พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๒๐

โรงอาบน้ำที่เมืองบาเดนบาเดน

โรงอาบน้ำที่เมืองบาเดนบาเดน

คืนที่ ๖๖

เมืองบาเดนบาเดน

วันศุกรที่ ๓๑ พฤษภาคม ร. ศก ๑๒๖

หญิงน้อย

ช่างไม่อยากจะตั้งต้นเขียนหนังสือวันนี้เสียจริงๆ ฤกษ์ไม่ดี ทั้งไม่ควรจะให้คาบเดือน ไม่ทันคิด ไปจบลงเสียเมื่อวานนี้ ถ้าจบวันนี้ก็จะสิ้นเรื่องลงหมดเดือน แต่มันค้างอยู่แล้วก็ต้องเขียน จะหนีไปไหนก็ไม่ได้

ต้องตื่นแต่เช้าตามที่หมอกำหนด เวลาสองโมงออกไปเดินจนตลอดสวนทั้งไปทั้งมา แล้วจึงได้ไปกินน้ำที่ศาลากินน้ำอย่างวันก่อน เรื่องกินน้ำนี้พ่อมีความเลื่อมใสมาก เห็นดีกว่าน้ำแร่ที่เคยกินมาแต่ก่อนๆ บางทีมันจะแอ๊กต์ดีได้ด้วยเดินมากอิกอย่างหนึ่ง มีคนไปกินกันเปนกองตักไม่ได้หยุด วันนี้กินถ้วยเดียว เพราะเหตุที่ไม่ได้อาบน้ำ ออกจากที่กินน้ำเดินไปที่อินฮะเลชั่น คือเปนโรงสำหรับสูดอายน้ำฤๅเข้ากระโจม แต่ข้อตีนพ่อเพลียเต็มที เดินไม่ไหวต้องเรียกรถมาขึ้นไป เพราะระยะทางมันไกล ผ่านน่าโรงอาบน้ำของคนจนซึ่งรัฐบาลสร้างให้เปนทาน ใครจะมาอาบก็มาได้ไม่ต้องเสียเงิน เปนตึกหลังใหญ่ยาวเหมือนกัน โรงที่เข้ากระโจมนี้อยู่เคียงกันแต่ย่อมกว่า ในโรงกั้นเปนห้องเห็นจะสักสิบเอ็ดห้อง ห้องข้างน่าเปนที่สำหรับสูดอายน้ำทั้งห้อง ที่พ่อไปเข้าวันนี้ พอไปถึงมีผู้หญิงมาแต่งตัวให้ เอาเสื้อผ้าดิบยาวกรอมลงไปจนถึงตีนมาสรวมให้ มีลูกกระดุมแถวข้างน่าจนตลอด ในห้องนั้นมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งรายรอบผนังห้อง เปนเก้าอี้หวาย โต๊ะหวายทาสี ที่เพดานมีท่อเหล็กใหญ่ประมาณสักสองกำยื่นออกมา แล้วมีท่อขวางเปนคอนนก ปลายคอนนกนั้นมีเปนกระทะสองใบคว่ำเข้าหากัน ต่อจากกระทะนั้นมีท่อเหล็ก ล่ามเข้าไปหาท่อทองเหลืองกลาง น้ำนั้นต้มมาจากอื่น เปนสติมเดินมาตามท่อ ควันออกจากช่องซึ่งเจาะไว้ตามท่อเล็ก แต่น้ำนั้นตกลงไปตามท่อทองเหลืองที่รับอยู่ข้างล่าง ไม่หยดเปรอะเปื้อนในห้อง มีควันก็ไม่มากนัก อ่อนกว่าเข้ากระโจมเปนหนักหนา เหื่อไม่ออก กลิ่นของน้ำต้มนั้นเหมือนอย่างกลิ่นไม้สน คือฉุนๆ มีกลิ่นการบูรนิดๆ แต่นั่งแหละเต็มทีเหลือใจ ที่ต้องนิ่งอยู่เปนชั่วโมงหนึ่งไม่มีอะไรจะทำ ถ้าให้สูบบุหรี่เสียก็จะไม่สู้กระไร นี่บุหรี่ก็ไม่ให้สูบ หาหนังสืออ่านก็ไม่มี มีแต่หนังสือเยอรมันอ่านไม่ออก หาภาษาอังกฤษไปได้โนเวลขาดๆ อะไรมาต่อกันไม่ติด แต่ก็ต้องขืนใจอ่าน เรื่องราวนั้นนางอะไรก็ไม่รู้เดินลงจากเขา บุกป่าเจอกวางเข้า กวางกระโดดหนีนางนั่น นางนั่นก็กลัวกวาง มันช่างบ่นดีอยู่นิดหนึ่ง ว่าสัตว์ต่างเพศต่างกลัวกัน เพราะมันทำร้ายกัน มนุษย์ก็ทำร้ายกันเหมือนกันกับสัตว์ดิรัจฉาน เว้นแต่เมื่อฆ่าตายแล้วไม่กินกัน ดีกว่าสัตว์ดิรัจฉานนิดหนึ่ง แต่มีที่เสียอิกอย่างหนึ่ง คือ สัตว์ดิรัจฉานอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ฆ่าตัวตาย มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ฆ่าตัวตาย อ่านได้เท่านี้แล้วเรื่องมันก็หลุดไปตอนอื่น เพราะน่ากระดาษมันขาดหายเสียหลายๆ ใบ เปนเรื่องโนเวลไม่ขบขันอะไร เบื่อเหลือเบื่อที่นั่งอยู่ในห้องนั้น ไม่เห็นจะมีคุณมีค่าอะไร พอแล้วเสร็จร้องสิ้นเคราะห์ได้ เข้าไปดูที่ห้องกลางๆ เขามีเปนไส้ไก่ลงมาตั้งเรียงเปนแถว มีคนเข้าไปอ้าปากรับควันอายน้ำก็มี ให้ควันเข้าทางจมูกก็มี ตาหมอแกอยากเอาไปที่นั่น แต่ว่าคนมากจึงเอาไปรมเปล่า แลทั้งเปนวันแรกที่จะให้ค่อยเปนค่อยไปด้วย กลับมาอยู่ที่พักจนถึง ๕ โมง ไปถ่ายรูปตามที่ได้นัดเขาไว้ ตาช่างถ่ายรูปแก่คนนี้ได้เคยถ่ายแต่ครั้งก่อน เคยถ่ายรูปเอมเปอเรอวิลเลียม กิงเอดเวอด แลแกรนด์ดุ๊ก แกรนด์ดัชเชส แลผู้มีบรรดาศักดิ์อื่นๆ แต่ดูแกคนเดียวไม่มีผู้ช่วย มีแต่ผู้หญิงอิกสองคนสำหรับส่งกระจก ไม่คึกคักเหมือนมอนตะโบนีที่มีเปนสามสี่คน ถ่ายรูปแล้วกลับมาพอถึงเวลากินเข้า

