พอค่ำลงข้าพเจ้าก็รีบเดินไปบ้านค่อย ๆ ลัดขึ้นทางหลังสวนเดินไปตามทางสวนนั้น กลิ่นดอกพุทชาดดอกส้มและดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอื่นส่งกลิ่นตระหลบ ให้ข้าพเจ้ากำหนัดที่จะกอดแม่นีนนาที่รักเข้าในวงแขน ที่จะบีบมือกีโด แต่ส่วนแม่ดาราน้อยนั้นป่านฉนี้คงนอนหลับแล้ว ถึงกระนั้นจะต้องปลุกขึ้นให้ดูหน้าบิดา ถ้ามิได้จูบจอมถนอมเกล้าบุตรีแล้ว ความศุขต้องเรียกว่ายังไม่บริบูรณ์เต็มที่…...เอ๊ะ เอ๊ะ! นั่นเสียงอะไร ? ข้าพเจ้าหยุดยืนแข็งทันที ใบหูเล็กไปจะรับเสียงเข้าไม่พอต้องเอามือป้องช่วยอีก. ถ้าเสียงหัวร่อต่อกระซิกกระดิกกระดี้รี่ ไม่ใช่เสียงคนอื่นคนไกลที่ไหนเลย เสียงภรรยาข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจำกังวาลได้ดี๊ดี ก็ผู้ใดจะจำได้ดีไปกว่าข้าพเจ้าผู้เปนสามีไปอีกเล่า. กระไรเลยหล่อนช่างมีหน้าหัวเราะได้เมื่อรู้ว่าข้าพเจ้าถึงแก่กรรม - ถึงแก่กรรมที่จะกลับคืนมาอีกไม่ได้. ในทันใดเห็นเสื้อขาว ๆ รำไร ๆ ข้าพเจ้าจึงแอบเข้าแฝงตัวอยู่หลังพุ่มไม้ที่ข้างทาง ใกล้พอจะแลลอดออกมาเห็นได้ถนัด และคนข้างนอกเห็นข้าพเจ้าไม่ได้ ประเดี๋ยวได้ยินเสียงหัวเราะดังก้องอีก เสียงอันแหลมนั้นเสียวปลาบเข้าหัวใจราวกับต้องคมกริส! หล่อนไม่มีทุกข์…...หล่อนมีแต่ความศุข…...นึกว่าหล่อนจะปิดประตูอยู่แต่ในเรือนสวดมนต์อ้อนวอนส่งวิญญาณข้าพเจ้าให้ไปสู่ศุขปายภูมิ์ ไหนเล่าหล่อนกลับมาเที่ยวเดินเล่นชมแสงจันทร์อย่างสบายอกสบายใจเสียอีก! เออ...นี่แนะ สันชาติผู้ชายหลงรักผู้หญิงจนเปนฟูล! เอ๊ะ ว่าไม่ได้ บางทีหล่อนจะเปนบ้าก็จะเปนได้ โดยเหตุที่อยู่ด้วยกันหลัด ๆ ประเดี๋ยวสิได้ทราบข่าวว่าสามีถึงแก่กรรมเสียแล้ว ได้รับความทุกข์โดยมิทันเตรียมตัวไว้ ท่าพรรณนอาจทำให้เปนบ้าได้ดี อนิจจา อนิจจา ปุ้โธ่ อ้ายความกลุ้มมันขึ้นมากก็เดินเรื่อยไปอย่างนั้น. เมื่อนึกขึ้นมาเช่นนั้นก็ออกสมเพช เอามือแหวกใบไม้จะดูให้ถนัด เห็นคนสองคนเดินใกล้เข้ามา—ภรรยาข้าพเจ้ากับกีโดเฟอร์รารี หรือ…..ไม่เห็นเปนไร—เปนสิ่งที่ควรจำเปน…...กีโดก็สนิทเหมือนกับเปนน้อง…...เกือบเปนหน้าที่ของเขาที่จะปลอบโยนแม่นีนนา อย่าให้ทุกข์โศกหนักนักไป..แต่ประเดี๋ยว!…...ประเดี๋ยว…...ไนย์ตาข้าพเจ้าเปนอย่างไรไปดอกกระมัง—เปล่าไนย์ตาก็ดี ต้องเชื่อเอาเปนจริง ไนย์ตาเห็นหลอนเดินคลอไขว่แขนมากับกีโด. ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงกลั้นโทษะไว้ไม่ทลึ่งตึงตังออกไป. แต่ข้าพเจ้ากลั้นได้. ข้าพเจ้าเห็นเกียรติยศของข้าพเจ้าถูกผู้ที่ได้วางใจเหยียบขยี้ป่นปี้อยู่กับดิน แต่ก็อดทนได้ เขา—กีโด เฟอร์รารี กับภรรยาข้าพเจ้าเดินเข้ามาใกล้ที่ซ่อน ใกล้จนได้ยินคำพูดทุกคำเห็นกริยาทุกท่าถนัด. ทั้งสองมาหยุดอยู่ห่างประมาณสักสี่ศอก—แขนเจ้าผู้ชายกระหวัดรอบเอ็วนางผู้หญิง—แขนนางผู้หญิงไขว่รอบคอเจ้าผู้ชาย—ศีร์ษะซบสำออยอยู่บนบ่า อย่างเดียวกับที่หล่อนเคยเดินคลอกับข้าพเจ้าตั้งพันครั้ง นางผู้หญิงแต่งตัวขาวล้วน มีดอกกุหลาบแดงกลัดอยู่ที่ตรงทรวงอกด้วยปิ่นเพ็ชร์ ซึ่งฉายแสงแวบวาบในแสงจันทร์. ข้าพเจ้านึกบ้าขึ้นมาว่าควรจะมีโลหิตจริง ๆ แทนดอกกุหลาบ—และควรจะมีกริสเหล็กอันคมกล้าแทนปิ่นเพ็ชร์ แต่ข้าพเจ้าหาได้มีอาวุธติดตัวไปด้วยไม่—ยืนเปนใบ้ดูตาค้างอยู่นั่นเอง.

