พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๖

บ่อน้ำแร่เอลิศเบตที่เมืองฮอมเบิค

บ่อน้ำแร่เอลิศเบตที่เมืองฮอมเบิค

คืนที่ ๑๕๘

วันเสาร์ที่ ๓๑ สิงหาคม

วันนี้เปนวันที่หมอโปรเฟสเซอเกรลแลไมเยอจะไป การอาบน้ำวันนี้ลดน้ำให้เย็นลง เปน ๓๒ ดีกรี แต่เวลาคง ๑๕ มินิตตามเดิม การที่ให้เย็นลงนั้นเพื่อจะให้ไอคาบอนิกในน้ำแรงขึ้น ด้วยไม่มีแคสซึ่งจะนำออก การแต่งดอกไม้ในห้องอาบน้ำ ยิ่งเห็นว่าชอบเขายิ่งเติมขึ้น วันนี้มีดอกทานตวัน ตัดทั้งต้นปักขวดตั้งในมุมห้อง จนเต็มทั้งสองมุม บนหลังตู้ตั้งอ่างรีใหญ่จัดดอกรักเร่ ดูเปนดอกไม้หรูไปทั้งห้องแล้ว ตั้งแต่เริ่มไปอาบน้ำมาจนกระทั่งวันนี้ มีคนไปคอยดูที่ที่อาบน้ำทุกวันกองโตๆ ถ่ายรูปก็มี แต่คนที่นี่เคยเจ้าเคยนาย ด้วยเจ้านายเสด็จไปมาอยู่เสมอไม่ขาด จะดูก็อย่างมีอัธยาศรัย ยืนอย่างเรียบร้อยห่างๆ แลคำนับ ผู้หญิงก็โบกผ้าฤๅถอนสายบัว จนเด็กๆ ก็ถอนสายบัวคล่อง เดี๋ยวนี้เปนบอกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักพ่อสักคนเดียว ทั้งในเมืองแลในทุ่ง ตั้งแต่ผู้ดีลงไปจนเด็กกลางถนน ต้องรับคำนับเรื่อยอยู่ตลอดทางทุกเวลาที่ไปเที่ยวข้างไหนๆ วันนี้ออกจากอาบน้ำแล้วเดินไปดูโรงที่สำหรับไว้เครื่องดัดตัว ซึ่งเปนแห่งเดียวกันกับร้าน ร้านตั้งอยู่ที่เฉลียงโรงนี้ ในนั้นมีหมอประจำคนหนึ่งต่างหาก เครื่องต่างๆ คล้ายกับที่อาบน้ำอื่นๆ แต่มีวิเศษขึ้นไปอิกสองสามอย่างเปนของใหม่ มีเฉลียงออกไปกลางแจ้ง สำหรับถ้าฝนไม่ตก เลื่อนเครื่องออกไปได้แต่เฉภาะเครื่องที่สำหรับช่วยคนเปนหืดหายใจอย่างเดียว ปลูกป่าสนไว้รอบเฉลียงนั้นสำหรับให้หายใจได้กลิ่น ซึ่งเขาถือว่าเปนยาแก้ ดูเพลินไปหน่อยถูกเร่งให้กลับมาหยุดพัก ขี้เกียจขึ้นเรือน พักข้างล่าง ๑๐ มินิตแล้วจึงได้กินกลางวัน แล้วพักใหญ่เขียนหนังสือ

เวลาบ่าย ๕ โมง ไปดูตาแก่เขียนรูป แกก็ออกจะเขียนดีๆ แต่ยังเข้าใจผิดอะไรหลายอย่าง ขอผัดต่อไปใหม่อิก แล้วไปดูยิงเป้าซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน ยิงเป้าเช่นนี้ มีที่ไหนๆ ไม่ใช่แปลกปลาด แต่ไม่มีเครื่องล่อ คืออย่างที่ยิงถูกเข้า ก็ได้เอาของขยี้ขี้ตีนอะไรต่างๆ นี่ถ้าจะไปยิง เสียเงิน ๕ เฟนิก ที่ยิงมีหลายอย่าง คือมีอ้ายตุ๊กตาตลก ที่ชักสายยนต์ให้แยงแย่ได้ ถ้าใครยิงถูกกลางอก ตุ๊กตานั้นแย่ลง มีเชือกสำหรับยายแก่กระตุกขึ้นให้ยืนตามเดิม อิกอย่างหนึ่งนั้นเปนตุ๊กตา ถ้าถูกเข้าแล้วเปิดหมวก แต่เวลาจะให้ปิดต้องเดินไปปิดกันดื้อๆ มีเป้าหลายอัน ที่ถ้ายิงถูกเข้าแล้วดังกริ่ง มีกล้องดินปักไว้เปนอันมาก ซึ่งถ้ายิงถูกเข้ากล้องแตก มีตัวสัตว์อะไรๆ หลายอย่างยืนเปนแถวสำหรับยิง มีกล้องหมุนคว้างอยู่สองอัน แลอะไรๆ ต่างๆ หลายอย่าง ในที่สุดมีน้ำพุขึ้นมารินๆ อยู่กลางที่ยิง เอาลูกแก้วขาวเล็กๆ เปนกระจกเงาวางให้ลอยอยู่บนน้ำ สำหรับยิงถูกแล้วลูกแก้วนั้นแตก ถ้าใครยิงถูกมากๆ ยายแก่นั้นออกจะขาดทุน ไล่กันเสียที ที่เล่านี้เหลวเต็มทีแล้วเพราะเหตุที่ไม่มีอะไรจะเล่า ก็เล่าไปอย่างนั้นเอง ถ้าหากมีอื่นก็จะไม่เล่าถึงเรื่องนี้ ออกจากนั้นเดินไปดูดงกุหลาบซึ่งอยู่น่าเรสเตอรองต์อันหนึ่ง เปนกุหลาบตอ สูงประมาณศอกคืบ ดอกเปนช่อข้างบนทุกต้น เขาปลูกเข้าเปนลายสวนทีเดียว ได้ตั้งตาดูทุกวันตั้งแต่แรกมายังตูมอยู่ เดี๋ยวนี้กำลังบานพร้อมกันหมด เปนเหลืองแปลงหนึ่งชมภูแปลงหนึ่ง คั่นกันงามชื่นตา แต่ยังไม่ได้ไปในที่นั้น จึงเดินวนไปดู แล้วเลยไถลไปที่สนามคอล์ฟ ดูเขาเล่นคอล์ฟ แลนั่งเล่นตามต้นไม้ การที่ไปเที่ยวนี้เปนเดินเล่นเวลาเย็น ไม่ใช่ตั้งใจไปดูอะไร รถที่เราไปมันช่างสบายเสียจริงๆ เราเดินไปข้างไหนรถก็ตามไปถึงนั่น บนทางคนเดินบนหญ้า ฤๅที่ห้ามแห่งใด เขาปล่อยให้ไปได้ฟรีหมด ไม่มีใครห้ามเลย ไปทางไหนรถก็ตามต้อยไปทุกแห่ง ย่ำค่ำครึ่งกลับขึ้นรถไปเที่ยวตามถนนแลออกทุ่ง กลับมาที่วิลลาเวลาทุ่มเศษ วันนี้แกงฟัก แต่ใช้เตอนิปต้มเสียให้อ่อนก่อน ใช้ได้เหมือนฟัก อร่อยดี หมดทุนเท่านี้ ไม่มีอะไรจะเล่าต่อไปอิก