เวลาบ่ายขึ้นรถโมเตอคาร์จะไปคาลสรูห์เอาตาหมอไปด้วย ไปก็ไปทางรัสตัตต์ซึ่งไปวานนี้ ต่อไปอิกก็เปนท้องทุ่ง ถนนไปในกลางทุ่งผ่านบ้านสักสองตำบล ยังไม่ได้พูดเรื่องหนทางบ้านนอกนี้ วันนี้เรื่องน้อยเห็นจะพอลงได้ ตามถนนที่ไหนๆ เหมาะเข้าคงมีรูปพระเยซูตรึงไม้กางเขน ตั้งอยู่ข้างถนนเฉยๆ ก็มี อยู่ที่สามแยกสี่แยกก็มี เปนเสาศิลารูปศิลาบ้าง รูปตกั่วทองแดงฤๅปูนบ้าง ที่ขาวจั๊วะอยู่นั้นอย่างหนึ่ง ที่ดำมอลอมอแกอยู่นั้นอย่างหนึ่ง คงจะทาผมดำขลับนุ่งผ้าแดงฤๅผ้าทอง ใครมีศรัทธาก็สร้างขึ้น พาหนะที่ใช้อยู่ตามแถบนี้ใช้เกวียนก้นสอบปากแบะแต่เตี้ย บรรทุกไม่ว่าอะไร ตั้งแต่ศิลาลงไปจนหญ้า แต่ประหลาดที่ใช้จะเรียกว่าแอกฤๅว่าคานก็ตาม เอาไว้ที่ตรงคานรถ แต่มีข้างเดียว จะเทียมม้าฤๅเทียมโคก็เทียมเข้าไปทั้งข้างเดียวเช่นนั้น ข้างหนึ่งมีแต่สายทาม อิกอย่างหนึ่งบางรถบางเกวียนก็มีแอกอยู่ตรงกลาง แต่ก็เทียมตัวเดียว ให้มันคอนกันอยู่ข้างหนึ่ง อิกข้างหนึ่งปล่อยเฉยๆ