“เธอแหละอยู่ข้างจะบ้า ๆ” นีนนาพูดด้วยเสียงอันน่าจับใจ “ถ้าฟาบีโอไม่ชิงตายเสียก่อน ฉันอยากดูนักว่าจะทำอย่างไรกัน.”

กีโดหัวเราะ “ถึงไม่ตายก็จับอะไรไม่ได้ หล่อนหรือฉลาดกว่าสักร้อยเท่าพันเท่า อย่าว่าแต่ฟาบีโอเปนฟาบีโอเลย ต่อให้ฟาบีโอเปนเทวดา ฟาบีโอก็ไม่อาจจะล่วงรู้ ข้อที่ให้สนิทใหญ่ก็เพราะเขาอวดดี อวดดีว่าหล่อนจะไม่ปราดถนากับชายอื่น”

ภรรยาข้าพเจ้า—แม่เพ็ชร์หาตำหนิมิได้—แม่ยอดสัตรี - -ถอนใจใหญ่.

ผู้หญิงพูดอ่อย ๆ “ฉันดีใจมากที่เขาตายเสีย แต่เธอเอ๋ยเธอไม่ควรจะมาหาฉันบ่อยนัก อ้ายพวกบ่าว ๆ มันจะเอาไปพูดได้ และอีกอย่างหนึ่งฉันจะต้องทำไว้ทุกข์อย่างน้อยก็หกเดือน นอกนั้นก็ยังมีของที่จะคิดอีกมาก.” มือกีโดอีกมือหนึ่งลูบคลำสร้อยคอเพ็ชร์ที่นีนนาสรวม—แล้วก้มลงจูบตรงที่เรือนเพ็ชร์ห้อยกลาง. อีกซี อีกซี เชิญซีพ่อ เชิญไม่มีอะไรกีดขวาง เชิญซี ไม่มีใครห้ามใครหวง กอดจูบ สักเท่าไรก็เชิญ เปนของสาธารณะ…...กี่โหลก็ได้ไม่มีใครว่า. ข้าพเจ้านึกบ้ากลุ้มคนเดียว ความโกรธแล่นขึ้นสมอง ให้ปวดรวดร้าวราวกับใครเอาเพนินมารุมตีสักร้อยครั้ง.

