พระราชหัดถเลขาฉบับที่ ๓๙

คืนที่ ๑๗๗

เมืองฮอมเบิค

วันพฤหัศบดีที่ ๑๙ กันยายน ร. ศก ๑๒๖

หญิงน้อย

วันนี้ได้รับหนังสือต่างๆ อิกจากที่อื่น แลได้ฝากกล้องแมร์ช่อมให้รพีซึ่งจะกลับเข้าไปก่อนพาไปให้พวกนักเลงกล้องด้วยกัน แล้วจึงไปเที่ยวเดินตามแถบถนนข้างออกไพร่ๆ ลงไป เพื่อจะดูให้เห็นคนสามัญในปารีส แวะที่ร้านเมนโดลีน หยุดเลือกอยู่นาน สำหรับที่จะเอามาฝาก จนถึงเวลากินเข้าจึงไปกินที่อองรีซ้ำอิก วันนี้มีกับเข้ากรีกอิกอย่างหนึ่ง เปนเข้าผัดบรรจุในเม็ดพริก พริกนั้นใหญ่เท่ากระทงกับเข้าสังฆทานใบหนึ่ง ถ้าจะกินแต่สิ่งเดียวเท่านั้นก็อิ่ม ที่นี่มีออเดอฟอิกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีที่อื่น ลักษณคล้ายย่า แต่มีไข่สุกในนั้นมาก ย่อยเลอียด ยำใหญ่ฤๅยำญวนของเรา ถ้าหั่นให้เลอียดขึ้น เติมไข่ เกือบจะคล้ายกัน แต่รศคงจะแปลกกันมาก การปรุงรศอาหารกับเข้าฝรั่งเศสไม่เฉียบแหลมเหมือนของเราก็จริงแต่กลมกล่อม ไทยกินได้ทั้งนั้นไม่เลี่ยนเปนที่ตั้ง ออกจากนั้นมาเดินอิกหน่อยหนึ่ง แล้วจึงกลับมาโฮเตลอ่านหนังสือ จนถึงเวลาที่จะไปขึ้นรถไฟ ออกจากปารีสทุ่มเศษ คนโดยสานน้อย เห็นมีคนอื่นแต่ผัวเมียสองคู่ กับคนร้านคาติเอร์ที่เคยขายของเราคนหนึ่ง เพราะเปนเวลาเขาเข้าปารีสไม่ใช่เวลาออก ด้วยที่อื่นๆ เริ่มหนาวแล้วทั้งนั้น เปนเวลาที่ควรจะลงไปข้างใต้ ไม่ควรจะทวนขึ้นไปข้างเหนือ เขาจัดการไว้ให้กินเข้าในรถไฟ พ่อได้นึกแล้วว่าถ้ากินเสียที่โฮเตลก่อนจะดีกว่า ถึงหัวค่ำไปหน่อยจะมีอะไรกินมากกว่าไปกินบนรถ แต่เขาจัดตกลงเสียเช่นนั้นแล้ว อาหารในรถสามัญนั้นดังนี้ ออเดอฟไม่มีอะไรนอกจากปลาซาร์ดินอย่างเดียว แล้วถึงซุปแป้งคนๆ เปนเยื่อเหมือนน้ำมะพร้าวอ่อน แล้วมีปลาซึ่งเหม็นคาวกินไม่ได้ มีไก่ซึ่งต้องพยายามกิน เพราะเชื่อว่าจะไม่มีอื่นดีกว่านั้น ได้เตรียมจะกินถึงสองชิ้น แต่ไม่สำเร็จได้ชิ้นเดียว ต่อนั้นเนื้อวัวหั่นบางลอยในน้ำมันสลัด แช่น้ำมันบีบมนาวนิดหนึ่ง กินไม่เข้า ลูกไม้สำหรับคนต่างประเทศ คือเล็กๆ แขงๆ ฝาดๆ แต่ไม่ต้องกิน เพราะเหตุที่เมื่อเวลาจะขึ้นรถมา รพีได้เอามะเดื่อกับลูกนัตสดหีบหนึ่งมาให้สำหรับไปกินกลางทาง ลุกจากโต๊ะมากินเสียที่ห้องไม่ทันดึกลงมือหนาวขึ้นทุกที ตกลงเข้าที่นอน อ่านหนังสือจนง่วงก็นอนหลับ

พระรูปหมู่ฉายในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาที่เมืองฮอมเบิค

พระรูปหมู่ฉายในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาที่เมืองฮอมเบิค