บ้านเรือนราษฎรสามัญที่ใช้กันอยู่ คล้ายๆ กับโบสถ์บ้านนอกเมืองเรา หลังคากรวดสูงปั้นลมปูนมีผนังอยู่ชั้นเดียวเหมือนโบสถ์เท่านั้น คราวนี้อิกชั้นหนึ่งขึ้นไปอยู่บนขื่อ เจาะน่าต่างทางจั่วก็เหมือนวัดอิกนั้นแหละ คราวนี้ยังมีขึ้นไปอิกชั้นหนึ่งเปนน่าต่างเดียวอยู่ปลายจั่ว จะเสียบธงเทียวเขียวเหลืองอะไรก็ยื่นออกมาจากน่าต่างนั้น มักจะปลูกขวางถนน มีระยะห่างกันประมาณสักเจ็ดวาแปดวา แล้วกั้นรั้วที่มุมเรือนต่อมุมเรือนถึงกัน นี่เปนบ้านอย่างสามัญโดยมาก

ในการกั้นทางรถไฟไม่ได้ใช้รั้วไม้ถ่วงลูกตุ้มเช่นอิตาลี ไม่มียายแหม่มออกมาเป่าแตร คนรักษาทางอยู่ในโรง เครื่องที่ปิดนั้นเปนเหล็กมีตาข่าย จะชักขึ้นโรยลงทำการในโรงสำเร็จ

การทำไร่นา เห็นผู้หญิงทำมากกว่าผู้ชาย ตั้งแต่ฟันดินเปนต้นไป ไม่ใคร่เห็นผู้ชายทำอะไรเลย มีแต่ผู้หญิงเอาผ้าขาวคลุมหัวแล้วทำอะไรๆ ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง

ทางที่ไปวันนี้ไปเจอะกำลังเขาทำทางกั้นเสียไม่ยอมให้เดิน ที่จริงก็เพราะมีทางอื่นที่ควรจะไปได้ แต่เมื่อถามชาวบ้านมันชี้ให้ออกไปทางกลางนาก็ออกไปจนเหลือแต่ทางเกวียน ไม่ได้ทำอะไรเลย แล่นไปบนดินเฉยๆ มันก็ไปได้ เพราะดินมันแขง ถ้าเปนบ้านเราก็ไปไม่รอด เดี๋ยวนี้ร้ายที่ทางนั้นยกเปนคันขึ้นมาในที่บางแห่ง ถ้าตกลงไปละก็ดันกันเกือบตายกว่าจะขึ้น เพราะมันเกือบจะเล็กกว่าล้อรถ พยุงตัวไปเกือบจะหมดทางไม่มี จะกลับก็ไม่ได้ ตกลงต้องลงช่วยกันอุ้มรถกว่าจะเอาออกได้แสนประดักประเดิด คราวนี้มีอีตาแก่โดดเข้ามาบอกทางให้ไปที่ชายป่า ไปตามทางอ้ายพรรค์เดียวกันนั้นจนจวนถึงป่า แลเห็นโพรงไม้แต่พอหมาลอดได้ คราวนี้รถอาลวาดใหญ่ จะทำอย่างไรเอาออกก็ไม่ได้ แล่นขึ้นไปอยู่บนนา ปล้ำกันอยู่เปนช้านานออกมาได้ ยังกลับรถไม่ได้ ต้องวิ่งถอยหน้าถอยหลังประดักประเดิดเหลือเล่า ไปตั้งแต่บ่ายโมง ๑ บ่าย ๓ โมงจึงได้กลับออกจากท้องนาได้ ต้องแล่นกลับมาเท่าหนึ่งเท่าใดจึงถึงทางที่จะมาทางอื่นบ่าย ๔ โมง ถ้าจะขืนไปให้ได้จะถึงบ่าย ๕ โมงซ้ำกลับไม่ได้ จะต้องกลับด้วยรถไฟ เห็นโคมลอยเต็มที แดดก็ร้อนจัด ทั้งพ่อหิวเต็มที ด้วยกินเข้ากลางวันไม่ได้ ไม่อร่อยเลยทั้งหมด เช้าก็ไม่ได้กินอะไร จมูกก็หายใจไม่ใคร่จะออก ปวดหัวข้างหนึ่ง รีบกลับมาก็ไม่ใคร่จะถึง เปน ๕ โมงเศษจึงได้ถึง ให้รถล่วงน่ามาแล้ว จะได้ให้หาอะไรไว้ให้กินก็เปล่า ไม่สำเร็จเลยต้องอาบน้ำ ได้อะไรมากินก็ไม่อร่อยกินไม่เข้า สิ้นเรี่ยวสิ้นแรงเลย นอนแป๊บอยู่กับที่จนถึงเวลากินเข้า ต้องให้หุงเข้ากิน ทั้งนั้นทั้งนี้เพราะเหตุเปนวันที่ ๓๑ พฤษภาคมอันเปนวันที่สำหรับนางนอง[๑๕๓]ต่างๆ ซ้ำได้ข่าวรายามุดาเมืองไทรตายมีความเสียดายเปนอันมาก ดีนิดที่ได้หนังสือเมล์วันที่ ๒๒ แล ๒๘