ทอดพระเนตรลอนเทนนิสที่สนามเมืองฮอมเบิค

ทอดพระเนตรลอนเทนนิสที่สนามเมืองฮอมเบิค

คืนที่ ๑๕๙

วันอาทิตย์ที่ ๑ กันยายน

เมื่อคืนนี้ฟ้าร้องเปนภาษาไทย ดังกึกก้องแต่ฝนไม่ตก ท่าทางเหมือนจะเข้าฤดูออตัม ในหมู่นี้ผลแห่งดิยิสตาลิสกำลังมาปรากฎเข้มขันมาก เนื้อทุกๆ กลํ้าที่เปนสำคัญนั้น ยอดอกแลราวนมไปจดรักแร้ตึงแขงเครียด ถ้านอนตะแคงฤๅกระทบถูก รู้สึกเจ็บเสียวๆ แขงจับได้เปนกลํ้า ลักษณนมคัดฤๅนมหลง ไม่ใช่บวม ขาแข้งท้องไส้เปนอย่างนั้นไปหมด เมื่อแรกนี้นึกว่าจะเปนอะไร ครั้นเมื่อตรวจตราหนักเข้า ได้ความว่าเปนด้วยดิยิสตาลิสขับโลหิต เพราะเหตุนี้ที่ต้องให้พักให้แรมอะไรมากมาย ไม่ให้ทำอะไรมากๆ กลัวจะตึงหนักไป วันนี้เปนวันอาบโคลน อาบคาบอนิกสองวัน อาบโคลนวันหนึ่ง พ่อเห็นจะถึงแก่ความอับจนไม่มีอะไรจะเขียนไปให้ เพราะอยู่บ้านกันอย่างไทยๆ แล้ว จะต้องลงเล่นเรื่องเกร็ด

วันนี้จับบทเรื่องหมา เพราะเขาเอามาขายอยู่บ่อยๆ ที่จริงนึกไว้แต่แรกว่า จะหาหมาไปดีฤๅไม่เอาไปดี ใจหนึ่งนึกว่าไม่เอาละมีแล้ว แต่อิกใจหนึ่งนึกว่า กรมดำรงคงจะถามสองเรื่อง คือเรื่องกล้องแมช่อมแลเรื่องหมา เพราะรู้กันอยู่ว่าเปนของที่ติด อดเล่นไม่ได้ทั้งสองอย่าง เรื่องกล้องแมช่อมตั้งแต่ร้านซัมเมอที่เราเคยซื้อไม่เอากล้องดีมาให้ดู เลยออกจะฉุนๆ นึกว่าจะไม่เอากล้องแมช่อมเข้าไปเลย เมื่อเลิกกล้องแมช่อมแล้ว ก็นึกว่าจะไม่หาหมาเข้าไปเหมือนกัน กรมดำรงถามจะได้บอกว่าไม่มีทั้งสองอย่าง ให้แปลกหน่อย

แต่ดุ๊กแกอดเปนแม่สื่อไม่ได้ พอกลับจากนอรเวเอากล้องมาให้ดู พูดแก้แทนซัมเมอต่างๆ ว่ามันตกอกตกใจเวลาที่พ่อไป ที่จริงกล้องดีๆ มันมีอยู่ ดุ๊กเอามาวางลงให้ดูต่างๆ อดไม่ได้ต้องคลำ คลำเข้าแล้วก็อดชอบไม่ได้ ตกลงเปนเสียพิธีในข้อที่จะไม่มีกล้องแมช่อมไปนั้น

เรื่องหมายังไม่ตกลงมาได้อิกเปนนาน เมื่อไปนอรเวพบใหญ่ตัวหนึ่ง บริพัตรตะลีตะลานมาบอกว่างามจริงๆ แลใจฅอเปนน้ำเหมือนอ้ายจุด ได้เกิดรักแลไปเล่นด้วย ข้อที่ไม่เอามานั้น เพราะเปนเวลาเรากำลังเดินทาง มันโตเท่าคน ไม่รู้ว่าจะไปไว้ที่ไหน ทั้งเอมเปอเรอรัสเซียก็เคยห้าม ไม่ให้เลี้ยงหมาใหญ่ชนิดนี้ เลยทอดธุระไว้เสียที

ยังลืมเล่าถึงหมากวีนอาเลกซานดรา เพราะใครๆ จะเห็นได้ว่ากวีนอาเลกซานดราเปนคนรักหมาสักเพียงใด ถ่ายรูปมีหมาเปนนิจ ที่จริงเวลากินเข้าเช้ากินเข้ากลางวันด้วยกันเมื่ออยู่วินด์เซอ มีหมาออกมาเล่นอยู่สองตัวเสมอ ตัวหนึ่งเปนหมายี่ปุ่น แต่หายใจไม่ดังครอกแครก ตัวนั้นโปรดมาก อิกตัวหนึ่งเปนทำนองปูดัล มันฉลาด มันเที่ยวประจบพวกเราทุกคน ที่นั่งกินเข้าอยู่ในโต๊ะนั้น แต่ตัวยี่ปุ่นไม่ประจบใคร ถ้าเรียกมาแต่ผู้ที่นั่งใกล้กวีนเช่นพ่อ เลยเปิดเรื่องหมากันขึ้น พ่อได้ถามถึงหมาพันธุ์ที่เรียกกิงชาลส ซึ่งเปนที่ลํ่าฦๅนักว่าเปนอย่างไร ถ้าหากว่ากะไร อยากจะขอลูกสักตัวหนึ่งด้วยซํ้าไป แต่มีความประหลาด ที่ได้ความว่ากิงชาลสนั้นไม่ใช่หมาอะไร หมายี่ปุ่นนี่เอง พืชพรรณเดิมมันก็เปนหมายี่ปุ่น ตัวที่พ่อเห็นนั้นมันก็หมากิงชาลสนั้นเอง ตกลงเลิก เลยไม่ขอ

คราวนี้ต่อมา เกิดความเอนดูหมาเตี้ยตัวยาวๆ ที่เขาเรียกว่าดักฮุนด์ สาเหตุที่จะเกิดเอนดูหมาเตี้ยขึ้นนั้นมันนมนานมาแล้ว ตั้งแต่ปรินซเฮนรีออฟปรัสเซียเข้าไปบางกอก มีหมาเตี้ยตัวโปรดนอนบนพระแท่นอยู่ตัวหนึ่ง เวลาไปหาที่พระที่นั่งอุทยานเล่นๆ ออกชอบ แต่ยังไม่นึกรัก เฉยเรื่อยมาได้จนกระทั่งไปเดนมาร์กคราวนี้ เวลาอยู่โคเปนเฮเคน ขึ้นรถโมเตอร์คาร์ไปกับปรินเซสมารี ขึ้นชื่อว่ารถโมเตอร์คาร์ในเมืองเดนมาร์กแล้ว ไม่ว่าคน ว่าม้า ว่าหมา กลัวอย่างยิ่งทั้งนั้น ตกอกตกใจกันเสียแต่ไกลๆ ณกาลวันหนึ่ง ไปตามชายทเล ข้างหนึ่งเปนเนินเขาข้างหนึ่งเปนทเล พบผู้หญิงผู้ดีแก่ๆ คนหนึ่งเดินมา มีหมาเตี้ยตามหลังแต่งตัวใส่เสื้อ เพราะมันหนาวแลเห็นแต่ไกล ยายแก่นั้นก็ตกใจ หมาก็ตกใจ ยายแก่นั้นยังเหลียวเก้กังว่าจะหลีกไปข้างไหนดี แต่หมานั้นวิ่งจนหูลู่ ขึ้นบนเนินเขาที่มีต้นไม้รกๆ ไม่ยักซุ่มอยู่ในรก เจอชง่อนที่ข้างบนเปนหญ้า ออกมานั่งท้าวแขนอยู่ที่ชง่อน ชเง้อดูยายแก่นาย ชเง้อแล้วชเง้อเล่าจนรถเราไปถึง พอถึงเข้า กลับหันหน้ามาดูรถ ทำหน้าเหมือนจะบอกว่าไม่กลัวดอก พ้นแล้วพ้นแล้ว ได้ทักแลได้ดูพร้อมกันกับปรินเซสมารี เขาว่ามันฉลาดนัก

