พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๐

กระบวรเสด็จประพาศทางบกที่นอรเว

กระบวรเสด็จประพาศทางบกที่นอรเว

เมืองโบลเด

 

เมืองโบลเด

 

คืนที่ ๑๑๓

เรืออัลเบียน

วันพุฒที่ ๑๗ กรกฏาคม ร.ศก ๑๒๖

หญิงน้อย

เรือมาถึงคริสเชียนซุนด์เวลาเที่ยง เมืองนี้เปนตำบลใหญ่ในที่หาปลาทั้งปวง ที่ซึ่งตั้งเมืองเข้าทีมาก คือตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่ง เปนเกาะใหญ่ แล้วมีเกาะย่อมกว่า ๒ เกาะตั้งบังอยู่ข้างน่า เพราะฉนั้นจึงแลดูที่ซึ่งทอดเรือเหมือนอย่างอยู่ในคอกฤๅในกำแพง ซึ่งมีประตูสามช่อง ออกจะได้ระยะกันในสามช่องนั้น เมืองตั้งอยู่ที่เกาะใหญ่ บ้านเรือนติดต่อกันมาก ส่วนเกาะเล็กทั้งสองเกาะ มีบ้านเรือนเปนหมู่ๆ ตั้งอยู่ตรงสองฟากปากช่องซึ่งจะเข้าไปในอ่าวนั้น ว่าเอาว่า ๖ หย่อม ไม่นับที่กระจัดกระจาย รวมเปนบ้านเรือนรอบอ่าวทเลซึ่งไม่สู้ใหญ่เท่าไร แต่ดูงามประหลาดมาก ที่นี่ควรนับว่าเปนเมืองที่ไม่สู้ต้องนับว่าเมืองโดยเกรงใจ เพราะมีคนมากถึงหมื่นสองพันคน แต่พ่อไม่ได้ขึ้นบก เพราะอยู่ในเรือก็ออกเกือบจะเห็นทั่ว ไม่สู้ประหลาดอันใด ให้แต่อาลเบอสขึ้นไปรับหนังสือเมล์ หนังสือคราวนี้เปนพวกวันที่ ๗ วันที่ ๘ มิถุนายน ซึ่งจรูญส่งมา แล้วออกเรือจากที่นั้นมาถึงโมลเดเวลาบ่าย ๕ โมง ตำบลโมลเดนี้เปนตำบลซึ่งเจ้าแผ่นดินนอรเวได้แนะนำให้แวะให้ได้ เพราะเปนที่งามแลมีคุณวิเศษกว่าตำบลอื่น ด้วยเหตุว่าเปนเมืองที่ตั้งอยู่บนเกาะ ซึ่งมีต้นไม้บริบูรณ์ แลแวดล้อมไปด้วยภูเขาสูงสำหรับบังลมทเล ในโมลเดฟยอดนั้น น้ำนิ่งอยู่เสมอเหมือนอย่างในทเลสาบ ที่ตั้งเมืองเปนเมืองงามอย่างยิ่งแห่งหนึ่งในนอรเว เพราะมีเขาเปนเครื่องบังลม จึงได้มีอากาศพอประมาณไม่สู้หนาวจัด ต้นไม้พืชพรรณอะไรเปนได้ดีบริบูรณ์ กล่าวว่ามีดอกไม้งามๆ คือกุหลาบต่างๆ แลฮอนนีซักเกลส์แลดอกไม้หอมอื่นๆ เขาพรรณนาว่าได้กลิ่นกรุ่นไประคนกับแชรีป่า ซึ่งมีอยู่ตามเขา บ้านเรือนทำด้วยไม้ทาสีสดๆ ทั้งนั้น ตั้งอยู่ในกลางสวน มีโฮเตลใหญ่ๆ สำหรับพวกนักเลงเที่ยวมาหยุดพักถึงสองโฮเตล มีถนนดีแลอะเวนิวต้นไม้ใหญ่ ในที่ทอดเรือนั้นแลไปเห็นเขา ที่เปนเทือกยาวยอดแหลมๆ สูงๆ มีสโนปกคลุมติดเนื่องกันไป ตรงกันข้ามคนละฟากกับโมลเด ซึ่งเปนสีเขียวเข้ม ข้างหลังเมืองออกไปมีเขาสูงซ้อนอยู่อิกชั้นหนึ่ง เรียกว่าวาเดนสูง ๑๓๐๐ ฟิต คำยกย่องของเมืองนี้ถึงกับเรียกว่าเมืองดอกกุหลาบ ตั้งอยู่ข้างเหนือสูงกว่าเมืองเซนต์ปิเตอสเบิค ๓ ดีกรี

ข้อที่จดลงนี้แปลว่าหมดทุน เพราะไม่มีสิ่งใดซึ่งจะสังเกตเห็นเองได้เท่าที่เขาเขียนไว้นี้เลย เพราะตั้งแต่ยังไม่ทันถึงจนกระทั่งมาถึงฝนก็ตกเรื่อย หมอกลง เขาที่กล่าวว่าเปนแนวยาวสโนคลุมอยู่ภายนอกด้านตรงเมืองข้ามนั้น ได้เห็นสักครั้งหนึ่งฤๅสองครั้ง ในเวลาฝนซาหมอกเกลื่อน หาไม่ก็อยู่ในหมอก แลไม่เห็นหายเสียแล้ว เหลือแต่เทือกเขาเตี้ยๆ ริมน้ำซึ่งมีต้นไม้สักแต่พอเห็นว่าเปนขอบข้างนอก ส่วนด้านข้างในเขาสูงหลังเมืองใกล้หน่อย ค่อยได้เห็นหน้าเห็นตากันหลายครั้ง แต่โดยมากก็อยู่ในเหมือนเอาผ้าโปร่งดำคลุม แต่ส่วนเขาที่ตั้งเมืองนั้นแลเห็นได้ถนัด เปนเมืองที่ตะแคงลงหาทเล แลเห็นป่าไม้แลทุ่งหญ้า บ้านเรือนซ้อนกันเปนชั้นๆ ท่วงทีจะสนุกแลสบายดีอยู่ ได้ตั้งใจคอยช่องที่จะให้ฝนหายอยู่จนบัดนี้ทุ่มหนึ่งแล้ว แต่ซาก็ยังไม่ใคร่จะซาให้ จะค้างคืนอยู่ดูต่อพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ เพราะวันในโปรแกรมเราหมดทางที่จะไปถึงอันดัลสเนส์ ถึง ๑๐ ชั่วโมง จะต้องขึ้นบกระยะทาง ๔ ชั่วโมงครึ่งจึงจะถึงที่กินกลางวัน จำจะต้องไปถึงแต่เช้า จึงเปนอันน่าที่จะไม่ได้ขึ้นโมลเด คิดเห็นว่าถ้าจะรอไปส่งหนังสือเมล์ที่อื่น ไม่แน่เหมือนจะส่งเสียที่นี่ จึงได้รีบตัดรายวันส่ง เพราะวันที่ยังจะอยู่ในนอรเวอิกถึง ๑๕ วัน รอส่งช้าไปลูกจะบ่นว่าหนังสือขาดระยะ ได้รับโทรเลขที่นี่ด้วย ข้อความที่บอกไปถึงเจ้าเม้า ว่าพ่อกลับแล้ว แต่ดุ๊กยังไม่กลับนั้นเปนความจริงด้วย แต่ความมันเคลือบกันอยู่ อยากจะล้อแกเล่น แกก็ฉุนให้ แต่ออกจะเข้าใจว่าถ้าดุ๊กอยู่คงอยู่ด้วยพ่อใช้เพราะแกอยู่ปารีส ถ้าแกขึ้นมาเบอลินอิก ๒๐ วันแกถึงจะได้กลับ ถ้าแกไม่ขึ้นมาอึ้ดอยู่ปารีสก็อิกเดือนหนึ่งถึงจะได้กลับ พ่อไปกลับมาเสียแต่เหนือเกือบจะถึงหัวโลก จึงได้กลายเปนกลับเร็วกว่าดุ๊ก เผอินปฏิทินตามี กรมดำรงส่งมาให้พึ่งจะได้รับ ได้ลองแบ่งจำนวนวันออกเปนสามส่วน ฉีกตอนข้างต้นทิ้งเสียส่วนหนึ่ง เหลือตอนกลางไว้ รู้ได้ว่านี่เรายังจะต้องเที่ยวเตร็จเตร่อยู่อิกถึงเท่านี้ ให้รู้สึกอึ้ดท้อแท้ในใจขึ้นมาเปนอันมาก ดูมันเท่าๆ กันกับอ้ายที่เหลืออยู่ข้างล่าง จึงได้จดเลขนับ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน เปนปฏิโลมขึ้นมาได้ถึง ๑๒๓ ใบ วันที่ ๒๒ ถึงจะได้ครึ่ง ในกำลังท้อแท้อยู่นี้กรมสมมตเตือน ว่าถ้าเลขเหลือแต่สองตัวจะโล่งขึ้นดอกกระมัง จึงได้ลองนับลงไปถึง ๙๙ ดู ใจคอค่อยเฟื่องฟื้นขึ้น ใช้ได้

เอมเปอเรอเยอรมันทิ้งเรือไว้ที่นี่หลายลำ มีเรือรบสองลำ เรือตอปิโดเฟิสต์คลาส ๕ ลำ ข่าวว่าจะเสด็จกลับมาถึงในค่ำวันนี้ พ่อคงหลุดไปก่อนแล้วเพราะอยู่ได้อย่างช้าเพียง ๕ ทุ่มเท่านั้น อาลเบอสขึ้นไปส่งหนังสือเมล์ กลับลงมาแล้วก็เห็นจะออกได้

อนึ่งได้ทราบว่าเอมเปรสยูยินี เมียนะโปเลียนที่สามเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส ซึ่งอยู่เมืองอังกฤษ ได้มาถึงภายหลังพ่อด้วยเรือยอตช์ลำหนึ่งคล้ายๆ ของเรา ชักธงคลับใดคลับหนึ่ง มาจอดอยู่ไม่ช้าก็ออกเรือไป เห็นจะมาหยุดรับหนังสือ เคยมาเที่ยวตามแถบนี้บ่อยๆ แลคงไม่อยากพบเยอรมันเอมเปอเรอด้วยเปนแน่

พ่อได้รับโปสต์ก๊าดมิสเตอลอเรนต์เซน กงสุลเยเนอราล ของเราที่คริสเตียเนียส่งมา มีรูปพ่อกับกิงฮอกอนเดินจากตพานน้ำอย่างหนึ่ง เวลาขึ้นบนรถนั่งเคียงกันบริพัตรนั่งน่าอย่างหนึ่ง เฉภาะได้มาเมื่อเวลาไปส่งหนังสือกลับลงมา จะส่งก็ไม่ทัน จะได้รีบส่งที่แห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งจะส่งได้ ภาษานอรวิเยียนเรียกเจ้าแผ่นดินว่ากอง เรียกกวีนว่าโดรนนิง เพราะฉนั้นถ้าจะอ่านหนังสือในนั้นจะได้เข้าใจ ฝนตกหาเวลาหยุดมิได้ ตกลงกันว่าเวลาจะไม่พอ ควรจะไปเมร็อกทีเดียว จึงได้ออกเรือเวลาทุ่มเศษ ละตำบลที่กะว่าจะแวะแต่ก่อนนั้นเสียตรงไปเมร็อกทีเดียว ทางที่มามีเกาะบังตลอดเหมือนเดินในคลอง ไม่มีคลื่นลมอันใดเลย

• • • • • • • • •

เมร็อค

 

รูปทรงถ่ายกรมขุนสมมตอมรพันธุ์ กับข้าราชการตามเสด็จประพาศที่นอรเว

รูปทรงถ่ายกรมขุนสมมตอมรพันธุ์ กับข้าราชการตามเสด็จประพาศที่นอรเว

คืนที่ ๑๑๔

ตำบล กรอตลิต

วันพฤหัศบดีที่ ๑๘ กรกฏาคม ร.ศ. ๑๒๖

เมื่อคืนนี้เรือถึง เมร็อก เวลา ๑๐ ทุ่ม ตื่นเวลาโมงเศษ ลุกขึ้นกินเช้า นึกว่าวันนี้เห็นจะรอดตัวฝนไม่ตก พอกินเสร็จฉวยกล้องจะไปถ่ายรูป ฝนก็ร่วงลงมา ไม่ใช่ร่วงน้อยๆ เสียดายเต็มที เพราะในฟยอดนี้งามมาก เรือเราเข้าจอดแอบริมฝั่ง จนยืนที่ในแคบิน ไม่แลเห็นว่าฝั่งสูงเพียงใด เปนน่าผาชันกรวดที่ชวากอันเปนทางจะขึ้น แลเห็นน้ำตกโตๆ เปนสายขาวๆ ไปถึง ๔-๕ สาย สูงจดหมอกด้านข้างนอกก็เปนเขาสูง มีสโนปกคลุมไปรอบ ตกลงเปนเลยไม่ได้รูปเมร็อก ถ้าจะถ่ายที่กราบเรือไม่ต้องเปียกฝน ซึ่งไม่ดีเหมือนบนดาดฟ้า แต่ก็คงยังจะได้รูป นี่ฝนไม่ให้ถ่ายเสียเลย จึงหมดตำรากันเท่านั้น

ต้องขืนขึ้นบกทั้งกำลังฝน เวลา ๓ โมงครึ่ง แต่แบ่งกันขึ้นไปเพียงชาย ๒ คน กรมสมมต พระยาชลยุทธ หม่อมนเรนทร์ พระยาบุรุษ ตาอ้น หมอแลอาลเบอส นอกนั้นก็มีแต่บ่าวฝรั่ง เพราะได้แบ่งเสื้อผ้าไปแต่เฉภาะที่จะแต่งตัว บรรจุย่าม ที่ท่ามีเรือนสองสามหลัง ชายหญิงเด็กผู้ใหญ่สักสิบเอ็ดสิบสองคน มีรถเทียมม้าคู่ ๓ รถ มีประทุน รถไม่มีประทุนทาเหลือง สำหรับใช้ขึ้นเขา เทียมม้าเดี่ยวสำหรับคนคัน ๑ บรรทุกของที่จะต้องใช้ทันทีคัน ๑ กองลำเลียงบรรทุกหีบ ๓ หลัง คนไม่ได้ขึ้นขับม้า ใช้จูงเดิน เปนหมดขบวนเสด็จพระราชดำเนินเท่านี้

ม้าเมืองนี้รูปร่างแปลก ขนาดโตสักเท่าม้าแซนดลวู๊ด ซึ่งเห็นที่ชวา แต่ข้อลำโตกว่า ฅอหนาท่วงที่แขงแรง แต่ไม่เห็นมีสีอื่นนอกจากสีกะเลียว แก่บ้างอ่อนบ้าง ไม่ใช่แต่ในขบวนเสด็จของเรา พบตามทางก็เปนเช่นนั้นทั้งสิ้น

ทางที่ขึ้นกว้างประมาณ ๘ ศอก ขึ้นเวียนไปเวียนมาอย่างที่เรียกว่า ซิกแซก แต่ไม่มีชันในที่ใดเลย รถขึ้นได้สดวกดีกว่าที่ชวาเปนอันมาก ไม่มีการเฆี่ยนม้าเควี้ยวๆ อย่างที่ชวา ปล่อยให้ม้าเดินย่องขึ้นไปช้าๆ เครื่องที่สำหรับกันตกนั้น ใช้ศิลาโตกว่าที่อิตาลีมาก สูงประมาณ ๒ ศอก ตั้งระยะถี่ ห่างกันอยู่ในศอกคืบแล ๒ ศอก ดูติดแน่นแขงแรงโดยม้าจะลำพองบ้าง เปนไม่มีที่จะพลาดพลัดตก ที่เขาทำได้ทั้งนี้ เพราะศิลาอุดมเหลือเกิน ไม่พักต้องต่อยทลายลงมากลิ้งอยู่ข้างๆ ทางมากมายก่ายกอง ไม่ใช่เปนศิลากลมลบเหลี่ยมทลายลงมา เปนศิลามีเหลี่ยมเปนแท่งแหลมๆ ทลายลงด้วยแรงน้ำ ด้วยเหตุที่จะไม่ให้ทางชัน ทางทบไปทบมาจึงได้ถี่ หม่อมนเรนทร์แลอาลเบอสเขาลงเดินได้ ลัดขึ้นไปคอยอยู่น่ารถนานๆ

คั่นที่ ๑ สูงประมาณ ๑๐๐ เมเตอร์เศษ มีโฮเตลไม้ตั้งหลังหนึ่ง อยู่สูนย์กลางหว่างช่องเขา แลลงมาเห็นวิ้วข้างล่างงาม เรียกชื่อว่าโฮเตลอุนิอน ตามเสียงชาวนอรวิเยียน ก็คือ ยูเนียน ในคำอังกฤษ มีร้านขายของที่ทางขึ้นร้านหนึ่ง ที่ริมโฮเตลนั้นอิกร้านหนึ่ง ขายโปสต์ก๊าดรูปหนังสัตว์ที่มีขน แลเครื่องไม้เขียนสี ไม่ได้หยุด ขึ้นจากที่นั้นต่อไปอย่างเดียวกัน ทาง ๒๐๐ เมเตอร์เศษ มีโฮเตลอิกหลังหนึ่งเรียกว่าอุซิกเต็น แล้วมีแปลลงไว้ด้วยว่า เบลวู ซึ่งพ่อตั้งไว้ว่า เปนวัดสว่างอารมณ์ ที่นี่ได้หยุดพักซื้อของ ซึ่งเปนอย่างเดียวกันกับสองร้านที่ล่วงมาแล้ว แลได้แวะในโฮเตลหน่อยหนึ่งด้วย ผู้หญิงเขาให้ดอกกุหลาบสามดอก สีบานเย็น ดอกใหญ่งามดี ซึ่งมีดอกกุหลาบในที่นี้สำแดงว่าโฮเตลตั้งอยู่ในที่กำบัง ไม่หนาวเกินไป แลเปนที่ซึ่งสโนไม่ขัง พืชพรรณ์ไม้จึงได้งอกงาม แต่ในระหว่างทางที่มานั้น แลเห็นปรากฎชัดว่ามีน้ำพุซึ่งเปนสายใหญ่ยิ่งสี่สาย รายตกมาแต่ยอดเขาซึ่งล้อมอยู่โดยรอบนั้นหลายลูกด้วยกัน ล้วนแต่ยอดอยู่ในหมอกทั้งสิ้น แต่การที่เห็นน้ำพุซึ่งนับว่าสี่สายนี้ ถ้านับตามอย่างบ้านเรามีอยู่ เช่นที่เกาะพงันเปนต้น ว่าพุหนึ่งแล้ว เห็นจะเรือนร้อย ขึ้นไปก็เปลี่ยนไปทุกที ประเดี๋ยวตกเช่นนั้น ประเดี๋ยวตกเช่นนี้ เปนลำธารบ้าง เปนคลองน้ำเชี่ยวบ้างพ้นที่จะพรรณาได้

ขึ้นจากโฮเตลนี้ ไม่มีอะไรต่อไปอิกนอกจากนานๆ จะพบโรงไม้เปนโรงรูปธรรมดา มุงหลังคาด้วยไม้ขอน แล้วถมดินให้หญ้างอกซึ่งมีอยู่ในที่อื่นๆ ก็หลายแห่ง แต่พ่อไม่เคยเล่าถึงเลย คนที่อยู่ตามระยะทางเช่นนี้ ได้ความว่าเปนพวกทำถนนเปนคนของรัฐบาล ยิ่งขึ้นมาข้างบนยิ่งเห็นน้ำพุมากขึ้น จนหนทางที่ทบไปทบมานั้นต้องมีสพานข้ามน้ำพุ ทบละสพานหนึ่งบ้างสองสพานบ้าง จนกระทั่งถึงระยะ ๓๐๐ เมเตอร์ไปหา ๔๐๐ ซึ่งเปนทางเด่นอยู่บนไหล่เขา แลเห็นน้ำในฟยอด ลืมกล่าวถึงชื่อฟยอด เขาเรียกว่าไกรังเงอ ที่เรือเรามาจอด แลเห็นเรือยอตช์แต่ไม่เห็นลำ เห็นเสากระโดงเท่านั้น คำที่กล่าวว่าเท่านั้นเมเตอเท่านี้เมเตอนั้น ไม่ใช่ยาวของหนทาง วัดโดยสูงขึ้นมาจากพื้นทเล เมื่อตั้งแต่ ๓๐๐ เศษไปแล้ว นับว่าขึ้นถึงยอดเขา แต่เปนเขาต่ำๆ มียอดที่สูงๆ ซึ่งเราแลแหงนตั้งบ่า อยู่รอบไป เมื่อแลลงไปข้างล่าง แลเห็นยอดซึ่งเรากล่าวว่าสูง เมื่ออยู่ในทเลนั้น ต่ำลงไปอยู่กว่าเราเสียแล้ว บางเวลาก็เข้าหมอกเห็นคลํ้าเปนเงาๆ ต่อขึ้นมานี้เปนทางเวียนไปบนยอดเขาต่ำขึ้นไปหาสูง ตั้งแต่ระยะ ๔๐๐ ขึ้นไป จนกระทั่งถึง ๘๐๐ เมเตอร์ มีพืชพรรณต้นไม้ต่างๆ ที่มีดอกสลับสีกันเช่นดอกเหลืองเหลืองๆ เล็ก เรียกว่าบัตเตอคัป ดอกสีน้ำเงิน เรียกว่าปลูเบล ดอกสีม่วงเรียกว่าไวโอเลต ดอกสีสรรแลรูปพรรณเหมือนกับดอกบานไม่รู้โรยแต่เขื่องกว่า เรียกว่าโคลเวอ มีดอกที่ไม่รู้จักชื่อหลายอย่าง เช่นเปนช่อๆ เหมือนสร้อยไก่แต่เล็ก มีดอกขาวสองสามอย่าง อย่างหนึ่งขาวเปนปุยเหมือนฟ่าย รูปพรรณเหมือนพู่ขนห่านหมวกทหาร ดอกไม้เหล่านี้ขึ้นระคนปนกัน สลับสีเปนปูพรมมีเฟินก้านเขียว รูปพรรณสัณฐานเหมือนเฟินเงินเฟินทอง ขึ้นเปนหย่อมๆ ตอนต่ำๆ กอยังโตถึงศอกเศษ สูงขึ้นไปก็ยิ่งเล็กลง มีตะใคร่น้ำมอสตลอดหนทาง ยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งมากขึ้น เมื่อนั่งๆ ดูไปก็เห็นว่าเปนตัวจริงของการที่เขาเอาไปก่อเขาปลูกเฟินที่เรียกว่า เฟินนะรี แปลว่าเหมือนกันกับเล่นต้นไม้ดัด เอาต้นไม้มาเลี้ยงข่มขี่ให้อยู่ในที่แคบแล้วดัดโอนไปให้เข้าทีเหมือนต้นไม้ใหญ่ฉันใด อ้ายเฟินนะรีที่เอาไปก่อเขาให้มอสเกาะ ปลูกเฟินแทรกก็เลียนจากเขาที่จริงนี่เอง พ่อนึกถึงแม่ ถ้าหากว่าได้มาเห็นจะวุ่นใหญ่ จะต้องการอ้ายดอกอะไรต่ออะไร แลต้องการเฟินแลมอสนั้นเปนแน่ ไม่ต้องสงไสย เปนต้องแซะจริงๆ แต่ผู้ชายยังอยากแซะ แต่ถึงแซะเอาไปก็คงไม่ไปเต็มเมืองเหมือนกับผักตบ เพราะมันเกิดยากด้วยเมืองเรามันร้อน ที่กล่าวถึงผักตบขึ้นมานี้ เพราะได้ฟังจากหนังสือลูกโต เล่าถึงเรื่องคิดฆ่าผักตบดูเปนการเอะอะกันมาก