คืนที่ ๑๗๘

วันศุกรที่ ๒๐ กันยายน

เวลายํ่ารุ่งตื่นขึ้นหิวเหลือสติกำลัง รู้สึกว่าพลุ่งๆ ขึ้นมาในอกจนถึงฅอ ให้ไปขออะไรกินไม่ได้ ว่ารถปลดเสียแล้ว ทีหลังไปได้น้ำซุปทีเห็นจะพึ่งลงมือต้ม เปนน้ำท่าอย่างไม่บริสุทธิ์ฤๅน้ำล้างมือ ไม่สำเร็จอาหารกิจ ทุรนทุรายมาก จึงได้บอกขอลูกไม้ที่ยังเหลืออยู่ในหีบ เสียงกระดาษดังแกรกๆ แล้วก็เงียบ แกรกๆ แล้วก็เงียบ จนเหลือทนไม่รู้ว่าเหตุผลกลใด เพราะลูกไม้นั้นก็อยู่ติดกันกับห้องนอนจะหลุดไปรถโน้นไม่ได้เลย เรียกถามเท่าไรก็ไม่มีคน ออกไปดังแกรกๆ กันอยู่เสียที่อื่น ลงปลายมือถามว่าเรื่องเหตุผลเปนอย่างไร ฤๅกินเสียหมดแล้ว ขอ ให้บอก จะได้สิ้นหวัง กินน้ำกินท่าอะไรพอแก้ขัด ได้ความอย่างเลวที่สุด ว่าไม่มีจาน จะรอให้รถโน้นมาต่อ จะได้เอาจาน ราวกับว่าเราจะกินจานไม่ใช่กินลูกไม้ การที่แหกตาขึ้นกินลูกไม้แต่เช้าหัวมืดนั้นก็ผิดปรกติ เพราะหิวเหลือทนรู้อยู่แล้ว ยังต้องไปรอจาน ถ้าจะเห็นว่ากินจากหีบเปนไพร่ไป อยากจะเปนผู้ดีตามซึ่งไม่สู้เคยนัก จานรองถ้วยน้ำชาก็มี ยังเห็นผิดธรรมเนียมไปเสียได้ ที่จริงเมื่อหัวค่ำก็กินจากหีบไม่ได้มีจานรองเลย แต่เรากินเอง เขาคงเห็นไม่ควรแก่กิริยาของผู้ดี กินลูกไม้แล้วจึงได้ขนมปังกับปลาซาร์ดินสักสี่ห้าตัว หมดทุนเท่านั้น แต่จำต้องกินจนอิ่มจึงได้หลับอิกได้ จนจวนจะถึงแฟรงก์เฟอตจึงได้ตื่น จากรถไฟขึ้นรถโมเตอคาร์ ตรงมาฮอมเบิคทีเดียว ตอนกลางคืนหนาวเต็มที ผ้าแบลงเกตในรถไฟเกือบจะไม่พอ มาพบเพ็ญแลรังสิตมาคอยอยู่แล้ว เพ็ญอ้วนดีขึ้นเปนอันมาก ถ้าไม่หายสนิทคงหายดีได้คราวหนึ่ง บอกว่าหมอเขายังไม่บอกว่าหาย ต้องสามปีจึงจะเชื่อได้ ถ้าจะบอกว่าหาย กลับเปนอิกจะเสียชื่อ

ลงมือจัดการสำหรับเฉลิมพระชนมพรรษา ตั้งที่ห้องกลาง ห้องมันเล็กนิดเดียว จึงต้องจัดตามบุญตามกรรม พระพุทธรูปตั้งบนหลังตู้เทียนมงคลตั้งรายหลังตู้แลโต๊ะน่าตู้ คั่นด้วยฉัตรแลธง แต่เทียนต้องแบ่งจุดวันละครึ่ง แต่ถึงดังนั้น ยังตั้งที่ตู้มุมนั้นไม่พอ ต้องแยกมาตั้งอิกมุมหนึ่งบนหลังตู้คราโมโฟน โต๊ะเขียนหนังสือเปลี่ยนเปนโต๊ะที่บูชาแทนพระแท่นกรมนเรศร์ แต่ก็ต้องผลัดกันเปนสองคราวเหมือนกัน โต๊ะน้ำชาโต๊ะหนึ่ง เปนที่ตั้งบัตรบูชานพเคราะห์ แต่ก็ไม่มีบัตร ใช้ธงตั้งทีละคัน บูชาทีละองค์ แต่กระนั้นก็ร้อนพอ ต้องเปิดน่าต่าง คราวนี้มีธูปอย่างธูปกระแจะที่ทูลหม่อมเคยโปรดปั้นกลมๆ จุด อย่างคาทอลิก ลงมือจุดเทียนเวลาบ่ายโมงหนึ่ง ซึ่งเปนเวลาที่บางกอกเคยตั้งต้นเวลาพลบนั้น จุดเทียนแล้วก็แล้ว ไม่มีอะไร โหรงเหรง ได้รับแต่โทรเลขให้พร เอมเปอเรอเยอรมันตั้งต้น แลเจ้าแผ่นดินอื่นๆ กับคนอื่นๆ เวลาบ่ายไม่มีอะไรทำ ไปเที่ยวเดินเล่นเสียรอบเมือง จนถึงไกซาวิลเลียมบาด แล้วกลับมานั่งที่ริตเตอป๊ากโฮเตล ต่อพลบจึงเดินกลับ

วันนี้มีคนมามาก ลูกเอียดน้อย พระยาวิสูตร มิสเตออาเชอ พระยาชลยุทธ แอนเดอซัน ถือหนังสือปรินเซสมารีมาด้วย พระปฏิบัติกับเมีย มีแว่นตามาให้ด้วย เมอลิง ปีกกินแปก แลกงสุลอื่นๆ อิกหลายคน ยังมาไม่พร้อมกันหมด แต่ก็มากอยู่แล้ว ดูมันเงียบไม่มีงานมีการอะไร จึงได้ให้จัดโต๊ะที่โฮเตลเลี้ยงบรรดาผู้ที่มาแล้วได้พบปะสนทนากันสบายดี แล้วจึงได้กลับขึ้นมา จัดการเรื่องที่บูชาต่อไปใหม่