กีโดตอบว่า “ไม่อย่างนั้นดอกจ้ะ แม่ชื่นใจ ฟาบีโออยู่หน้ะดีเสียกว่าอีก เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่เขาเปนโล่กั้นดีนัก—เขาไม่ระแวงสงไสยนั่นดีนัก. เพราะฉนั้นไม่มีใครที่จะกำบังความสนิทสนมในใจแห่งเราทั้งสองได้เหมือนฟาบีโอ อนิจจา อนิจจา ฟาบีโอ!”

กิ่งไม้ที่ข้างตัวข้าพเจ้าสั่นและลั่น และภรรยาข้าพเจ้า เมื่อได้ยินเสียงก็สดุ้งตกใจ เหลียวไปเหลียวมาหน้าตาตื่น. “จชุ!” พูดด้วยเสียงสั่นๆ “พึ่งฝังเมื่อวานนี้เอง—อ้ายเรื่องผีนี่ยากที่จะว่ามีหรือไม่มี แต่ผู้ใหญ่ ๆ เขาพูดกันมากว่าผีมี บางที่จะจริงของเขา…..และยิ่งทางนี้ด้วย—นึกได้แต่แรกล่ะไม่ยักปราดถนามา—ทางนี้ฟาบีโอชอบเดินนัก. อีกประการหนึ่ง” ที่ตรงนี้แม่นีนนาพูดยั้งแล้วถอนใจ ใหญ่ แล้วจึงต่อไปว่า “ถึงอย่างไร ๆ เขาก็ยังเปนพ่อของแม่ดารา—ขอให้เธอคิดดูเถอะ.”

“ฝ่าเทอนา!” หางเสียงกีโดบอกว่ามีดุหน่อย ๆ “ใช่จะไม่คิดเมื่อไรนี่? ง่า—เวลาที่มันจูบหล่อนที่ไรหล่ะนึกแช่งชักหักกระดูกให้มันตายโหงตายห่าทันที!”

ข้าพเจ้านั่งออกปลาดใจ นี่เปนกฎหมายพระราชบัญญัติบทใดเล่มใดออกใหม่คราวไหนหนอ ผัวสิเปนผู้ร้าย คือจะจบเมียตรงๆ ไม่ได้ต้องลักจูบขะโมยจูบ ส่วนชู้สิมีกรรมสิทธิ์ที่จะจูบกอดได้ตามสบายใจ! โอ, ท่านผู้เปนสหายที่รักอันสนิท! รักอันสนิทมากกว่าพี่กว่าน้อง! ควรหรือเจ้าจะมาเปนได้ถึงเพียงนี้. นี่หากว่าโผล่หน้าออกไปจากพุ่มไม้ใบหนาให้เจ้าดูสีหน้าว่าโกรธเท่าไรแล้ว เจ้าจะทำประการใด อ้ายอกตัญญู อ้ายไม่รู้คุณคนเหมือนนกกระจอก!

กีโดนิ่งลูบผมอันเลอียดอ่อน ซึ่งปลิวอยู่ตรงหน้าอกเขา สักครู่นิ่งแล้วพูดว่า “เหตุไรหล่อนถึงได้ยอมเปนภรรยาเขาเล่า ?”

นีนนาแห่งนหน้าขึ้นไป และยกไหล่! “ปู้โธ่ เธอช่างถามได้ ว่าเหตุไร ? เหตุเพราะเมื่อหน่ายที่จะอยู่ในวัดยายชีน่าซี ไม่มีสนุกสนานอย่างไรแท้ ๆ มีแต่เหงาหง็อยจ๋อยเจ๋า ถ้าเธอเปนผู้หญิงบ้างนั่นแหละจึงจะเห็นอก อีกประการหนึ่งท่านที่เสียท่านเปนคนมั่งคั่ง ฉันหรือจนกรอบแม้นเข้าเกรียบ. อย่าว่าแต่ฉันเลยถึงคนอื่นก็เถอะ มีใครบ้างที่อยากจน! ในที่สุดท่านรักฉันมาก”—ที่ตรงนี้ไนยตาเจ้าหล่อนวาวด้วยรู้สึกว่าตนเปนเบี้ยบน—“จริงนาเธอ- -ท่านรักฉันอย่างยิ่ง หรือจะว่าว่าจนเปนคนบ้าก็ว่าได้—และ”…...