ตั้งแต่ ๘๐๐ เมเตอร์ไปแล้วนี้ ไปในระหว่างน้ำแขงที่เรียกว่า เกลเซียตลอดทั้งสองข้าง กรมสมมตก็มาได้สมความประสงค์ในที่นี้ เรื่องกรมสมมตประสงค์อยากจับสโนนี้ เปนการใหญ่มิใช่เล่น เมื่อวันไปขึ้นโรเชเดอเนย์ที่เตอริเตต์ (ในสวิตเซอแลนด์) หายสูญไปเสียทางไหนก็ไม่รู้จึงไม่ได้ขึ้น ได้ไปแต่ดุ๊ก ข้างฝ่ายดุ๊กนั่นก็ปลื้มเกินการ เพราะไม่ได้เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน มาเห็นเข้าคราวนี้ ลงลูบคลำเล่นเรื่อยแล้วกลับไปเล่าทับกรมสมมตใหญ่ กรมสมมตก็ลิงโลดอยากเห็นบ้าง ตั้งแต่นั้นมาก็คร่ำครวญถึงสโนติดปากอยู่เสมอ จนออกจะเปนคิดนิราศ ชายบริพัตรขันอยู่เสมอ ครั้นเมื่อมาจอดเรือที่โฮลันดฟยอดที่มีเกลเซียใหญ่ลงมาตกทเล พ่อไม่ได้ขึ้น กรมสมมตสู้จ้างคนให้ไปยกก้อนสโนที่ค้างอยู่นั้นมาที่เรือ เปนราคาโครนหนึ่ง เอามาลูบคลำเล่น แต่มันไม่ใช่เปนสโน มันกลายเปนน้ำแขงไปทั้งก้อน อยู่เปนนานจึงได้ละลายหมด ครั้นขึ้นมาวันนี้ พบสโนอยู่ริมทางสองข้าง ถึงลงจากรถเดินไป พอถึงสโนก็เอาไม้เท้าเขี่ยแล้วเอามือโกย แล้วเดินต่อไปอิกข้างหนึ่งเอาไม้เท้าเขี่ย แล้วหยิบกำเดาะไป ดูปลื้มราวกับได้พบพระอริยเจ้า พอรถพ่อเลี้ยวทางทบข้างบน แกมาทบข้างล่าง หน้าเจอกันเข้าร้องถามว่าอย่างไร ร้องตะโกนบอกมาว่า “สำเร็จแล้ว”

ทางที่ขึ้นมานี้ค่อยๆ หนาวมากขึ้นโดยลำดับ ถึง ๘๐๐ ออกสั่นๆ นั่งเร่งแต่เมื่อไรจะถึง ต้นไม้ก็ยิ่งน้อยลงไป เฟินก็ยิ่งเล็กลงไป มอสยิ่งมากขึ้น ลงปลายเกลเซียดาดตลอดทาง น้ำพุทไหลปึงปังก็หายกลายเปนไหลจ็อกๆ บ้างซ่าๆ บ้าง ไหลผ่านลงไปใต้เกลเซียบ้าง พอถึงป้าย ๑๐๐๐ เมเตอร์ช่างดีใจเสียจริงๆ อิก ๓๘ เมเตอร์จะถึงโฮเตลมัวชะเง้อไปชะเง้อมาถึงไม่รู้ตัว วิ่งเข้าไปผิงไฟทันที รวมระยะทางที่ขึ้นมา ๑๐๓๘ เมเตอร์ เปนสูงกว่าพื้นทเล ๒๕ เส้น ๑๙ วา ได้ให้เอาปรอดออกไปลอง ได้ความ ฟาเรนไฮต์ ๓๙ ดีกรี เซนติเกรต ๔ ดีกรี เปนขนาดฤดูหนาวในเมืองแก้ว กล่าวแล้วคือ ลึนดึน ยิ่งจวนจะมาถึงฝนก็ยิ่งตกมากลูกเห็บตกกราวๆ สโนก็ตกเปนฝอยขาวพรูพรั่งไม่ใคร่จะหยุด ติดเสื้อสารถีออกขาวไป รถพ่อได้เอาประทุนขึ้น มีผ้าคลุมขาแล้วเอาเสื้อฝนคลุมข้างน่า แต่พระยาชลยุทธนั่งตากฝน ใส่เสื้อฝนมาออกจะสั่นๆ ถ้าแดดแวมวามออกมาสักนิดหนึ่ง เออกันดีอกดีใจแต่ไม่ยักรู้สึกร้อน ฤๅเพียงแต่อุ่นก็ไม่มี ลางทีก็ไปสว่างเสียที่อื่นเฉยๆ โฮเตลนี้เรียกว่า ดยุ๊ปวัสฮุตเต็น พ่อก็เรียกไม่ถูก แปลว่า ดีปวอเตอร์หัต ซึ่งได้ชื่อว่า ดีปวอเตอร์หัตนี้ เพราะเปนเรือนหลังนิดเดียว ตั้งอยู่ริมห้วงน้ำใหญ่ ฤๅจะเรียกว่าทเลสาบก็ตามเถอะ ห้วงน้ำนี้กว้างขวาง มีเขาล้อมอยู่โดยรอบ เขานั้นดาดไปด้วยสโนขาวเปนกำแพงลงมาจนจดถึงน้ำ น้ำนั้นแขงพึ่งจะละลายได้สักครึ่งหนึ่ง พ่อออกจะปลื้มว่าได้เห็นวินเตอเมืองฝรั่งในฤดูร้อน ถ่ายรูปกันแล้วก็กินเข้า อาหารดีพอใช้ ทั้งที่ต้องไปพามาไกลเหลือเกิน ซ้ำได้กินปลาสดด้วย

เวลาบ่าย ๓ โมงครึ่ง ออกจากโฮเตลนี้ ฝนยิ่งตกหนักลงมาอิก ออกจะเกือบเปนฝนไทยๆ ต้องขึงหนังน่าประทุน ใส่เสื้อเฟอ พระยาชลยุทธถามคนขับรถว่า เมื่อไรจะไปถึงโฮเตลข้างน่า บอกว่า ๔ ชั่วโมง ลงต้องขืนว่าขอตัดเอาเพียงสองชั่วโมง ให้รีบขับอย่างเร็วที่สุดที่จะไปได้ พอเปนที่ตกลงกัน เพราะเหตุว่าทางไม่สู้จะชันนัก ไปราบๆ นูนเล็กน้อย เมื่อถึงยอดเขาถ้าที่ราบๆ ก็พอออกวิ่งได้หงิดๆ แต่ถ้าชันสักนิดหนึ่งต้องลงเดินลากก้ามอย่างเก่า มีรางที่สำหรับวางท่อน้ำมาให้ม้ากินน้ำ ทั้งสองระยะ ม้าก็ทนสาหัสขึ้นเขาสูงถึงเพียงนี้ไม่ยักหอบ ยังลืมเล่าถึงวิธีตัดทางซึ่งน่าดูเปนอย่างยิ่งนั้น เมื่อขึ้นชันมาถึงที่จะขึ้นสูงที่จะต้องทอดหนทางไกลมาก เขาแก้เสียไม่ให้ต้องทอด คือก่อสพานบรรจบที่สูงค่อยๆ ลาดลงไป วงกลมดิ่งทีเดียว เราขึ้นไปลอดโค้งใต้สพาน แล้วเวียนตามวงกลมขึ้นไปข้ามสพานที่ลอดไปนั้น รถข้างน่าข้ามสพานรถข้างหลังกำลังลอดสพานอยู่ ดูขันแลช่างคิดจริงๆ ทางที่มาตั้งแต่โฮเตลที่กินกลางวันไม่ใคร่งามอะไรเปนที่ราบๆ มาก แลมีดินมากขึ้นกว่าที่ชันๆ พื้นดินเหล่านั้นดูพึ่งเปนรอยน้ำลด คือสโนพึ่งละลายหมดไป หญ้ายังไม่ทันขึ้น มีรางให้น้ำตก ฟากข้างขวามือมีห้วงน้ำเรียงๆ กันมาย่อมหน่อย ๒ ห้วง แล้วออกจะเปนแม่น้ำ แลเปนห้วงน้ำใหญ่ แล้วเปนแม่น้ำต่อลงมาอิก แต่ที่แม่น้ำเหล่านี้เดินถึงกันไม่ใช่ทเลสาบ สันเขาผีปันน้ำอยู่ที่โฮเตลกินกลางวันนั้น ฝ่ายหนึ่งไปลงทางเมร็อก อิกฝ่ายหนึ่งไปลงคริสเตียเนีย ถ้าแลดูก็เหมือนกับฟยอดในทเล เว้นไว้แต่เปนน้ำจืด น้ำลึกเหมือนกัน ฝั่งก็เปนเขาแนวยาวดาดด้วยสโนเปนกำแพงมาตลอด ไม้ดอกที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ตั้งแต่ ๘๐๐ เมเตอร์มาแล้วมีบ้างไม่สู้มาก ตั้งแต่ ๑๐๐๐ มาแล้วจะว่าไม่มีเลยก็ได้ มีแต่มอสแลต้นไม้เล็กๆ สูงเพียงคืบหนึ่งแลคืบเศษ เปนแปรงๆ สโนแลฝนตกเรื่อยไม่หยุดหย่อน จนมาถึงโฮเตลนี้ เรียกว่ากรอตลิต เปนที่ลานแจ้ง โฮเตลใหญ่กว่าเพื่อน ว่าจุคนได้ถึง ๕๐ ทำล้วนแล้วแต่ด้วยไม้สนไม่ได้ทาสีทั้งสิ้น ก่อนที่จะทำอื่นวิ่งตลีตลานเข้าไปผิงไฟ เมื่อมาถึงเวลา ๕ โมง ๑๕ นาที

โฮเตลที่กรตลีต

 

ทางแยกที่กรตลีต

 

ภูมนิเทศรอบโฮเตลนี้ ด้านน่าเปนเขาสูง ดาดไปด้วยสโนเต็มไปทั้งนั้น มีโรงคนทำถนนอยู่ ๓-๔ หลัง ด้านข้างซ้ายมือแลเห็นห้วงน้ำ ซึ่งติดต่อมาแต่ตามทาง เปนคุ้งเปนแหลมเหมือนฟยอดในทเล จะหาต้นไม้สูงแต่สักต้นหนึ่งมิได้ มีแต่ก้อนศิลาปนกับมอสแลหญ้า หญ้าก็น้อยหนักหนา ด้านหลังก็มีเขาเปนเทือกยาวอย่างเดียวกันกับด้านน่า แต่ยังมียอดสูงๆ ชเง้ออยู่ข้างหลังอิก แลเห็นหนทางไปจนสุดสายตาถึงทางที่ขึ้นมาก็แลเห็นหนทางมาตลอด แลดูไกลๆ เหมือนเอาไม้เท้าขีดทรายเล่น

โฮเตลนี้ ถ้าว่าตามลักษณก็ดูเหมือนยังไม่แล้วเพราะไม่มีทาสีแห่งหนึ่งแห่งใดเลย แต่พ่อชอบ เหมือนเรือนตุ๊กตาฝรั่งที่เล่นเมื่อเด็กๆ จนกระทั่งโต๊ะ, เก้าอี้, เตียงนอน, ก็เหมือนเครื่องเฟอนิเชอตุ๊กตาที่ล้วงขึ้นมาจากหีบ กลิ่นเหม็นหรั่งๆ ที่นี่มีเตนต์ลัปอยู่หลังหนึ่ง มีลัปอยู่ครัวหนึ่ง เขาว่าอยู่ข้างจะบริบูรณ์แต่ไม่ได้ไปดู เพราะฝนตกไม่หยุดไม่หย่อนหนาวเต็มที มีโทรศัพท์จากที่นี่ไปถึงวิสเนส จากวิสเนสจึงมีโทรเลข แต่เขาก็ยังเก่งอยู่ โทรเลขดุ๊กมีมาแต่ลึนดึนเขายังตามส่งได้ถึงที่นี่ คิดถึงดุ๊ก ชอบที่สโนจริงๆ แกว่าเหมือนเมืองสวรรค์ สวรรค์นั้นไม่ใช่หมายอะไร นอกจากที่เขียนไว้ที่พระที่นั่งไพศาล พ่อออกจะเห็นจริงอย่างเดียว แต่ว่าถ้าเราเหาะได้ไปเที่ยวเล่นเช่นสมุทโฆษละเห็นหนาวเหลือทน จะต้องแต่งเฟอจนเหาะไม่ใคร่จะไหว กินเข้าเย็นกับเข้าดีแต่หนาว ทั้งโฮเตลมีเตาไฟอยู่สองเตา ที่ห้องนั่งเตาไฟอย่างเห็ดยํ้า[๑๙๒] เอาฟืนเข้าไปกองไฟดื้อๆ อุ่นสบายดี แต่เตาที่ห้องกินเข้าเปนเตาเหล็กไม่เปนเรื่อง ไม่อุ่นเท่าไร ไฟก็ไม่ใคร่จะติด เขาช่างไม่เตรียมสำหรับมืดเลย หมดทั้งโฮเตลจะมีที่จุดไฟได้อยู่ ๒ ห้อง แต่ห้องกินเข้ากับห้องนั่งนอกนั้นไม่มีโคมไฟอะไรเลย เพราะเตรียมน่าร้อน ซึ่งไม่รู้จักมืด โฮเตลทั้งหมดนี้ เปิดตั้งแต่กลางเดือนยูนไปจนถึงเดือนเสปเต็มเบอร์ ๓ เดือนโดยปรกติ นอกจากเวลานั้นปิด ไม่มีใครหาญขึ้นมาต่อหนาว แต่ในปีนี้พึ่งจะเปิดเมื่อเดือนยูไลนี้เอง เพราะหนาวล่ามากจนกระทั่งวันนี้ก็ที่ ๑๘ แล้วยังไม่มีคน มีแต่นายทหารสองคน คนหนึ่งเปนนายพันเสนาธิการขึ้นมาตรวจภูมนิเทศ ไม่แต่ตำบลนี้ จนโมลเดที่แวะแล้วแต่ไม่ได้ขึ้น เมื่อวานนี้ตาเจ้าท่าลงมาพูดในเรือว่า ตั้งแต่ ๑๐ ปีมาแล้ว ไม่เคยเหมือนอย่างปีนี้ ทั้งฝนทั้งหนาว จนไม่มีใครมาเที่ยว นายทหารบอกว่าที่บนนี้อาจจะร้อนได้ถึง ๒๕ ดีกรีเซนติเกรต คือ ๗๗ ดีกรีฟาเรนไฮต์ เปนอย่างร้อนที่สุดของตำบลนี้ ปรอดเวลาค่ำนี้ยืนเหมือนเมื่อเวลากลางวัน เพราะฝนแลสโนออกสงบ

เวลาจวนยามหนึ่งแล้ว ให้พระยาชลยุทธไปตามลัปผู้ชายที่ตั้งเตนต์อยู่ใกล้ที่นี้ขึ้นมาไล่เลียง ถามเปนคำให้การแลตรวจเครื่องแต่งตัว ได้ความดังต่อไปนี้

การแต่งตัว สรวมกางเกงดรอชั้นในสีขาวๆ กางเกงชั้นนอกสีน้ำเงินขลิบแดง ขาแคบ สั้นเพียงน่อง สรวมรองเท้าเย็บด้วยหนังเรนเดียร์ รูปอ้วนเหมือนตะเภา แต่ปลายงอนเหมือนเกือกแขกกว้างกว่าตีนเปนอันมาก ภายในเอาหญ้ายัด ไม่มีถุงเท้า ที่ข้อเท้ารวบเข้าเหมือนปากถุง แล้วรัดด้วยสายแถบเสียสองรอบ จึงเอากางเกงชั้นนอกคลุมปากถุงนั้นลงไป พันด้วยสายแถบขึ้นมาอิกจนถึงครึ่งน่อง แล้วแยกเชือกที่ปลายติดภู่ เย็บติดอยู่กับแถบนั้นออกเปนสอง ผูกเพียงครึ่งน่อง เสื้อชั้นในไม่ได้ขอถอดออกดู เพราะกลัวจะ “ไม่” ด้วยการถอดเกือกนั้นก็ออกจะไม่สู้ง่าย เสื้อชั้นนอกออกจะเปนรูปเสื้อฝีพายลำทรง แต่ไม่ผ่าตลอด แหวะลงมาเพียงน่าอก มีดุมขัดอยู่เม็ดหนึ่งราวไหปลาร้า แต่ฅอเสื้อนั้นเหมือนเสื้อครุยตั้งกว้างขึ้นไปจดผมตก สีเสื้อใช้น้ำเงินแก่ ประดับแถบสีสลับรอบขอบเสื้อแลตั้งแต่ไหล่ลงมาครึ่งแขนเปน ๓ ริ้ว ริ้วหนึ่งมีสีแดงกับสีเหลืองเคียงกัน คาดสายหนังรัดเอว กว้างด้านน่าสัก ๖ นิ้ว ด้านหลังเกือบคืบ ๑ หนังดำ ห้อยมีดอย่างนอรวิเยียน หมวกเปนหมวกแก็บแต่กลางปล่อยขึ้นไปเปนฝาชี มีภู่กลมสั้นโตขนาดเท่าดอกกระทุ่ม กระบังหน้าหนังดำ เสื้อนั้นหลวมมาก ชักขึ้นไว้ให้หย่อนบนสายรัดเอว เพราะฉนั้นดูรูปจึงกางอยู่ข้างบน เสร็จสิ้นเรื่องแต่งตัวเท่านี้ ซื้อผ้าตลาดมาเย็บเอาเอง

ที่อยู่ น่าหนาวอยู่เรือน แต่เรือนนั้นอยู่สูงๆ ขึ้นไปกว่าที่นี้ น่าร้อนจึงออกอยู่เตนต์ ว่าสบายเช่นนั้น เมื่อไล่เลียงดูหมด เห็นว่าเปนการสดวกมากกว่าสบาย คือเปนเวลาที่ผู้คนไปมาคอยเที่ยวรับจ้าง นึกจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ในที่ใกล้ๆ ซึ่งจะหางานได้ ถ้าน่าหนาวมีเวลาที่ออกจากเรือนไปควบคุมเรนเดียร์ในที่ไกลๆ แต่งตัวล้วนแล้วด้วยหนังหุ้มมิดเว้นไว้แต่หน้า เมื่อถึงยามจะนอนๆ ลงไปในกลางสโนก็ได้ ไม่ชื้นถึงภายใน ไม่หนาว

อาหารที่กิน ซื้อขนมปังเขากิน มีกาแฟ ถ้าน่าหนาวยิงนกยิงเนื้อได้เพราะไม่ห้าม ยิงปืนเปน กินอาหารไม่เลือกว่าอะไร เว้นแต่ไม่ทำการเพาะปลูก อาหารมีนมเรนเดียร์มาก ว่ารศนมเรนเดียร์นั้นคล้ายกับนมเปรี้ยว รศดีกว่านมโค ถือสาสนาคริสเตียน รู้หนังสือ ทั้งภาษานอรวิเยียนแลภาษาลัป แต่หนังสือลัปนั้นไม่มีตัวอักษร ใช้อักษรนอรวิเยียน อย่างพวกบาดหลวงไปสอนคนเข้ารีตให้เขียนภาษาไทยด้วยตัวโรมัน ถ้าตายบรรจุโลงฝังไว้ในสโนแห่งหนึ่งแห่งใด เมื่อถึงน่าร้อนจึงขุดไปฝังที่ป่าช้า ป่าช้าลัปมีเฉภาะ

การที่จะหากินให้ได้เงินซื้อเสบียงอาหารแลเครื่องนุ่งห่ม ถ้าเปนพวกลัปชาวดอน คงมีเรนเดียร์ประมาณครัวละ ๑๐๐ ตัว รีดนมทำเนยขาย อาหารของเรนเดียร์นั้นคือมอสสีขาวๆ เหมือนสีต้นแอหนัง เปนชอบกินมาก แต่ถึงเขียวก็กินได้ ไม่จำเปนที่จะต้องตากแห้งไว้ ใช้เหมือนอย่างเช่นม้าฤๅโค ต้องหาหญ้าแห้งให้กินในเวลาน่าหนาว เรนเดียร์อาจจะขุดมอสซึ่งอยู่ใต้สโนทับเบื้องบนลึกถึง ๔ ศอกขึ้นมากินได้ นอกจากใช้น้ำนมใช้เทียมเลื่อนรับจ้างลากสิ่งของ มีกระดานเปนต้น ถ้าเปนพวกลัปทเลก็ลงหาปลา ปนไปกับพวกสวีดแลนอรวิเยียน ในที่สูงๆ ขึ้นไปเปนหมู่สำนักพวกลัป มีหัวน่าควบคุมกัน แต่ถ้อยความไม่มี ถ้าไม่พอใจกันก็ต่างคนต่างแยกไป