รูปทรงถ่ายป่าดำ ในแขวงเมืองบาเด็นบาเด็น

รูปทรงถ่ายป่าดำ ในแขวงเมืองบาเด็นบาเด็น

• • • • • • • • •

คืนที่ ๖๗

วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน

เช้าวันนี้ฝนตกแต่ไม่รู้สึก ต่อเดินออกไปได้ครึ่งทางฝนโปรยลงมาอิก จึงได้เรียกรถมาขึ้นไปที่ที่กินน้ำ เดินจงกรมแล้วเข้าไป วันนี้กรมสมมตไปด้วยอิกคนหนึ่ง กินน้ำแล้วเดินจงกรมอิกสองเที่ยวจึงได้ไปที่อาบน้ำ เข้าอาบน้ำในห้องเดิม กรมสมมตอาบห้องหนึ่ง วันนี้ขึ้นเวลาเปนให้อยู่ในน้ำ ๑๕ มินิต เพราะกลัวว่าเปนวันแรกจะอ่อนอกอ่อนใจ จึงลดไว้แต่น้อยก่อน ที่จริงไม่เห็นมันเปนอะไร ต้องตื่นเช้าพอตกค่ำลงก็ง่วงนอน เดินจนเมื่อยเกือบขาหลุด ว่าที่จริงอ้ายการห่อเมื่อเวลาขึ้นจากน้ำนั้น ถ้าเปนคนขี้กลัวถือลางอยู่แล้วออกจะน่ากลัว ที่ว่าน่ากลัวมากนั้นคือหมวกสรวมหัว รูปมันช่างเหมือนหมวกศพจริงๆ คลุมลงไปมากเหลือไว้แต่ไนยตา เวลาที่จะห่อนั้นก็ทำราวกับห่อศพ ให้นอนหงายซื่อ เอามือกอดท้องแล้วตลบผ้าขึ้นมาซ้อนกันพอตึงตัว แล้วรีดๆ ลงไปปลายตีน ยกตีนขึ้นตวัดชายเข้ามาใต้ขา ถ้ากรมศิริ[๑๕๔]ถูกห่อเช่นนี้คงร้อง “อ๊ายทำอะไรเช่นนั้น” จริงๆ แล้วเกณฑ์ให้นอนนิ่งหลับตาอยู่เปนครึ่งชั่วโมง จะเรียกว่ากระไรยิ่งกว่าว่าคล้ายเกณฑ์ให้ลองเปนศพนั้นไม่ได้

ออกจากที่อาบน้ำนี้แล้วไปที่อินฮะเลชั่น วันนี้เปลี่ยนห้องใหม่เข้าไปที่ห้องไส้ไก่ เปนการใหญ่มาก มีแผ่นเหล็กกันสองข้าง มีท่อต่อปลายยางอินเดียรับเบอ แล้วมีแก้วเปนรูปคล้ายกับถ้วยล้างตา เอาปากเข้าไปรอที่นั่นให้ควันเข้าในปาก แล้วให้ออกทางจมูก ต้องซื้ดแล้วซื้ดเล่าเหนื่อยจะตาย คราวนี้เปนพอกันที เปลี่ยนเครื่องสำหรับให้เข้าในจมูก เปนยางให้ควันออกทางปาก พ่อทำไม่ออกทั้งสองอย่าง ถูกหมอกริ้วว่าทำไม่เปน ที่แท้จมูกมันออกตันๆ ควันก็ออกไม่ได้ ในเวลาจะรมนั้นต้องเปนการใหญ่ มีอกเต่าทำด้วยผ้าน้ำมันรองเสียชั้นหนึ่ง แล้วจึงมีอกเต่าผ้าชั้นนอก ยังไม่รู้สึกสมประดีว่ามันเปนอย่างไร เฉยๆ ไม่เกิดความศรัทา แต่หมอแกว่านานไปจะเกิดศรัทธาก็นิ่งดูไปที กลับมาเวลา ๕ โมง ที่จริงถ้าจะรอไปอิกไม่กินเข้าก็ได้ เพราะน้ำเต็มอยู่ในท้อง แต่เขาจัดไว้ให้กินเพราะเข็ดเมื่อวานนี้ ก็กินที่ห้องชั้นบนจนเวลาเที่ยงก็แล้วเสร็จ