ครั้งที่ ๓ เมื่อไปปารีสครั้งนี้ ไปฟอนเตนโบล ไปกินเข้าที่เรสเตอรองต์ คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ มีหมาเตี้ยสองตัว นั่งพันอยู่กับขาเก้าอี้ หมาสองตัวนั้นงามมาก ได้พิเคราะห์ถ้วนถี่ ออกนึกชอบเปนครั้งที่ ๓ ได้บอกกับชายว่า หมาเราก็มีหลายอย่างแล้ว ถ้าคราวนี้จะซื้ออยากซื้อหมาเตี้ยไปลองเลี้ยงสักที เขาเลยพรรณาถึงเรื่องหมาเตี้ยต่างๆ เพราะคนเยอรมันชอบเลี้ยงกัน ชมกันว่าฉลาด ถึงกับแต่งหนังสือเรื่องหมาเตี้ย เล่าถึงความฉลาดต่างๆ จนออกจะไม่น่าเชื่อ ซึ่งเปนธรรมดาชองคนหลงหมาเห็นไปได้ต่างๆ ไม่ใช่ตั้งใจจะปด แต่ก็ยังไม่ถึงเอะอะให้เที่ยวหา ครั้นมาวันนี้มีคนเอามาขาย จึงได้พิจารณาเลือกฟั้นกัน มีดีพอใช้คู่หนึ่ง ตกลงใจว่าจะซื้อ ราคาก็ไม่แพง แต่กลัวจะยังไม่สู้ดีแท้ ยังให้หาต่อไปอิก เพียงแต่ตกลงใจว่าจะซื้อหมาเตี้ยเท่านี้ กรมสมมตขอจองลูกตัวแรกเสียแล้ว กรมดำรงจะเห็นขันประการใด ในการที่พ่อเลี้ยงหมาเตี้ยซึ่งเคยค่อนไว้แต่ก่อน เรื่องมันหมดเข้า จึงได้เขียนเหลวไหลถึงเพียงนี้

เวลาย่ำค่ำแล้วออกไปเที่ยว เขาเตรียมโมเตอร์คาร์ไว้ คนมาคอยกันแน่นตั้งแต่บ่าย ๔ โมง แต่ไม่ได้ไปไหนไกล ต้องการจะไปดูสวนที่น่าคัวรเฮาส์ เปนที่ประชุมเล่นนักขัตฤกษ์แลเลี้ยง เพราะเจ้าพนักงานที่นี่เขาบอกว่า ในการเฉลิมพระชนม์พรรษาเขาจะเปิดคัวรเฮาส์ให้ไปทำอะไรอะไรที่นั่น จึงตกลงใจว่า การเลี้ยงจะไปเลี้ยงที่คัวรเฮาส์ แล้วจะเปิดเอนเตอเตนเมนต์เวลาค่ำ จะเชิญผู้ดีในเมืองนี้ให้หมด ส่วนที่น่าคัวรเฮาส์นี้เปนสองชั้น อยู่คนละฟากถนน คัวรเฮาส์นั้นตั้งอยู่บนที่สูง มีสวนติดอยู่กับน่าคัวรเฮาส์ชั้นหนึ่ง แล้วจึงถึงถนนคั่นกลาง ถนนสายนี้เปนวิลลาตลอดทั้งถนน ฟากข้างคัวรเฮาส์อิกฟากหนึ่งเปนป๊าก ในป๊ากนี้มีรูปเอมเปอเรอฟรีดริชที่ ๓ แลเอมเปรส ท่าด้วยศิลาครึ่งตัว มีสระมีน้ำพุกลางสระ เปนที่เดินเล่นสบายดี ลงเที่ยวเดินในป๊ากนั้น ค่อยมีคนไม่รู้จักมาก เพราะเหตุที่เปนคนมาแต่แฟรงก์เฟอตแล้วขึ้นรถไปเที่ยวต่อไป ไปวันก่อนๆ ไปทั้งบ้านใต้แลบ้านตวันตก วันนี้เปลี่ยนไปทางบ้านเหนือ แต่ถึงไหนถึงไหนก็มีคนรู้จักทั้งนั้น นอกจากนี้เรื่องซ้ำเต็มที จึงได้งดไม่จดต่อไป

พระบรมรูปฉายที่เมืองฮอมเบิค

พระบรมรูปฉายที่เมืองฮอมเบิค

คืนที่ ๑๖๐

วันจันทร์ที่ ๒ กันยายน

กลํ้าเนื้อมันช่างคัดจนนึกสงไสย ว่าจะเปนด้วยยาฤๅมิใช่ วันนี้ตั้งพิธีตรวจ ก็ได้ความว่าไม่ใช่อะไร เปนผลของยานั้นเอง น้ำที่กินช่วยแรง เพราะธรรมดาน้ำนี้ร้อนขึ้นก็เกิดแคส เมื่อกินลงไปถึงเปนน้ำเย็น อยู่ภายในก็ร้อนเปนแคส เหมือนอย่างกับอาบน้ำทั้งข้างนอกแลภายใน ทำให้กระเภาะมีแรง ตกลงเปนมันก็ชอบกลดี วันนี้ไปอาบน้ำ เขาว่าน้ำแรงกว่าแต่ก่อนมาก เพราะมีฝนแลพายุในเขาน้ำลงมาแรง คาบอนิกแอซิดมามาก วันนี้อาบ ๓๒ ดีกรี เวลาเท่ากัน แต่ชีพจรดีขึ้นกว่าแต่ก่อน วันนี้ปรีเฟรต์เมืองนี้คนใหม่ไปหาที่ที่อาบน้ำ แล้วออกมาเดินแลกลับตามเคย

ไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าแท้ๆ จะต้องเล่าถึงเรื่องเหลวไหล สิ่งไรที่ไม่ชอบกลับมาได้แก่ตัว เวลาอยู่เฉยๆ ไม่ได้ไปเที่ยวข้างไหน มีเขียนหนังสือฤๅบอกให้เขียน ครั้นเขียนเหนื่อยหนักเข้า จะทำอะไรช่างหายากเสียจริงๆ จะไปตามใครมาพูดเล่น มันก็ออกพูดกันมาเสียมากจนจะหมดเรื่อง เพราะฉนั้นไปที่เคาฟเฮาส์ที่เบอลิน นึกถึงจะมาฮอมเบิคดูแห้งเต็มที จะเอาอะไรมาเล่น วนไปวนมาสักสองสามเที่ยว ตกลงซื้อกรามโมโฟน กล่าวคืออ้ายอ้อแอ้ ได้สั่งโดยกวดขันห้ามอย่าให้ส่งไปบางกอก ให้เอาตามเสด็จมาฮอมเบิคด้วย คราวนี้พอเวลาว่าง ฟังอ้ายอ้อแอ้ แต่เปนอ้อแอ้เพลงฝรั่ง อยู่มาหน่อยหนึ่ง ท่านพวกนักปราชญ์ราชบัณฑิตย์ในเรื่องเพลง ส่งเพลงไทยมาให้สามเพลง แสนเสนาะนั้นเพลงหนึ่ง ยายส้มจีน[๒๑๑]เปนผู้ร้องลครเรื่องสุวรรณหงษ์ ต้นอย่างยิ่ง เรื่องหนึ่ง แกะบายศรี มหาราช เรื่องเสภา ตอนพระไวยตีเมีย ไม่ครบท่อน มีสามอย่างเท่านั้น ฟังทุกวันจนจำได้แล้ว หัวเราะได้ทุกวัน ตั้งแต่มาถึงนี่จนวันนี้ ครั้นวันนี้ได้เพลงไทยมาเสียใหญ่ มียี่เกแลเทศน์ชูชกอะไรต่างๆ ตกลงเลยฟังของเรานั้นเอง เพลงฝรั่งไม่ยักได้ฟัง

วันนี้อากาศมืดมัวมีลมพัดจัด แปลว่าลงมือจะเปนฤดูออตัมใบไม้ก็จับลงมือหล่น ท่าทางจะออกหนาว จึงไม่ได้ไปเที่ยวรถโมเตอร์คาร์ ลงไปเดินเล่นตามถนนน่าโฮเตล แวะดูร้านอย่างบรรเทิงทัศนาคารของกรมจรัส ยายคนขายของจู้บี้จู้บัดมาก ไม่ว่ามีอะไรอะไรยกมาให้ดูเรื่อย พูดใส่คแนนไม่ทัน พอจะนิ่งเขี่ยเข้าก็จ้อทีเดียว ที่จริงไม่ได้นึกจะซื้ออะไรเลย จะไปดูเล่นเท่านั้น ลงปลายสงสารว่าแกต้องพูดแลต้องยกอะไรต่ออะไรมาก เลยต้องซื้อเชิงเทียนแกคู่หนึ่ง กลับมาฝนตก แต่ไม่มาก

คืนที่ ๑๖๑

วันอังคารที่ ๓ กันยายน

เมื่อคืนนี้ท้องไม่ปรกติ วันนี้ต้องของดการรักษาทั้งปวงหมด กินแต่เข้าต้มแลเวลากลางวันเย็นเข้าสวยกับแกงเจ๊กที่ทำเอง เพื่อจะให้เปนอาหารเบา อากาศเปลี่ยนแปลงไปมาก มืดครึ้มแลฝนตก เปนเปลี่ยนฤดูออตัมจริง ที่ไม่สบายนี้ ไม่สบายสำหรับเดือนสิบตามเคย เวลาเย็นลงไปเดิน ไปจนคัวรเฮาส์กลับมาถูกฝน สังเกตได้ว่าตามร้านทั้งปวง โปสต์ก๊าดรูปพ่อขายดีมาก มีมาใหม่ร่ำไป มีช่างทองหลวงคนหนึ่ง ทำของมาขาย เปนของพระราชทานอย่างฝรั่ง ทีดูเหมือนจะเอาของที่ทำสำหรับเอมเปอเรอพระราชทานใครๆ แก้รูปเปลี่ยนรูปเอมเปอเรอออกเอารูปเราลงแทน แต่เขาก็ทำดีสาหัส รูปอุส่าห์หาได้ต่างๆ เปนรูปเขียนแผ่นงาทั้งนั้น ฝีมือดีพอใช้ แต่ที่จะให้เหมือนจริงๆ เหมือนไม่ได้อยู่เอง แต่ไม่ห่างกว่าที่เขาทำรูปเอมเปอเรอ ในสิ่งของเหล่านั้นก็ไม่ใคร่เหมือนๆ กัน ยังมีเลียนลายมือ ทำซองบุหรี่เงิน ซองบุหรี่ทอง เซาะเปนลายมือชื่อพ่อประดับเพ็ชรตามเส้น ทำดีมาก เขาขนของมามาก แต่พ่อไม่ได้ดูหมด มีช่างทองหลวงรัสเซียเอาของมาอิก ได้ดูบางอย่าง ชิ้นละโตๆ ราคาแรงเหลือเกิน เลยลายับลาเยินไม่มีเงินจะซื้อ แต่เปนของน่าดูจึงอดดูไม่ได้ วันนี้นับว่าไม่มีเรื่องอะไรแท้ เปนแต่หยุดพักนิ่งอยู่กับเรือน จะช่วยตาอ้นเลือกของสำหรับไปฝากเมียก็ไม่สำเร็จ แกได้ตั้งใจรวบรวมทุนทรัพย์ไว้ไม่ใช้สอย สำหรับจะซื้อของที่จะต้องการ คือแหวนเพ็ชรสองวง “กลัด” ๔ อัน ถ้าพูดๆ ล้อเรื่องของนี้ก็ร้องไห้ ร้องไห้นั้นออกจะไม่ได้ความว่าร้องสำหรับอะไร ที่ขยายออกมาว่า จะซื้อของไปให้เมียนี้เพราะความกตัญญู แต่มิใช่กตัญญูต่อเมีย กตัญญูต่อพ่อที่ได้ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยง การที่แต่งเมียนั้น จะได้ไปเฝ้าไปแหนเปนเกียรติยศ แต่ของที่จะหานั้นประดักประเดิดเต็มที เลือกเท่าไรๆ ก็ไม่ชอบ ที่จริงจะออกไม่มีสิ่งที่พอแกจะชอบเพราะมันมีแต่แพงเกินไปเสีย ภายหลังนี้ไปจัดการกับผู้ที่แกเรียกว่า “หลีมันเทา” (อย่าสงไสยว่าเจ๊ก) จะซื้อเพ็ชรสองเม็ดจะทำเปนแหวนแล้วให้เปลี่ยนลงเปนกลัดได้ กลัดนั้นต้องการให้เปนขวางๆ ขีดๆ ยาวสักองคุลีหนึ่ง ฤๅเปนใบไม้ไขว้กันที่เคยเห็นชอบใจ แต่จะให้การก็ไม่ได้ ต้องให้ทำมาให้เลือก ชอบใจก็จะเอา ดุ๊กได้ไปตามชาวร้านพาของมาให้เลือก เต็มสองโต๊ะก็ไม่ถูก (ไม่ใช่เจ้าเงาะ ตาอ้นไม่ทิ้งพวงมาไลย) เดี๋ยวนี้ตกลงเปนจะเอาเพ็ชรสองเม็ดเข้าไปให้นายเทศเขาทำที่กรุงเทพฯ ดีกว่า คัตตาลอคเขามีจะได้เลือกได้ แต่ถึงได้ตกลงใจดังนี้แล้วก็ยังหาได้ซื้อไม่ เรื่องนี้ยังจะมีต่อไป