ได้ความโดยสังเขปเช่นนี้ รวบรวมใจความก็เปนอย่างคนๆ เรานี่เอง ซึ่งรักษาเพศลัปอยู่ ทั้งการแต่งตัว ก็ดูเหมือนจะเปนการสดวกแก่ทางหากินของเขาเท่านั้น ฤๅจะเปนการสดวกอิกอย่างหนึ่งที่จะสกปรกอย่างไรๆ ก็ไม่มีใครจะถือ ด้วยสันนิฐานกันเสียว่าเปนชาติป่าชาติต่ำ แลเปื้อนเปรอะคะมุกคะมอมอยู่เปนนิจ แต่ชอบจับมือเปนที่หนึ่ง บรรดาใครที่นั่งอยู่ในห้องต้องจับมือทุกคน ตั้งแต่พ่อเปนต้นไป ถามถึงเวลานอนก็เปนอันได้ความว่ามืดเมื่อไรนอนเมื่อนั้น ได้ให้เงิน ๒๐ โครนแล้วปล่อยตัวไป

• • • • • • • • •

หญิงชาวเมืองนอร์เว

 

คืนที่ ๑๑๕

เซนตรัลโฮเตลวิสเนส์

วันศุกรที่ ๑๙ กรกฏาคม

เมื่อคืนนี้แรกนอนหลับช้า ด้วยรู้สึกหนักผ้าห่มพลิกตัวไม่ใคร่จะไหว มันหนักทั้งแบลงเกตแลหนักทั้งนวม เพราะไม่ใช่ของเรา อยู่ข้างจะต้น ตื่น ๒ โมงเช้า ลงไปกินเข้าเช้า พบนายทหารได้ทักทายปราไสยกันอิก หมายว่าจะไปเยี่ยมที่เตนต์พวกลัป พอเดินออกไปก็ฝนตก กลับเข้ามาในห้องประเดี๋ยวเจ้าพวกนั้นยกครัวกันมาหาหมดแล้ว ดูยิ้มแย้มแจ่มใสเห็นจะพอใจในการที่ได้รางวัล ที่พาครัวมาอิกนั้น คือมีเมียคนหนึ่ง ลูกขนาดแล่น ๒ จูง ๑ อุ้ม ๑ ลูกที่อุ้มนี้บรรจุมาในซองหนัง ซึ่งมีรูปคล้ายกันกับที่ผู้ใหญ่ใช้ลากด้วยเรนเดียร์ ข้างด้านน่ามีผ้าห่อกรุหมดขึ้นมาจนถึงฅอเหลือแต่หน้า เวลาจะอุ้มก็อุ้มทั้งเปลือก มีสายโยงสำหรับตพายได้ เด็กนั้นอายุสามเดือน ตั้งแต่มาก็เห็นหลับไม่รู้สึกเลย จะยกขึ้นวางลงฤๅทำอะไรอะไรได้หมดเหมือนตุ๊กตา ผู้หญิงก็แต่งทำนองผู้ชายเปนแต่มีส่าย เว้นไว้แต่สายรัดเอวไม่ใช้หนัง ใช้เย็บด้วยผ้าติดขลิบ เสื้อแหวกอกข้างบนมีเครื่องประดับอย่างนอรวิเยียน เมื่อพิเคราะห์ดูไป ขยับจะอ่านออกเสียแล้ว ว่าพวกลัปนี้ แต่งอย่างนอรวิเยียนเก่านั้นเอง แต่พวกนอรวิเยียนผู้ชายเลิกเสียหมด ไม่มีใครแต่ง ถึงผู้หญิงที่อยู่เปนโสดแก่ตัวก็เลิกไม่แต่ง แต่งฝรั่งกันเสียหมด ที่คงแต่งเปนนอรวิเยียนอยู่แต่พวกถูกเกณฑ์ให้แต่ง กล่าวคือหญิงสาวใช้ในโฮเตลฤๅคนขายของที่เปนแฟนซีทิงส์ แก่พวกคนต่างประเทศที่เที่ยวไปมา เพื่อจะให้เปนที่ถูกใจของพวกเหล่านั้น เหตุด้วยเปนธรรมดาผู้ที่ไปเที่ยวมากๆ แห่งเบื่อเห็นอะไรที่ซ้ำๆ อยากเห็นแปลกๆ เครื่องแต่งตัวผู้หญิงเช่นนี้คือนุ่งส่ายดำเขินขึ้นมาพ้นข้อเท้า จีบรอบก็มีไม่จีบก็มี สวมเสื้อขาวปลายแขนรัดต้นแขนพอง แล้วสวมเสื้อกั๊กสักหลาดแดง แหวะน่าอกบางทีก็มีปักไหมปักลูกปัด แซกในหว่างเสื้อใต้อกลงไป บางทีก็มีแต่เชือกรัดอย่างห่างห่าง มีเข็มกลัดฅอเข็มกลัดอก ห้อยตุกติกต่างๆ ก้าไหล่ทองฤๅเงิน แต่ไม่ใช้ตุ้มหู เสื้อชั้นนอกที่เปนสีแดงนั้น ขลิบสีต่างๆ บ้าง มีดำเปนต้น ลางทีก็เดินเส้นเดินแถบ ลักษณอย่างเดียวกันกับเสื้อพวกลัป แต่พวกลัปเอาอย่างไปแล้วไม่เปลี่ยนต่อไปอิก ใช้คงอยู่ตามเดิม จนกลายเปนเสื้อพวกลัปไป ตัวอย่างใช้เลยไปจนลืมเช่นนี้ เช่นที่ชวาเสื้อเต็มยศของสุลต่านยกยาการตาก็เสื้อฝรั่ง ครั้นฝรั่งเลิกแล้วข้างชวาไม่เลิก กลายเปนเสื้อชวาไป อิกอย่างหนึ่งรูปเสื้อผู้ชายยังคงเหมือนเสื้อทหารรุสเซีย ซึ่งเปนรูปเสื้ออย่างเก่า แหวะฅอ ไม่ได้ผ่าตลอด สวมแล้วมีเข็มขัดรัดพอง ข้างบนชายห้อยยู่ยี่รอบเหมือนพวกลัปนี่เอง รวมความกับที่ไล่เลียงเมื่อคืนนี้ ดูไม่ประหลาดอะไรนัก ถ้าแปลกจริงก็ภาษาของเขาเอง ได้ขอให้พูดแลให้ร้องเพลงฟังดู ไม่มีตัวเอสในนั้นเลยตังโลๆ เลๆ คล้ายๆ จีน รูปพรรณสัณฐานหน้าตาก็ออกจะไปข้างจีน เปนจีนตอนข้างเหนือ

ขึ้นรถเหมือนอย่างเมื่อวานนี้ ออกจากโฮเตลโครตลีตไปตามทาง หนทางตั้งแต่นี้ไปแคบลงกว่าทางที่ขึ้นมา อย่างกว้างเพียงหกศอก ที่กว้างเพียงห้าศอกเศษก็มี เมื่อปะศิลาที่เปนก้อนใหญ่เปนศิลาติดที่ ดูเปนทำคนละคราวกันกับทางที่ขึ้นมาจากเมร็อก ทางที่มาจากเมร็อก ดูมีหลักปักศักราชที่ได้ทำมาเปนตอนๆ จนถึง ๑๘๘๖ แต่ตอนที่มาต่อมานี้ ไม่มีเครื่องหมายอย่างใด มีแต่หลักไม้ย่อมๆ ปัก มีกองศิลากันรวน สังเกตดูเห็นจะเปนเครื่องหมายหนทาง เมื่อเวลาสโนตกถมเต็มจนไม่แลเห็นถนน เมื่อจะไถสโนออก ก็ไถไปตามหลักที่ปักแนวถนน เหตุที่สโนขังบนถนนมาก เพราะมาราบๆ ไม่สูงชันอย่างเช่นขึ้นจากเมร็อก ไม้ปักรายระยะทางนี้ มีมาตั้งแต่ดยุ๊ปวัสฮุตเต็น ซึ่งเปนที่พักกินกลางวัน อันนับว่าสูงพันเมเตอร์ ตั้งแต่ระยะนั้นมา ถึงทางใกลก็จริง แต่ไม่ต่ำลงเท่าไร ถึงที่โครตลีต ๙๐๐ เปนต่ำลงร้อยเมเตอร์เท่านั้น ทางที่มาต่อจากที่นั้น จนกระทั่งถึงที่ซึ่งว่าเปนสูงสุดในเวลาวันนี้ ๑๑๓๘ เมเตอร์ ก็เปนสูงขึ้นอิก ๒๐๐ เมเตอร์ เท่านั้น ได้ถึงในเวลาเช้า ๕ โมง ๓๕ นาที แต่ทางที่มาวันนี้อยู่ข้างจะพิศดารน่าดูมาก จับเลียบมาตามทางสายน้ำในแวลเลนั้นเอง แต่สายน้ำนี้กัดเซาะลึกลงไปเปนอันมาก บางแห่งก็กว้างบางแห่งก็แคบอย่างไรๆ คงเท่าแม่น้ำฤๅคลองใหญ่ๆ ตลอดมา ฝั่งสองข้างชันขึ้นมาเหมือนปากอ่าง ที่เปนก้อนศิลารอบทำลายลงไปค้างอยู่ก้อนโตๆ ก็ผุดพ้นสโน แต่โดยมากสโนลาดขาวขึ้นมา จนบรรจบเขาข้างบนฝั่งข้างซ้ายนั้นเปนเขาสูงเทียมเมฆ ติดเนื่องกันตลอด แต่ฝั่งข้างขวามีเขาต่ำชั้นใน ที่หนทางตัดไปบนไหล่เขานั้น เขาสูงซ้อนอยู่ข้างหลัง เขาทั้งสองฟากนี้ ก็ดาดไปด้วยสโน ทางที่เรามาตัดผ่านมาในหว่างสโน บางแห่งก็สูงกว่าประทุนรถข้างหนึ่ง ต่ำข้างหนึ่ง บางแห่งก็สูงทั้งสองข้างเหมือนกั้นฉนวนด้วยสโน เรามาในหว่างกลางน้ำพุใหญ่บ้างเล็กบ้าง สูงบ้างต่ำบ้าง ไหลลดหลั่นไปในที่ต่างๆ แต่ลงปลายคงไปรวมลงในลำธารหว่างเขาที่กล่าวมาแล้วนั้น แต่เพราะเหตุซึ่งเปนที่ลึกจมลงไปไม่ใคร่ถูกแสงแดด แลเยือกเย็นอยู่เสมอ เมื่อตอนสูงขึ้นไป น้ำในแม่น้ำก็แขงเต็มทั้งแม่น้ำ แลยังมีสโนตกลงไปทับมูลสูงขึ้นมาก็มี เหลือร่องน้ำกว้างอยู่ในศอกเศษบ้าง ใหญ่กว่านั้นบ้าง เปนทางซึ่งสำหรับน้ำที่ละลายไหลไปยังที่อื่น ส่วนน้ำพุที่ตกลงมาแต่ภูเขานั้นเล่า ก็เจาะช่องลงมาแต่เฉภาะ ไม่ได้ล้างสโนฤๅน้ำแขงลงมาหมด บางแห่งสายน้ำดั้นไปในใต้น้ำแขงได้ไกลๆ ไปตกลงจากเบื้องล่างน้ำแขง ข้างบนก็ดีปรกติอยู่ บางแห่งหนาสองศอกจนกระทั่งถึงหกศอก แลเห็นได้ด้วยที่รอยต่อกับน้ำเหลว การที่น้ำพุไหลหลั่งมามากมายเหลือเกิน ส่วนสโนที่อยู่ต่ำกว่าไม่ละลาย ทำไมจึงมากได้นั้น ด้วยยอดเขาสูงๆ ที่เราแลเห็นอยู่ฅอตั้งบ่านั้น มีโยเกล คือสโนที่ตกๆ ลงมาทับๆ กันอยู่นาน ลมในนั้นไปหมดกลายเปนน้ำแขงปะอยู่บนยอดเขา ไม่มีเวลาจะละลายหมดตลอดรอบปีเปนอันมาก ถ้าหากว่าด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ทำให้น้ำแขงนั้นละลายเลื่อนลงมาข้างยอดเขาเช่นนั้นเรียกว่าเบร แลเห็นอยู่ที่บนยอดเขาสูงมากๆ หลายแห่ง สีเขียวผิดกันกับสโน ด้วยเหตุว่าเปนแท่งทึบแลหนามาก ถ้าลงมาถ่วงหนักๆ เลยพาเอาศิลาซึ่งลงมาตกทับอยู่นั้นทลายลงมาด้วย บางทีทำอันตรายแก่บ้านเรือนผู้คน เมื่อปีกลายนี้คนตายถึง ๔๐ คนในทันที แต่การที่ทลายไม่มีอันตรายนั้นดูเหมือนจะมีอยู่เสมอ เพราะเราอาจจะแลเห็นได้ว่าศิลาแตกป่นเปนรอยตกลงมาแต่ที่สูง กระจายกลาดอยู่บาหลังสโน ดูในลำน้ำเปนรอยน้ำแขงแตก แลเห็นรอยอยู่ในน้ำเหลวแท่งโตๆ เหมือนกับได้เห็นรูปที่เขาเขียนไปนอทโปล ขาดแต่หมีเท่านั้น เมื่อพ้นหลัก ๑๑๓๖ เมเตอ ๒๘ เส้น ๙ วา อันเปนที่สูงสุดของหนทางที่มานั้นแล้ว คราวนี้ก็ค่อยลงทีละน้อยๆ

ระยะทางตั้งแต่โฮเตลโครตลีต มาจนกระทั่งจวนถึงที่ซึ่งจะหยุดกินกลางวันต่อไปข้างน่า ไม่มีต้นไม้ที่ควรจะเรียกว่าต้นไม้ได้เลย สูงขึ้นไป ต้นไม้ที่เห็นเปนแปรงๆ อยู่ก็หายสูญไป หญ้าก็พลอยสูญไปด้วย เหลือแต่มอส ภายหลังมอสก็เลยสูญไปด้วย เหลือแต่น้ำแข็งฤๅสโนดาดขาวเต็มไป มีแต่ก้อนศิลาดำๆ โผล่หรอมแหรมอยู่บ้าง ดูเหมือนอย่างกับน้ำเวลาท่วมทุ่ง มีที่ดอนโผล่อยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ บางแห่งก็แลดูเหมือนคันนาซึ่งน้ำท่วมนา เว้นไว้แต่ไม่เปนน้ำ เปนสโนขาวไปหมดทั้งสิ้น วันนี้ฝนไม่ตกมาก ไม่มีเห็บไม่มีสโนตก มีพระอาทิตย์ส่องแสงออกเปนครั้งเปนคราว อยู่ข้างจะแจ่มโดยมาก เมื่อแสงส่องสโนสีแหลมแปรดปราดแลดูออกจะเหลืองๆ แสบตา แต่เมื่อใดพระอาทิตย์เข้าเมฆ จะเรียกว่าเมฆก็ไม่สู้ชัด ออกจะเปนหมอก เพราะเมฆในประเทศยุโรปนี้ไม่งามเหมือนเมฆของเรา ถ้ามีเช่นนั้นจึงชักเปนสีน้ำเงิน แต่ที่ช่างเขียนฝรั่งเขียนวินเตอร์ พ่อเห็นว่าเปนสีน้ำเงินมากเกินไป ฤๅเวลาเช่นนั้นของเขาจะมี เขาจะเขียนอย่างงามเสมอก็จะเปนได้

ถนนที่มาตอนนี้แคบเกินไป มีเอะอะต้องหลีกรถกันหลายหน วันนี้ได้พบพวกตัวริสต์อังกฤษพวกหนึ่ง ประมาณสัก ๒๐ คน รถหลายหลงต่างคนต่างถ่ายรูปกัน ได้สนทนากัน แลเขาช่วยหาที่ให้ถ่ายรูป อยู่ข้างจะแข็งแรง เพราะในตอนขาลงนี้ มีที่งามๆ จนแลดูใจเต้น การหลีกรถกัน มิข้างใดก็ข้างหนึ่งคงต้องเอารถลงร่องข้างถนน จึงจะผ่านกันได้ ได้พบหลายพวก แต่เขาใจดีหลีกให้พ่อทั้งนั้น มีรายเดียวที่เฉภาะเปนเขาตั้งสูงสองข้าง ไปเจอกันใครจะหลีกใครก็ไม่ได้ โทษถึงต้องลงจากรถหามล้อรถเปนนานจึงได้ผ่านกันได้ เมื่อจวนจะถึงโฮเตลที่กินกลางวัน เริ่มที่จะลงทางชัน ทางชันไปกว่าที่ขึ้นจากเมร็อก ออกจะน่าๆ กลัว ต้องหยุดเพิ่มเบร๊กล้อรถ เอาหนังซ้อนๆ กันแล้วตีตะปูเสียทั้งสองข้างแล้วจึงได้ลง แต่เวลาลงไปนั้นงามทุกที เลี้ยวข้างน่ามีภูเขาสูงๆ ยอดแหลมๆ ดาดไปด้วยสโนขาว แล้วแลเห็นลงไปถึงท้องทเลสาบ น้ำเขียวเหมือนน้ำทเล ที่มาวันนี้ก็ข้ามสันเขาผีปันน้ำตั้งแต่เขาสูงนั้นมา ข้างฝ่ายโน้นลงแม่น้ำกลอมมาเมืองคริสเตียเนีย ฝ่ายนี้ลงทเลแอตแลนติก แต่ครั้นลงต่ำมาอิกหลายทบไม่แลเห็นทเลสาบ จนถึงที่ชงักแห่งหนึ่งในหว่างเขา มีน้ำตกอยู่ที่นั่น สูงถึง ๙๐ เมเตอร์ จึงถึงโฮเตลที่หยุดกินกลางวัน เรียกวิเดเซเตอร์ เปนโฮเตลไม้เล็กๆ สู้ไปหากิ่งไม้ซึ่งไม่ใช่ของหาง่ายมาปักตกแต่งเปนนักเปนหนา มีดอกกุหลาบแต่งในห้องด้วย หมายว่าเขาปลูกได้ในที่นั้น ถามดูได้ความว่าเอามาแต่มินเดรซุนด์ ระยะทางไกล ขาลงนี้มาเร็วถึงที่กินกลางวันไม่ถึงบ่าย ๒ โมง

วิเดเซเตอร์โฮเต็ล

 

ออกจากนั้นเปนขาลง อย่างแรงๆ ลงมาชันๆ มีที่ซึ่งสำหรับดูน้ำตกนั้นหลายหน แห่งหนึ่งมีตพานข้างลำธารน้ำตกใหญ่นั้น ลำธารอันนี้น่าพิศวงด้วยแรงน้ำ ยืนดูบนตพาน เห็นน้ำลึกลงไป เหมือนอย่างกับเจาะศิลาลงไป สองข้างเปนผนังเกลี้ยง น้ำขัดศิลาเสียเรียบ เห็นจะลึกหลายเส้น ต้นไม้ค่อยมีมากขึ้นตามลำดับ ตั้งต้นมีอย่างแปรงๆ แล้วมีเฟินมีหญ้า แล้วค่อยมีต้นไม้ที่พอจะเรียกว่าต้นไม้ได้ ขนาดสูงสัก ๖ ศอก ๗ ศอก ก็ถึงท่าเยลเลอ ซึ่งเปนท่าเรือจะลงทเลสาบชื่อ สตรุยวันเดต มีโฮเตลเล็กๆ ในที่นี้ มีเรือจ้างชื่อ ตัวริสต์ เปนเรือจักรท้ายขนาดย่อมๆ เมื่อถึงท่าเวลา ๔ โมง ไปในทเลสาบอิกชั่วโมงหนึ่ง จึงถึงที่สำหรับขึ้นบกเรียกว่า มินเดรซุนด์ ทเลสาบนี้กว้างไม่มากนัก แต่เปนเขาสูงชันล้อมรอบ ดาดไปด้วยสโนราวกะว่าสระอโนดาต ด้วยเหตุที่เขาสูงแลชันรอบเช่นนั้น จึงทำถนนรถจากเยลเลอไปทางหนึ่งทางใดไม่ได้ต้องใช้เรือ ตามเขาสองข้างฝั่งนั้นก็มีน้ำตกลงมาจากยอดเขาไหลหลั่งไปรอบข้าง มีบ้านคนตั้งทำไร่อยู่ริมชายทเลเปนหย่อมๆ เมื่อแลดูไปข้างหลังที่ท่าซึ่งเราออกมานั้น แลเห็นเขาที่สูงตรวดชันอยู่หว่างกลาง มีธารหว่างเขาอยู่สองข้าง ล้วนกว้างใหญ่เต็มไปด้วยสโนขาวสุดตา เมื่อแล่นมาจนถึงเกาะสองเกาะในกลางน้ำ ทเลก็ค่อยแคบเข้าๆ จนถึงมินเดรซุนด์ เมื่อถึงเวลาบ่าย ๕ โมง หยุดกินน้ำชาแล้วเปลี่ยนรถใหม่ เปนรถฟากข้างนี้ จำเดิมแต่ลงถึงเยลเลอ ก็รู้สึกว่าเสื้อเฟอที่สวมนั้นกลับร้อน ต้องเปลี่ยนเปนเสื้อโอเวอโก๊ตตามธรรมดา ยิ่งเมื่อขึ้นท่ามินเดรซุนด์แล้ว ความรู้สึกมาปรากฎชัดว่า เมื่อสองชั่วโมงนี้เอง เราอยู่ในที่ซึ่งเปนฤดูวินเตอ เดี๋ยวนี้กลายเปนซัมเมอแท้ในทันที เมื่อขับรถมาตามทาง ประทุนไม่ต้องปิด มีแสงแดดออกอุ่น มีเมโดทุ่งหญ้าอันประดับด้วยดอกไม้สีต่างๆ เหมือนอย่างพรมลาด ฤๅบางแห่งเหมือนอย่างเอาผ้าดอกลงดาดไว้ ประเดี๋ยวก็ได้เห็นต้นกุหลาบป่า ขึ้นอยู่ที่นี่บ้างที่โน่นบ้าง ดอกสีชมภูกลีบลา ออกดอกเต็มเต็มต้น เห็นคนกำลังตัดหญ้า ผู้หญิงกำลังคราดหญ้า บ้างก็ตากอยู่บนราว เรียงๆ กันไป บางตอนก็ปลูกเข้าสาลี ปลูกเข้าโอ๊ต ปลูกผักต่างๆ มาอิกก็เปนต้นไม้ ป่าไม้แดง ไม้ฟืน มีบ้านเรือนรายๆ กันหนาขึ้นหนาขึ้นทุกที ลำน้ำซึ่งต่อมาแต่ทเลสาบ ก็เปลี่ยนเปนลำธารที่กว้าง มีแก่งมีรอ มีเขื่อนลำดับด้วยก้อนหิน มีวิลลาคนอังกฤษแห่งหนึ่ง ชักธง ดูเปนที่น่าสบายมาก ถึงว่าที่ในหว่างเขานี้ได้กว้างออก มีต้นไม้ไร่หญ้าบริบูรณ์เหมือนที่แห่งหนึ่งแห่งใดในประเทศยุโรปทั้งปวง เขาสองข้างก็ยังสูงมีสโนดาดอยู่เช่นนั้น มีน้ำตกซ่านซ่าไปตลอดทั้งสองข้าง จนลงมาเมื่อจวนจะถึงที่ต่อทเล ลำน้ำจึงได้กลายเปนแม่น้ำ มามีปากน้ำออกบรรจบฟยอด รถเรามาลดเลี้ยวตามลำน้ำ จนถึงตำบลวิสเนส ได้มายังที่โฮเตลเรียกว่า เซนตราล ถึงเวลาทุ่มเศษ