เห็นว่าว่างเปล่าท่าทางดีอยู่ เดิมกะว่าจะไปเที่ยวจะค้าง แต่เห็นอาหารมันกระจุกกระจุย แลเหนื่อยเมื่อวานนี้ จึงได้เลิกเสีย เพราะรู้ว่าอาหารไม่ดี ได้ไปกับบริพัตรแลดุ๊กสามคนเท่านั้น อุรุพงษ์หายเดินไปทางในสวน แล้วแวะดูร้านที่ถนนน่าสวนระไป มันเงียบไม่มีผู้มีคนเปนเวลาเขากินเข้า ไปเข้าร้านบรรเทิงทัศนาคาร[๑๕๕] ที่ขายของเก่าต่างๆ ซื้อถ้วยเข้าคอเล็กชั่นแลซื้อกล่องโบราณเครื่องแกะงาครึๆ โอ้เอ้อยู่เสียเปนนาน จึงได้ไปที่ร้านน่าเรสเตอรองต์ ข้างคอนเวอเซชะนัลฮอล

ที่ร้านนี้พ่อยังไม่ได้เล่าให้ฟังว่ามันเปนอย่างไร ตามผู้ที่ไปด้วยกันทั้งหมดรู้สึกว่าเปนร้านวัดเบญจมบพิตร คือที่ลานเปนลานเตียนเฉยๆ ไม่ได้ปลูกหญ้า มีต้นไม้ปลูกเรียงกันเปนสี่แถวพอใบประถึงกัน ข้างแถวต้นไม้ทั้งสองข้างปลูกเปนร้านก่ออิฐถือปูนแต่เตี้ยๆ กว้างแคบเท่าประรำที่เปนร้านวัดเบญจมบพิตร ถ้าเปนร้านใหญ่ๆ ก็เอาเสียทั้งสองน่า ที่ร้านเล็กๆ แบ่งออกคนละข้างเหมือนร้านที่วัด มีร้านเครื่องถ้วยอยู่หัวโต่งแล้วถึงร้านยี่ปุ่น ของเก่าของแก่ไม่ได้ดู ต่อไปก็เปนร้านเครื่องผ้าเสื้อแลของกระจุกกระจิกต่างๆ ร้านที่สนุกมากนั้นคือร้านตา “เจี๊ยะจอ”[๑๕๖] เจ้าของร้านเปนคนแก่หัวล้าน ช่างพูดเล่นตลกเสมอ ยายเมียก็พอได้สำรับกัน แกช่างหาของแปลกๆ ต่างๆ มาขายไม่ได้หยุดปากหยุดมือเลย ประเดี๋ยวหยิบสิ่งนั้นออกมาประเดี๋ยวหยิบสิ่งนี้ออกมา ต่อติดกันอยู่เสมอ แต่คงจะเอาอะไรเลวๆ ที่เราไม่อยากดูมาขัดจังหวะพอให้เราเบื่อเสียทีหนึ่ง คราวนี้พอยื่นออกมาละกว่าจะเปิดได้คุยทำหน้าทำตาหลอกให้เราตกหลุมเซอะไปอย่างใดอย่างหนึ่งทุกคราว แล้วจึงจะบอกความจริงๆ เช่นกับเห็นพ่อถือบุหรี่ครึ่งตัวอยู่ ทำคะวีคะวาดไปหยิบกลักขีดไฟขึ้นมาตัวสั่นส่งให้ ชักออกมากลายเปนหนูกระโดดขึ้นมาเกาะกลักขีดไฟ ทำหน้าตาตื่นตกใจว่าผิดไป ฉวยเอามาให้ใหม่อิกกลักหนึ่ง คราวนี้ขีดก็ติดแต่ไม่ลุกเปนอันขาด นึกว่าขีดไฟเสีย ขีดเปนสองอันสามอันแกก็หัวเราะเยาะ เลยขอโทษขอโพยว่าขีดไฟไม่ดี จึงได้ส่งขีดไฟจริงๆ มาให้ คราวนี้เอาบุหรี่มาแจก วันก่อนถูกแกแจกบุหรี่ตกั่วเอาทีหนึ่งแล้ว วันนี้นึกว่าแกจะหลอกให้เจี๊ยะจออะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แกก็ยืนยันว่าบุหรี่เวียนนาแกเอามา อ่อนไม่ฉุนดี เกี่ยงให้ดุ๊กลองประจงสูบเกือบตาย หมายว่ามันจะฟู่ฟ่าปึงปังอย่างใด ก็บุหรี่ธรรมดาเรานี่เอง ชายอุรุพงษ์แลชอบจริงๆ ตานี่ขายอะไรเห็นควรซื้อทุกสิ่ง ถัดตาแก่ไปหน่อยหนึ่งเปนร้านเครื่องเพ็ชรของมันเก่งๆ มันเปนห้างใหญ่อยู่แฟรงก์ฟอต ถัดขึ้นไปอิกร้านหนึ่งขายบุหรี่มีบุหรี่ดีๆ มีเครื่องบุหรี่ที่ขัน ติดไว้กับฝา เอาบุหรี่จ่อเข้าไปตัดได้เอง เราไม่ต้องทำอะไร นี่เปนหมดแถบข้างซ้าย แถบข้างขวาหัวโต่งใกล้เรสเตอรองต์เปนร้านขายลูกไม้ผ้าโปร่ง ยายตลับเจ้าของร้านช่างพูด อธิบายด้วยเรื่องเล้ศฟังเสียออกเพลิน แกมีดีๆ จริงๆ ซ้ำมีของโบราณซึ่งขายไม่ได้อยู่ในนั้นด้วย จะซื้อก็เข็ดฟัน เลยพาลซื้อแต่ผ้าสำหรับคลุมหน้า ร้านแถวด้านข้างริมต้นไม้นอกจากของเก๊แลของกระจุกกระจิก มีร้านหมวก ปลายที่สุดเปนร้านเครื่องเพ็ชรอิกร้านหนึ่ง ประมูลกันกับร้านข้างซ้ายอยู่เสมอ ถ้าเข้าร้านนี้ ร้านโน้นคงตามมายืนอิจฉา ถ้าเข้าร้านโน้น ร้านนี้ก็ตามมายืนอิจฉาอยู่เหมือนกัน ด้านนอกขายของปู้ยี่ปู้ยำมีเครื่องงาเปนค่อยยังชั่ว พ่อไปยืนให้ช่างกระดาษตัดรูป มันตัดเร็วจริงๆ ถ้าเข้าไปงานวัดเบ็ญจมบพิตรคงจะรวย แกตัดทีหนึ่งได้ถึงสามรูป วนๆ เวียนๆ อยู่เหล่านั้นจนบ่าย มันสบายที่จะต้องการอะไรไปที่เรสเตอรองต์ได้ทั้งสิ้น เดินนิดเดียวถึง กินตับห่านแลไส้กรอกที่ทำสดๆ เดี๋ยวนั้นทั้งสองอย่าง แล้วให้ไปซื้อตั๋วจะเข้าไปดูในคอนเวอเซชะนัลฮอล แมเนเยอเจ้าของโรงนั้นไม่เอาเงิน ยอมให้เข้าเปล่าซ้ำต้อนรับออกหรู ด้านข้างน่าเปนห้องใหญ่ยาวกว้างขวางมาก มีแท่นแลตั้งเก้าอี้มาก เห็นจะเปนที่ร้องเพลง ถัดเข้าไปข้างในอิกห้องหนึ่งเปนแกละรี โชรูปภาพเขียนแลภาพหล่อ ได้ซื้อรูปภาพเขียนสองแผ่น ตุ๊กตาสามตัว ตาแมเนเยอนั้นให้รูปเมืองบาเดนบาเดนอย่างเก่าแผ่นหนึ่ง ออกจากห้องนั้นเข้าไปห้องตอนข้างทำใหม่ มีห้องเต้นรำสองห้องใหญ่ มีห้องซัปเปอห้องหนึ่ง ห้องนี้แต่งงามมาก เพดานแลผนังเขียนรูปภาพ ประกอบด้วยกระจกเงาแลกรอบทอง เปนทองอร่ามไปทั้งห้อง มีระย้าไฟฟ้าใหญ่ๆ แขวนทุกห้อง แตรอยู่ข้างนอกแต่เปิดช่องให้เข้าที่ด้านหุ้มกลอง ดูเสร็จแล้วกลับขึ้นรถโมเตอคาร์ไปเที่ยวเล่นตังๆ ตามเมือง แวะซื้อรูปภาพอิกสี่แผ่น แล้วกลับมานั่งเล่นกลางแจ้งแลเขียนหนังสือจนมืดฝนจึงได้กลับขึ้นบนเรือน วันนี้ชายศิริวงษ์[๑๕๗]มาเมื่อเวลากินเข้าแล้ว วิลลานี้เรียกว่าวิลลาสตูรดซา ภาษารัสเซียน แต่จะหาคนเขียนชื่อไม่ได้อยู่หลายวันพึ่งสำเร็จในวันนี้ ตกค่ำลงให้ง่วงงึมงำ ของที่ไปซื้อเขาส่งมาจะแก้ดูให้ทั่วก็ไม่สำเร็จ อ้ายการตื่นเช้ามันก็ดี ดูเหมือนว่าจะมีเวลามาก แต่ความจริงมันไม่เปนเช่นนั้น แสงสว่างมีอยู่มันก็พาเที่ยว เวลาทำงานกลับน้อยไปกว่านอนดึก อะไรต่ออะไรค้างเปนเบือไป ได้รับโทรเลขกรมดำรง ตามที่กะไว้ว่าจะได้รับก่อนโทรเลขอื่นๆ ในวันนี้ เปนคำให้พรวันที่ ๑ เดือนยูนตามเคย สิ้นเคราะห์ไปที เคยเข็ดมาหนักกว่าหนักแล้ว[๑๕๘]