คืนที่ ๑๗๙

วันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน

เทียนมงคลจุดตั้งแต่เวลาบ่ายโมงหนึ่ง อยู่ได้จนสามโมงเช้าอยู่ข้างจะร้อน แต่ข้างนอกหนาวต้องเปิดน่าต่างจึงได้นอนหลับ โปรเฟสเซอไมเยอมาทา เอาเครื่องมือที่สำหรับรักษาจมูกที่ทำอย่างประณีตมาให้ มีผู้ให้ของอิกหลายราย กับทั้งดอกไม้มาก แล้วเวสเตนกาดมา เวลาเที่ยงไปที่เปิดบ่อ แต่งตัวฟรอกโก๊ต บ่อนี้อยู่ข้างหลังไกซาวิลเลียมบาด เปนทุ่งหญ้า ยังไม่ได้ทำสวนออกไปถึงเขาได้ลงมือเจาะแต่เดือนเมษายน ลักษณที่เจาะก็เหมือนกับเจาะบ่อน้ำธรรมดา แต่ใช้ท่อทองแดง เจาะช่องตามข้างท่อให้น้ำซึมเข้ามา แล้วฝังถังเหล็กลงไปพ้นปากท่อ เพื่อจะไม่ให้น้ำจืดเข้าไประคนกับน้ำสปริงนั้น ปากท่อทำเปนรูปใบบัว น้ำเดือดพลั่งๆ แต่น้ำที่นี่เปนน้ำเย็นทั้งนั้น ทดลองได้ความว่าเปนน้ำอย่างแรง เขาตั้งกระโจมสามขาหุ้มผ้าสูงคร่อมอยู่ที่บ่อ แล้วปลูกพลับพลาจตุรมุขหลังหนึ่ง มีร้านสำหรับคนร้องเพลง มีคนไปประชุมเปนอันมาก ผู้มีบันดาศักดิ์อยู่ รอบกระโจมนั้นมีราษฎรเต็มไปทั้งนั้น เวลาแรกไปถึงร้องเพลงจบหนึ่งก่อน แล้วแมร์ตำบลฮอมเบิคอ่านแอดเดรส ให้ชื่อบ่อว่าพุ “โกนิคจุฬาลงกรณ์” แล้วเชิญไปเยี่ยมดูที่บ่อนั้น ตักน้ำขึ้นมาให้ชิมด้วยถ้วยเงินใบใหญ่แล้วกลับมาที่พลับพลา แมร์เรียกให้เชียร์คือฮุเรแล้วร้องเพลงอิกบทหนึ่ง เปนสิ้นการเปิดบ่อเท่านั้น ถ้าเล่าเช่นนี้ดูเหมือนการนั้นเล็กน้อยเต็มที แต่ที่จริงอยู่ข้างเปนการใหญ่

เวลาบ่าย ๔ โมง แต่งตัวเต็มยศ ไปที่ประชุมให้พรที่ห้องในโฮเตล กรมหลวงประจักษ์อ่านแอดเดรส แล้วให้ตราจักรีดิลกแลให้ตราคนอื่น แล้วหม่อมนเรนทร์อ่านประกาศสร้างเข็มอักษรประพาศยุโรป เมื่ออ่านจบแล้วจึงได้แจกเข็มนั้น ต่อเสร็จข้างฝ่ายเราแล้ว จึงได้เบิกพวกชาวเมืองพ่อลงไปรับข้างล่าง ไม่ได้อยู่บนแท่น แมร์ได้นำแอดเดรสที่เขียนอย่างงาม บรรจุในหีบไม้โอ๊กซึ่งได้จากซาลเบิค ซึ่งเปนไม้เก่าสองพันปีมาแล้วจนสีดำ เขาให้คนที่พูดอังกฤษได้คล่องเปนผู้พูด แล้วโปรเฟสเซอซึ่งเปนผู้จัดการขุดซาลเบิค นำพระราชโทรเลขของเอมเปอเรอซึ่งมีมาถึงให้มาให้พร แลขอบใจในการที่ได้ช่วยเข้าเรี่ยรายในการขุดซาลเบิคมาอ่าน แล้วรับเรียงตัวทีละคนทั้งฝ่ายทหารพลเรือน แลผู้มีบันดาศักดิ์ต่างประเทศซึ่งมาอยู่แลมาชั่วคราว บรรดาที่มาให้พรแล้วจึงพร้อมกันไปถ่ายรูปรวมประมาณสัก ๗๐ คน เมื่อถ่ายรูปแล้วเลี้ยงน้ำชา

เวลาค่ำมีการเลี้ยงใหญ่ที่คัวรเฮาส์ เห็นจะเกือบ ๘๐ คน ทั้งพวกเราพวกเขา เจ้านั่งซีกหนึ่ง ขุนนางนั่งซีกหนึ่ง เจ้ามากมิใช่น้อยนั่งเกือบจะตลอดแถบโต๊ะข้างหนึ่ง ดินเนอจัดดีมาก ปรีเฟก์เมืองวิสบาเดนซึ่งเปนตำแหน่งใหญ่ในมณฑลนี้ให้พร บาญชีกับเข้าเปนของผู้ซึ่งเคยรับทำกระดาษส่งเมืองเรา ทำเปนอย่างงามมาก มีรูปให้เปนรางวัลในนั้นด้วยรูปหนึ่ง ครั้นเสร็จการเลี้ยงแล้วออกมาประชุมที่ห้องกลาง ได้เชิญบรรดาผู้ดีในเมืองนี้แลต่างประเทศที่มาเที่ยว มาเลี้ยงของว่างทั้งผู้หญิงผู้ชายอิก ๕๐๐ แลเลี้ยงเบียร์พวกราษฎรที่เมืองเขาจัดตามที่ควรจะอนุญาตให้เข้ามาในสวน น่าเรือนคัวรอิกเปนอันมาก การตกแต่งที่เรือนคัวรงามมากใช้ไฟฟ้าทั้งสิ้น ในสวนตั้งรั้วด้วยตะเกียงเขียวตะเกียงแดงให้แลดูซึ้ง ต้นไม้ก็แต่งด้วยโคมยี่ปุ่นทั้งสิ้น มีทหารถือได้แห่มีแตรสี่วง ไต้นั้นใช้แมกมิเซียมทั้งสิ้น แล้วมาหยุดเป่าแตรที่น่าเรือนคัวร พอพ่อออกไปยืนที่น่าเรือนคัวร มีแตรตรัมเป็ดเป่าสี่คัน แล้วผู้จัดการที่อาบน้ำประกาศให้เชียร์โห่ร้อง ครั้นทหารกลับแล้วจุดดอกไม้เพลงต่อไป ดอกไม้เพลิงดีกว่าที่จุดแรกมาเปนอันมาก มี จ.ป.ร. มีอาร์ม ได้ลงไปสนทนาด้วยพวกแขกที่มาราย ๕๐๐ นั้น แต่ทักทายไม่ทั่ว เขาเลือกสรรมาแต่เฉภาะที่เปนผู้มีชื่อเสียงแลหัวน่า เหตุด้วยหนาวมาก ควันออกจากปากพลุ่งๆ นั่งดูอยู่จน ๔ ทุ่มจึงได้กลับ พวกข้าราชการชาวเมืองแลราษฎรได้สำแดงน้ำใจดีเปนอันมากจนไม่รู้ที่จะขอบใจเขาอย่างไรให้พอ ตามตึกตามร้านปักธงต่างๆ ไสวไปทั้งนั้น เวลาค่ำก็จุดไฟตลอด ที่วิลลาที่อยู่นี้พระยาศรีธรรมสาส์นตั้งซุ้มแลจุดตะเกียง วันนี้ครึกครื้นเปนงานเปนการตลอดทั้งกลางวันกลางคืน รู้สึกขาดแต่เรื่องทำบุญไม่มีพระสวดมนต์อย่างเดียวเท่านั้น