ที่โฮเตลนี้ตั้งอยู่ริมทเล เปนเรือนไม้อย่างนอรวิเยียนแท้ คือมีปั้นลมที่เปนหน้าเหราภายในไม่ได้ทาสี เขาแต่งใบไม้แลธง มีคนมาคอยรับดูอยู่เปนอันมาก มาถึงได้สักครู่หนึ่ง เรืออัลเบียนก็มาทอดที่น่าโฮเตล

ในการที่ได้ขึ้นบกเที่ยวครั้งนี้ แลเห็นปรากฎชัดว่าเมืองนอรเวนี้ เปนที่น่าเที่ยวยิ่งกว่าสวิตเซอแลนด์ ด้วยเหตุหลายประการ ข้อหนึ่งนั้นได้ความงามในท้องทเลช่วยเปนแรง ทางทเลเรือยอตช์จะไปจอดถึงไหนๆ ได้หมดด้วยน้ำลึกทุกแห่ง เมื่ออยากจะดูภายในประเทศ ขึ้นที่ตำบลหนึ่งตำบลใด ทางสองสามชั่วโมง ก็อาจจะแลเห็นสโนแลพบอากาศที่เปลี่ยนเปนฤดูหนาวได้ในทันที เพราะเหตุว่าเขตรของสโนในเมืองนอรเวนี้ ต่ำกว่าสวิตเซอแลนด์มาก ถ้าจะใคร่ดูสโนในสวิตเซอแลนด์ จะต้องขึ้นรถไฟไปในที่เขาสูง ซึ่งรู้สึกว่าเราขึ้นไปอยู่บนยอดเขา แต่ที่นอรเวนี้ ไม่ได้รู้สึกว่าเราขึ้นไปอยู่บนยอดเขา ไปอยู่ในหว่างเขา แต่หากอากาศในที่นั้นเปนฤดูหนาวเอง ในเมืองสวิตเซอแลนด์สารพัดทุกอย่างเปนรอยมือคนได้ตกแต่งทำให้บริบูรณ์แล้วทุกแห่ง แต่ในเมืองนอรเวนี้ นอกจากหนทาง เนเชอเปนอย่างไรคงอยู่เช่นนั้น ถ้าผู้ซึ่งชอบดูแนชูรัลซีนะรีต้องชอบเมืองนอรเว เปนเมืองซึ่งยังไม่สู้จะมีใครได้เที่ยวเตร่มาก ความสดวกในการที่จะไปมาพึ่งมีขึ้นภายใน ๒๐ ปี คนก็พึ่งเริ่มจะเที่ยวกันขึ้น มากขึ้นทุกปีๆ ซึ่งไปเที่ยวสวิตเซอแลนด์หลายเที่ยวเข้าแล้ว คงจะหันมาเที่ยวนอรเว ถ้าว่าโดยฐานคนอยู่ไกลเช่นพวกเรา ซึ่งไม่อาจจะมาค้างฤดูหนาวอยู่ได้ในประเทศยุโรป อาจจะดูวินเตอร์ได้ในประเทศนอรเว โดยขึ้นจากทเลเพียงสองสามชั่วโมงแลมีสิ่งวิเศษซึ่งจะพึงดูเช่นไปนอทเคป อันเปนพื้นแผ่นดินเหนือที่สุดในประเทศยุโรป ฤๅถ้ามาเหมาะฤดูกาล อาจจะขึ้นไปถึงสปิตสเบอเคน ซึ่งเปนทวีปใหญ่เหนือประเทศยุโรปขึ้นไปใกล้ข้างนอทโปล ห่างจากนอทเคปไม่ถึง ๕๐๐ ไมล์ อาจจะเห็นพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยงคืน อาจจะเห็นนอทไลต์ แสงสว่างข้างฝ่ายเหนือ ซึ่งเปนโอภาศอันควรจะพิศวง แต่วิธีที่เขามาเที่ยวๆ กันโดยเรือเมล์ ซึ่งพึ่งเกิดขึ้นใหม่ รับบรรทุกพวกตัวริสต์มามากๆ เขาจับเที่ยวข้างใต้ขึ้นไปหาข้างเหนือ โดยแวะเวียนตามชายทเลตวันตกของนอรเวขึ้นไป จนกระทั่งถึงเหนือแล้วจึงล่อง แต่ความคิดพ่อเห็นไปอย่างหนึ่งในเวลาที่จะมาเที่ยวครั้งนี้ เห็นว่าควรจะเที่ยวเหนือลงมาหาข้างใต้ เพราะข้างเหนือไม่ใคร่บริบูรณ์ มีที่ขัดขวางหลายอย่าง ถ้าไปดูข้างเหนือซึ่งเปนที่ขัดขวางให้ได้สมประสงค์แล้ว จึงล่องลงมาดูทางข้างล่างดีกว่า เพราะยิ่งลงมาข้างล่างยิ่งบริบูรณ์ขึ้นทุกที จึงได้ขึ้นจากคริสเตียเนียโดยทางรถไฟไปลงเรือทรอนด์เยม ขึ้นไปจนถึงนอทเคปแล้วจึงล่องลงมาใต้โดยทางทเล แวะเที่ยวฝั่งตวันตกระมาซึ่งมีผู้เห็นด้วยหลายคน ว่าดีกว่าเที่ยวชายทเลขึ้นไป

เสียอย่างเดียวแต่ปีนี้เปนปีที่แปลกไปกว่าทุกปีในเรื่องดินฟ้าอากาศ ถึงดังนั้นก็ยังนับว่าเคราะห์ดี ที่ไปได้วันที่ ๑๒ ที่นอทเคป ความแปลกประหลาดนั้น คือ ปรินซออฟมอนาโค ซึ่งได้มาเที่ยวอยู่ก่อนพ่อ ได้ขึ้นไปถึงสปิตสเบอเคน เข้าไม่ได้ ติดน้ำแขงล้อมรอบ ต้องกลับลงมาจอดอยู่ตรอมซือ ซึ่งพ่อได้พบ ฤดูที่ควรจะไปได้แล้วก็ยังไม่สำเร็จได้ เอมเปอเรอเยอรมัน ตามหนังสือพิมพ์ว่าขึ้นไปเมื่อวันที่ ๑๓ คิดจะผ่านฮาเมอเฟสต์ไปนอทเคปนั้น ไม่สำเร็จ ถูกพยุ เลยต้องไปเข้าฮาเมอเฟสต์นั้นเอง เลี่ยงเวลากันกับพ่อกลับมาจากที่นั้น ครั้นรุ่งขึ้น ขึ้นไปนอทเคปไม่สำเร็จ ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนอิก ในว่า เขาว่ายังไม่เคยเห็นอาทิตย์เที่ยงคืนที่นอทเคป จะเท็จจริงอย่างไรไม่รู้ ต้องกลับลงมาตรอมซือ ทางที่ขึ้นบกตามที่พ่อมาคราวนี้ ยังไม่มีเจ้าแผ่นดินองค์ใดได้มาเลย กิงฮอกอนว่าจะเสด็จแต่ก็ยังไม่ได้เสด็จ อันที่จริงไม่เปนทางยากลำบากอันใดเลย จะเรียกว่ากันดารไม่ได้อยู่ข้างจะบริบูรณ์ จะเปนอย่างเดียวแต่เรื่องดินฟ้าอากาศจะให้ช่องฤๅไม่เท่านั้น ถ้าหากว่าโชคไม่ดี ก็จะไม่สบเหมาะได้ดังปราถนา มีการไม่แน่อยู่สิ่งเดียวเท่านั้นที่วิสเนสนี้ ปรอดกลางแจ้งฟาเรนไฮต์ ๕๒ ดีกรี เซนติเกรด ๑๒ ในเรือนฟาเรนไฮต์ ๖๔ เซนติเกรด ๑๘

• • • • • • • • •

ตำบลเลิน

 

โฮเต็ลอเล็กซานดรา ที่เลินฟยอด

 

เลินฟยอด

 

คืนที่ ๑๑๖

เรืออัลเบียน นอร์ดฟยอด

วันเสาร์ที่ ๒๐ กรกฏาคม

เวลาเช้ากินเข้า เขามีลูกสตรอเบอรีปลูกที่นี่เอง โตเหลือเกิน พึ่งได้เคยเห็น ขนาดเท่ามะปรางท่าอิฐแท้ๆ สี่ลูกลงในจานลึกขนาดย่อมสำหรับกินผลไม้ เมื่อเคล้าน้ำตาลแลคริมเสร็จแล้วเต็มจานพอปริ่มขอบ ที่นี่มีผลไม้แปลกอิกอย่างหนึ่ง ส้มโอ ลูกเล็กขนาดสักเท่ามะตูม รูปรีเช่นนั้น แต่เปรี้ยวจี๋ เนื้อเหลวๆ คล้ายส้มซ่า ถ้าคลุกน้ำตาลแลเกลือเข้า เหมือนส้มซ่า แต่เปรี้ยวจัดกว่า บ่นถึงน้ำปลากันเสียนี่กะไร ใช่ว่าจะไม่มีแต่ที่โฮเตลนี้ ในเรือก็หมด กุ้งแห้งก็หมด ออกจะสิ้นๆ ตัว

กินเข้าแล้วออกจากโฮเตล ไปกระบวนรถเหมือนเมื่อมา ผ่านน่าโฮเตลไป ถนนที่ไปนี้เลียบริมฟยอดใกล้ทเลทีเดียว ข้างในเปนน่าผาสูงมีต้นไม้ ไม่ใช่น่าผาสโน ทางเช่นนี้ถ้าแลดูในทเลเหมือนป้อมปีกกา ศิลาที่ตั้งข้างถนนได้ระยะกัน แลดูเหมือนใบเสมาป้อม บางแห่งหมิ่นทเล ดูเหมือนตั้งเขื่อนขึ้นมาจากน้ำ แต่เปนถนนแคบขนาดเดียวกันหมด ที่วิสเนสนี้ ไม่มีโทรเลขเหมือนกัน มีแต่โทรศัพท์ไปที่ เลือน ในฟยอดนี้เรือกำปั่นใหญ่ๆ เดินได้ มีเรือขนาดพันตันเดินเปนเมล์มีกำหนด ไปจนถึงสุดที่กว้าง ตำบลเลือน ทางเลียบเขาไปตลอดเช่นนี้ เมื่อถึงตำบลเลือน เขาสูงห่างออกไปหน่อยหนึ่ง มีลูกเนินเตี้ยๆ ทางไปในหมู่ไม้ จนถึงอาเลกซานดราโฮเตล เปนโฮเตลไม้ รูปพรรณสัณฐานซับซ้อนงามดี มีพวกเที่ยวมาอยู่เปนอันมาก มีท่าสำหรับเรือเมล์เล็กๆ จอด เปนที่คนไปมาก มีโฮเตลได้ถึงสองหลัง ใหญ่หลังหนึ่ง ย่อมหลังหนึ่ง ถัดโฮเตลเข้าไปหน่อยหนึ่ง ก็ถึงที่สุดของฟยอดนั้น ต่อกับลำธาร ลำธารกัดร่องไปข้างฝั่งซ้าย ตอนกลางตลอดฝั่งขวาเปนที่เขินน้ำพอปริ่มๆ บนฝั่งขวาเปนที่สูงไม้เล็กๆ ขึ้น ตัดทางไปบนที่สูงนั้นแล้วจึงเลียบลงโขดกรวด แต่นี้ไปไม่เปนถนนเปนแต่ทางเหมือนทางเกวียนลุ่มๆ ดอนๆ มีสายน้ำที่ตกจากน้ำพุข้างถนน ทอดกระดานบ้างศิลาบ้างข้ามเปนตพานที่น้ำไหลเอิบมานองอยู่บนถนนแฉะบ้างก็มี ตามทางเหล่านี้มีต้นไม้อย่างเตี้ยๆ สูง ๘ ศอก ๑๐ ศอก มีทุ่งหญ้าบ้าง ไรโอ๊ตแลบาเลบ้าง มีดอกไม้อย่างหนึ่งเปนสีแดงบานเย็น ลักษณคล้ายดอกประทัดจีน แต่ใหญ่กว่า เขาเรียกชื่อ แปลว่าเทียนพระราชา มีชุมมาก ถ้าติดกันเปนหมู่ใหญ่ๆ ยิ่งงาม อิกอย่างหนึ่งนั้นต้นกุหลาบป่ามีชุม พบร่ำไป ออกดอกเต็มๆ ต้น ถึงว่าดอกลา หน้าตามันก็แจ่มใสมากอยู่ บางทีจะเปนง่ายในเมืองเรา ด้วยดูที่นี่มันจะขึ้นแห่งใดก็ขึ้นได้ตามซอกห้วยซอกเขา เปนกุหลาบอย่างที่มีแรงมาก ซึ่งเขาเอาตอไปใช้ต่อกุหลาบผสม ออกดอกดีเพราะเปนพรรณแรง กุหลาบที่ใจเสาะกว่ามันยังขึ้นได้ในเมืองเรานี่เห็นท่วงทีจะเปนได้ จึงสั่งไปให้ดุ๊กหาไปบ้าง ทางตั้งแต่วิสเนสไปจนถึงตำบนเลือน ชั่วโมงเศษ จึงไปลงถึงห้วงใหญ่ มีที่พักเปนท่าลงเรือ เรียกว่าโลวันเลือน ตามตำบล เรือจ้างที่สำหรับไปในห้วงใหญ่นี้ เปนเรือไฟขนาดเรือสครู ใช้สตีม ไม่ได้เปนเรือเอเลกตริกอย่างในสตรินวันด์ เรียกชื่อ โลดวน การที่สำหรับจะไปที่โกรนาเบรนนี้เปนของเจ้าของโฮเตลอาเลกซานดรา จัดการทั้งสิ้น เพื่อจะให้หรู เขาเอากิ่งไม้ผูกดาดฟ้าจนรอบ ดูราวกับจะไปเข้านก แลอะไรไม่สดวก ต้องปลดลงเสียบ้าง จนเวลากำหนดของเขาที่จะออก ๕ โมงครึ่งจึงได้ออก เพราะมีพวกตัวริสต์อื่นๆ อิกมากด้วยกัน อันลักษณตัวริสต์แท้จำจะต้องเดินตพายกระเป๋าผ้าผ่อนอะไรข้างหลัง แต่งตัวสวมถุงเท้ายาวกางเกงสั้น ถ้าหนาวก็สวมเสื้อชั้นนอก ถ้าไม่หนาวก็พาดแขนไป สวมหมวกสักหลาด ถือไม้เท้าเดินกึงๆ นี่เปนอย่างอุกฤษฐ์ แต่ที่ไม่ถึงธุดงค์เช่นนี้ ขี่รถไปอย่างเช่นพวกเราก็มีถม ในห้วงน้ำใหญ่นี้จะเรียกว่าทเลสาบก็ไม่ได้ เพราะมีทางน้ำไหลออกได้ แต่เปนน้ำจืด กว้างแลลึกเหมือนทเล ฝั่งห้วงน้ำนี้เปนภูเขาสูง ตั้งสี่ร้อยห้าร้อยวา ชันลิ่ว รูปร่างมักจะเหมือนน้ำตาลฝรั่ง กลมๆ แหลมๆ แต่ซับซ้อนกันเข้าไปหลายชั้น ในระหว่างที่ซ้อนๆ กันนั้น เห็นน้ำแขงฤๅสโนขังขาวเปนเทือก แต่ที่ขังอยู่บนยอด สูงเกินตาเราไม่แลเห็น น้ำแขงแลสโนบนนั้นเปนที่ตั้งของน้ำพุ ตกเปนทางทางใหญ่บ้างเล็กบ้าง ตกมาแต่ยอดเขาทอดเดียวจนถึงน้ำบ้าง ลงมาแยกหลายๆ สายพร่าไปบ้าง ลงมาผ่านสโนซึ่งเกาะขาวมาตั้งแต่ยอดเขาแลเห็นว่าน้ำตกข้างบนนิดหนึ่ง แลข้างริมน้ำนิดหนึ่ง นอกนั้นแขงอยู่เฉยๆ เช่นนี้ก็มี อันการที่จะนับว่าน้ำพุมากน้อยเท่าใดนั้นป่วยการที่จะนับ ตามเชิงเขาที่มีชานแต่เล็กน้อย ก็มีบ้านคนตั้งอยู่แห่งละสองหลังบ้างสามหลังบ้าง ไม่เห็นว่าได้ปลูกอะไรนอกจากไร่หญ้า การที่ได้พูดถึงไร่หญ้าเนืองๆ นี้ดูเปนการยากที่จะเข้าใจกันในเมืองเรา คงจะรู้ได้ว่าน่าหนาวหญ้าตายหมด สัตว์ของเลี้ยงต้องกินหญ้าแห้งนั้นรู้แน่ แต่คงจะนึกว่าแร้นแค้นเต็มที ปลูกเข้าไม่ได้จึงต้องปลูกหญ้า หญ้าคงมีราคาในเวลาน่าหนาว แต่ไหนจะนึกว่ามีราคามาก อันความจริงนั้น เดี๋ยวนี้ทำไร่หญ้าได้ราคาดีกว่าปลูกเข้า เหตุด้วยเข้ามาแต่เมืองอเมริกาแลที่อื่นๆ ซื้อได้ถูก แต่หญ้าหายากได้ราคาดี บางแห่งในประเทศยุโรปได้ละการทำนาเข้าเสียบ้างบางส่วน ทวีการปลูกหญ้าให้มากขึ้น ถ้ายิ่งเปนประเทศที่พื้นแผ่นดินไม่อุดม ปลูกหญ้าดีกว่าปลูกเข้าเปนอันมาก เกี่ยวได้ปีละสองครั้งฤๅสามครั้ง สุดแต่เปนที่ราบไม่ว่าเล็กน้อยเพียงใดจนข้างถนน มีเจ้าของหวงห้ามสำหรับตัดหญ้า แถบข้างนี้ผู้ชายเปนผู้ตัด ผู้หญิงเปนผู้คราดแลลอมเข้าไว้ เด็กๆ ช่วยกันโกยหมดทั้งครัวเรือน แล้วเอาพาดราวเหมือนรั้ว ผึ่งให้แห้ง ตากหญ้าพาดราวนี้มีแต่ในนอรเวแลสวิเดน ถ้าที่อื่นเขาทิ้งไว้ในทุ่ง กลับเพียงหนหนึ่งฤๅสองหนก็เปนใช้ได้ ที่นี่ต้องอาไศรยผึ่งให้ลมเป่าได้ตลอดจึงจะแห้ง บรรดาดอกไม้สีที่ขึ้นปนอยู่ในหญ้า ก็เกี่ยวติดกันไปกับหญ้า เปนอาหารสัตว์ด้วยเหมือนกัน เหตุฉนี้ถ้ามีที่ราบแห่งใดที่ริมห้วงน้ำนี้ ถึงเปนที่เปลี่ยวมีแต่เรือนหนึ่งสองเรือนก็มีคนไปตั้งเกี่ยวหญ้า

ทเลสาบ เลินวันด์

 

โฮเต็ลที่เลินวันด์

 

น้ำในท้องทเลสาบฤๅห้วงน้ำนี้ สีขาวเหมือนน้ำเกรอะดินสอพอง เมื่อแรกเข้าใจว่าจะเปนด้วยท้องฟ้าสลัว แลแสงแดดถูกน้ำแขง แต่ครั้นดูไปก็น่าจะไม่ใช่ เพราะขาวทั่วถึงนัก น่าจะมีอะไรอยู่ในใต้น้ำ มีเหตุที่น่าสงไสยดังนี้ เมื่อจวนจะถึงโครนาเบรน มีเขาข้างฝั่งซ้ายสูงประมาณสักพันเมเตอร์ ได้ทลายลงมาตั้งแต่ยอดแฉลบลงมาจนถึงน้ำ เมื่อวันที่ ๒๐ เดือนมกราคมรัตนโกสินทรศก ๑๒๔ เปนฤดูหนาวแล้ว แต่น้ำในทเลสาบนี้ลึกมากเปนห้วงใหญ่จึงได้แขงช้ากว่าที่อื่นๆ เมื่อเขาทลายลงมานั้น น้ำพลุ่งขึ้นสูงท่วมฝั่งศิลาที่อยู่ฝั่งข้างขวาตรงกันข้าม สูง ๓๐๐ ฟิต น่าโขดศิลานั้นมีหาด มีเรือขนาดเท่าเรือสครู เอาขึ้นไว้บนบกที่หาดนั้นลำหนึ่ง ด้วยกำลังน้ำกระฉอกขึ้นไป ส่งเรือลำนั้นเข้าไปตกอยู่ในฝั่งห่างที่เดิมถึง ๓๐๐ เมเตอร์ ที่ฝั่งนั้นมีบ้านคน ชายหญิงใหญ่น้อยตายด้วยเหตุเขาพังนั้น ๖๒ คน น้ำที่ตรงเขาพังแต่ก่อนลึกร้อยวา เดึ๋ยวนี้น้ำลึกอยู่เพียง ๑๐ วาเท่านั้น การวิบัติใหญ่โตอาจจะเปนได้ถึงเพียงนี้