คืนที่ ๑๖๒

วันพุฒที่ ๔ กันยายน

วันนี้อยู่ข้างจะหนาวจัด เปนฤดูออตัม พ่อไม่ยอมที่จะให้ใช้ไฟฟ้าคลึงท้อง แลไม่ยอมที่จะอาบน้ำจนกว่าท้องจะเปนปรกติ เพราะถูกน้ำเย็นแช่อยู่นานชักให้ท้องเฟ้อ ฤดูเปนออตัมฝนตกพร่ำเพรื่อ ต่อเวลาบ่ายจึงได้มีแดด ทำกับเข้ากินเอง เพื่อจะให้เปนอาหารอ่อนๆ แต่ช่างกันดารเสียจริงๆ สงวนน้ำปลาเหมือนสงวนน้ำทิพย์ ต้องใช้เกลือแทน เหยาะแต่เล็กน้อยพอเปนสังเขป เรื่องกินนี้จะไม่กล่าว เพราะถ้ากล่าวก็เปนตะกลามด้วย แลจู้จี้ด้วย ที่จำเปนจะต้องกินเช่นนี้ เพราะเหตุที่ท้องไม่สบาย กินอาหารหนักๆ ไม่ได้ อาหารเบาอย่างฝรั่งกลืนไม่ลง ถ้าหากว่าไม่เจ็บก็เห็นจะไม่ถึงอด

วันนี้เขาพาหมาเตี้ยมาให้ดู เปนหมาที่ได้รางวัลแล้วถึงสี่คราว รูปร่างงามตามประสาหมาเตี้ย เปนที่ตกลงใจเลี้ยงได้ ได้ซื้อไว้ออกจะใคร่ติดๆ แล้ว ลักษณมันก็ชอบกล ต้องให้หน้ายาว ห้องตัวยาว เท้าน่าสั้นแลแย่ น่าอกใต้คอแหลม หูใหญ่ ที่กำลังเปนแฟชั่นเล่นกันมากเปนสีแดงใกล้ของเราเต็มที แต่ตัวที่พ่อซื้อนี้เปนสีดำชื่อ รุดี ออกจาก รูดอล์ฟ คิดจะเรียก “เอม” แต่จะสำเร็จฤๅไม่สำเร็จไม่รู้ เพราะมันจำชื่อเดิมของมันแม่น เขาว่าเปนหมาที่ใจน้อยเฆี่ยนไม่ได้ เล่นอะไรเช่นกับให้นั่งให้ลุกก็ไม่ได้แต่เขาชมกันว่าฉลาด จับหนูจับไก่เก่ง รูปร่างมันยาวสมกับที่เขาล้อ ต่อตีนเข้าอิกสองตีนในระหว่างกลางอก ถ้าหากว่ากำลังเที่ยวอยู่ก็จะไม่เลี้ยง นี่มันอยู่นิ่งๆ เบื่อมีอะไรเล่นเสียพอเพลิน

เวลาบ่ายไปเดินในป๊าก หนาวถึงต้องสวมเสื้อชั้นนอก ไปดูตาแก่เขียน หน้าตาระเหิดเต็มที ตาแก่นั่นอยู่ไฟ (คือติดเตาผิงไฟในเรือน) แล้ว แกเขียนโคมลอยต่างๆ เสื้อสีเทาแกให้เปนขาว กระบี่ให้เปนทอง ไปทักเข้าแกบอกว่ากรมประจักษ์บอกว่ากระบี่เปนทอง บางทีกรมประจักษ์ก็จะได้ไปบอกแกจริง เพราะไปเห็นเสื้อสีขาว ก็เข้าใจว่ากระบี่เปนทอง ไม่สังเกตว่ารูปเสื้อเปนอย่างไร กรมประจักษ์ชอบกันมาก สรรเสริญว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เห็นใครดีเหมือน แต่รูปที่แกเขียนไว้มากเขียนตามรูปถ่ายทั้งนั้น โดยมากออกจะมีแต้มมีคูอยู่ในนั้น ติแกเข้าแก “ฉุน”[๒๑๒] ถึงว่าจะไม่เขียนอิก ออกจากนั้นไปเดินที่ร้าน ดูเล่นไม่ได้ซื้ออะไร เขาว่าเขาเคยมาขายอยู่ถึงสิบห้าปีแล้ว ผู้มีบันดาศักดิ์ตั้งแต่เอมเปอเรอแลกิงเอดเวอดก็มาซื้อที่นี่ ออกจากร้านเดินไปที่อิลิซาเบทบรูน ซึ่งเปนบ่อเก่าชื่อตามเจ้าหญิงที่เปนเจ้าของเมืองเดิมเมื่อก่อนสร้างไกซาวิลเลียมบาดติดข้างอิลิซาเบทบรูน ที่บ่อนั้นมีสปริงสองช่องมีน้ำจืดอยู่กลาง บ่อเหล่านี้ลึกจมลงไปในดินมากๆ ที่ ตรงปากบ่อเข้าไปข้างใน มีโรงยาวสำหรับเดินไปที่เรือนกระจก ที่ปลูกปาล์ม ในเรือนกระจกนั้นมีที่สำหรับเข้าไปบ้วนปาก ผู้หญิงห้องหนึ่ง ผู้ชายห้องหนึ่ง มีเสาศิลาเอมเปอเรอองค์นี้สร้างให้แลนคราฟแต่ก่อนเสาหนึ่ง มีโรงสำหรับคนกินน้ำไปพัก เปนโรงกระจกสูง ในนั้นเปนที่ไว้ถ้วยสำหรับให้เช่า แลถ้วยสำหรับขาย แลมีของอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ ขาย มีโรงยาวที่สำหรับตั้งร้าน แต่ร้านนั้นไม่ติดนายโปลิศที่สำหรับตาม ที่เราเรียกกันว่ากรมพรหม[๒๑๓]ที่ ๓ บอกว่าเขากำลังเอกสหิบิเชนรูปภาพที่คัวรเฮาส์ ขากลับจึงได้แวะไปดู รูปเปนอย่างต้นๆ ทั้งนั้น ขากลับออกจากนั้นเดินกลับมา เข้าทางโฮเตลมาที่วิลลา ค่ำวันนี้ก็ทำกับเข้ากินอิก ค่อยสบายขึ้น แต่ยังไม่ปรกติ

คืนที่ ๑๖๓

วันพฤหัศบดีที่ ๕ กันยายน

เมื่อคืนนี้หนาวจัดเต็มที ปรอดเซนติเกรตถึง ๗ ดีกรี รุ่งขึ้นเช้าเปนหมอกเปนฝน ฝนตกเม็ดโตๆ หล่นเสียงดัง ไม่ใช่เปนลูกเห็บ เรือนออกจะไม่ใคร่พอที่จะคุ้มหนาว เพราะเขาทำสำหรับน่าร้อน วันนี้ท้องค่อยสบายขึ้น จะไปเที่ยวข้างไหนไม่ได้ อยู่ในเรือนป้วนเปี้ยนเหมือนตุ๊กตาเก็บไว้ในตู้กระจก ออกจะไม่มีอะไรทำด้วยซ้ำไป วันนี้เมลมาถึง ช่างรู้สึกปลื้มใจเสียจริงๆ เพราะมาประจวบเวลาไม่มีอะไรจะเขียนแลจะทำ ได้อ่านหนังสือบ้างพอแก้รำคาญไปได้มาก แต่จะหาอะไรเขียนออกจะไม่ใคร่มีเรื่อง เพราะไม่ได้ไปเที่ยวข้างไหน ลูกคงจะจำได้ ที่พ่อเล่าไปว่าเมื่อถึงปินังจันทิมาลงมาในเรือ มาเที่ยวถามว่า “กรมสมมตท่านจำวัดเสียแล้วฤๅยัง” เมื่อไปถึงลังกาพ่อจึงให้หม่อมนเรนทร์เขียนกระแสรับสั่งส่งเข้าไปยังกรมดำรง ให้ทายว่าใคร ท่านพวกที่ทายพากันหลงค้นชาวลังกาจริงดังคาด ถวายวิสัชนาผิดหมดไม่มีถูกเลยสักคนเดียว พ่อให้จดหมายย้อนสัจเข้าไปให้ทายใหม่ เมล์นี้จึงได้รับวิสัชนาครั้งที่สอง ทายถูกว่าจันทิมาได้ส่งหนังสือปุจฉาแลวิสัชนาเรื่องนั้นมาให้อ่านด้วยแล้ว[๒๑๔] ลืมส่งสมุดว่าด้วยเรื่องที่อาบน้ำเมืองฮอมเบิค มีภาษาอังกฤษอยู่แต่ข้างท้ายนิดเดียว แต่พออ่านรู้เค้าเงื่อนได้