“แล้วหล่อนก็รักมันด้วยซี” กีโดพูดสอดเข้าไป ด้วยวาจาอันหยาบคายถึงกับมึงมัน.

“อุ๊ย” นีนนาตอบทั้งกระทำกิริยาประกอบด้วย “ก็เปน—ในชั่วอาทิตย์สองอาทิตย์ต้น ๆ. รักอย่างที่ภรรยารักสามีโดยธรรมชาติของโลก! ก็คนเราแต่งงานนั้นเพื่ออะไรกันเธอก็ย่อมทราบอยู่ดีแล้ว ว่า เพื่อสำหรับความศุข—ทรัพย์—ยศศักดิ์ จริงไหมล่าเธอ นี่ ท่านก็ให้ฉันสมความปราดถนาทุกสิ่ง.”

“ฉันขอออกตัวเสียก่อนว่า เมื่อหล่อนมาอยู่กินกับฉันหล่อนจะไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้.” กีโดพูดด้วยความอิจฉา.

นีนนาหัวเราะ แล้วเอามืออันวาวด้วยแหวนเพ็ชร์ยกขึ้น. ปิดปากกีโด.

“ข้อนั้นไม่ต้องพูด! แต่—ฉันได้บอกเธอเมื่อไรว่าฉันจะแต่งงานกับเธอ ? ในส่วนหน้าที่ที่รักนั้นไม่รักใครเสมอเธอ…...แต่เรื่อง..... ฉันยังไม่รู้ได้! เวลานี้ฉันเปนไทยแก่ตัวเลือกทำอะไรได้ตามชอบใจ เมื่อมีโอกาศฉนี้จะต้องให้สนุกใจเสียให้เพียงพอก่อน และ”—

เฟอร์รารีไม่ปล่อยให้พูดจนตลอดประโยค เขาได้เอามือกระหวัดรอบตัวแม่นีนนามาประทับไว้ที่อกโดยแน่น. และว่าด้วยเสียงกระเส่า ๆ “นี่แน่แม่นีนนาจ๋า หล่อนอย่ามาซ้อนกลฉันเลย ผ่าเทอนาไม่ยอมแท้ๆ เปนไรเปนไปเถอะ ไม่ยอมแท้เทียว อย่าแม่ชื่นใจ อย่า อย่า! ฉันหรือสู้อดทนพยายามมานานเนแล้ว ดูหรือตั้งแต่ได้เห็นวันแรกคือวันที่หล่อนแต่งงานกับอ้ายฟาบีโอบ้า ฉันก็ให้นึกรักหล่อนนี่กระไร รักจนถึงคลั่งไคล้. ฉันรู้ชัดเทียวว่าหล่อนเปนผู้หญิงไม่ใช่เทพธิดา เพราะฉนั้นจึงได้คอยโอกาศของฉัน โอกาศก็มีมาจริงเหมือนหวัง—ฉันได้พรรณาความรักในอกของฉัน ออกให้หล่อนฟังเมื่อหล่อนแต่งงานยังได้ไม่ถึงสามเดือนดี. หล่อนก็เต็มใจ—ยินยอม—พร้อม คอยฟังน้ำเสียงฉัน จริงหรือไม่ในข้อนี้. หล่อนเปนคนนำก่อน หล่อนยั่วยวนใจให้กำหนัดด้วยไนยตา ด้วยถ้อยคำ จนถึงด้วยสัมผัส หล่อนได้ยินยอมทุกสิ่งทุกประการ และเหตุใดจึงจะมาปัดในเวลานี้เล่า ? เกือบจะว่าได้ว่าหล่อนเปนภรรยาฉันเท่ากับเปนภรรยาฟาบีโอ อ้าไหนล่ามากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าหล่อนรักฉัน….ถึงยังไงไม่รู้หล่อนว่าหล่อนรัก หล่อนปดผัวหล่อนได้ แต่หล่อนไม่กล้าปดฉัน จริงหรือไม่ ? ฉันไม่สงสารฟาบีโอเลยแต่สักนิด ค่าที่มันเซอะระยำหมา ธรรมดาเปนผัวคนจะต้องไม่เผลอ ระวังระไวคมเชิงอยู่เสมอ มันอยากไม่เคลือบแคลงสงไสยระไวระวัง จะมาโทษใครนอกจากตัวของตัวเอง เมื่อตัวปล่อยให้เขาเตะเกียรติยศของตัวเล่นเปนตะกร้อ. แน่! แม่นีนนา แม่ยอดที่รัก หล่อนต้องยอมเปนสิทธิ์แก่ฉัน ให้ต่อหน้าพระเถอะ หล่อนเปนไม่พ้นมือ ?”