เมื่อว่าโดยภูมิประเทศแล้ว แต่พอถึงท่าที่จะลงเรือ แลเห็นในที่สุดของห้วงน้ำนั้น มีเขายอดแหลมๆ เรียงสล้างซับซ้อนกัน สูง ๑๐๐๐ เมเตอร์ขึ้นไป ในระหว่างยอดเขาต่อยอดเขานั้น มีเทือกน้ำแขงกองหนาสูง แลเห็นเปนสีเขียวในที่ลึกๆ เหมือนสีน้ำทเล เพราะเหตุที่เบื้องบนยอดเขาทั้งปวงนี้มีเทือกน้ำแขง อย่างที่เรียกโยคัล ดาดหนาเต็มทั่วไปเปนทางใหญ่ยาวมาก แล้วไหลเลื่อนลงมาตามหว่างเขาที่ลาด แขง หนา สูง ไม่มีเวลาละลายหมด ที่ซึ่งน้ำแขงที่เราได้เห็นนั้นคือ เบร เห็นหลายแห่งด้วยกัน แต่ที่เปนสำคัญซึ่งจะไปดูนั้นที่เรียกว่า โครนาเบร คือมียอดเขาอยู่ในหว่างกลางเปนรูปกลมสูง ซึ่งเขาเห็นว่าเหมือนมงกุฎ เวลาเราแรกไปเห็นแต่เบรข้างนอก เมื่อจวนถึงจึงได้เห็นเบรข้างในอิกเบรหนึ่ง ทั้งงามทั้งอัศจรรย์ ชื่อเขาตำบลที่เราจะไปดูนี้เขาเรียกว่า เกนดาลส โกรเนน

เคนดาลสเบร

 

เคนดาลสเบร

 

เคนดาลสเบร

 

เคนดาลสเบร

 

เมื่อเรือไปถึงที่ท่า ซึ่งเขาทำตพานยื่นลงมาในน้ำ มีเรสเตอรองต์ปลูกอย่างหยาบๆ คล้ายๆ โรงเรือ เปนที่สำหรับพวกตัวริสต์หยุดกินอาหารในที่นั้น แลมีของขายต่างๆ โปสต์ก๊าดเปนต้น ทางที่เรือไปในทเลสาบนี้ชั่วโมงหนึ่งพอดี ก็ถึงท่าที่สุดห้วงน้ำใหญ่นั้น เปนเวลาเที่ยงครึ่ง หยุดกินเข้ากลางวันเสียก่อนจึงได้ขึ้น ในระยะนี้ไม่มีหนทางทีเดียว เปนแต่ทางเกวียนเดินไปบนโขดในลำธารนั้น ต้องใช้รถสองล้อ แต่หนทางเปนลูกคลื่นลุ่มๆ ดอนๆ ขยักขย่อนมาก มีก้อนศิลาเกะกะอยู่บ้างน้ำท่วมบ้าง เสียงน้ำไหลลั่นคึ่กคั่กไปทั้งนั้น ทางประมาณสัก ๔๕ มินิต พอเลี้ยวหัวเขาหน่อยหนึ่ง เราก็เห็นเบรซึ่งตกลงมาถึงพื้นท้องธาร ขาวโพลนใสอยู่เบื้องหน้า ใหญ่โต วันนี้ผเอินอากาศดีอย่างยิ่ง แดดจัด แสงแดดขาว ถูกน้ำแขงแลพรายตาที่น้ำเปนโพรงเปนช่องเปนหลืบก็แลเห็นเขียวไปจนกระทั่งถึงน้ำเงินอย่างสีรุ้ง แต่รถขึ้นไปไม่ถึงเทือกน้ำแขงนั้น เหตุด้วยน้ำพัดเอาก้อนศิลามาตั้งกุกกักไปหมด เหยียบคลอนไหวได้ จะตัดเปนทางขึ้นไปก็เหลือกำลัง เพราะเปลี่ยนทุกปี ด้วยเวลาที่คนจะขึ้นไปถึงที่นั่นได้แต่ฉเภาะตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน เมื่อถึงกลางเดือนกันยายนก็ขึ้นไปไม่ได้ทีเดียว เต็มไปด้วยน้ำแขงหนาสูง ที่ซึ่งเปนโขดสูงๆ มีต้นไม้ต่ำๆ งอกเปนรอยถูกลมขาดสบั้น ครึ่งต้นบ้างถึงโคนต้นบ้าง ที่ยังคงดีอยู่ก็นอนตแคง เปรไปทางเดียวกันหมด ที่ซึ่งต้องหยุดรถนี้ ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าอะไรจะขึ้นได้ เพราะเต็มไปด้วยก้อนศิลา กลมบ้าง เหลี่ยมบ้าง ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก หนา ไม่เห็นพื้นแผ่นดิน มีแต่สายน้ำไหลเซาะลงมาเปนร่องๆ ต้องขึ้นม้าฤๅเดิน แต่จะไปม้าฤๅเดินไปก็ไม่เร็วกว่ากันได้ อยู่ในต้องย่องทั้งสองอย่าง ลื่นพลาดคลุ่กคลั่ก ต่อขึ้นไปอิก ๑๕ มินิตจึงถึงตัวน้ำแขงนั้น ไปลูบคลำได้ ขอให้คิดดูว่าน้ำแขงก้อนหนึ่ง โดยหนาที่เราไปยืนอยู่ถึง ๒๐ วา กว้างประมาณสัก ๖๐ วา แต่ยาวขึ้นไปจนตลอดถึงยอดเขา ประมาณไม่ถูก ติดกันเปนแท่งเดียว จะประหลาดสักเพียงใด บนน้ำแขงนั้นมีศิลาลอยๆ เลื่อนตกลงมาค้างอยู่บนน้ำแขง โตเท่าเท่าก้อนศิลาที่ก่อเขาในสวนแง่เต๋งก็มี ไม่ใช่เปนน้ำแขงอย่างกำลังละลาย ที่เหมือนกับเราจะเอาก้อนน้ำแขงมาตั้ง แลดูเยิ้มอยู่รอบเช่นนั้น ลงมาตั้งหนาเฉยไม่ได้เยิ้มเลย ทุบดูก็แขงเปรื่องเหมือนศิลา ส่วนที่เปนน้ำตกลงมา ซาบในลำธารนั้น ตกมาจากภายในที่อบอุ่น ภายนอกไม่ละลาย ข้างซ้ายมือเราแหงนฅอตั้งบ่า จึงแลเห็นเบรที่เราแลเห็นในทเลสาบ เปนแท่งทึบใหญ่ลงมาย้อยอยู่ แต่ตอนข้างล่างแห้งไม่มีสายน้ำอาบซึมลงมาเลย ถ่ายรูปกันเล่นในที่นี้ แลฟังเขาเล่าเรื่องตำบลนี้ เจ้าของโฮเตลที่จัดการทั้งปวงเล่าให้ฟัง ว่าพ่อเปนเจ้าแผ่นดินคนแรกที่ได้ขึ้นมาถึงโครนาเบรนี้ ปรินซออฟเวลส์ได้มาเมื่อครั้งราชาภิเษกเจ้าแผ่นดินนอรเว พ่อก็ได้เห็นชื่อในสมุดว่ามาเพียงเรสเตอรองต์เท่านั้น ในปีนี้เองเอมเปอเรอเยอรมันเสด็จ ว่าจะมาเลี้ยงดินเนอที่หาดกรวดตรงเบรนั้น แต่ครั้นเมื่อมาถึงก็ขึ้นไม่ได้ ค้างอยู่เพียงเรสเตอรองต์ เหตุด้วยฝนตกไม่หยุด เจ้าแผ่นดินนอรเวว่าจะเสด็จก็ยังไม่ได้เสด็จ กำหนดว่ามะรืนนี้ ปรินเซสยูยิน โบนาปาด เห็นจะเปน เอมเปรสยูยินีจะขึ้นมา แล้วเอมเปอเรอเยอรมันจะเสด็จมาอิกในเที่ยวนี้เอง พ่อออกยิ้มๆ ว่าโชคเราอยู่ข้างจะเก่งมาก มาเหมาะได้สำเร็จทุกแห่งตลอดลงมา

ขากลับเหมือนอย่างขาไป มาหยุดลงเรือที่น่าโฮเตลอาเลกซานดรา เลื่อนเรืออัลเบียนเข้ามารับถึงที่นี่ ลงเรือแล้วสักครู่หนึ่งได้ออกเรือมาตามฟยอด เจ้าพระยาสุรวงษ์บอกว่า เมื่อเวลามาจากเมร็อกถูกคลื่นใหญ่ประมาณสักชั่วโมงครึ่ง เมื่อเวลาไปตามทาง ขึ้นรถได้แต่เฉภาะสองคน หนทางมันอยู่ข้างจะตกุกตกัก มีก้อนหินสดุดบ่อยๆ ประเดี๋ยวขึ้นลงกระแทก ถ้านั่งระทวยฤๅละห้อยไปอย่างไรอาจจะกระเดนลงจากรถก็ได้ แต่สองข้างทางรู้สึกว่ามันงามเปลี่ยวๆ ด้วยน้ำพุแทงลงมาข้างๆ ประเดี๋ยวทางโน้นซู่ประเดี๋ยวทางนี้ซ่า สายน้ำในลำธารที่เราเลียบไปก็เชี่ยวกราก กระทบศิลาก้อนที่รายอยู่ในน้ำแตกเปนฟองบ้าง ที่เปนแก่งศิลาใหญ่ๆ ตั้งขวาง น้ำไหลตกลงดังกึกก้อง เหนือแก่งขึ้นไปน้ำแลดูเหมือนนิ่ง แต่กัดกว้างเปนแหลมเปนคุ้งเล็กๆ จนขึ้นไปไหลซาบตามก้อนศิลา รู้สึกใจมันขรึมๆ เกิดปรารภขึ้นว่า การที่มาเที่ยวเช่นนี้ ถ้าเวลาเบื่อเมียไม่ถูกใจฤๅน้อยใจอย่างหนึ่งอย่างใด มาเที่ยวเสียเช่นนี้เห็นจะเพลินดี บริพัตรว่าต้องบี๊[๑๙๓]นิดๆ พ่อรับว่าถูก แต่ควรจะมีเพื่อนบี๊ด้วยกันอิกคนหนึ่งสองคนเปนพอ ด้วยทางมันเที่ยวสดวก พาหนะก็หาง่าย ที่อยู่ที่กินไปถึงไหนมีที่นั่น ตลอดจนที่นอนผ้าห่มนอน ไม่มีใครต้องช่วยเตรียมเสบียงอาหาร ไม่ต้องขนอะไรไป ถ้าหากว่าเราจะมีเสบียงของเรามาหอบที่นอนมา แต่จะหาที่หุงเข้ากินก็จะไม่ได้ดีเท่าที่เขากะไว้แล้วหาไว้แล้ว เขากะไว้พอเหมาะ แลทำตามเขาอาจจะได้เห็นแลได้อยู่สบายดีทุกอย่าง เมื่อขากลับคิดว่าถ้าไม่ได้โกรธกับเมียจะพามาเที่ยวด้วยดีฤๅไม่ดี ลงเนื้อเห็นกันว่ามาไม่ได้ เพราะการที่มานั้น จะว่าไม่ลำบากไม่ได้ มันสนุกอย่างลำบาก ผาดโผน ไม่ใช่สนุกอย่างสำรวย จะเดินไม่ไหว ทนรถฟัดไม่ไหว ปวดหัวปวดท้องอะไรต่างๆ สนุกแต่ว่าจะฟก ตกลงเปนอันไม่เอามา

จะว่าด้วยความงาม คำที่ชมมันมีสองอย่าง อย่างหนึ่งชมว่าทำดี เหมือนกับจริง อิกอย่างหนึ่งชมว่าดีแลงามเหมือนแกล้งทำ อย่างแรกเปนของที่คนทำด้วยความคิด แต่ทำดีจนเหมือนกับของเปนเองได้โดยธรรมดา ไม่มีอะไรฝืนๆ ขัดๆ เช่นกับจะขุดคลองให้แหลมต่อแหลมชนกัน เช่นนี้ผิดธรรมดา ต้องข้างหนึ่งเปนแหลมข้างหนึ่งเปนคุ้งกินกัน ดูเหมือนหนึ่งว่าสายน้ำกัดเซาะฝั่งให้เปนไปเอง เช่นนี้ เปนอย่างทำดีเหมือนจริง ส่วนดีเหมือนแกล้งทำนั้น สายน้ำกัดเซาะไปเอง เปนคุ้งเปนแหลมเล็กๆ เหมือนอย่างกับคนลงบังเวียนเขียนไว้เพื่อจะให้งาม เช่นนี้งามเหมือนทำ การที่จะหาที่งามสองอย่างเช่นว่านี้ไม่ใช่หาง่ายมักจะออกมากลางๆ ทำงามดีแต่ไม่เหมือนจริง ฤๅงามจริงอยู่แต่มันยังเสียที่ตรงนั้นตรงนี้ ถ้าหากว่าเราทำ เราคงจะแก้ให้เปนอย่างนั้นอย่างนี้ ฤๅมันงามดาดๆ เหมือนกันกับที่ไหนๆ ไม่กินตา สองอย่างข้างหลังนี้ จะเรียกว่างามแท้ไม่ได้ แต่ถ้าจะพูดถึงงามแท้ที่กล่าวมาข้างต้นสองอย่างนั้นแล้ว งามที่เปนเองโดยธรรมดางามกว่าที่คนแกล้งทำให้งาม งามเช่นนี้เรียกว่า แนชูราล ในที่ซึ่งผ่านไปนี้ งามจริงเช่นนั้น

• • • • • • • • •

อ่าวบาลฮอลัน

 

บ้านช่างเขียนเมืองบาลฮอลัน

 

คืนที่ ๑๑๗

เรืออัลเบียน บัลฮมแลมุนดัล

วันอาทิตย์ ที่ ๒๑ กรกฏาคม

เมื่อคืนนี้เวลาดึก มีลูกกลิ้งนิดๆ จนกระทั่งเรือเข้าซอคเนฟยอดจึงสงบ ตื่นขึ้นเช้าพอเรือเลี้ยวเข้าเอสเซฟยอด จอดที่น่าตำบล บัลฮมที่เรือจอดนี้เปนที่ประชุมฟยอดทั้งปวง ๔ ฟยอดด้วยกัน จึงเปนที่มีซีนะรีงาม บ้าน บัลฮม ตั้งวงอ้อมเขาลูกหนึ่งอยู่ ส่วนที่ตรงข้ามฟากมีเขาสูงเปนวงรอบ แลเห็นสโนดาดอยู่บนยอดเขาบ้าง ฟยอดที่อยู่โดยรอบนั้นกว้างหลายไมล์ มีเรือปลาไปมาอยู่ตามฟยอดเหล่านั้น เปนที่งามมากแลอากาศโปร่งแจ่มใส มีพระอาทิตย์ ออกจะอยู่ข้างร้อน

กินเข้าเช้าแล้วลงเรือไปขึ้นบก ที่ท่าใกล้โฮเตล มีคนมาคอยดูอยู่เปนอันมาก คนเหล่านั้นเปนคนที่มาเที่ยวแต่ต่างประเทศมาก การต้อนรับของคนชาวเมืองนี้น่ารักมาก ถึงคนที่มาเที่ยวก็รู้สึกว่าเปนพวกเดียวกัน ยิ้มแย้มแจ่มใสเปิดหมวกโบกผ้าร้องฮูราให้ดอกไม้ ทำให้รู้สึกสบายใจเปนอันมาก รถในตำบลนี้หาได้คันเดียวเท่านั้น เรียกว่าตริลเล เปนรถกระเช้าสานนั่งได้สี่คนพอเบียดๆ แต่สารถีคงอยู่ข้างหลังเหมือนกัน สายถือผ่านมาในหว่างคนนั่ง แปลกที่ม้าไม่ใช่ม้าเมืองนี้ เปนม้าเทศ อิกคันหนึ่งเปนรถสกิดโวคึนสามัญ หมดรถที่จะหาได้ในตำบลนี้ พ่อได้ขึ้นกับชายสองคนแลพระยาชลยุทธรถหนึ่ง กรมสมมตกับหมอฟิสเตอรถหนึ่ง ไปตามถนนริมทเล ถนนนี้กว้างประมาณ ๕ ศอก เลียบไปบนชายเขาต่อกับทเล แต่แขงทำเรียบร้อยดี รู้สึกช่างสบายเสียจริงๆ เพราะเหตุที่ต้องแดดอุ่น อากาศก็ยังเย็น ดูสดชื่นในใจ พื้นที่ก็รู้สึกว่าเปนบ้านนอกแท้ ไม่เปนอย่างที่จะทำเมือง แต่มันไปไม่ถึงเมือง เปนครึ่งๆ กลางๆ น่าเดินเล่นเปนที่สุด ถนนก็ไม่สู้ชัน ชาวเมืองก็ล้วนแต่ใจดีกิริยาดี พบเข้าที่ไหนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสฤๅถึงออกปากต้อนรับก็มี เรือนมักจะปลูกอยู่ข้างฟากชายทเล ฟากข้างในเปนสวนปลูกต้นผลไม้ ซึ่งดูเปนแรกๆ ปลูกไม่กี่ปี แต่มีผลแล้ว แปร์กำลังมีผลอ่อน แชรีแก่แล้ว แชรีอิกอย่างหนึ่ง รูปร่างคล้ายๆ ลูกหว้า แต่สีแดงเปนแชรีอย่างเหลืองด่างแดง ยังไม่สุก เขาว่าเมื่อสุกขึ้นแล้วรศเหมือนลูกองุ่น ออกลูกดกแดงไปเต็มๆ ต้น ไม้ดอกมีกุหลาบมาก ตามบ้านตามชายทเลแลตามในทุ่งหญ้าซอกเขามีกุหลาบป่าชุม กอโตๆ กุหลาบป่านั้นมีเปนสองอย่าง ได้สังเกตเห็นแน่ในวันนี้ อย่างหนึ่งนั้นกลีบชมภูอ่อน ที่ขั้วกลีบขาวจาง อิกอย่างหนึ่งนั้นขาวล้วน ขาวคล้ายดอกชงโค แต่คงเปนกุหลาบลา ๕ กลีบ เหมือนกันทั้งสองอย่าง มันช่างขึ้นง่ายดาย แลงามดีจริงๆ พ่อรักเต็มทีเสียแล้ว ต้นไม้ผลในยุโรปนี้เขาปลูกห่างๆ กันมาก ไม่ไช่แต่ด้วยเผื่อโต เพื่อจะให้ถูกร้อนให้มากรอบต้น ผลไม้เมืองเราต้องห่อกันร้อน กลัวว่าจะสุกเสียเร็วไม่ทันโต แต่ที่นี่เขาต้องหาที่ร้อน จนกระทั่งถึงปลูกแอบกำแพง ให้ไอกำแพงร้อนมากระทบ หาไม่ลูกไม้นั้นไม่สุก เลยแขงเปนหินไปเสีย ปีนี้ลูกไม้ในประเทศยุโรปล่าหมด เพราะหนาวเกินไป ถ้าถูกพยุฤๅลูกเห็บสโนมาลูกไม้ก็เสียหมด ตำบลนี้อยู่เหนือมาก ผลไม้จึงยิ่งสุกล่าไปกว่าตอนข้างล่าง แต่สตรอเบอรี จับดีมาแต่วิสเนส ที่นี่มีไร่สตรอเบอรีดีเหมือนกัน แต่การทำสวนเช่นนี้ มีอยู่ซีกเขาซึ่งหันหน้าเหนือที่แดดจัด ซีกข้างไต้ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัดฟืน จะไว้พูดภายหลัง ไปตามทางประพาสสวนเรื่อยไปดังนี้ ประเดี๋ยวก็มีเรือนมีโรง มีโฮเตลอิกหลังหนึ่ง มีวัดอังกฤษหลังหนึ่งทำน่าเอนดูมาก เปนวัดอย่างนอรเวโบราณเล็กนิดเดียว มีช่อฟ้าใบรกาอย่างนอรเว มียอดคล้ายๆ วัดพม่า สร้างขึ้นด้วยการเรี่ยราย แลมีสวดมนต์ในฤดูนี้ พ่อผ่านไปกำลังสวดมนต์กันอยู่ มีโคกหนึ่งอยู่ข้างถนนต่อริมทเล มีต้นไม้ใหญ่อยู่บนนั้น เขาเรียกว่าต้นเบิช ว่าเปนที่ฝังศพเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่ง ชื่อ เบเล บางคนเขากล่าวว่ากิงเบเลนี้คือแฮมเลตที่มีในเรื่องเชกสเปีย มีเรื่องราวคล้ายกับนิทาน ซึ่งเปนเรื่องของพวกชาวเหนือเหล่านี้ แล้วจะเล่าให้ฟังบ้างในที่สุดรายวันๆนี้ ถัดขึ้นไปอิกหน่อยหนึ่งถึงบ้านช่างเขียนคนหนึ่ง ชื่อ ฮันสดาล พ่อเลยผ่านขึ้นไปเสียก่อน จนถึงที่สุดหนทางที่รถจะผ่านไปได้ จึงลงเดินถ่ายรูป มีตาแก่มาชวนให้ไปที่เรือนในต้นไม้ ที่นั่นฟากถนนข้างริมทเลมีต้นไม้หลายต้นติดกันเปนกออยู่ริมทเล แกไปผูกห้างตั้งเก้าอี้ไว้ที่ต้นไม้นั้น ทอดตพานมีกระไดขึ้นไปนั่งเล่นบนนั้นได้ แล้วมีสายลวดโยงลงมาที่โรงของแกอยู่ตรงกันข้าม ทำเปนเรสเตอรองต์เล็กๆ อยู่ที่จำเภาะลำธาร เปนที่สำหรับไปนั่งกินเข้าของกันได้ ถ้าหากว่าไปอยู่บนต้นไม้จะกินอะไร มีเรือไวกิงลำเล็กๆ อยู่ที่สายลวดนั้น มีกระดาษห้อยอยู่ที่สมอ จะต้องการอะไรก็จดลงไปที่กระดาษห้อยปล่อยไป ข้างโรงนั้นก็เอาของบรรทุกลงไปที่เรือไวกิง แล้วชักลวดข้ามฟากมาที่ต้นไม้นั้น วันนี้เรียกน้ำลูกไม้มาเลี้ยง แลขายโปสต์ก๊าด ซึ่งพ่อได้ซื้อเข้าสมุดมาด้วยแล้ว ตรงน่าเรือนต้นไม้นี้ลงไปมีร้านเปนตพานสำหรับจับปลาซัลมัน เห็นมีอวน แต่วิธีจะทำอย่างไรมันไม่ใช่เวลาที่แกทำ แต่เขาเล่ากันว่าที่นี่บริบูรณ์นัก ทั้งปลาซัลมันปลาเตราต์แลอื่นๆ ข้างฝ่ายบนบกก็ว่ามีที่ยิงกระต่าย, สุนักข์ป่า, เนื้อ, บางคราวก็ได้หมี ว่าหมีเมื่อก่อนนี้ชุม ตั้งแต่คนมาเที่ยวมากเดี๋ยวนี้น้อยไป เล่าเรื่องหมีมีเปนอเนกปริยายตั้งแต่นอทเคปลงมา พ่อไม่มีเวลาจะเล่า