หมาเตี้ยที่พ่อซื้อไว้นั้น ครูบาอาจารย์ข้างฝ่ายนักเลงหมาสรรเสริญกันมาก โปรเฟสเซอไมเยอที่เปนนักเลงใหญ่ในเรื่องหมา รักเหลือเกิน สรรเสริญว่าไม่เคยเห็นของใครเหมือนเช่นนี้ นอกจากของเอมเปอเรอที่เลี้ยงติดพระองค์ สำหรับนั่งหนุนหลังอยู่เสมอ มีผู้เอามาให้เลือกอิกหลายตัว เลือกไม่ได้ เพราะงามไม่เหมือน เดี๋ยวนี้จึงยังติดคู่อยู่ ไม่มีตัวเมีย วันนี้บรรจบคราวเมล์ จึงได้ส่งรายวันตอนนี้ เปนตอนที่ไม่สนุกอย่างยิ่ง ตั้งแต่มา

จุฬาลงกรณ์ ป.ร.

สำเนาพระราชปุจฉา

มีพระบรมราชโองการให้ทูลถามกรมหลวงดำรงราชานุภาพว่า “ใครเอ่ยมาถามว่า กรมสมมตท่านจำวัดเสียแล้วฤๅยัง?” โปรดเกล้าฯ ให้ทรงวินิจฉัย ฤๅจะหานักปราชญ์ราชบัณฑิตย์ใครๆ ช่วยก็แล้วแต่จะโปรด

นเรนทรราชา

รับพระบรมราชโองการ

แก้พระราชปุจฉา

ศาลาว่าการมหาดไทย

วันที่ ๒๘ เมษายน ร.ศ. ๑๒๖

แจ้งความมายัง หม่อมนเรนทรราชา ราชองครักษ์ ขอได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าลอองธุลีพระบาท

ด้วยทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระราชปุจฉามายังข้าพระพุทธเจ้าว่า ใครเอ่ยมาถามว่า กรมสมมตท่านจำวัดเสียแล้วฤๅยัง โปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าวินิจฉัย ฤๅจะหานักปราชญ์ราชบัณฑิตย์ใครๆ ช่วยก็แล้วแต่จะเห็นควรนั้น พระเดชพระคุณเปนล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้

ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานกราบบังคมทูลคำวิสัชนาของนักปราชญ์ราชบัณฑิตย์บางคนที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ปฤกษานั้นให้ทราบฝ่าลอองธุลีพระบาทก่อน คือ

(๑) เมื่อวันสวดมนต์แรกนา ได้ถามปัญหานี้ ต่อพระธรรมไตรโลกาจารย์[๒๑๕]ๆ วิสัชนาว่า ผู้แสดงวาทะเช่นนี้ ต้องเปนผู้รู้อยู่ในสิงหฬทวีป หาไม่ไหนเลยจะรู้จักใช้คำว่า จำวัด

(๒) พระพจนวิลาศ[๒๑๖]วิสัชนาว่า ผู้กล่าววาทะเช่นนี้ ต้องเปนผู้เคยอยู่ในสยามประเทศ แลศัพท์ว่าจำวัดนี้ เปนอารามิกโวหารแปลว่านอน เพราะฉนั้นเห็นว่า ผู้กล่าววาทะเช่นนี้ น่าจะเปนชินวรวงษ์[๒๑๗]

(๓) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงวิสัชนาว่า ผู้ถามเช่นนั้นต้องเปนผู้รู้ว่ากรมขุนสมมตอิน แลต้องเปนผู้รู้ข้างอินของเรา เพราะฉนั้นทรงเห็นว่าจะเปนชินวรวงษ์

(๔) กรมหลวงเทวะวงศ์ทรงวิสัชนาว่า ผู้ถามนั้นเห็นจะเปนชินวรวงษ์ ถึงว่ารู้จักใช้คำว่าบรรธมก็ดี ที่ใช้คำว่าจำวัดนั้น เปนการล้อกรมขุนสมมต

(๕) สมเด็จกรมพระ[๒๑๘]ทรงวิสัชนาว่า ผู้ถามนั้นไม่ใช่ชินวรวงษ์ เพราะชินวรวงษ์ ย่อมรู้จักใช้คำว่าบรรธม แลเวลาเสด็จนั้น ชินวรวงษ์กำลังตระหนกตกประหม่า หามีใจที่จะเอาคำจำวัดมาพูดเล่นไม่ ผู้ถามน่าจะเปนพระลังการูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเคยเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ รู้ภาษาไทยอยู่บ้าง

(๖) กรมหมื่นนครไชยศรีวิสัชนาว่า ผู้ถามนั้นเห็นว่าจะเปนชินวรวงษ์ ที่ใช้คำว่าจำวัด เพราะเหตุที่ไปบวชแลไปอินในเมืองลังกาจะพูดให้อินอย่างไทย จึงใช้คำว่าจำวัด

(๗) พระยาสุขุมวิสัชนาว่า ที่ลังกาทวีปเปนดงอินมาก ถ้าจะให้ทายชั้นแรก เห็นจะต้องว่าชินวรวงษ์ แต่คนอื่นก็ยังมีมากเหลือที่จะทาย

(๘) หลวงจันทรามาตย์[๒๑๙] วิสัชนาว่า ผู้ที่ถามน่าจะเปนพระลังกาฤๅชาวลังกา ที่รู้ภาษาไทยบ้างเล็กน้อย ข้อที่ใช้คำผิดเพราะไม่ชำนาญภาษาไทยสำคัญว่าคำจำวัดควรใช้ในที่เคารพอย่างสูง

(๙) พระมหาวิชาธรรม[๒๒๐]ได้ขอพระราชปุจฉาไปตริตรองอยู่ ๒ วัน ทำคำวิสัชนามายื่นว่า ผู้ที่มากล่าวดังนี้ เปนอารามิกบุคคล กล่าวโดยอารามิกโวหารของชนชาววัดกล่าวสืบๆ มา เพราะหมายว่า กิจที่ระงับวัตถุ ๖ ให้สงบลง มิให้เที่ยวไปในอารมณ์ต่างๆ เรียกว่าจำวัตถุ แลวัตถุทั้ง ๖ นั้น คือ จักขุวัตถุ ๑ โสตวัตถุ ๑ ฆานวัตถุ ๑ ชิวหาวัตถุ ๑ กายวัตถุ ๑ หทัยวัตถุ ๑

