้างเผือก ตาครูช่างเขียนชอบนักว่างาม แรกยืนตั้งท่าถ่ายรูป ถ่ายทั้งตัวหลายครั้ง แล้วถ่ายแต่หัว แล้วไล่ใครๆ ไปหมด ให้นั่งจึงลงมือทำงาน เขียนหัวเพียงน่าอกด้วยสดึงแผ่นเล็กเปนการลองมือ เขียนถ่านแล้วประสมสี รวมด้วยกันทั้งหมดประมาณสัก ๒ ชั่วโมงจึงแล้วสำเร็จเปนอันเลิก

มองสิเออดุรังนี้ เปนอาการของคนช่างเขียนแท้ คือดูอะไรจับอกจับใจเต้นโลดในเวลาที่ชอบ ออกจะฉุนๆ ในเวลาไม่ชอบ พอเลิกเสร็จก็ร้องเพลงดีดกระจับปี่ ตาช่างเขียนเจ้าของที่ลุกขึ้นเต้น ที่ซึ่งมาเขียนรูปนี้ เต็มไปด้วยรูปเขียนต่างๆ แล้วบ้างค้างบ้าง กลับมาเวลาก่อนบ่าย ๕ โมงหน่อยหนึ่ง ไม่ได้ไปเที่ยวแห่งใด

การที่จะไปเมืองนีศ จำเปนต้องเลิก เพราะคิดกำหนดวันสำหรับตาช่างเขียนจะเขียนรูปไม่พอ ด้วยมะรืนนี้ดุ๊กออฟเยนัวจะมา ได้รับโทรเลขตอบว่าจะมากินกลางวันด้วยกัน ถ้าไปนีศเสีย ๓ วันตาช่างเขียนจะมีวันเขียนแต่ ๕ วัน ฉุนขึ้นมาบางทีจะไม่ลงชื่อในรูป ก็จะเสียเงินเปล่า จะทนนั่งให้แกเสีย ๘ วัน ที่ยังเหลืออยู่อิก ๔ วัน เพราะแกต้องการสิบสอง ขอไปนั่งให้ที่ปารีศ ก็เปนที่ตกลง เพราะแกอยากจะให้เราไปที่สตูเดียวของแกเอง เพราะเหตุฉนั้น วันนี้พ่อไม่สู้มีอะไรจะเล่า วันอาทิตย์เปนวันหยุดร้านรวงทั้งปวง แต่ความจริงไม่ใคร่จะได้หยุด ตกใจว่าหยุด แต่เปล่าๆ

วันนี้ได้รับรูปถ่ายที่เมนโตน ซึ่งตาช่างเร็วกว่าเกาวแมนนั้น ขันอยู่ที่ได้ คงจะได้อันหลังที่เปิดนาน ส่วนตาช่างที่บอร์ดิเครา เที่ยวตามถ่ายอยู่นั้นก็สำเร็จพิมพ์มาทั้งขนาดกล้องของแก แลทำเปนโปสต์ก๊าดด้วย พ่อได้สั่งให้พิมพ์มาทั้งสองราย แล้วจะส่งไปให้ดู

วันนี้เห็นกุหลาบเหมือนดอกไม้จีน งามจริงๆ ได้ขอให้ดุ๊กเขียนอิกแผ่นหนึ่ง จวนจะแล้ว หลวงสรลักษณ์เขียนลูกเชอรี ซึ่งตั้งอยู่ในโต๊ะกินเข้าแล้วแผ่นหนึ่ง แต่ดอกไม้ไม่แล้ว แกงมหมู[๑๑๙]เต็มทีไม่เคยเขียน ดุ๊กเก่งกว่ามาก ส้อนกลิ่นฝรั่งดุ๊กก็เขียนแล้วอิกแผ่นหนึ่ง พ่อได้ส่งรูปดอกไม้เหล่านี้เข้าไปแล้ว ส่วนพืชพรรณนั้น ต้องไปเอาพระสารสาสน (เยรินี) มาขอให้ช่วยเปนผู้จัดการ ได้ตกลงกันว่าไม้ที่ปลูกด้วยหัวกำลังเปนฤดูลงอยู่ในเวลานี้ จะให้ได้ส่งหัวเข้าไปก่อน เม็ดที่ควรจะได้ก็ให้ส่ง แต่ไม้ที่ต้องเอาตอเอากิ่งเข้าไป ซึ่งเปนฤดูล่า จะได้ต่อเดือนตุลาคมนั้น จะไว้คอยส่งลงเรือเมล์ที่พ่อจะกลับทีเดียว จะได้ดูแลรักษาไปได้ ส่วนไม้ที่ส่งล่วงน่าไปก่อนนั้น พ่อสั่งให้แกพูดตรงกับกรมดำรง เมื่อได้ส่งอะไรบ้างจึงบอกให้รู้ เพราะพ่อจะไปเสียที่อื่นๆ ต่อไปอิก