ออกจากบ้านตาแก่นี้ มาหยุดถ่ายรูปที่บ้านช่างเขียนที่ชื่อฮันสดาล เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ ทั้งผัวเมียพวกพ้องมีผู้หญิงอังกฤษสาวอยู่ที่นั่นด้วย พาไปดูในบ้านแลไปดูวิลลาภายในด้วย บ้านนี้ตั้งอยู่ในที่งาม มีลานหญ้า มีต้นแชรีอย่างลูกหว้าหลายต้น มีต้นกุหลาบที่รั้วบ้านแลที่ข้างเรือน ดอกเต็มๆ ต้น ที่ประตูบ้านเอาโครงปลาวาฬสองอันตั้งขึ้นเปนประตู แล้วมีกระดูกปลาวาฬตั้งอยู่ที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้างเปนหลายแห่ง รูปเรือนนั้นเปนอย่างนอรวิเยียนแท้ มียอดมีหลังคาซับซ้อน ข้างในก็แต่งด้วยเฟอนิเชออย่างนอรวิเยียน เขียนสีเขียวสีแดง ลายก้านขดเปนพื้น เขาว่าเปนลายอย่างข้างฝ่ายตวันออก ช่างหาเครื่องเฟอนิเชออย่างเก่าๆ เมื่อไม่มีของเก่าก็ทำประกอบ เช่น นาฬิกา ทำเปนตู้แลเขียนลายครึอย่างเก่าเหมือนของโบราณ พาดูในห้องนั่งห้องกินเข้าแลสตูเดียวไปเห็นเข้าตกใจ ว่าตานี่เปนช่างเขียนฝีมือดี มีรูปเขียนดีๆ ประมาณสัก ๒๐ แผ่น พ่อได้ซื้อ ๔ แผ่น แกถนัดเขียนภาพเรื่องน้ำ แลได้ความว่าคนนี้เอง เปนผู้เขียนรูปกิงฮอกอนที่ติดอยู่ในห้องกินเข้าในวังเมืองคริสเตียเนีย กวีนมอดไม่ชอบว่าสู้ตัวจริงไม่ได้ ส่วนรูปกวีนมอดเอง กิงฮอกอนว่าสรวย แต่สรวยเกินไปเหมือนอย่างกับรูปหลังหีบชอกอเลต เคยได้ยินชื่อฮันสดาล เปนชื่อช่างเขียนสำคัญ คือผู้นี้นั่นเอง ขายก็ไม่แพงด้วย เมียเปนช่างเย็บช่างควัก ม่านที่เรือนทำเองทั้งสิ้น ลายเปนลายโบราณครึ แกว่าเอมเปอเรอเยอรมันก็ได้เคยซื้อรูปไป แลเอารูปถ่ายมาให้ดูด้วย แกว่าแกจะม้วนรูปส่ง พ่อกลัวว่าไปถึงที่ร้อนเข้าจะติดหมด จึงขอให้ส่งแบนๆ อยู่ข้างจะต้อนรับแขงแรง ออกจากบ้านช่างเขียนนี้แล้วกลับมาทางเดิม เลี้ยวข้ามไปข้างถนนน่าใต้ ถนนที่ข้ามนี้กว้างสามศอกพอจุรถ ต่อไปถึงริมทเลจึงเปนถนนห้าศอกเลียบไปตามริมทเลข้างหนึ่งเขาข้างหนึ่ง แต่เขาข้างซีกนี้พังทลายมากไม่มีอะไรนอกจากต้นไม้ขึ้นตั้งแต่ยอดลงมาจนข้างล่าง ที่ใกล้ถนนก็เปนหญ้าขึ้นตามซอกเขาปนกับมอส ไม้ที่ขึ้นอยู่บนเขาเปนไม้ฟืนทั้งนั้น มีสายลวดโยงจากไหล่เขาลงมาจนถึงพื้นแผ่นดิน เมื่อขึ้นไปตัดฟืนในที่สูงๆ เช่นนั้นแล้วผูกสายลวดโรยลงมา โยงสูงๆ มากหลายสาย ตลอดทั้งแถบเรื่องฟืนนี้พ่อได้เคยปรารภว่าในเมืองหนาวช่างใช้ฟืนเปลืองกว่าเราเสียจริงๆ ของเราใช้แต่เพียงหุงเข้า นี่ไหนจะต้องสุมให้อุ่นเวลาน่าหนาวด้วย แต่เพียงเราขึ้นอยู่ที่ครอดลิต สุมไฟในเวลาตอนค่ำจนกระทั่งถึงเวลานอน สิ้นฟืนออกเปนกอง ถ้าจะซื้อก็มากอยู่ การสะสมฟืนจึงเปนคู่กันกับการสะสมหญ้า ที่สำหรับใช้ในฤดูหนาวทั้งสองอย่าง เหมือนอย่างน้ำมันสำหรับจุดตะเกียงเช่นนี้ ก็ยังเปนการจำเปนมากกว่าเรา ถึงว่าในฤดูน่าร้อนเช่นนี้จะไม่ต้องจุดไฟเลย พอมืดก็เข้าที่นอนได้ ตื่นขึ้นก็สว่าง ไม่ต้องเสียค่าแสงสว่าง แต่เมื่อถึงน่าหนาวจำจะต้องจุด ไม่จุดก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนอย่างบ้านเรา พอมืดเข้าที่นอน เช้าขึ้นทำงาน ไม่เสียค่าไฟสักเท่าไร คงยังได้เปรียบใช้ไฟน้อยกว่าเมืองหนาว ส่วนค่าทำอาหารกินเท่าๆ กันต้องประจำอยู่เสมอ แต่ของเราไม่ต้องอบอุ่นห้อง นี่ต้องเสียค่าอบอุ่นห้องอิก ยังอ้ายเรื่องเตาที่ต้องมีทุกเรือน นี้ก็เปนข้อใหญ่ใจความ ไม่ว่าเรือนผู้ดีเข็ญใจต้องมีเตาทั้งหมด มีปล่องทั้งหมด ดูประดักประเดิดมาก เปนกิจอันหนึ่ง ซึ่งเมืองเราไม่ต้องนึกถึงเลย การอยู่การกินง่ายกว่ากันมาก

เมืองมุนดัล

 

โบยุนส เบร

 

เรื่องปลูกเรือนไม้ที่นี่อิกอย่างหนึ่ง การปลูกสร้างผิดกันกับเราทีเดียว ถ้าให้ช่างเรามาแลเห็นแต่ภายนอก คงจะจำรูปเรือนนอรวิเยียนได้ง่ายที่สุด แต่เมื่อบอกให้ทำให้รูปร่างเหมือนเช่นนี้ คงจะตั้งเสาตั้งหลังคาก่อนแล้วจึงตีบังใบฝา ของเราอย่างไรๆ คงต้องใช้เสาความคิดมันเดินมาจากทำโรง แต่ข้างฝ่ายนอรวิเยียน ความคิดมันมาจากก่อตึก คงจะตั้งฝาขึ้นไปก่อนโดยเอากระดานเข้าปากกบฤๅเข้าเดือย ซ้อนกันเปนชั้นๆ ขึ้นไป แล้วจึงตั้งหลังคา ไม่ใช้เสาเลยตรงกัน ตรงกันข้ามดังนี้ เรือนของเขาต้องการฝาหนาๆ ของเราไม่ต้องใช้หนาแต่ชอบอยู่เรือนไม้กันมาก เขาสรรเสริญว่าน่าหนาวก็อุ่นกว่าตึก น่าร้อนก็เย็นสบาย ไปข้างฝั่งใต้จนถึงที่สุดฟยอดเข้าไปชนเขา แล้วกลับมาตามทางเดิม มาลงเรือที่ท่าน่าโฮเตล กลับลงมาเรือ กินเข้ากลางวันพลาง ออกเรือต่อไปอิก วันนี้พ่อรวยดอกกุหลาบมาก เจ้าของโฮเตลเอามาให้เปนมัดใหญ่ มีผู้ต้องการจะจับมือ เห็นจะเปนอเมริกันตัวริสต์ หลายคน พ่อยอมจับให้แกทุกคน บ้างก็มาขอให้เซ็นชื่อ พ่อก็ตกลง อยู่ข้างจะชอบกันมาก รถที่ไปวันนี้เปนรถของแบงเกอผู้หนึ่ง ไม่ใช่รถจ้าง จึงต้องให้ซองบุหรี่เปนรางวัล

เวลาบ่ายเรือมาตามเฟยียลันด์ฟยอด ถึงตำบลมุนดัล แต่จะทอดที่น่า มุนดัล ไม่ได้ เพราะน้ำลึกตั้งร้อยวา ต้องแล่นเลยเข้าไปเปนกอง จนเกือบถึงปากธารโบยุมสเบร ซึ่งน้ำลึกประมาณ ๑๐ วา ทอดสมอได้ แล้วลงเรือเล็กไปขึ้นที่มุนดัล คือย้อนทางไป ที่นี่เปนบ้านเล็กๆ มีโฮเตลใหญ่งามอยู่หลังหนึ่ง มีตัวริสต์มาก ดูจะมากกว่าชาวบ้าน ที่สังเกตได้ว่ามากกว่านั้น คือชาวบ้านที่นี่มีผ้าขาวคลุมหัวลงมาคาดที่ลูกคางเหมือนกันทั้งนั้น ถึงเปนตัวริสต์ก็ต้อนรับกันเกรียวกราว อย่างเดียวกับที่บัลฮม ขึ้นรถที่เขาตกแต่งหรูถึงผูกดอกไม้ราวกับสงครามบุบผชาต มีธงปักด้วย สองข้างหนทางแต่ท่าขึ้นไป ก็มีผู้หญิงถือดอกกุหลาบคนละสองดอกสามดอกมาคอยให้ พอขึ้นรถแล้วก็มาประเคนกันทุกคน รถไปตามทางเลียบทเล มีโรงเรือนคนรายๆ มีไร่ผักบ้างไร่หญ้าบ้าง ผ่านเรืออัลเบียนไป จนถึงที่สุดฟยอด ที่นี่เปนหว่างเขาสูง เปนซองเข้าไป แต่ในซองนี้กว้างมากมีพื้นดินราบเปนพื้น ลำธารเหวี่ยงไปอยู่ข้างขวามือขาขึ้นไป ฝ่ายข้างเขาแถบซ้ายมือ เปนเบรน้ำแขงมาค้างขาวไปหลายแห่ง ที่แท้ก็เปนน้ำแขงดาดบนยอดเขาแผ่นเดียวกัน ที่ไหนเปนยอดสูง ที่นั่นก็ไม่มีน้ำแขงหุ้ม หว่างยอดสูงทั้งปวงนั้นมีเบรตลอด เว้นไว้แต่ที่สุดทีเดียว จึงทลายลงมาจนถึงพื้นลำธาร ลักษณก็อย่างเดียวกันกับโกรเนอเบร แต่แคบกว่าสักหน่อยหนึ่ง เตี้ยกว่าสักหน่อยหนึ่ง เราอยู่ที่อื่นร้อน แต่ครั้นเมื่อเข้าไปในหุบเขานั้นหนาว ตามระยะทางที่ไปเต็มไปด้วยกุหลาบป่า ทั้งขาวทั้งชมภู มีต้นผลไม้บ้าง แต่ไม่สู้มากแลยังเล็ก เห็นจะเปนปลูกภายหลัง กลับลงมาถึงเรือก็ออกเรือ วันนี้ในเรือร้อนจนเนยละลาย เวลา ๕ ทุ่มเรือถึงตำบลคุดวังเคนปรอดกลางแจ้ง ฟาเรนไฮต์ ๖๔ ดีกรี เซนติเกรต ๑๗ ดีกรี

ตำบลกุดวังเคน

 

นิทานเรื่องที่เกี่ยวข้องกับที่ฝังศพกิงเบเล มีรูปนางอิงเคบอก์ที่ในโปสต์ก๊าดที่พ่อซื้อมาในสมุดนั้นด้วย เกี่ยวข้องกับที่ตำบลนี้ มีเรื่องราวดังต่อไปนี้ มีผู้หนึ่งชื่อ ฟริถยอฟ เปนลูกพลเรือนที่มั่งมีคนหนึ่ง เปนเจ้าของที่แผ่นดินตำบลฟรัมเนส พ่อนั้นเปนเพื่อนกับกิงเบเล กิงเบเลจึงให้ลูกสาวที่ชื่อ อิงเคบอก์ เรียนวิชาครูเดียวกันกับฟริถยอฟ อิงเคบอก์กับฟริถยอฟจึงได้ชอบกันมาแต่เล็กๆ แล้วก็เลยรักกัน ถึงว่าฟริถยอฟเปนแต่คนพลเรือน ได้ปฏิญาณไว้ว่า จะไม่ขอพรากจากอิงเคบอก์ ในเวลานั้น กิงเบเล แลพ่อฟริถยอฟตายพร้อมกันทั้งสองข้าง ฟริถยอฟจึงได้ไปอยู่ที่ฟรัมเนส ฟากข้างโน้น มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ของวิเศษที่มีนั้นสามอย่าง คือดาบอัศจรรย์เล่มหนึ่ง กำไลอัศจรรย์วงหนึ่ง เรืออัศจรรย์ลำหนึ่ง เรียกชื่อว่า เอลลิดา ของที่เทวดารักษาทเลได้ให้แก่ต้นตระกูลมาแต่ปางก่อน แต่ถึงว่าจะมั่งมีแลได้ของวิเศษมีอำนาจมากดังนั้น ก็ยังไม่มีความสบาย เพราะไม่ลืมที่ได้เคยอยู่กับอังเคบอก์มาแต่ก่อน อยู่มากาลวันหนึ่ง ลงเรือข้ามฟยอดมาที่ๆ ฝังศพกิงเบเล คือที่ๆ พ่อได้ไปนั้น เปนเวลาที่เฮลเคแลฮาฟดันพี่นางอิงเคบอก์ประชุมคนเปนอันมากอยู่ในที่นั้น แล้วได้บอกขอนางอิงเคบอก์ต่อพี่ชายทั้งสองคน เฮลเคที่เปนเจ้าแผ่นดินนั้นกริ้วมาก บริภาษด้วยคำหยาบช้า ฟริถยอฟโกรธ ไม่อาจที่จะทนความดูถูกของเจ้าแผ่นดินได้ จึงได้ชักดาบออกฟันโล่ห์ของเจ้าแผ่นดินที่แขวนอยู่ที่ต้นไม้แตกเลอียดไป อยู่มาไม่ช้ากิงริง เจ้าแผ่นดินข้างฝ่ายเหนือเมียตาย จึงให้มาขอนางอิงเคบอก์ พี่ชายทั้งสองคนก็กลับหมิ่นประมาทคนที่ถือหนังสือ จึงเกิดการรบกันขึ้น เมื่อฟริถยอฟได้รู้ก็เล่นหมากรุกกับเพื่อนเฉยเสียไม่มาช่วย แต่รู้ว่าได้ส่งนางอิงเคบอก์ไปซ่อนไว้ในหมู่ไม้อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเปนวัดบัลเดอ ก็ลงเรือเอลลิดาไปหา ที่หมู่ไม้นั้นมีกฎหมายบังคับไว้ว่าใครไปถึงที่นั้นด้วยเรือ โทษถึงตาย ก็ขึ้นไป นางอิงเคบอก์ก็ตกลงยอมรับกำหนดจะเปนเมีย ฟริถยอฟก็รีบไปหาพี่ชายทั้งสองคน ในเวลานั้นก็เปนเวลาประชุมที่ๆ ฝังศพกิงเบเลเหมือนกัน แล้วไปขอนางอิงเคบอก์ สัญญาว่าถ้าหากว่ายอมให้นางนั้นแล้วจะช่วยรบ เฮลเคถามว่าได้ไปถึงที่นั้นโดยไม่ได้ทำผิดกฎหมายฤๅ คนทั้งปวงก็แนะนำฟริถยอฟให้บอกว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ถ้าบอกเช่นนั้นแล้ว นางอิงเคบอก์ก็จะเปนของท่าน แต่ฟริถยอฟถึงว่ารู้อยู่ว่าความสุขของตัวเกี่ยวกับการที่ต้องโกหก ก็ไม่โกหก รับว่าได้ไปในที่นั้น แต่ไม่ได้ทำให้เสื่อมเสียอะไรแก่วัดนั้น ตัวเขากับอิงเคบอก์ได้ไปไหว้พระในวัดนั้น แลได้ตกลงกันในที่นั้น คนทั้งปวงก็พากันละทิ้งฟริถยอฟเสีย เจ้าแผ่นดินจึงบังคับให้ไปทวงเครื่องบรรณาการจากเกาะข้างฝ่ายตวันตก อันชื่อว่าอังคันเตอ คนทั้งปวงก็เข้าใจว่าคงจะต้องไปตาย

อยู่มาในกาลครั้งหนึ่ง ฟริถยอฟได้พบอิงเคบอก์ได้ชวนให้ลงมาในเรือเอลลิดา ถึงว่าอิงเคบอก์ได้รักฟริถยอฟมาก แต่ถืออยู่ว่าตัวอยู่ในความปกครองของพี่ชายไม่ควรจะลงไป ก็ไม่ยอมลงเรือ จึงได้ลากัน ฟริถยอฟก็เอากำไลวิเศษนั้นสวมให้ในมือนาง แล้วก็แล่นใบไป ได้ไปทำการอัศจรรย์ต่างๆ หลายอย่าง ภายหลังได้เงินส่วยนั้นมา ด้วยความหวังใจว่าจะได้นางอิงเคบอก์ แต่ครั้นกลับมาถึงฟรัมเนส ได้พบบ้านเรือนถูกเผาเสียหมด แลยิ่งได้ความร้ายไปกว่านั้น ว่านางอิงเคบอก์ได้ถูกพี่ชายทั้งสองคนบังคับให้แต่งงานกับกิงริง เพราะเหตุว่าถ้าไม่ยอมจะเอาเมืองเสีย ฟริถยอฟสิ้นสติ จึงร้องว่า ใครจะกล้ามาพูดกับเราถึงเรื่องความซื่อตรงของผู้หญิง ในขณะนั้นเปนเวลากลางฤดูซัมเมอ ซึ่งเขารู้ว่ากิงเฮลเคคงจะไปที่วัดบัลดา จึงตามไปพบแล้วพูดว่า พระองค์ส่งให้ข้าพเจ้าไปทวงบรรณาการที่ค้าง ข้าพเจ้าก็ได้แล้ว แต่ไม่พระองค์ฤๅข้าพเจ้าก็จะต้องตาย ขอให้นึกถึงฟรัมเนสที่พระองค์ได้เผาเสีย แลนึกถึงอิงเคบอก์ที่พระองค์ได้ทำลายเสีย ด้วยกำลังโกรธ จึงเอาถุงเงินนั้นฟาดลงที่หัวกิงเฮลเคล้มลงสิ้นสมประดี ในขณะนั้นฟริถยอฟเห็นกำไลที่ให้นางอิงเคบอก์อยู่ที่รูปบัลดา จึงได้กระชากเอา รูปนั้นก็พลอยล้มลงด้วยในกองไฟที่บูชา ไฟก็ลุกลามไหม้วัดแลไหม้ป่าไม้นั้น รุ่งขึ้นกิงเฮลเคให้ติดตาม แต่ฟริถยอฟลงเรือเอลลิดาหนีได้ แต่นั้นก็เปนไวกิงเที่ยวรบชะนะหลายแห่ง แล้วกลับมาเมืองนอรเว แปลงตัวเปนคนแก่ไปที่กิงริง แต่ไม่ช้าเขาก็รู้กันว่าเปนคนหนุ่ม อิงเคบอก์เห็นจำได้ มีความตกใจเปนอันมาก กิงริงไม่รู้จัก แต่โปรดแลรับไว้เปนแขก ในกาลครั้งหนึ่งได้ช่วยกิงริง เมื่อม้าที่เทียมเลื่อนบนน้ำแขงตกลงในน้ำ อิกคราวหนึ่งนั้นได้ออกไปเที่ยวไล่สัตว์ด้วยกันสองคน กิงริงประธมหลับ ฟริถยอฟเปนผู้คอยระวังรักษา ในเมื่อเวลาจ้องดูเจ้าแผ่นดินอยู่นั้น มีกาตัวหนึ่งมาร้องยุให้ฆ่าเจ้าแผ่นดินเสีย แลมีนกขาวตัวหนึ่งมาเตือนให้หนีไปเสียให้พ้นจากความพยาบาท ฟริถยอฟถอดดาบออก แล้วขว้างไปเสีย ในขณะนั้นเจ้าแผ่นดินประธมตื่นรับสั่งถามก็ทูลตามความจริง กิงริงก็ทรงนับถือว่าเปนคนที่อดกลั้นความยั่วยวนได้ ฟริถยอฟรู้สึกตัวว่าจะอยู่ใกล้อิงเคบอก์ต่อไปไม่ได้จึงได้ทูลลา แต่กิงริงซึ่งเปนคนดีนั้น รู้กำหนดว่าตัวจะถึงตาย จึงขอให้ฟริถยอฟรับเอาทั้งแผ่นดินแลอิงเคบอก์ แลขอให้มีความปรานีต่อโอรสซึ่งเกิดกับนางอิงเคบอก์ แล้วก็เอาดาบแทงอกตาย คนทั้งปวงก็ประชุมกันเลือกเจ้าแผ่นดิน จะเลือกเอาฟริถยอฟขึ้นเปนเจ้า แต่ฟริถยอฟไม่ยอมเปน ขอให้ยกลูกกิงริงขึ้นเปนเจ้าแผ่นดิน ตัวเปนริเยนต์ไปจนกระทั่งเวลาอายุเต็ม แล้วฟริถยอฟไปที่ๆ ฝังศพพ่อสวดอ้อนวอนต่อบัลดา แล้วสร้างวัดถวาย แต่ถึงดังนั้นก็ยังไม่มีความสุขในใจ พระจึงได้บอกว่าข้อซึ่งไม่มีความสุขนี้ เพราะยังโกรธยังเกลียดพี่ชายอิงเคบอก์ทั้งสองคนอยู่ เอลเคนั้นตายเสียแล้ว พระจึงขอให้ไปดีกันกับฮาฟดัน เมื่อเวลายืนพูดกันอยู่นั้น ผเอินฮาฟดันได้มาถึงที่นั้น เมื่อแลเห็นสัตรูเข้าก็ตัวสั่นด้วยความตกใจ แต่ฟริถยอฟพอแลเห็นก็นึกยกโทษให้มากกว่าที่จะแก้เผ็ด จึงเดินขึ้นไปที่หน้าพระ เอาดาบแลโล่ห์วางไว้ในที่นั้น แล้วกลับมายื่นมือให้ฮาฟดัน ทั้งสองต่างคนดีกัน ในขณะนั้นก็มีผู้หญิงแต่งตัวอย่างเจ้าสาวเดินเข้าไปในวัด ฟริถยอฟเห็นก็จำได้ว่าเปนอิงเคบอก์ ฮาฟดันก็ได้ละมานะที่มีตระกูลสูงแลละความโกรธเสีย จูงมืออิงเคบอก์มามอบให้เปนเมียฟริถยอฟ พระก็ได้ให้พรทั้งคู่นั้น ในวัดที่สร้างขึ้นนั้น