อนึ่งคำว่าจำวัตถุนี้ จำเภาะกล่าวถึงพระภิกษุแลสามเณรที่นอนหลับเท่านั้น ไม่กล่าวทั่วไปแก่ผู้อื่น เหตุดังนี้ เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าเปนโวหารของอารามิกบุคคลโดยแท้

(๑๐) หลวงประเสริฐอักษรนิติ์[๒๒๑]ถวายวิสัชนาว่า ได้พิเคราะห์ดูอรรถในพระราชปุจฉาก็เปนการพิศวงอัศจรรย์อยู่ที่ไม่ทราบเกล้าฯ ว่าเงื่อนเค้าจะเปนประการใด จึงได้ลองผูกเปนคำบาฬีขึ้นตามพระราชกระแสนั้นว่า โก นุ อาคนฺตฺวา สมฺมตอมรพนฺธุวรราชกุมาโร วตฺตายติ โน วาติ ปุจฺฉิ ความที่วตฺตายติว่า ประพฤติวัตร ฤๅจำวัตร ทีจะเปนความเดียวกันได้ คงจะไม่ใช่นอนหลับอย่างที่เข้าใจตามธรรมดา ดุจคำว่าจำพรรษา อยู่ถ้วนกาลฝน จำศีล บำเพ็ญศีล จำพรตฤๅจำวัตรก็บำเพ็ญพรต บำเพ็ญวัตร จำในที่นี้หมายความว่าทำให้เต็มให้บริบูรณ์ อนึ่งหลวงประเสริฐพิจารณาแสตมป์ปิดซองว่า สีลอนโปสเดส จึงมาอนุมานว่า พระราชปุจฉานี้จะเกิดขึ้นที่เมืองลังกา เวลาที่ประทับอยู่ที่กวีนเฮาส์ เพราะคำว่าจำวัดเปนสมณโวหาร จะมิภิกษุลังการูปหนึ่งที่คุ้นเคยกับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์มาเฝ้า แลภิกษุนั้นจะได้เคยมาอยู่ในพระอารามในกรุงเทพฯ ได้ศึกษาสมณโวหารเข้าใจอยู่บ้าง ดุจคำว่า สรง พระอาบน้ำ ฉัน พระ กินเข้า เพล เวลาพระฉัน ๕ โมงเข้า จำวัด สามัญว่า พระนอนหลับ ดังนี้ พูดไทยได้ ๒-๓ คำ จะถามโดยราชาศัพท์ก็จะเข้าใจไม่พอ แลจะถืออยู่ว่าพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ มีพระอัธยาไศรยเปนพระๆ อย่างชาวกรุงเทพฯ เข้าใจกันดังนั้นด้วย พระลังกาองค์นี้ เมื่อได้ทราบพระกิตติคุณว่าพระอัธยาไศรยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธุ์ทรงน้อมไปในทางพระๆ เปนมหาอุบาสกพิเศษ ในราชตระกูล จะใช้ทูลฤๅถามจึงให้ต้องตามสมณโวหารว่าจำวัด จะเปนอันเหมาะความที่ไม่คิดว่าจะหนักเบาฉันใดโดยอนุมานดังนี้

(๑๑) ส่วนความเห็นของข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้พิจารณาพระราชปุจฉาตามสติปัญญาแล้ว เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าพระราชปุจฉาที่พระราชทานมานี้ ย่อมทรงทราบพระญาณอยู่แล้วว่า นักปราชญ์ราชบัณฑิตย์ในพระนครย่อมสามารถจะทายให้ถูกได้ กล่าวคือตัวผู้ที่ถามนั้น เปนผู้อาจจะรู้จักกันได้ในกรุงสยาม ถ้าไม่รู้จักแล้วก็ไม่สามารถทายถูกได้อยู่เอง เพราะฉนั้นเรื่องตัวบุคคลที่รู้จักแลอยู่ในลังกาทวีปนี้เปนเกณฑ์ทายเกณฑ์หนึ่ง คำว่าจำวัด เปนอารามิกโวหารสำหรับผู้อื่นพูด เมื่อประสงค์จะกล่าวว่า พระ เถร เณร นอน อิกไนยหนึ่งเปนคำสำหรับพระเถรเณรที่แก่วัดพูดใช้ศัพท์จำวัดนี้สำหรับสามัญชนทั่วไป โดยเข้าใจว่าเปนสมณภาษา เพราะฉนั้นผู้ที่มาถามว่ากรมสมมตท่านจำวัดเสียแล้วฤๅยังเช่นนี้ ถ้าไม่เปนคนแก่วัดเองแล้ว ต้องเปนผู้ที่สำคัญว่ากรมขุนสมมต แก่วัดพูดถามเปนทางล้อ อิกประการหนึ่งคำถามนั้น เปนคำภาษาไทย ต้องเปนผู้ร้ภาษาไทยจนพูดได้จึงจะถามเช่นนี้ได้ เกณฑ์ทายมีอยู่เช่นนี้ ถ้าจะตั้งหลักพิจารณาบุคคลที่รู้จักอยู่ในลังกาทวีป ที่อาจจะมาถามหากรมขุนสมมตได้นั้นก็ไม่มีกี่คน นับตัวได้เพียงนี้ คือ

พระเถระ ชื่อว่า เฮนรีสุมังคะละ ๑ หมอชื่อว่าหอยนางรม ๑ ชินวรวงษ์ ๑ พระมหาคงที่ไปพร้อมกับกรมหมื่นราชบุรี ๑

ทั้งสองข้างต้นเปนชาวสิงหฬ ความรู้ภาษาไทย แม้ถ้ามีก็ไม่พอจะถามเช่นนี้ได้ ผู้ถามนั้นอยู่ใน ๒ คนข้างหลัง คือชินวรวงษ์ฤๅมหาคงใน ๒ คน ชินวรวงษ์เปนผู้รู้ภาษาพอที่จะใช้คำให้ถูกต้องได้ แม้จะพูดเล่นในทางอิน ก็เห็นว่าใช่ขณะแลใช่สมัยที่ชินวรวงษ์จะเล่นในเวลานั้นได้ จึงเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ผู้ที่ถามว่ากรมสมมตท่านจำวัดเสียแล้วฤๅยังนั้นคือพระมหาคง ถามโดยสุจริต แลเชื่อว่าคำจำวัดนั้น เปนสมณภาษาควรใช้ในที่เคารพ อย่างเดียวกับพระธรรมโกษาจารย์ได้เคยถวายพระพรว่าหลวงราชรักษาอาพาธฉนี้

ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ข้าพระพุทธเจ้า ดำรงราชานุภาพ ขอเดชะ

พระราชปุจฉาครั้งที่สอง

ณวันจันทร์ที่ ๓ เดือนมิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับอยู่ณเมืองบาเดนบาเดน หม่อมนเรนทรราชา ราชองครักษ์ได้นำคำแก้พระราชปุจฉา ซึ่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพได้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตย์แก้พระราชปุจฉา อันได้ส่งเข้าไปแต่สิงหฬทวีป ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายทอดพระเนตรแล้ว

มีพระราชดำรัสว่า วงความคิด อันพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ตั้งขึ้นไว้ ๓ ประการ คือ