• • • • • • • • •

คืนที่ ๖๘

วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน

วันนี้ฝนตกเรื่อยมาแต่เช้า ตกลงเปนต้องไปรถ ไปกินน้ำแล้วไปเข้าห้องรมควันอย่างวันแรก แปลกแต่ควันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เวลานั้นเท่ากัน กลับมากินเช้าเนื้อก้อนหนึ่ง แล้วดูของที่พวกชาวร้านเอามาขายตามกำหนด มิสเตอชูแมนที่เคยเข้าไปถ่ายรูปในกรุงเทพฯ นานมาแล้ว มาหาแต่วานนี้ต้องการจะถ่ายรูป นัดให้มาวันนี้ แต่ฝนมันช่างตกไม่หยุด ตกเหมือนบางกอก แต่ตาชูแมนก็สาหัส เอากล้องไปตั้งไว้กลางฝน เอาผ้าน้ำมันคลุมจะถ่ายให้ได้ ตัวก็ยืนตากฝน กระทำทุกรกิริยาอยู่เช่นนั้นจนสงสาร จะออกไปให้ถ่ายฤๅก็เปียกจริงๆ จนต้องไปขอให้แกหลบเสียสักทีหนึ่งก่อน ต่อเที่ยงฝนจึงได้ขาดเม็ด ออกไปให้ถ่ายปลื้มกระไรเลย ช่างเขียนของจรูญมาดูที่สำหรับจะเขียนรูป จะแต่งธรรมดาออกไม่สู้เต็มใจ เขาอยากเขียนเต็มยศ แต่ครั้นนึกไปก็ชอบกลดี แต่งเปนธรรมดามันเปนรูปฝรั่ง ไม่เหมือนอยู่บ้าน จึงตกลงยอมจะใส่เสื้อทหารมหาดเล็กเช่นเคยเห็นอยู่ในบางกอกโดยมาก

เวลาบ่ายโมงหนึ่ง ปรินซชาลส์ เมืองแซกซ์ไวมาร์ซึ่งอยู่ไฮเดลแบค เปนคนชอบกันกับรังสิตมาหา อายุเห็นจะประมาณ ๕๐ เศษ เปนทหารม้าแต่งตัวครึ่งยศติดตรา เขามาด้วยรถโมเตอคาร์ เห็นจะเปนรถมีแรงมากมาเร็วเต็มที ว่าสองชั่วโมงถึง ได้อยู่กินเข้ากลางวัน แล้วชวนให้ไปกินเข้าเย็นที่ไฮเดลแบคในวันที่ ๔ ดูอัชฌาไศรยเปนคนกว้างขวางทีจะเปนนักเลงอยู่ กลับไปเวลาจวนบ่าย ๓ โมง