เรื่องนางอิงเคบอก์แลฟริถยอฟนี้มันปนอยู่ในเรื่องอื่นยืดยาว เก็บมาแต่เอกเทศ รูปในโปสต์ก๊าดนั้นเปนรูปที่ว่านางอิงเคบอก์นั่งคอยฟริถยอฟ เรื่องนี้มีหนังสือ การที่จะเข้าใจนิทานนี้ได้ดี เมื่อรู้เรื่องราวของเมืองนอรเว กิงในเมืองนี้มันไม่ใช่เปนเจ้ารวมทั้งแผ่นดินเช่นเดี๋ยวนี้ เปนกิงเล็กๆ น้อยๆ รายไปมากคนด้วยกัน ออกจะคล้ายๆ เปนสลัด แต่สลัดถึงตีบ้านตีเมือง แล้วเลยปกครองบ้านเมือง ไม่ใช่แต่ในประเทศนอรเว ตลอดไปทั้งเดนมาร์กแลอิงค์แลนด์ ขอจบเรื่อง เห็นว่ามันก็สนุกดีอยู่จึงได้เล่าเรื่องเล่น เพราะเรื่องรายวันออกจะน้อย

• • • • • • • • •

ทางไปเมืองวอส

 

เมืองวอส

 

เมืองวอสถ่ายแต่ไกล

 

โฮเตลไฟลเชอร์ เมืองวอส

 

สพานรถไฟเมืองวอส

 

คืนที่ ๑๑๘

โฮเตลไฟลเชอร์ วอส

วันจันทร์ที่ ๒๒ กรกฏาคม

เวลาเช้าตื่นขึ้น แลเห็นภูเขาฝั่งเงื้อมงํ้า มีเรือกำปั่นลำใหญ่ลำหนึ่งย่อมลำหนึ่ง รับจ้างบรรทุกพวกตัวริสต์มาเที่ยว สายนี้เปนสายแฮมเบิค ไม่ใช่ขึ้นไปถึงนอทเคป รับคนมาแต่แฮมเบิค แวะเที่ยวตามฟยอดต่างๆ ขึ้นไปจนถึงทรอนด์เยม มีกัมปนีที่สำหรับรับพาคนมาเที่ยวเช่นนี้หลายกัมปนี จัดการทั้งเรือแลขึ้นบก ที่อยู่ที่กินที่เที่ยว ทั้งอธิบายสิ่งซึ่งไปดูนั้นด้วย ผู้ที่มาเที่ยวเปนโขลงโตเช่นนี้ เสียเงินถูกกว่าที่จะมาโดยลำพัง เปนต้นว่ากำหนดด้วยห้องในเรือ ไม่เปนเฟิสต์คลาส เซกันด์คลาส ถ้าจะมาอยู่แคบบินคนเดียว ประมาณว่าจะต้องเสียเงินราว ๖๐๐ มาร์ก ถ้าแคบบิน ๒ คน เสียรายตัวเงินลดลงไปกว่าคนเดียวกึ่งหนึ่ง ถ้า ๔ คนต่อแคบบิน ประมาณอยู่ใน ๒๐๐ มาร์ก เปนมาเที่ยวได้ การกินอยู่ก็ผิดกันบ้างแต่เล็กน้อย เกือบจะเหมือนๆ กัน แต่ผู้ที่มาต้องอยู่ในกำหนดของผู้จัดการ คือจะหยุดที่ไหนเวลาใดจะให้กินอะไรๆ เวลาใด จะให้นอนที่ไหน ให้กลับลงเรือแลออกเรือเวลาใดเหล่านี้แล้วแต่ผู้นำจะบัญชาทั้งสิ้น เพราะเหตุฉนั้นคนที่มาเที่ยวเช่นนี้ มักจะเปนคนไม่บริบูรณ์แลมักมีคนกิเลศหยาบปนอยู่ในนั้น ผู้ซึ่งเปนคนชั้นดีมาเที่ยวในหมู่เช่นนี้ครั้งหนึ่งแล้ว บางคนก็เข็ดไม่มาอิก ว่าสู้เสียเงินมากมาแต่โดยลำพังไม่ได้ ถึงผู้ที่มาในหมู่เหล่านี้กลับไปก็ไปนินทากันไปได้ตั้งปี ตามที่ไม่ถูกอัธยาไศรยกัน การขึ้นบกเขาปันเปนพวกที่ ๑ ที่ ๒ ถึงต้องมีตั๋วปิดรถ มีกำหนดเวลาสั่นกระดิ่งเรียกให้ทำสิ่งนั้น ทำสิ่งนี้ แต่ดูเขาก็สนุกสนานกันดีอยู่

เรารอให้พวกเหล่านั้นขึ้นเสียแล้ว ต่อจวน ๔ โมงเช้าจึงได้ขึ้น ที่ท่ามีโฮเตลหลัง ๑ เรียกชื่อตามตำบล แต่เปนชื่อเก่าว่า ไวกิงวัง ด้วยแต่เดิมเปนที่สำนักไวกิง ซึ่งเปนผู้มีอำนาจ แต่เปนสลัดฤๅเปนโจรอันมีความสัตย์อยู่บางอย่าง ไวกิงเช่นนี้มีตามฟยอดต่างๆ ตลอดฝั่งตวันตกของนอรเวมากตำบล มีอำนาจเปนเอกระอยู่ในอาณาเขตรของตัวเหมือนกิงคนหนึ่งๆ ไม่ได้ขึ้นกัน มีสมัคพรรคพวกตีปล้นเรือแลบ้านเมืองกันเองแลประเทศอื่น แต่ในฟยอดนี้ เปนที่ปรากฎว่ามีผู้ร้ายรุนแรงมากกว่าที่อื่น จึงได้มีชื่อว่า ไวกิงวัง คำว่า วัง นั้น หมายความว่า ที่แผ่นดินข้างลำธารที่สุดของฟยอด แต่ครั้นภายหลังมาจึงเปลี่ยนชื่อเสียเปนคุดวังเคน เปนพระเจ้าอันอยู่ในอาณาเขตรของไวกิงตำบลนี้ ที่ฟยอดนี้เปนที่ขับขันจริงๆ เรือลำใหญ่เข้ามาจอดได้เกือบถึงฝั่ง ด้วยสามารถที่น้ำลึก ถ้าไม่จอดใกล้ฝั่งก็จอดไม่ได้ ด้วยไม่มีสายสมอจะหยั่งถึงพื้นแผ่นดิน เมื่อเรือจอดอยู่ในก้นฟยอด แลกลับออกไปตามทางที่เข้ามาไม่มีช่องเลย เปนเขาสูงเทียมเมฆบังไปรอบทุกด้าน ท่าที่ขึ้นนั้นก็ขึ้นที่ปากธาร แล้วเลียบไปตามสายน้ำ ตามธรรมดาทางขึ้นเขาไม่ว่าประเทศหนึ่งประเทศใด ต้องขึ้นตามลำธารเปนง่ายกว่าที่จะหาทางอื่นเดิน แต่นี่เขาทำถนนเลียบไปข้างลำธาร ไม่เดินในท้องธารเช่นเมืองเรา จึงได้เปนการสดวก ทางนั้นก็อยู่ในกว้างสัก ๖ ศอก ตามปรกติเหมือนที่อื่น แต่ที่นี่น้ำใสแปลกกว่าที่อื่นหมด ถึงลึกเท่าลึกก็แลเห็นศิลาฤๅกรวดแลทรายในลำธาร ถ้าว่าอย่างไทยๆ ก็อย่างน่าเล่นน้ำเปนที่สุด ได้ผ่านเขาพังหลายแห่ง แรกขึ้นไปหน่อยหนึ่งพังเสียครึ่งซีกเขา ศิลาที่ตกลงมาเปนเหลี่ยมๆ ตะละก้อนโตเท่าๆ เรือนหลังหนึ่ง ดูๆ ก็น่ากลัวมากในเรื่องเขาพัง แต่เพียงเรามาเห็นรอยพังก็นึกน่ากลัว ดูเหมือนรู้สึกว่าพึ่งพัง แต่คนอยู่แถบนั้นเขาไม่กลัว ด้วยมันไม่ได้พังซ้ำแห่งเดียวกันทุกๆ ปี ความตะกลามหญ้าตะกลามฟืนก็คลานเข้าไปอยู่ได้อิก แต่ถึงอย่างนั้นคนช่างบางเสียจริงๆ เพราะมันไม่มีท่าทางอะไรที่จะหากิน ถึงจะหาปลาในลำธารก็เห็นจะเต็มเข็ญด้วยน้ำใสเหลือประมาณ ก็จะเหลืออยู่แต่หญ้ากับฟืน หญ้าก็ดีฟืนก็ดีจะทิ้งไว้กลางแจ้งก็ไม่ได้ ต้องทำยุ้งเปนกุฎิ์ฝาไม้หลังคาปีกไม้ถมดินให้หญ้างอกสำหรับไว้รับน่าหนาว ไม่ให้สโนแลน้ำแข็งท่วมปกหญ้าแลฟืนเสียได้ กุฎิ์ฤๅยุ้งเช่นนี้ยังต้องมีเปนโรงสำหรับเลี้ยงแกะเลี้ยงโค โคทางลำน้ำนี้เล็กมาก จะเปนน้ำใสไม่มีปูนอย่างลังกาฤๅอย่างไร ถ้าริมฝั่งทเลต้องเติมกุฎิ์ขึ้นอิกอย่างหนึ่งสำหรับเก็บเรือ ถ้าน่าหนาวขืนทิ้งเรือไว้ข้างนอก สโนแลน้ำแข็งลงเต็มก็แยะ ทานน้ำหนักไม่ไหว แต่ต้นไม้ที่งอกอยู่ยังหักโค่นลู่ล้ม ถ้าถูกทางที่สโนแลน้ำแข็งเลื่อนไหลตรงไหน ต้นไม้ก็วินาศขาดเด็ดเปนชิ้นเล็กชิ้นน้อยเกลื่อนไป ที่ยังเหลืออยู่ก็ฉีกล้มฤๅเอนราบไป ต้นสนดัดที่ยี่ปุ่นดัดลงกระถางเล็กๆ กิ่งห้อยร่องแร่งลงมาอยู่กับปากกระถาง นั่นเลียนต้นไม้ใหญ่ที่ถูกสโนทำให้เสียรูปต้นไม้ จะกล่าวไปไยถึงต้นไม้ แต่ภูเขายังหักพังทนไม่ได้ ด้วยเหตุที่พื้นที่กันดารไม่ควรแก่การเพาะปลูก แลด้วยเหตุที่ต้องบริหารรักษาผลซึ่งต้องลงแรงทำขึ้นมาได้เปนอันมากดังนี้ แลด้วยเหตุอื่น คือคนจนอิจฉาคนมั่งมี ตั้งเปนพรรคพวกกันเรียกว่าโซเชียลิสต์ ซึ่งอาจจะเข้าไปมีความคิดแลความต้องการเกี่ยวข้องในการปกครองได้ ทำให้คนมีเงินละภูมลำเนาไปหากินเสียที่อื่น เมื่อไม่มีคนมีเงินคิดตั้งทำการใหญ่โต พวกลูกจ้างเหล่านั้นเองก็จะได้เงินค่าจ้างมาจากไหน ถ้าจะพูดเรื่องนี้มากไป มันจะเข้าเรื่องราชการ ซึ่งพ่อตั้งใจจะไม่พูดถึงในหนังสือเช่นนี้ รวบรวมความว่า ด้วยเหตุทั้งปวงเหล่านี้ทำให้คนน้อยบางมาก แต่ซิเนอรี ที่เปนของธรรมดาเปนเองนั้น งามเหลือที่จะงาม นั่งดูลำธารแลภูเขาไปก็เหมือนดูซิเนมะโตกร๊าฟ เปลี่ยนต่างๆ ไปเสมอเหลือที่จะร่ำพรรณาใน “วัง” คือหว่างเขาที่เปนลำธารนี้ มีที่แผ่นดินมาก ด้วยหว่างเขานั้นกว้าง ค่อยสูงขึ้นไปทีละน้อยไม่ชันทีเดียว จนกระทั่งถึงน้ำพุใหญ่สองสาย ซึ่งตกจากเขาอันเปนที่สุดตั้งสกัดหน้า สูงตระหง่าน คราวนี้ ทางที่จะขึ้นไปจึงขึ้นชันมาก ชันเท่าหนทางขึ้นเขามหาสวรรค์ที่เพ็ชร์บุรี เขาบังคับให้คนลงจากรถหมด ให้รถขึ้นไปเปล่าๆ เว้นไว้แต่พ่อแลบริพัตรนั่งไปในรถ ขึ้นไปได้นิดหนึ่งก็ต้องหยุดลงเบร๊กไว้ ม้าหายเหนื่อยแล้วจึงขึ้นต่อไปอิก ม้าเทียมรถนี้เปนม้าเทศอย่างย่อมๆ แรงสู้ม้าข้างเหนือไม่ได้เลย หอบเร็ว ขึ้นหลายทบจึงได้ถึงยอดสกัด แล้วลงที่ต่ำไปหน่อยหนึ่งจึงไปขึ้นชง่อนสูง อันเปนที่ตั้งโฮเตลสตาลไฮม์ โฮเตลนี้ตั้งเฉภาะตรงช่องลำธารขึ้นมา วิ้วงามดี เปนโฮเตลไม้แต่ใหญ่โต เมื่อมาตามทางได้พบพวกที่มาเที่ยวกลับลงไปหลายพวก เมื่อขึ้นมาถึงโฮเตลก็เห็นพวกนั้นแน่นไปทั้งโฮเตล เขาว่ารวมหมดด้วยกันถึง ๔๐๐ คน โฮเตลนี้ได้เคยรับคนในวันเดียวถึง ๘๐๐ ด้วยกันก็เคย ถูกถ่ายรูปเสียจริงๆ แลไม่รู้หยุด ในการที่จะให้หยุดนั้นก็ง่าย ไปยืนเรียกว่าให้มาถ่าย คงจะมีคนกล้าเข้ามาถ่ายสักคนเดียวเท่านั้น คราวนี้เข็ดไม่ใคร่จะมีใครถ่ายอิก ในเรื่องดูเหมือนกัน ถ้าเราไปดูเสียบ้างก็เรี่ย พ่อเคยแก้กันมาดังนี้ โฮเตลสตาลไฮม์นี้สูง ๓๔๐ เมเตอร์จากพื้นทเล อยู่ห้องมุมซึ่งกิงฮอกอนได้เคยมาพักในที่นั้น มีลายมือ ทั้งออลัฟ กวีนมอดแม่เซ็นแทนด้วย กินเข้ากลางวันที่โฮเตลนี้ ทางแต่ท่าขึ้นมา ๒ ชั่วโมง

เวลาบ่าย ออกจาก สตาลไฮม์ เดินทางต่อมาอิก คราวนี้เปนขาลง ทางก็ลงมาเลียบลำธารอย่างเดียวกัน แต่ไม่ชันลงทีละน้อยๆ พื้นแผ่นดินสองข้างนับว่าเปนที่อุดมดี มีทุ่งหญ้าป่าฟืนมาก ป่าสนก็มีมากอยู่ ที่เปนหมู่บ้านหลายๆ เรือนปลูกผักบ้างก็มี ภูเขาไม่ตั้งชันเปนฝาผนัง ลาดเปนลานหญ้าขึ้นไปจนถึงป่าไม้ตอนข้างบนของเขา นับว่าเปนที่ราบยาวใหญ่ในเมืองนอรเวที่พึ่งได้เห็น เมื่อออกจากป่าไม้ก็ถึงทเลสาบ เรียกว่า อุบไฮม วันเด็ต เปนทเลสาบที่กว้างแลยาวมาก น้ำใสสอาด สองข้างทเลสาบก็เปนที่เพาะปลูกอุดมดี มีโฮเตลหัวท้ายทเลสาบข้างละโฮเตล ม้าเหนื่อยเต็มที ต้องหยุดพักที่โฮเตลวินเยกว่าครึ่งชั่วโมงจึงได้ออกเดินมาอิก วันนี้เปนวันแรกที่พ่อเคยกั้นร่มบังแดดในประเทศยุโรป ใช้ร่มที่ซื้อที่ฮาเมอเฟสต์ติดมือ แต่ถึงว่าได้กั้นร่มเช่นนั้นก็ยังได้แลเห็นเขาที่มีสโนอยู่ข้างบนไม่ได้ขาดจากสายตาเลย ตอนตั้งแต่พักม้านี้มาแล้ว ซีเนอรีเปลี่ยนใหม่ กลายเปนเขาที่มีต้นไม้มาก ทางมาริมลำธารเปนซอกเขาแคบๆ ดูเปนอย่างอื่น หน้าตาไม่เปนข้างเหนือเมืองนอรเวเลย เพราะที่จริงก็ตกมาข้างใต้แล้ว น้ำพุก็น้อยลงแต่ไม่ใช่ขาด ส่วนงานที่ใช้น้ำพุดูยังน้อย มีโรงเลื่อยนิดๆ สองสามโรง ร้างเสียก็โรงหนึ่ง เมื่อจวนจะถึง วอส จึงมีการทำศิลากระดานชนวน เปนกระเบื้องมุงหลังคา ไม่ยักตัดเปนเหลี่ยมเหมือนอย่างกับที่เคยเห็น ตัดมนคล้ายกระเบื้องเกล็ดไทยแต่แผ่นโตกว่า มาเห็นวิธีมุงที่โฮเตลนี้ ไม่ใช้ตรึงตะปูเกลียว วางซ้อนสับฟันปลาแล้วติดไม้ทับให้ยันกันอยู่อย่างนั้นเอง เมื่อมาใกล้วอสมีที่ลำธารละเลิงกว้างออก คล้ายจะเปนทเลสาบ แต่ไม่ใช่ มีดินในกลางๆ เปนสายน้ำเซาะหลายสาย แล้วก็รวมลงเปนลำธารน้ำเชี่ยวต่อลงมา มีสพานรถไฟก่อโค้งเดียวใหญ่สพานหนึ่ง เปนศิลาล้วน ทำเมื่อคฤสต์ศักราช ๑๙๐๔ งามดี ทำง่าย เพราะรากมั่นอยู่เสียแล้ว ถัดมาหน่อยหนึ่งก็ถึงเมืองวอส มีตลาด, ห้าง, เปนเรือนไม้ทั้งนั้น ไม่ดีกว่าฮาเมอเฟสต์ ตั้งแต่สพานรถไฟลงมาแล้วเปนแม่น้ำใหญ่ แต่น้ำตื้น โฮเตลเราอยู่ที่สุดหมู่บ้านใกล้สเตชั่นรถไฟ เรียกว่า ไฟลเชอโฮเตล น่าลงแม่น้ำ ห้องที่อยู่สบายดี ห้องชั้นล่างแต่งสรวยมีถึง ๔ ห้องติดๆ กัน พ่อชอบห้องไปรเวต ซึ่งมานั่งเขียนรายวันอยู่นี้ เขาแต่งงามดี เอมเปอเรอเยอรมันได้เสด็จหลายหน กิงออสคาร์ แลฮอกอนก็เคยมา มีลายมืออยู่ในโฮเตลนี้ กงสุลอเมริกันเขาจะจัดการให้ได้ตกปลาซัลมัน ต้องขึ้นรถไฟไปจากนี่ชั่วโมง ๑ หยุด แล้วจะต้องไปนั่งตกปลาอยู่ประมาณสามชั่วโมง จะต้องไปเบอรเคนด้วยรถบ่าย ถึงต่อค่ำ พ่อไม่เชื่อโชคลาภของพ่อว่าจะได้ จะต้องไปนั่งในเรือตากแดดสามชั่วโมงป่วยการเปล่า จึงบอกขอบใจของด เขาเอาปลามาให้ดู ที่เขาตกได้ตัวใหญ่ โชคเขาดี นั่ง ๕ มินิตเท่านั้นสำเร็จ มันไม่แน่ เราเปนคนเที่ยว มีกำหนดเวลา ไม่มีเวลาว่าง จะไปนั่งเปนอยู่เช่นนั้นป่วยการเวลา จึงไม่คิดอ่านทดลอง

วันนี้เปนวันนับว่าครึ่งกำหนดที่จะไม่อยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปนับว่าเปนวันแต่ข้างจะเหลือน้อยลง ที่จะไม่จดลงไว้ไม่ได้ ความคิดถึงบ้านเตือนให้จดลงดังนี้

• • • • • • • • •

ตำบลสตาลไฮม์

 

ตำบลสตาลไฮม์

 

น้ำตกที่ภูเขาสตาลไฮม์

 