ข้อ ๑ ตัวผู้ที่ถามนั้น เปนผู้อาจจะรู้จักกันได้ในกรุงสยามข้อนี้ถูก

ข้อ ๒ ว่าผู้ที่ถามนี้เปนผู้แก่วัด แลสำคัญว่ากรมขุนสมมตแก่วัดข้อนี้ก็ถูก

ข้อ ๓ ว่าผู้ถามต้องเปนผู้รู้ภาษาไทยจนพูดได้ ดังนี้ก็ถูก วงล้อมสำหรับที่จะพิจารณากระชั้นเข้ามาเช่นนี้แล้ว แต่เหตุไฉนคำแก้พระราชปุจฉาทั้ง ๑๑ ท่านนั้นยังชี้ตัวไม่ถูกต้องได้

คำโบราณกล่าวไว้ว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” ครั้งนี้จะจนชี้ตัวผู้ต้นปัญหานี้ไม่ได้ทีเดียวฤๅ ขอให้กรมหลวงดำรงราชานุภาพประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตย์ ปฤกษากันดูใหม่อิกสักครั้งหนึ่ง

โดยพระบรมราชโองการ

นเรนทรราชา

แก้พระราชปุจฉาครั้งที่สอง

ศาลาว่าการมหาดไทย

วันที่ ๙ กรกฏาคม ร.ศ. ๑๒๖

แจ้งความมายัง หม่อมนเรนทรราชา ราชองครักษ์ ขอได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าลอองธุลีพระบาท

ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทาน กระแสพระบรมราชโองการ พระราชทานมาแต่เมืองบาเดนบาเดน ณ วันที่ ๓ มิถุนายน ร.ศ. ๑๒๖ ดำรัสเหนือเกล้าฯ ว่าข้าพระพุทธเจ้าแลนักปราชญ์ราชบัณฑิตย์แก้พระราชปุจฉาเรื่องมีผู้มาถามที่ในเรือพระที่นั่งว่า กรมสมมตท่านจำวัดเสียแล้วฤๅยัง ยังชี้ตัวผู้ถามไม่ถูก แลทรงพระราชดำริห์ว่า คำโบราณกล่าวไว้ว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” ครั้งนี้จะจนชี้ตัวผู้ต้นปัญหานี้ไม่ได้ทีเดียวฤๅ ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตย์ปฤกษากันดูใหม่อิกสักครั้งหนึ่งนั้น พระเดชพระคุณเปล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้าได้เชิญกระแสพระบรมราชโองการแจ้งแก่นักปราชญ์ราชบัณฑิตย์ ผู้ที่ได้เคยถวายวิสัชนาให้ทราบแล้ว ก็พากันอัดอั้นตันใจมิรู้ที่จะถวายวิสัชนาต่อไปประการใดได้ ครั้นณวันที่ ๖ กรกฏาคม ร.ศ. ๑๒๖ จึงได้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตย์ที่สวนดุสิต ปฤกษาแก้พระราชปุจฉาอิกครั้งหนึ่ง ในที่ประชุมนี้มีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จกรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช กรมหลวงนเรศร์วรฤทธิ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรประการ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัตติวงศ์ ช่วยกันตริตรองแก้พระราชปุจฉา เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์รับสั่งถามข้าพระพุทธเจ้าว่า ผู้ที่ลงมากล่าววาทะเช่นนั้น ลงมาเมื่อเรือพระที่นั่งทอดอยู่ณที่ใด ข้าพระพุทธเจ้าได้ทูลว่า พระราชปุจฉานี้ส่งมาแต่เมืองลังกา แต่จะได้ปรากฎในพระราชปุจฒาว่าเมื่อถามนี้ เรือพระที่นั่งจะทอดอยู่ที่แห่งหนึ่งแห่งใดนั้นหาปรากฎไม่ ที่ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตย์จึงมีความเห็นเปนเบื้องต้นพร้อมกันว่า ปัญหานี้ชรอยจะไม่ได้เกิดในสิงหฬทวีปเสียแล้ว วิสัชนาที่ได้ถวายไปมัวค้นคว้าหาแต่ในสิงหฬทวีป อาไศรยเหตุที่พระราชทานพระราชปุจฉามาแต่ที่นั้นเปนประมาณ จึงไม่ถูกต้อง ถ้าไม่ใช่สิงหฬทวีปแล้ว ประเทศที่เกิดปัญหานี้ก็คือเกาะหมาก แลผู้ที่มากล่าวถามถึงกรมขุนสมมตว่าจำวัดแล้วฤๅยังนั้น คือจันทิมาแน่แล้ว มิใช่ผู้อื่น เหตุใหจึงเห็นพร้อมกันว่าจันทิมา เหตุว่า

ข้อ ๑ ได้ทราบเกล้าฯ อยู่แล้วว่าจันทิมาได้ลงมาในเรือพระที่นั่งที่เกาะหมาก

ข้อ ๒ จันทิมาเป็นผู้รู้จักคุ้นเคยกับกรมขุนสมมตอมรพันธุ์ยิ่งกว่าผู้อื่นที่ไปตามเสด็จ เพราะฉนั้นจึงถามถึงกรมขุนสมมต

ข้อ ๓ จันทิมาเปนผู้รู้ภาษาไทยอาจจะถามในภาษาไทยได้

ข้อ ๔ จันทิมาเปนอารามิกบุคคลชั้นสูง แลไม่รู้ภาษาไทยพอจะใช้ราชาศัพท์ฤๅอย่างอื่นนอกจากอารามิกโวหารได้ จึงได้ถามโดยวาทะว่า กรมขุนสมมตท่านจำวัดเสียแล้วฤๅยัง ดังนี้ วิสัชนานี้ เห็นเหตุสมต้นสมปลาย จะทายผู้อื่นให้เหมาะกว่าไม่ได้แล้ว

ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ

ข้าพระพุทธเจ้า ดำรงราชานุภาพ ขอเดชะ



[๒๑๑] นางส้มจีน ภรรยานายสุดใจ ราชานุประพันธ์

[๒๑๒] ฉุน เปนคำแผลง หมายความว่าโกรธขึ้นมา

[๒๑๓] พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพรหมวรานุรักษ

[๒๑๔] สำเนาพระราชปุจฉาแลคำแก้ พิมพ่ไว้ทายพระราชหัตถเลขาฉบับนี้

[๒๑๕] พระธรรมไตรโลก ม.ร.ว. เจริญ อิศรางกูร ณกรุงเทพ วัดระฆัง (เดี๋ยวนี้เปนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์)

[๒๑๖] พระพจนวิลาศ อ่อน โกมลวัฒน เปรียญ เมื่อบวชเปนที่พระอมราภิรักขิตอยู่วัดนิเวศธรรมประวัติ (เดี๋ยวนี้เปนพระยาพฤฒาธิบดี)

[๒๑๗] คือพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ที่ทรงผนวชอยู่เมืองลังกา

[๒๑๘] สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช

[๒๑๙] หลวงจันทรามาตย์ ปาน เปรียญ เปนพนักงานในหอพระสมุดวชิรญาณ

[๒๒๐] พระมหาวิชาธรรม เรือง อติเปรมานนท์ เปรียญ ต่อมาได้เปนพระยาพจนสุนทร อยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณ

[๒๒๑] หลวงประเสริฐอักษรนิติ์ แพ ตาลลักษมณ เปรียญ (เดี๋ยวนี๋เปนพระยาปริยัติธรรมธาดา)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