คำพูดของกีโดนั้นหลุดออกจากปากเร็วปรื่อ และขาดเปนตอนๆ ทำเอาข้าพเจ้าอดนึกยิ้มเยาะในใจไม่ได้. ส่วนผู้หญิงนั้นดิ้นขลุกขลักเปนเชิงโกรธหน่อย ๆ

“ปล่อย” นีนนาพูด “หยาบคายอะไรอย่างนี้นี่ ปล่อยนา ไม่ปล่อยได้เคืองกันด้วย ?”

กีโดคลายวงแขนทันที. ความที่กอดเอาแรง ๆ ฉนั้นไหนเลยดอกกุหลาบที่เหน็บอยู่ที่ทรวงอกจะทนทานไหว กลีบค่อย ๆ ปลิวร่อนลงไปตกเกลือนอยู่ที่ริมเท้าหล่อน. ไนยตาเขม็งแหละคิ้วขมวดบอกยี่ห้อว่าหล่อนโกรธ หันหน้าไปเสียคนละทางยืนนิ่งมิได้พูดว่าขานอะไรอีก โดยอาการอย่างนี้ทำให้กีโดรู้สึกตัวจึงได้กระโดดเข้าไปจับมือขึ้นจูบหลายครั้ง.

แล้วว่า “ขอโทษทีเถอะ แม่นีนนาจ๋า! ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำล่วงเกินถึงเพียงนั้นเลย แต่ความสวยของหล่อนเปนโทษผิดของผู้สร้างที่สร้างหล่อนมาให้สวยถึงเพียงนี้ และความสวยของหล่อนนั่นแหละ ทำให้ฉันเปนบ้าพลุ่มพล่ามไป หัวใจของฉันก็คือตัวหล่อน ดวงใจของฉันก็คือตัวหล่อน ร่างกายของฉันหรือก็คือทาษของหล่อน โอ แม่นีนนาชื่นใจจ๋า ไม่ควรที่เราจะมาเปนปากเปนเสียงกันถึงเรื่องอันใช่เหตุอันควร แน่หล่อน ขอให้คิด เราเปนไทย ไม่มีบ่วงคล้องคอทั้งสองคน เราเปนอิศรภาพแก่ตัวเรา พอจะหาความศุขอย่างเอกอุในชั่วชีวิตได้—ความศุขอย่างที่ชาวเมืองฟ้าที่สุดจนพระอินทร์จะไม่มีมากกว่าได้! สิ่งความศุขที่เราจะพึงได้รับก็คือข้อที่ฟาบีโอตายไปเดี๋ยวนี้เราก็เรานั่นแหละ ถึงกระไร ๆ ก็แม่นีนนาจ๋า แม่จงเอ็นดูฉันบ้าง เสียแรงสู้พยายาม จงอย่าเสียซึ่งไมตรีที่เราได้ผูกพันธ์กันไว้—ของทั้งหมดในโลก เปนแน่ทีเดียวว่าอะไรจะไม่ประเสริษฐ์กว่าความรัก!”

หล่อนยิ้ม ยิ้มแปลว่ายกโทษ. ยอมอ่อนตัวเข้ามาในวงแขนโดยสุภาพ ทำตาชม้อยและยื่นแก้มเข้าไปใกล้ ซึ่งผู้ชายทุกคนไม่มีใครที่จะไม่เข้าใจ - ข้าพเจ้ามองตลึงอยู่อย่างเดียวกับคนเมื่อฝัน! ข้าพเจ้า เห็นเขาเคลียคลออยู่ด้วยกัน....จูบกันกี่ฟอด ก็แปลว่าเอากริสมาแทงหัวใจให้เจ็บปวดรวดเร้าเท่านั้นครั้ง เปนใจใครบ้างใครจะอดได้ ใจข้าพเจ้าอดได้ ไม่ใช่อดไม่โกรธ อดแต่ไม่โครมครามมุทลุออกไป.

“เธอน่าเต็มทีเสียแล้ว” นีนนาจีบปากพูด “ช่างหึง ช่างหวงเสียจริงเจียว ฉันได้บอกกับเธอกี่ครั้งกี่หนแล้วว่า ฉันรักเธอ รักเธอ! เธอจำอีคืนวันที่ฟาบีโอนั่งอ่านหนังสือ ปลาโต้ อยู่ที่เฉลียงได้ไหม ? นึก ๆ ก็ออกสงสาร!”—ที่ตรงนี้หล่อนหัวเราะ—“และเราอยู่ด้วยกันในห้องรับแขกซ้อมเพลงอยู่สองต่อสอง ในเวลานั้นแหละ ฉันได้บอกกับเธอว่าฉันรักเธออย่างที่สุดที่แล้ว หาตัวเปรียบเปนไม่มีเสียอีก เธอจำได้หรือไม่? เธอก็รู้อยู่เต็มใจว่าฉันรักเธอ? ควรที่เธอจะมีความพอใจอยู่แล้ว!”

กีโดยิ้มแล้วเอามือเชยคางเปนทีสัพยอก “ฉันบอกกับหล่อนเมื่อไรว่าฉันไม่พอใจ ที่หึงนั้นก็เพราะรัก เพราะความรักจึงทำให้หึง มีโคลงอยู่บทหนึ่งกล่าวถึง หึง ๆ รัก ๆ รัก ๆ หึง ๆ จะตอนมาพูด ให้ฟังก็นึกไม่ออกเสียแล้ว. ฟาบีโอไม่รู้จักหึง เพราะฉนั้น ฟาบีโอไม่รู้จักรัก ขอให้เชื่อเถอะมันจริงอย่างนี้ เขาคิดแต่ส่วนตัวเขามากกว่าที่จะคิดถึงหล่อน คนที่หลงหนังสือนักมักไม่ใคร่หลงผู้หญิง มีตัวอย่างถมไป ตรองอยู่อย่างเดียว จะให้คนทั้งหลายลงชื่อของตัวในบาญชีนักปราชญ์ฝ่ายเดียว. ส่วนข้างฉันฉันหึงชั้นดินที่หล่อนเหยียบ หึงชั้นลมที่มาพัดสัมผัสตัวหล่อน เมื่อฟาบีโอยังมีชีวิตอยู่ฉันก็หึง—และ—ให้ตายไปเถอะนา!”-ชักหน้านิ่ว ขมวดหัวคิ้ว—“ถ้าชายใดมาชิงเอาความรักของหล่อนไปได้ คอยดูน้ะ ฉันจะไม่อยู่เปนศุขได้ จนเอากายชายผู้นั้นเปนฝักดาบได้สมปราดถนา.”

แม่นีนนาผงกศีร์ษะขึ้นจากทรวงอกที่ได้ซบอยู่ และว่า “เอาอีกแล้ว! ตั้งพิธีโกรธอีกแล้ว!”

กีโดก้มลงจูบและว่า “เปล่าจ้ะ เปล่า เปล่า! ถ้าหล่อนยังรักฉัน และเฉภาะฉันอยู่ตราบใด ฉันจะไม่ทำสิ่งซึ่งเปนที่ขัดใจหล่อน. กลับเข้าไปข้างในเถิดหรือจ๊ะ น้ำค้างตกมากแล้ว ประเดี๋ยวหล่อนจะเปนหวัดไป.”