คืนที่ ๑๑๙

เมืองเบอรเคน

วันอังคารที่ ๒๓ กรกฏาคม

เวลาเช้ากินเข้าแล้ว เดินไปขึ้นรถไฟ ที่ใกล้โฮเตลนั้นเอง รถไฟที่นี่มีอย่างเดียว เหมือนกันกับที่เคยขึ้นแต่ก่อน แต่ที่จริงของเขาสบายดี ไม่ได้ตามไฟฟ้าฤๅแคส ใช้จุดตะเกียงน้ำมัน รถเดินออกมาตามริมน้ำหน่อยหนึ่ง แล้วก็เลี้ยวลงเลียบเอวังเคอเอลเวน คำว่าเอลเวนนี้ เรียกชื่อน้ำอยู่ในระหว่างทเลสาบกับแม่น้ำ คือไม่ใหญ่ถึงจะเปนทเลสาบ แต่ไม่เปนแม่น้ำแลไม่เล็กเท่าคลอง ในลำน้ำเหล่านี้งาม เพราะเหตุที่เปนคุ้งเปนแหลม แลมีเขายื่นลงไปในน้ำ มีศิลาก้อนใหญ่ในน้ำเปนเกาะแก่ง ลักษณแม่น้ำไทรโยค แต่เขามากกว่า มากเต็มไปด้วยเขาไม่มีดินเท่าไร จึงได้ชักให้งามมากขึ้น มีเรือนรายๆ ที่เหล่านี้เปนที่ตกเบ็ด มีผู้จับจองผูกจากรัฐบาล ตลอดทุกแม่น้ำ แต่ใช่ว่าจะได้ปลามากมายเท่าใด อย่างทำอากรค่าน้ำ ไม่ใช่สำหรับกินเลี้ยงชีวิตร์ฤๅซื้อขายเปนอาณาประโยชน์ เปนตกปลาเล่นอย่างฝรั่ง ซึ่งเขาว่าสนุกด้วยสบายด้วย ซึ่งอังกฤษเปนผู้ชอบยิ่งกว่าชาติอื่นภาษาอื่น ถ้าเปนเด็กๆ อย่างเช่นพวกลูกๆ ไม่ตกเบ็ดต้องถูกเอ็ด ลูกโตเคยระอิดระอามาก เมื่อไปอิงค์แลนด์คราวก่อนพ่อก็เคยตกเปนสักสองหน ไม่เคยได้สักทีหนึ่ง การตกเบ็ดนี้ “เปน” เหลือเกิน ต้องนั่งตากแดดตากลมอยู่หลายๆ ชั่วโมง เมื่อวานนี้เบเยอ ที่เปนกงสุลอเมริกัน ก็มาตั้งอธิบายวิธีตก ซึ่งที่จริงพ่อเคยเล่นแล้ว ได้เคยลองตกปลาเทโพได้ง่ายที่สุด เมื่อฮุบเบ็ดเข้าแล้วต้องโรยสายเบ็ดให้ปลานั้นพาไปแล้วจึงค่อยๆ ขันกว้านที่คันเบ็ดโลมให้เข้ามาทีละน้อย ถ้าตึงมือหนักก็ต้องหย่อนไปอีก จนปลาอ่อนแล้วจึงค่อยเอาขึ้น ถ้ารั้งกันโดยแรงเบ็ดมักจะขาด ตาคนนี้ได้เคยถวายแนะนำเอมเปอเรอเยอรมันที่เสด็จมาตกปลา การตกเบ็ดอย่างฝรั่งนี้ จะกำหนดว่าช้านานสักเท่าไรจะได้ปลาไม่มีแน่ ลางทีนั่งคอยอยู่หกวันเจ็ดวันไม่ได้สักตัวหนึ่งก็มี ลางทีพอหย่อนเบ็ดลงไปสักสี่ห้านาทีก็ได้ การที่ไม่ได้ก็ไม่อัศจรรย์อะไร น้ำมันใสจนแลเห็นพื้นทราย ซ้ำไหลเชี่ยวออกกราก พระยาชลยุทธร้องดีมาก ว่าปลาอะไรมันจะมาว่ายทวนน้ำเช่นนี้อยู่ไหว ถ้าจะทวนน้ำอยู่ให้ได้ ที่จะต้องทอดสมอ ผู้ที่ผูกลำน้ำตกปลานี้เปนรายเดียวกันกับผู้ที่จัดการพาคนมาเที่ยวในที่นี้ เชี่ยวชาญอยู่สองพวกคือเบเยอพวกหนึ่ง เบเนตพวกหนึ่ง จัดการเสร็จตั้งแต่เรือ, รถ, โฮเตล, ที่ตกปลา, ที่สุดก็มีร้านขายของสำหรับผู้ที่มาเที่ยวจะมาซื้อที่เบอรเคนคนละร้าน กัมปนีกุ๊กที่เปนผู้จัดการเดินทางข้างฝ่ายใต้ มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่นั้นเห็นเปนแฟชั่นมาเที่ยวนอรเวกันมาก ก็ตามมาตั้งแต่สู้สองรายที่ออกชื่อมาแล้วไม่ได้ เพราะตั้งภายหลัง เหมือนอย่างเช่นพ่อมานี้ ในการรถการโฮเตลก็ต้องบอกให้เบเนตจัด การที่เราบอกไม่ต้องเสียค่าบอกเล่าอย่างหนึ่งอย่างใดกันเลย เสียแต่ค่าเช่าโฮเตลค่าเช่ารถตามพิกัด แล้วเขาไปนวดกันเอากับเจ้าของโฮเตลเจ้าของรถเอง ที่เราจะงุ่มง่ามเข้าไปจัดกับเจ้าของรถฤๅจัดกับโฮเตลไม่สำเร็จ ถ้าบอกกับเขาไปเปนสำเร็จ เรื่องรถไฟที่จะออกจากวอสมาเบอรเคนนี้ต้องจัดการกับเบเยอ เพราะเบเยอเขาเช่ารถพิเศษทั้งปวงสำหรับที่จะพาคนโดยสานสี่ร้อยลงมา เมื่อเราไปพูดกับเขา เขาก็หารถมาพ่วงเข้าให้สำหรับของเราอิกคันหนึ่ง เรื่องเช่าน้ำจากรัฐบาล เขาเช่าทั้งแม่น้ำแล้วตัดตอนขาย คนอังกฤษเปนพื้นที่มาเช่ารับตัดตอน บางทีตอนหนึ่งถึงฤดูละห้าร้อยปอนด์ เพราะการไปมากับเมืองอังกฤษใกล้มาก มาขึ้นเบอรเคนแล้วขึ้นรถไฟต่อไปอิก อยู่ตกเบ็ดเสียตลอดฤดู จะได้ฤดูละกี่ตัวก็ตาม เขาคงพอกัน เพราะในการที่ลงไปนั่งฤๅยืนตกเบ็ดนั้นเปนยาอายุวัฒนะอยู่ในตัวเสียแล้ว เมื่อวานนี้รถผ่านคนตกเบ็ดมาคนหนึ่ง สวมรองเท้ายาวขึ้นมาตลอดต้นขา ลุยลงไปยืนอยู่ในแม่น้ำ ลึกถึงต้นขา อ้ายน้ำฤๅก็ไหลเชี่ยว แดดฤๅก็ร้อน ต้องเอาผ้าเช็ดหน้าคลี่ลงบังหน้าไว้แล้วเอาหมวกครอบ ยืนสั่นดิกๆ อยู่ในน้ำ ไม่ใช่เพราะหนาว เพราะน้ำเชี่ยว พอแลเห็นหน้าก็รู้ว่าไม่ใช่ชาติอื่นอังกฤษช่างชอบกันจริงๆ เช่นนี้ ถ้าพอได้สักตัวหนึ่ง ต้องอวดกันบ้านแตก ว่าหนักเท่านั้นปอนด์เท่านี้ปอนด์ แต่ถึงจะไม่ได้ก็ไม่เงียบเหมือนเล่นหวย เพียงว่าได้ไปตกเท่านั้น เล่าขึ้นก็ได้รับอนุโมทนา ด้วยความเชื่อใจของผู้ฟังว่าผู้ที่ไปตกนั้นได้กระทำการจำเริญอายุ กัมปนีที่สำหรับรับคนเที่ยวเช่นนี้ คงจะได้กำไรมาก แต่ดูข้างเหนือจะสู้ข้างใต้ไม่ได้ เพราะเวลาเที่ยวสั้นกว่ากัน เหมือนอย่างปีนี้เปนปีที่ร้ายกาจ จนเดือนกรกฏาคมแล้วยังไม่หายหนาวแลยังไม่ขาดฝน คนน้อยไปกว่าทุกปี

รถเลียบมาตามเอวังเคอเอลเวน จนหมดแล้ว คราวนี้ตั้งข้ามเขาลอดมาในถํ้า หน่อยหนึ่งก็ถึงเซอฟยอด เซอนี้แปลว่าใต้ เปนอันเปลี่ยนฉากใหม่ กลายเปนภูเขาริมทเลซอกแซกลดเลี้ยวต่างๆ ซ้อนกันเปนชั้นๆ จนบางขณะซ้อนเหลื่อมกันสองข้าง เหมือนฉากโรงลคร เหลือที่จะพรรณาได้ฤๅเหลือที่จะถ่ายรูปได้ เพราะเปลี่ยนกันไม่หยุด ที่แผ่นดินประเดี๋ยวก็อุดมดี ประเดี๋ยวก็เปนศิลาครุคระ ประเดี๋ยวก็เปนป่า แต่โดยมากนั้นเปนที่อุดมดี อุดมด้วยหญ้าแลฟืน การห้ามหวงป่าไม้ในเมืองฝรั่ง เกิดขึ้นด้วยความจำเปนแท้ แลเกิดขึ้นเมื่อเกือบจะเสียที เพราะเหตุว่าฟืนต้องการมากเหลือเกินดังเช่นได้กล่าวมาแต่ก่อนแล้ว ถ้าปล่อยให้ตัดแล้ว ไม่ช้าเท่าใดต้นไม้ก็หมด ถ้าตัดลงเสียหมดแล้วจะปลูกขึ้นใหม่ก็ยาก เพราะไม่มีไม้ใหญ่บังไม้เล็ก เขารู้สึกขึ้นมาเขาจึงได้ตั้งกฎหมายห้ามปราม เรื่องตัดไม้ที่เมืองเราไม่ได้ห้ามมาเปนช้านาน ดูก็ไม่สู้น่าเกลียดเสียหายอันใด เพราะไม้ของเรายังพอจริงๆ แต่ที่ได้ห้ามขึ้นก็นับว่าเปนประโยชน์อย่างยิ่ง ที่เราไม่ต้องทดลองเอง ห้ามเอาอย่างฝรั่ง แต่ถ้าห้ามกันได้จริงเราได้ประโยชน์ดีกว่าฝรั่ง เพราะเขาห้ามกันเมื่อไม้สิ้นเข้าไปเสียมากแล้ว เราได้ห้ามแต่ต้นมือกว่า รถไฟมาถึงเบอรเคนเวลาเที่ยงเศษ ระยะทางอยู่ในร้อยกิโลเมเตอร์เศษ ขึ้นรถตรงมาโฮเตลนอรยี โฮเตลนี้เปนตึก สบายแลงดงามอย่างดี คนช่างดูมากมายจริงๆ เสียงร้องกันเอ็ด ความรู้สึกในใจชอบกล เหมือนพระยาบ้านนอกเข้าไปบางกอก เพราะตั้งแต่ออกจากคริสเตียเนียมาแล้ว ไม่มีเมืองใดที่น่าจะเรียกว่าเมืองเต็มตามแผนฝรั่งได้ แต่ความรู้สึกในใจรู้สึกสบาย เหมือนไปเที่ยวในหัวเมืองของเราเอง เพราะเมืองเหล่านั้นก็ไม่สู้ผิดกับเมืองเราเท่าใด เลวกว่าก็มี ราษฎรก็เปนคนที่ซื่อๆ แลใจดีอารีอารอบ พบใครเข้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส โมทนาสาธุโบกมือ โบกผ้า โห่ฮิ้ว ไปดีมาดี ดูใจฅอมันสนิทสนม ไม่นึกว่าเปนฝรั่ง ถึงมาที่เบอรเคนนี้ คนก็ยังไม่แปลกอะไร เปนแต่มากขึ้น แลมีคนต่างประเทศมาก ตื่นตึกตื่นรามไปกระนั้นเอง แต่ก็ยังรู้สึกสบายใจดีอยู่ หยุดอยู่ที่โฮเตลจนกินเข้ากลางวันแล้วจึงได้ไปเที่ยว

คนน่าโฮเตลเต็มแน่นอยู่เสมอไม่ได้ขาด ล้อมรถอยู่จนรอบ พอไปขึ้นรถก็โห่กันเกรียวกราว ออกจากโฮเตลไปนี้เขาเรียกว่ามิวเซียม แต่หาใช่มิวเซียมสำหรับเมืองไม่ เปนห้างที่พวกแฮนซีเอติกกัมปนี ซึ่งได้ตั้งขึ้นเมื่อคฤสต์ศักราช ๑๒๐๐ ปีเศษ เลิกเสียเมื่อคฤศต์ศักราช ๑๗๐๐ ปีเศษ ห้างนั้นเปนเรือนไม้ ปลูกเรียงกันขวางน้ำ เอาด้านรีติดๆ กันเรียงไปริมทเลเปนอันมาก แต่ที่ซึ่งไปดูนี้ เขารักษาไว้แต่หลังเดียว ให้คงอยู่เหมือนอย่างแต่โบราณ เปนเรือนกระไดแคบๆ กั้นห้องซุกซิก ทาสีแดงเขียวอย่าแรงๆ มีเครื่องใช้สอยของโบราณ คือถาดล้างหน้าทองเหลือง, กาน้ำแขวน, ถ้วยเบียทำด้วยตกั่ว, เปนต้น มีสมุดบาญชีที่เขียนแต่หลายร้อยปีล่วงมาแล้ว สำแดงวิธีของกัมปนีนั้นได้ทำการฉ้อชาวเมืองนี้ต่างๆ ด้วยใช้ลูกตุ้มซื้ออย่างหนึ่งขายอย่างหนึ่งเปนต้น วิธีที่กัมปนีนี้ฉ้อโกงต่างๆ เปนข้อปิดบัง จึงต้องห้ามไม่ให้คนในกัมปนีนั้นทั้งหมดมีเมีย ห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้นไปในออฟฟิศที่ทำงานนั้น ที่นอนของผู้จัดการแลคนใช้ในกัมปนีนั้นทำเปนตู้ติดกับฝา เมื่อเข้าไปนอนแล้วปิดบานตู้เลื่อนเหมือนกันกับตู้เก็บของ มีช่องเปิดสำหรับผู้หญิงเข้าไปในห้องนั้นได้ โดยไม่ต้องเดินผ่านทางออฟฟิศ มีกำหนดว่าถ้าหากว่าผู้ใดมีลูกต้องเสียค่าปรับเบีย ๒ ปีบ ผู้ซึ่งรักษามิวเซียมนี้ได้แต่งสมุดเล่มหนึ่งว่าด้วยเรื่องเหล่านี้ แต่พ่ออ่านไม่ออก จึงได้ขอรงับกันไว้เพียงเท่านี้ที

ออกจากมิวเซียมนี้ ไปที่วังเก่า ซึ่งตั้งอยู่ปลายแหลม เปนป้อมมีหอคอยสูงหลังหนึ่ง มีตำหนักหลังหนึ่ง ท้องพระโรงหลังหนึ่ง ก่อด้วยศิลาทั้งสิ้น ได้สร้างแต่ครั้งกิงฮอกอนที่ ๑ เคยถูกอังกฤษยิงครั้งหนึ่งลูกปืนยังติดอยู่ เมื่อเวลาเจ้าแผ่นดินเสด็จมา ได้ประทับอยู่ในตำหนักนี้ แต่เวลานี้ใช้เปนที่อยู่ของผู้บังคับการทหารเมืองนี้ มีผู้ให้ดอกไม้แลถ่ายรูป กลับจากนั้นแวะห้าง แต่เฉภาะที่ขายของที่รฦก คือห้างเบเนตแลเบเยอที่กล่าวมาแล้วนั้นเปนต้น ห้างอื่นอิกสองห้าง

ออกจากห้างนี้ขับรถเที่ยวดูเมืองแลดูวิ้ว ได้ขึ้นไปที่เขาข้างเมือง ซึ่งทำทางขึ้นใหม่ ยังไม่แล้วสำเร็จตลอด ทางยังค้างไม่ถึงยอด จะต้องเดินขึ้นไปอิก พ่อขี้เกียจเดิน เหตุด้วยเฉภาะเขานั้นหันหน้าทางตวันตก พระอาทิตย์ส่องแสงลงตรงเมือง เปนควันไปหมดถ่ายรูปไม่ได้ จึงมีความพอใจที่จะกลับลงมาพักที่โฮเตลเบลวือ ซึ่งต่ำลงมาจากยอดสักห้าหกทบ ที่นั้นเปนที่ดูวิ้วได้ดี ได้หยุดกินน้ำชาที่ชาลาน่าโฮเตลนั้น แลเห็นเมืองเบอรเคนได้ตลอด เมืองนี้ตั้งอยู่ริมทเล มีแหลมสองแหลมยื่น ในหว่างแหลมเหล่านั้นเปนท่าที่เรือจอด เท่าใดๆ ก็ได้ เปนที่บังลม นับว่าเปนท่าใหญ่ท่าดี มีเรือรบเยอรมันที่ตามเสด็จเอมเปอเรอเยอรมันจอดอยู่ในเวลานี้ถึง ๙ ลำ บ้านเรือนในเมืองเปนตึกโดยมาก มีถนนกว้างใหญ่ ภูมฐานเปนเมืองโต เว้นแต่มีตึกทำด้วยไม้แซกอยู่เกือบจะทุกถนน ยิ่งบริเวณรอบนอกออกไปเปนตึกไม้ทั้งสิ้น ถัดจากบริเวณตึกหมู่ที่เปนเมืองออกไป เปนวิลลาทำด้วยไม้ รูปพรรณต่างๆ ตั้งแต่ริมน้ำลามขึ้นไปจนกระทั่งบนเขา มีจำนวนพลเมืองถึง ๗ หมื่น การค้าขายที่นี่จอแจกว่าที่คริสเตียเนียมาก เหตุที่เปนเมืองอยู่ใกล้เกาะอิงค์แลนด์กว่าคริสเตียเนีย แลเปนท่าไปมากับอเมริกา ย่นทางสั้นขึ้นกว่าไปคริสเตียเนียถึง ๒ วัน ในเวลานี้กำลังทำทางรถไฟไปคริสเตียเนีย ถ้าหากว่าทางรถไฟสำเร็จ การค้าขายคงจะมาลงทางนี้มาก เปนเมืองที่เขาคิดจะแข่งคริสเตียเนียอยู่ด้วย ถ้าว่าด้วยห้างร้านขายของ ที่นี่ดีกว่าคริสเตียเนีย มีคนต่างประเทศไปมาเสมอไม่ได้ขาด ในเวลานี้ในท้องถนนเต็มไปด้วยพวกสี่ร้อยที่มาพร้อมกันกับพ่อ กับพวกทหารเรือเยอรมัน ตั้งแต่มาถึงจนกระทั่งเวลานี้ยังเดินไขว่ทั่วไปอยู่ในถนน ของขายที่เปนสปิเชียลลิตีสำหรับเมืองนี้ ซึ่งเปนสำคัญนั้นก็เฟอ คือเครื่องแต่งตัวทำด้วยขนสัตว์ต่างๆ สำหรับทั้งผู้หญิงผู้ชาย แลหนังสำหรับลาด ถักด้ายเปนพรม เครื่องลงยาโปร่งอย่างรัสเซีย แลเครื่องลงยาเกลี้ยง เครื่องประดับทองแลก้าไหล่ทอง เปนอย่างเครื่องแต่งตัวนอรวิเยียนของเก่าต่างๆ โดยมากเปนถังเบียทำด้วยเงิน สลักบ้างไม่สลักบ้าง ตู้โต๊ะเก้าอี้อย่างเก่า เครื่องไม้สลักแลแกะด้วยมือบ้างเขียนบ้าง รูปเรือไวกิงแลรูปถ่ายรูปเขียนที่งามประหลาดต่างๆ ในเมืองนี้ เครื่องแต่งตัวชาวเมือง ที่เปนของใหญ่ๆ เปนของเก่า แต่ที่เล็กๆ เปนของทำขึ้นสำหรับคนมาเที่ยว แต่ชั่วโปสต์ก๊าดอย่างเดียวเห็นจะเปนเงินเปนทองเสียนักหนา ได้ดูเมืองอยู่จนกระทั่งเวลาย่ำค่ำ แต่แดดยังสว่างมาก เวลากลับมาโฮเตลเท่ากับบ่ายสัก ๔ โมง จะกล่าวได้ว่าตั้งแต่ออกมา ฤๅตั้งแต่มาถึงยุโรปเกือบจะสามเดือนแล้วยังไม่เคยพบฤดูซัมเมอเลย เปนแต่ฤดูสปริง เอะอะขึ้นก็ออกจะไปข้างหนาวเกินสปริง พึ่งจะมารู้สึกว่าเปนซัมเมอเมื่อถึงวิสเนส เลยติดต่อมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ แดดอยู่ข้างจะร้อนจัด แต่เวลากลางคืนก็ยังหนาว พอนอนห่มแบลงเกตได้สองชั้น ไม่ต้องใช้นวม

ได้ส่งสมุดที่เขาขายที่วังโบราณสองเล่ม กับรูปที่ชาวเดนมาร์กเขาถ่ายเมื่อไปออฮุสสองรูป กับรูปถ่ายที่สกาเคนอีกหอบหนึ่ง มาให้สำหรับดูล่วงน่าแล้วให้เก็บไว้ให้พ่อ รูปแลสิ่งของทั้งปวงเปนอันมากเหลือหลายที่ได้ซื้อมาแต่ส่งไม่ได้ เพราะดุ๊กไม่ได้มาไม่มีผู้ใดจะจัดการ จะต้องพาเอาไปปารีสด้วย แล้วจึงจะได้ส่งต่อภายหลัง วันนี้ได้รับหนังสือเมล์ฉบับลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน แต่ยังไม่ได้อ่าน มาคั่งกันกับหนังสือเก่าไม่ได้ตอบ เพราะไม่มีเวลาที่จะเขียน แลหาที่ส่งก็ยาก กลัวจะไปรอช้าเพราะต้องส่งตามเมล์ย่อย ที่เบอรเคนนี้เปนเมืองใหญ่ มีเมล์ที่มั่นคงควรจะไว้ใจได้ จึงได้รีบจบรายวันฉบับนี้เสียในวันนี้ เพราะพ่อยังจะไปเที่ยวแกว่งอยู่ที่อื่นต่อไปอีกจะขาดคราวมากนัก จดหมายฉบับนี้ก็ยาวเหลือเกินอยู่แล้ว จึงขอจบลงไว้เพียงเท่านี้ที มีคลาศเคลื่อนอยู่บ้างขาดไปบ้าง แต่จะแก้ไขก็จะต้องค้นกินเวลามาก จึงตกลงว่าปล่อยไว้เช่นนั้นที แล้วจึงค่อยแก้ไขต่อไป

จุฬาลงกรณ์ ป.ร.

รูปทรงถ่ายสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต กับพระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช เมื่อตามเสด็จประพาศทางบก

รูปทรงถ่ายสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต กับพระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช เมื่อตามเสด็จประพาศทางบก



[๑๙๒] เห็ดย้ำ หรือหัวเห็ดย้ำ เปนคำแผลงหมายความว่าชอบอย่างไรก็ทำเอาดื้อ ๆ ไม่หันหาให้วิเศษ

[๑๙๓] บี เปนคำแผลง หมายความว่าเปนบ้าอย่างน้อย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