คืนที่ ๑๘๐

วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน

เช้าวันนี้จุดเทียนผลัดที่ ๒ แล้วอาบน้ำรับทักษาอย่างสังเขป กรมหลวงประจักษ์กับกรมสมมตเปนผู้จัดการ โปรเฟสเซอ เคราส์, เครล, ไมเยอ มาตรวจอาการเปนครั้งที่สุด ที่จริงก็ไม่ต้องตรวจอะไร มาตอบคำถามในข้อที่ยังสงไสยต่างๆ เปนที่เข้าใจแจ่มแจ้ง วันนี้เปนวันที่จะแยก ต่างคนต่างไปในทิศานุทิศต่างๆ ลูกเอียดเล็กแลติ๋วไปอิงค์แลนด์กับพระยาวิสูตรโกษา ลูกแดงจะไปเบอลินกับพระยาศรีธรรมสาส์น มิสเตอเกฮีเนียส แลลอฟตัส หลวงพินิจวิรัชกิจ ดิลกจะไปเบอลิน แล้วจะตามลงไปเนเปอล เพ็ญจะไปตำบลหนึ่งใกล้เยนัว หยุดรักษาตัวอยู่ที่นั้นจนเรือซักเซนไปถึง จะลงเรือซักเซนที่เยนัว รังสิตไปไฮเดลแบ็กแล้วไปบรรจบที่เนเปอล มิสเตอเวสเตนกาดไปสวิตเซอแลนด์ แล้วจะรออยู่อิกสองเดือนฤๅจะลงเรือซักเซนไปด้วยยังไม่แน่ พระยาชลยุทธ มิสเตอแอนเดอซันไปด้วยในรถจนถึงแฟรงก์ฟอต แล้วแยกไปเบอลินแลเดนมาร์ก ชายศิริวงษ์ขึ้นรถไปด้วยถึงแฟรงก์ฟอตออนเมน แล้วไปแฟรงก์ฟอต ออนโอเดอ คนนอกนั้นต่างคนต่างแยกไปถิ่นถานของตัว เจ้านายแลข้าราชการคงอยู่ที่ฮอมเบิค จนกว่าจะเก็บเข้าของแล้ว ลงไปประชุมพร้อมกันที่โรม พ่อกับผู้ที่เคยไปปารีสคราวก่อน เติมลูกเอียดน้อยแลชายอุรุพงษ์ขึ้นอิก ๒ คนไปปารีส

เวลาบ่ายไปถ่ายรูปพร้อมกับลูก แล้วกลับมากินเข้าทุ่มหนึ่งจึงได้ออกจากวิลลา มีคนมาคอยส่งอยู่ตามถนนเปนอันมาก คราวนี้ขึ้นรถไฟที่สเตชั่นฮอมเบิคที่เดียว มีข้าราชการฝ่ายเยอรมันแลคนเราทั้งหมดไปส่งที่สเตชั่น อากาศเย็นมาก รถมาก็อย่างเดียวกับคราวก่อนนอนหลับได้

ได้ข่าวแกรนด์ดุ๊กออฟบาเดนประชวรมาก เห็นทีจะไม่หาย สังเกตเห็นอยู่แล้วว่าคราวนี้กระปลกกระเปลี้ยกว่าแต่ก่อนมาก เปนที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ด้วยมีความเมตตาปรานีแก่พ่อมาก เปนผู้ที่มีคนนับถือไม่เลือกหน้า ด้วยความประพฤติดีนัก แต่พระชนม์พรรษามาก ชั้นเดียวกันนับว่าไม่มีใครแล้ว สงสารแกรนด์ดัชเชส ชรามากเหมือนกัน รักกันมากด้วย เดี๋ยวนี้เจ้านายญาติวงษ์ไปประชุมกัน ที่อยู่นั้นไม่ได้อยู่ในคาลสรูห์ฤๅบาเดนบาเดน ไปอยู่ที่ทเลสาบ ชายแดนต่อกับสวิตเซอแลนด์ ซึ่งเคยลงไปทุกปี เหตุที่ทำให้ประชวรนี้ว่าเพราะเหน็ดเหนื่อยมาก แล้วพระนาภีเสีย ธาตุพิการ ไม่มีอาหารเลยน่ากลัวจะอยู่ช้าไม่ได้เท่าไร