อนึ่งลืมบอกเมื่อวานนี้ ว่าพืชพรรณต้นไม้เหล่านี้มิใช่เปนของเกิดในตำบลนี้ เช่นต้นออลิฟ มันเปนต้นไม้ที่ปาเลสไตน ซึ่งเปนประเทศร้อนมากหนาวมาก นำมาปลูกที่เมืองปาเลอร์โม เกาะซิซีลีก่อนแล้ว จึงนำมาปลูกที่นี่ ส้มแมนดารินก็มาแต่เมืองจีน ต้นกุหลาบก็มาแต่เมืองเปอเซีย มันเหมาะกับประเทศแลเลี้ยงดีก็ยืดยาวอยู่ได้ เพราะฉนั้นต้นไม้บางอย่างอาจเปนได้ในบ้านเราดี เช่นเล็บมังกรที่เขาปลูกปล่อยให้ยื่นตามพนักหว่างลูกมหวดสีชมภูสีแดง แลสุดๆ ตาที่นี่ เคยเปนในบ้านเราง่ายที่สุด แต่มันตายเสียพร้อมกับพระยาสมบัตยาธิบาล (ปาน) ต้นกำมะหยี่ปลูกที่ไหนที่ไหนก็เปน เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจว่ายังมี แต่ไม่ได้ระวังรักษา จืดกันไปก็สาบสูญไปเสีย ถ้าจับเล่นกันอิก รักษาพืชพรรณไว้ คงจะไปได้เท่าไรๆ ไม่มีที่สุด พระสารสาสน์นี้ดีที่รู้ภาษาไทย แต่ต้องคำกรมประจักษ์ที่เรียกว่า “อรรคภาษา” อยู่หน่อย เช่นกับแกเอ่ยขึ้นว่า รูปเทพวิญญาณแลผู้วิเศษ ผู้วิเศษนั้นเข้าใจได้ว่าเซนต์ เทพวิญญาณถึงต้องถามว่าแปลว่าอะไร ภาษาไทยต้องกลับแปลออกเปนภาษาฝรั่ง ว่าเอนเยล จึงได้เข้าใจ ดังนี้ พ่อสั่งให้เขียนชื่อทั้งภาษาละตินแลภาษาอิตาเลียนฤๅอังกฤษ แล้วให้มีคำอธิบายวิธีที่จะปลูกฤๅเพาะให้มีบอกวิธีผสมดิน ถ้าหากว่าคำที่แปลกซึ่งไม่มีในภาษาไทยตรงๆ ให้เขียนคำอังกฤษกำกับลงไว้ด้วย เปนที่เข้าใจเรียบร้อยกันแล้วดังนี้

วันนี้เปนวันที่พ่อตั้งใจจะจบลงไว้ตอนหนึ่ง จะส่งสำหรับไปเมล์วันพุฒอิกคราวหนึ่งส่งเมล์วันอาทิตย์ต่อไปตามลำดับ เพราะฉนั้น น่าจะบอกอาการต่อเสียสักนิดหนึ่ง ว่าตั้งแต่หมอได้ทายาจมูกแลยาฅอมานี้ เสมหะน้อยลงทุกวัน จมูกโปร่งอยู่ไม่มีขัดข้อง นับว่าเปนถูกแน่ ยังแต่เรื่องท้อง ซึ่งพึ่งได้กินยาหมอใหม่นี้แต่สองวัน เลิกยาเก่าหมดยังไม่ทันจะเห็นคุณว่าเปนอย่างไร หมอที่มาใหม่เช่นนี้ กว่าจะรู้จักร่างกายคนไข้ ก็จำจะต้องช้าอยู่หน่อยหนึ่งเปนธรรมดา แต่ควรเชื่อได้ไว้ในเวลานี้ว่า การที่มาไม่ใช่ขาดทุน ไม่เสมอตัวก็มีแต่จะดีขึ้นถ่ายเดียว นับว่าการที่มาครั้งนี้เปนความคิดถูกต้องแลมีประโยชน์เปนอันมาก มีโรคที่รักษาไม่หายอย่างเดียวแต่เรื่องคิดถึงบ้าน ถ้าเวลาใจรอนๆ ขึ้นมา ตัดความสนุกแลความสบายลงไปได้หมด มีทางแก้แต่นึกถึงวันกลับไปถึงบ้านใจฅอจะเปนอย่างไร นั่นแลค่อยพาให้ชื่นบานยิ้มแย้ม ถ้าบอกศักราชขึ้นมาเมื่อใด ดุ๊กโกรธนักว่าใจหาย วันข้างน่ามันยังมาก อยู่มากาลวันหนึ่ง พ่อบอกกรมสมมตว่า มะรืนนี้จะเหลือเรือนร้อย ดุ๊กแอบมาได้ยินตาลุกตาชันว่าอะไรร้อยหนึ่งเท่านั้นฤๅ ครั้นได้ความว่าร้อยเก้าสิบเก้าวันก็สั่นหัว แต่ที่จริงพ่ออร่อยแล้วที่ลบเลข ๒ เปนเลข ๑ เสียเท่านั้น อย่าเอา ๓๐ เข้าไปหาร ถ้าเอา ๓๐ หารเข้าเมื่อไรก็ใจฝ่อ ที่จริงจะนับว่าวันมันช้าก็ไม่สู้ช้านัก แต่วันมันมากเอง ถ้าเลี้ยงเด็กก็โตได้ถนัดใจ ขอจบกันเท่านั้นที

จุฬาลงกรณ์ ป. ร.



[๑๑๘] ดุ๊กออฟยะนัว เปนน้าของพระเจ้าแผ่นดินอิตาลี เคยเข้ามากรุงเทพฯ

[๑๑๙] งมหมู เปนคำแผลงว่า ช้างมงาย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