กลับขึ้นมานั่งทำงานอยู่จนเย็น เพราะฝนตกแลเปนวันอาทิตย์ ไม่มีที่ไปแห่งใด ตาฮอฟมาแชลมา แต่ก็ไม่มีร่าอาการอะไร คร่าวต่างๆ มีวิตกวิจารณ์วิจิกิจฉาอุทัจจเปนเบื้องน่า ทีเขาจะมอบให้แกเปนธุระสำหรับมาฟังข่าวเยี่ยมเยียน หนักอะไรหมื่นอย่าง แต่ก็ไม่มีอะไร เวลาเย็นฝนหาย อยู่ในเรือนอัดใจเต็มทีต้องออกไปเที่ยว พอเดินลงไปฝนก็ตกอิก ต้องเลยเรียกรถมาไปกับบริพัตร อุรุพงษ์ ศิริวงษ์ แวะที่ร้านตา “เจี๊ยะจอ” ซึ่งเปนทีว่าปิด ปิดแต่ประตูไว้ ตาเจ้าของออกมาพยักพเยิดให้เข้าไปในร้าน แปลว่าพวกนั้นขโมยขายของอยู่เสมอ ปิดแต่กระจกน่าร้านเท่านั้น เพราะเขาห้ามไม่ให้ขายในวันอาทิตย์ กลัวชาวร้านจะไม่ไปวัด คนที่มาซื้อของก็จะไม่ไปวัด แต่ที่แท้ถึงห้ามเช่นนั้นมันก็พากันไปเที่ยว ไม่มีใครไปวัดได้เหมือนกัน วัดในเมืองฝรั่ง ถ้าคนไปพร้อมกันหมดไม่มีเว้นเลย วัดจะพอคนเปนเมืองๆ ลางเมืองจะไม่พอเลย การที่ไปวันนี้ก็เพราะอุรุพงษ์ชอบตาแก่เหลือเกิน ตาแก่แกก็ชอบ ตกลงขอให้ถุงเงินที่เปิดเปนกลเป่าอันหนึ่ง แล้วไปนั่งกินไส้กรอกที่เรสเตอรองต์คอนเวอเซชะนัลฮอลจนค่ำจึงได้กลับ คำที่เรียกว่าค่ำนั้นอย่าได้หลงไปว่ามืด ยังสว่างดีบริบูรณ์ ยามหนึ่งจึงได้โพล้เพล้ กินเข้ามันเปนกินเข้าเย็นกันแท้ๆ ไม่ใช่กินกลางคืน ได้ลองนับดอกกำมหยี่ที่เขาเอามาแต่งในโต๊ะกินเข้าวันนี้ มีถึง ๑๓ อย่าง น่ารักจริงๆ ออกจะลงเปนตามเคยไม่มีอะไรจะจด อยู่กันจนเลยเปนบ้านไปเสียแล้ว จะเดินไปไหนมาไหนคนเดียวก็ได้ไม่หลงเปนอันขาด

วันนี้เปนวันปิดหนังสือ มีความเสียใจที่เรื่องราวช่างน้อยจริง แต่หมดเท่านั้น จะเขียนมากไปก็จะเพ้อ

จุฬาลงกรณ์ ป.ร.



[๑๕๓] นางนอง เปนคำแผลง หมายความว่าเหตุอันตรายโดยมิได้คาด

[๑๕๔] พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนศิริธัชสังกาศ

[๑๕๕] ทรงเรียกนามตามร้านของพระเจ้าบวรวงศเธอ กรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ ที่ในกรุงเทพ ฯ นี้ ตั้งเปนที่ให้คนดู และเปนที่ขายของแปลก ๆ ฝีมือทำในประเทศนี้

[๑๕๖] เจี๊ยะจอ เปนคำฃ่าว่ากินสุนัข กรมหลวงประจักษ์ฯ จำมาจากมณฑลอุดร ทรงเรียกตาคนนั้นเพราะหน้าตาแกเหมือนตุ๊กตากลที่เขาทำให้อ้าปากกินสุนัข

[๑๕๗] พระเจ้าวรวงศเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศวัฒนเดช ในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุวงศวรเดช

[๑๕๘] วันที่ ๓๑ พฤษภาคมเคยเกิดเหตุร้ายได้ทรงประสบวิปโยคทุกขมาหลายครั้งหลายหน วันที่ ๑ มิถุนายนนับว่าเปนวันสิ้นพระเคราะห์

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