คืนที่ ๑๘๑

ปารีส

วันจันทร์ที่ ๒๓ กันยายน

เวลาเช้าโมงหนึ่งถึงปารีส จรูญมารับไปอยู่โฮเตลลิเวอปูลตามเคยอย่างครั้งก่อน กินเช้ามาแล้วแต่ในรถไฟ แล้วมาซ้ำลูกไม้บ้าง ได้รับหนังสือเมล์อ่านหนังสือ แจกเข็มประพาศพวกที่ปารีส ทองต่อ ฉาย กาวิลวงษ์[๒๒๘] มาลาไปโรงเรียนที่อิงค์แลนด์ในวันนี้ แล้วไปดูเลือกหนังซิเนมาโตกราฟที่ร้านไก่แจ้แดง ได้ดูหลายขด เลือกซื้อที่ดีบ้าง แล้วไปลาชาเปล ซึ่งแต่ก่อนเปนวัดสำหรับวัง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ใช้เปนวัด รวมเข้าอยู่ในที่ศาลยุติธรรม วัดนี้ไม่ใหญ่โตเท่าใด แต่เปนสองชั้น ชั้นบนมีเนื้อผนังเฉภาะแต่เสา ในระหว่างเสากรุด้วยกระจกสีที่เรียกสเตนกลาส เปนรูปภาพสาสนา กระจกนั้นเปนของเก่าสีสดงามเหมือนสียาราชาวดี ซึ่งเดี๋ยวนี้ทำไม่เหมือนได้ เปนวัดของเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสที่ชื่อหลุยส์ที่ ๙ เรียกว่าเซนต์หลุยส์ เปนผู้สร้าง ใช้ยี่ห้อ เฟลอร์ เดอ ลีส์ คือดอกลิลี กับป้อมซึ่งเปนยี่ห้อฝ่ายข้างพระมารดาคั่นกัน สร้างในระหว่างคฤศต์ศักราช ๑๔๐๐ มีทางเดินติดต่อกันกับวัง ที่วังนั้นเดี๋ยวนี้ใช้เปนศาลสูงที่สุด แลก่อสร้างขึ้นใหม่ประกอบกับของเดิม ทั้งศาลอาญาแลศาลแพ่ง รวมกันอยู่ในที่แห่งเดียวกันนี้ แบ่งเปนตอน เว้นแต่ศาลการค้าขายอยู่ข้ามคนละฟากถนน ในห้องที่ประชุมศาลเหล่านี้ ยังมีของเก่าคงอยู่ จนกระทั่งแพรกรุฝา เว้นไว้แต่ที่ประชุมศาลอุธรณ์สูงสุดนั้นไฟไหม้ ทำใหม่ เพดานทำทั้งลายสลักลายเขียน ปั้น นูนเด่นออกมางามเปนที่สุด มีรูปเจ้าแผ่นดินซึ่งเปนผู้ตั้งกฎหมาย ๔ คน ผูกเข้าไว้ในลายเพดานนั้นด้วย ว่าสิ้นเงินถึง ๒ ล้านแฟรงก์ มีที่ประชุมพวกหมอความกว้างใหญ่ ถึงกระนั้นก็ว่า ถึงเวลาประชุมแล้วเต็ม พูดกันไม่ได้ยินเดินไม่ได้ทีเดียว ที่ศาลนี้เปนที่มีเรื่องราวว่ากวีนมารีอันตัวเนตต์ ซึ่งถูกพวกขบถจับฆ่าเสีย ได้มาขังไว้ในที่นี้ก่อน ความสำคัญเช่นความเดรฟูสได้มาชำระในที่นี้ ดูอยู่จนถึงเวลากินเข้า จึงไปกินที่เรสเตอรองต์อองรี ที่เคยไปแต่ก่อน แต่กับเข้าวันนี้ไม่สู้เก่ง แล้วกลับมาพัก

เวลาบ่าย ๓ โมงครึ่ง ไปที่ช่างปั้นรูป ยืนให้เขาเทียบดูรูป แก้ไขแล้วไปที่ร้านซึ่งทำม้า กำลังผูกโครงอยู่ สูงใหญ่ไม่ใช่เล่น ทางที่ไปวันนี้ผ่านแฟร์ซึ่งมาตั้งที่สแควร์แถบนั้น อย่างเดียวกันกับที่ซังต์คลูด์เว้นแต่ไม่เห็นรถไฟ เพราะมันตั้งในกลางสแควร์ ห้ามรถไม่ได้ คนแน่นออกจะน่ากลัวอันตราย เสียงอึกทึกหนวกหูอย่างยิ่ง แล้วกลับมาพักอ่านหนังสือต่อไปอิก พอตกค่ำลงหนาวจัดวันนี้ถึงต้องติดไฟ

คืนที่ ๑๘๒

วันอังคารที่ ๒๔ กันยายน

วันนี้ออกขี้เกียจขึ้นมา แต่จะไม่ไปไหนเลยกลัวจะไม่สบาย จึงได้ขืนใจไปดูรูปตุ๊กตาขี้ผี้งลักษณมาดามทุสโซที่เมืองแก้ว ที่นี่อยู่ในพื้นชั้นล่าง แลพื้นใต้ดินสองชั้นใช้จุดไฟมืดบ้างสว่างบ้าง ชั้นบนเปนแห่โป๊ปแลเรื่องนะโปเลียนโบนาปาตเปนเจ้าเรือน มีรูปอื่นๆ อิก มีรูปคนที่รู้จักเช่นเอมเปอเรอแลเอมเปรสรัสเซีย มองสิเออดูแมร์ ไม่เหมือนทั้งนั้น เปนแต่มีเค้า ซึ่งจะเห็นไปว่าคนอื่นไม่ได้ ชั้นล่างมีเรื่องพระเยซู แลเรื่องขบถฆ่าหลุยส์ที่ ๑๖ ทางเดินเปนหลืบเปนถํ้าแลที่บังมืดๆ ถ้าว่าโดยลักษณทำรูปเขาทำดี เหมือนคน จนถ้าคนเปนๆ ไปนั่งอยู่มักจะเผลอว่าเปนตุ๊กตา ฤๅเผลอว่าตุ๊กตาเปนคน แต่ไม่ใช่เหมือนบุคคลที่เขาตั้งใจจะทำ กลับมาเดินตามถนนแล้วมาที่โฮเตล วันนี้ออกง่วงๆ ไปไม่ใคร่สบาย เวลาค่ำไปกินเข้าที่ลิเคชั่น การที่ไปเพื่อจะหาเข้าสุกอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนแกงได้ไปซื้อแกงฮังแกเรียนมา กินเข้าได้ ในหมู่นี้เวลากลางคืนโรงมหรศพที่เล่นอยู่ข้างถนนทั้งปวงเลิกหมด เหตุด้วยหนาว ต้นไม้ก็ใบร่วงโกร๋งเกร๋งไปทั้งนั้น ดูไม่ใคร่จะงาม เว้นไว้แต่ถนนบุลวาร์ดแลอื่นๆ ที่มีร้านขายของขายอาหารแลสุรา ไม่ได้ลดหย่อนซาเสื่อมเลย ตกบ่ายคนยังเดินพลั่งไหล เปนน้ำไหลอยู่ทั้ง ๒ ฟาก มากกว่าเมื่อมาคราวก่อน รถก็เหมือนสวะลอยเต็มไปไม่ขาดสาย ช่างมีแต่ความสนุกสบายกันเสียจริงๆ ไม่เบื่อเลย ไม่เห็นมีใครทำอะไรในตอนบ่าย เที่ยวเล่นเท่านั้น ร้านรวงก็ดูเปิดอยู่เฉยๆ ไม่มีใครซื้อ ไม่มีใครอยู่ ถ้าจะมีที่คนนั่งก็นั่งน่าร้าน กินเข้ากินเหล้ากินน้ำส้มดื่มดูดกันไปเต็มๆ ทุกแห่ง การอยู่เช่นนี้น่าจะแสลงกับเมืองเราเปนอันมาก ถ้าหากว่าเมืองเราเปนเช่นนี้เห็นจะไม่มีใครทำงาน เพราะถึงเวลาเล่นก็เล่นทำงานก็ทำงานนั้น ออกจะไม่ใช่เปนวิไสยชาวเรา ถ้าได้เล่นก็จะเล่นเกินไปจนทิ้งงาน ไม่น่าจะนึกเอาอย่างเลย

ลืมเล่าถึงเรื่องเขามีที่ขายเพลงอ้อแอ้ฤๅหีบเสียงชอบกลดีอยู่แห่งหนึ่ง ทำเปนตู้ยาว ข้างบนมีเลข ๔ ช่อง แลมีช่องสำหรับหยอดอัฐ อัฐนั้นจำจะต้องไปซื้ออัฐไก่แจ้ของเขามาหยอดจึงจะได้ขนาด มีแคตลอกบอกชื่อเพลงแลเลขประจำเพลงนั้นวางไว้ที่ชานตู้ ถ้าผู้ใดอยากจะฟังเพลงใด ดูเลขที่หมายเพลง หันช่องเลขให้ตรงตามจำนวน แล้วเอาอัฐหยอดทางช่องสักครู่หนึ่ง เอาแป้นที่สำหรับฟังโทรศัพท์ขึ้นถือที่หูทั้งสองข้าง ก็ได้ยินเสียงเพลงที่ต้องการนั้น การที่ทำเช่นนี้เพื่อจะไม่ให้อื้ออึงมีเสียงประชันกัน ในห้องนั้นเงียบ ใครถือแป้นมาวางที่หูจึงจะได้ยิน คือเขาเอาเครื่องอ้อแอ้ไว้เสียในห้องใต้ดิน ล่ามสายโทรศัพท์ขึ้นมาที่ตู้ มีคนคอยอยู่ที่ล่าง เมื่อได้เห็นเลขเรียกเพลงอะไร ก็จัดเพลงนั้นมาหัน เขาช่างคิดดี โดยไม่ได้ขายแผ่นอ้อแอ้ ก็ได้ค่าเช่าฟัง เพลงละเปนนีหนึ่ง แต่ที่จริงก็ไม่สู้มีคนเข้าไปฟังมากมายเท่าใด คนที่เดินไปมา เห็นแต่ดูๆ กันเอง สนุกเพลิดเพลินกันไปแต่เท่านั้น มีคำเขาค่อนว่าผู้หญิงชอบแต่งตัวมาก เพราะเหตุว่าเชื่อแน่ว่าคงจะมีคนดูตั้งแต่หัวตลอดตีนอยู่เสมอ ไม่ว่าปะใครต่อใคร ถึงหน้าจะไม่สรวยรูปจะไม่งาม ที่ใครจะละเลยเสียไม่ดูนั้นไม่มี ถ้ามืองามฤๅตีนงามก็คงมีคนเห็น ที่จะนึกเสียว่าตัวไม่สรวยแล้วไม่ต้องแต่งนั้นไม่ควร คงจะมีใครมิใครเห็นอะไรของเรางามอย่างหนึ่ง เพราะเหตุฉนั้นผู้หญิงฝรั่งเศสจึงได้พยายามในการแต่งตัวมากนัก คำค่อนนี้จริงเท็จอยู่กับผู้กล่าว

คืนที่ ๑๘๓

วันพุฒที่ ๒๕ กันยายน

เมื่อคืนนี้นอนแต่หัวค่ำตื่นขึ้นแต่เช้าก็โหรงเหรง ไม่มีอะไรจะทำจะอ่านเขียนก็ไม่เปนแก่นสาร เพราะไม่มีความสบาย วันนี้ซํ้าได้รับเมล์อิก ทำตามบุญตามกรรมเรื่อยไปจนกระทั่งกินเข้ากลางวัน บ่ายทำต่อไปอิก ไม่อยากจะไปข้างไหน แต่เพราะเหตุที่เขาว่าอุดอยู่ในห้องแล้วมักจะเจ็บ ก็เลยขืนใจไปที่เอกสหิบิเชนหนังสือตั้งที่โรงกระจกในหว่างซาลองที่ไปดูรูปแต่ก่อน มีเครื่องพิมพ์หนังสือพิมพ์รูป เรียงพิมพ์ หล่อพิมพ์ แลสมุดหนังสือเขียนด้วยมือเก่า อะไรใหม่ๆ มันไม่เฉภาะแต่เรื่องหนังสือ กลายเปนตั้งร้านขายแว่นตา ขายปากไก่ เฟอร์นิเชอ พรม จนกระทั่งถึงคร่ำทองอย่างสเปน ที่สุดทีเดียวก็ร้านตุ๊กตาแลเครื่องครัว เปนใจความนั้น ใครอยากจะขายของอะไรให้รู้แพร่หลายก็ออกจะไปตั้งได้ทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครไปดู เวลาไปนั้นเย็นอยู่หน่อยหนึ่ง นอกจากคนขายของ ที่เปนคนไปดูเห็นจะไม่เกินสิบสี่สิบห้าคน เพราะเหตุที่ไปเดินเล่นจึงได้เดินเปื่อยไปจนรอบ กลับออกมาก็พอเขาปิด เลยมาโฮเตล

ค่ำไปดูลครคอมิกออปรา ตามที่ได้กะไว้แต่แรก เปนเรื่องที่เลื่องฦๅว่าดีนัก เรียกชื่อเรื่องว่ามาดามบัตเตอไฟลย์ ผู้ที่เปนมาดามบัตเตอไฟลย์นั้นคือมาดามคาเรที่เคยดูแล้วแต่ก่อน เสียงเพราะแลใช้บทดีมาก เรื่องที่เล่นนี้ ผูกเปนเรื่องยี่ปุ่น ฉากแลเครื่องแต่งตัว ผู้หญิง ยี่ปุ่นทั้งนั้น ท้องนิทานว่า มาดามบัตเตอไฟลย์เปนคนผู้หญิงยี่ปุ่นขับรำ นายทหารเรือผู้หนึ่งเปนเพื่อนกับกงสุลอเมริกัน ไปรักใคร่ผูกพันจนถึงได้แต่งงานตามประเพณียี่ปุ่น ด้วยผู้หญิงรักผู้ชายจึงละสาสนามาถือตามผัว พระยี่ปุ่นมาแช่งด่า แต่นายทหารนั้นกางกั้นไว้ ตกลงเปนได้อยู่เปนผัวเมียกันจนมีลูกชายคนหนึ่ง ตอนนี้เปนฉากแรก สวนยี่ปุ่นมีผู้หญิงออกมากิ๊วก๊าวในเวลาแต่งงาน ต่อนั้นไปฉากที่ ๒ นายทหารนั้นกลับไปด้วยเรือรบเสียสามปี มาดามบัตเตอไฟลย์อยู่ทางนี้ทุกข์ร้อนถึงผัว มีเจ้ายี่ปุ่นมาเกี้ยวพานขอให้อย่ากับผัวเสีย จะรับไปเปนเมียก็ไม่ยอม ภายหลังกงสุลอเมริกันไปบอกข่าวว่าได้รับหนังสือผัวจะมา มาดามบัตเตอไฟลย์ดีใจ เมื่อเอากล้องส่องเห็นเรือที่ผัวมา จึงช่วยกันกับสาวใช้จัดที่รับผัว เอาดอกบ๋วยมาเที่ยวเสียบตามขวดแลตามฝา โปรยตามพื้นแล้วแต่งตัวแลแต่งลูก จนเวลาค่ำบ่าวจุดตะเกียงมาตั้ง นางนั้นออกไปยืนอยู่ที่ฝาโรง เอานิ้วทลุกระดาษที่ขึงฝาเฟี้ยม มองคอยดู ทั้งบ่าวแลลูกด้วย เสียงร้องเพลงอยู่ข้างนอก ดูจนลูกก็นอนหลับ บ่าวก็นอนหลับ แต่ตัวมาดามบัตเตอไฟลย์ไม่ได้หยุดมองเลย ที่นี่ปิดม่านคนตบมือ ธรรมดาลครต้องออกมาคำนับ นี่ไม่ออกมาคำนับ ยืนดูขึงอยู่เช่นนั้น เพื่อจะให้เห็นว่าไม่เอื้อเฟื้อต่ออะไร ตั้งใจแต่จะมองคอยผัวเท่านั้น เปิดม่านถึง ๓ ครั้งก็ไม่เหลียว คราวนี้ต่อไปตอนที่ ๓ ฉากในเรือนอย่างเดียวกัน ใกล้จะรุ่งเสียงรฆังตี แลตะเกียงดับทีละดวง แสงสว่างค่อยๆ สว่างขึ้น นางบ่าวเข้าไปเตือนให้หยุดพักเสียก่อน นางนั้นจึงอุ้มลูกที่กำลังหลับเข้าไปในห้อง คราวนี้นายทหารเรือกับกงสุลอเมริกันมา เรียกนางบ่าวออกไป จะให้ส่งลูก นางบ่าวไม่ยอมร้องไห้กลิ้งเกลือกไปต่างๆ จนได้ยินถึงมาดามบัตเตอไฟลย์ ออกมาจากห้องเจ้านายทหารเรือนั้นหลบไป เหลือแต่กงสุลอเมริกันกับเมียฝรั่งของนายทหารเรือคนนั้นมาเดินอยู่ในสวน พอมาดามบัตเตอไฟลย์เห็นก็เข้าใจว่าคงเปนเมียใหม่ของผัว ด้วยความสำคัญคนละอย่าง ข้างฝ่ายมาดามบัตเตอไฟลย์เข้าใจว่าตัวเปนเมียที่ได้แต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย แต่ข้างฝ่ายผู้ชายถือว่าไม่เปนแต่งงาน เพราะไม่ได้แต่งถูกต้องตามกฎหมายของตัว นางผู้หญิงฝรั่งที่เปนเมียนั้นออกจะมายั่วๆ มาดามบัตเตอไฟลย์ฉุนบ้าง แค้นอัดๆ บ้าง เศร้าโศกบ้าง ทำดีเสียจริงๆ แล้วกงสุลอเมริกันแลผู้หญิงนั้นหลบไป ข้างมาดามบัตเตอไฟลย์ร้องไห้จนล้มลงนอนกลิ้ง ประเดี๋ยวคลั่งชกต่อยสาวใช้ของตัวเองแล้วจะฆ่าตัว นางสาวใช้เอาลูกออกมาคอยกั้นกาง สุดแต่จะทำร้ายตัวขึ้นเมื่อใด ก็เอาลูกส่งเข้าไป เลยกอดลูกร้องไห้ต่อไป ลงปลายพาลูกออกไปที่ประตูห้อง ส่งออกไปเสียที่สวน กลับเข้ามาฉวยมีดยี่ปุ่นสั้นซึ่งเปนของพ่อ ในมีดนั้นมีคำจาฤกไว้ว่าสู้เสียชีวิตรดีกว่าเสียชื่อ ฉวยมีดนั้นได้เข้าไปในซอกฉากเชือดฅอตาย พอเสียงมีดตกโป้ง ก็แว่วเสียงผัวมาทางประตูเรือน สู้คลานตะเกียกตะกายมา เลือดเปื้อนมีอแดงทั้งสองข้าง พอไปถึงประตูซึ่งได้ลั่นกลอนไว้ก่อนเวลาจะฆ่าตัว ก็ล้มลงขาดใจตาย ปิดม่านปุ๊บทันที เรื่องราวน่าสงสารมาก ใช้บทดีเหลือเกิน เสียงดีทั้งผู้หญิงผู้ชาย มันโคมอยู่นิดเดียวที่เขาไม่ได้เจรจาใช้ร้องทั้งสิ้น การที่จะร้องกระซิบกระซาบมันก็ไม่ได้ ต้องร้องกระซิบดังๆ เสียงกึกก้องไปทั้งนั้นแลแต่ต่างว่าไม่ได้ยิน พิณพาทย์มีเพลงแปลกๆ มาก เจือเพลงยี่ปุ่นไปทั้งนั้น เพราะดีนัก กลับมาเวลา ๒ ยามตรง

ความจริงไม่สู้สบาย ดูหายใจไม่ใคร่จะเรียบร้อย แลความรู้สึกเบื่อหน่ายจัดเต็มที รู้สึกตัวเองในเวลานี้เหมือนตาแก่ๆ ที่ไม่ทำอะไร นอนจนตัวเปนลายเสื่อคอยท่าวันตาย สนุกก็ไม่มีอะไรสนุก เห็นหมดแล้วไม่มีอะไรแปลกสักอย่างเดียว ห้างหอก็จนไม่มีอะไรจะซื้อ สิ่งไรที่ต้องการก็ซื้อหมดแล้วทั้งนั้น จะว่าสบายก็ไม่เห็นมีอะไรสบาย อาหารกินก็จนเบื่อ จะว่าด้วยทางราชการก็ไม่มีอะไรแล้ว เหลือแต่ยังจะพบกับเจ้าแผ่นดินอิตาลี อยู่เช่นนี้ไม่มีคุณทั้งตัวพ่อแลตัวใครเลยสักคนเดียว เบื่อจนขี้เกียจดูประดิทิน เพราะฉนั้นจะอยู่ไปในปารีสอิกก็เห็นว่าจะไม่มีคุณอะไร จึงได้ร่นวันเข้ามาเสียเปนพรุ่งนี้ออกจากปารีส แวะนอนลูเซินคืนหนึ่ง แล้วจึงจะไปโคโมตามกำหนดเดิม เพราะเหตุฉนั้นจึงขอจบรายวันอิกครั้งหนึ่ง บางทีหนังสือฉบับนี้จะยังไปถึงก่อนพ่อกลับเข้าไปถึงได้ ต่อไปอิกน่ากลัวจะส่งไม่ทัน ฤๅจะส่งได้อิกสักคราวหนึ่งก็จะได้ส่ง แล้วแต่จะพบเรืออะไรที่จะเข้าไปถึงก่อน

จุฬาลงกรณ์ ป.ร.



[๒๒๘] นายกาวิลวงศ์ ณเชียงใหม่ เดี๋ยวนี้รับราชการอยู่ในกรมรถไฟ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