ภรรยาข้าพเจ้า—อ๊าไม่ใช่ ต้องเรียกที่ถูกว่าภรรยาของเรา เพราะว่าเรามีกรรมสิทธิ์ในตัวหล่อนคล้ายกัน—เห็นชอบด้วย. ออกเดินสอดแขนกันอย่างเดียวกับเมื่อมา ย้อนทางกลับไปเรือน

ข้าพเจ้าตั้งตามองดูทั้งสองคนค่อย ๆ เดินไปจนหายลับตาไปพ้นแล้ว—ในคืนนั้นคงไม่กลับมาอีกเปนแน่.....

จึงลุกเดินออกจากที่กำบังกาย ออกไปยืนอยู่กลางหาวตรงที่เขายืนกันอยู่เมื่อสักครู่ก่อนนั้น. ได้พยายามแล้วพยายามอีกที่ระลึกถึงการเปนจริงซึ่งได้ปรากฏแก่จักษุในเวลาไม่สู้ช้านี่เลย แต่ความมันต่อกันไม่เปนหัวเปนท้ายเปนปลายเปนต้น สมองปั่นเสียแล้ว…...เวียนศีร์ษะหน้ามืด.....ดูดวงจันทร์แดงเปนสีโลหิต. แผ่นดินซึ่งเหยียบอยู่นั้นดูเปนชิงช้าแกว่งไปไกวมาโยกเยก ๆ ต้องระวังทรงไว้เหลือขนาด—จนข้าพเจ้าออกสงไสยตัวของตัวเองว่าตัวมีชีวิตอยู่จริง หรือข้าพเจ้าเปนปีศาจหนีออกจากห้องซุ้ย เพื่อจะดูสิ่งซึ่งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่เคยเปนของตัว ครั้นถึงแก่กรรมแล้วสิของเหล่านั้นก็เปลี่ยนมือเจ้าของไป. สิ่งใดในโลกล้วนอนิจจัง ไม่รู้จักขึ้นยังว่าเปนของคนโน้นคนนี้ นึก ๆ ก็ปลาด นึก ๆ ก็ไม่ปลาด ดูดูมันก็เหมือนกับลูกปี๊บลอยเรื่อยเฉื่อยไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน. ดวงดาวที่แวบวับอยู่ในอากาศนั้นมีประโยชน์อะไร—ต้นไม้ที่มีใบเขียวเหลืองงดงามมีประโยชน์อะไร—ของที่อยู่รอบข้างที่เรียกว่าธรรมชาติที่สุดจนตัวที่เรียกว่าพระเจ้าเองนั้นมีประโยชน์อะไร ก็เปล่าทั้งสิ้น นับประสาอะไรจะแผลงอิทธิฤทธิอย่างที่เหลือวิไสย แต่เพียงรักษาใจของผู้หญิงคนเดียวให้ตรงต่อสามียังรักษาไม่ได้เสียแล้ว! ผู้หญิงคือคนที่ข้าพเจ้ารักดังหัวใจ.....มีทรวดทรงอันอ้อนแอ้น. มีหน้าดังนางฟ้า. หญิงคนนั้นคือภรรยาข้าพเจ้า มารดาของบุตรข้าพเจ้า—เขาเอาโสโครกโชลมกายโดยเห็นว่าสวยว่างามตามความเอกะระและความประสงค์—เห็นผิดเปนชอบ ชั่วเปนดี—เอาความอับอายขายหน้าขึ้นประดับไว้บนศีร์ษะอย่างมงกุฎ โดยความเข้าใจว่าเปนดีกว่าเกียรติยศหรือคุณการดี

เมื่อเปนฉนี้จะควรกระทำอย่างไร ? ข้าพเจ้าทรมานตัวของตัวเองให้มากขึ้นด้วยคำถามอันนี้. ยืนนิ่งมองดูดิน—เทวทูตภูตพรายผีร้ายปีศาจดุจนถึงตาเทวทัต ใครจะช่วยตอบปัณหาข้อนี้ได้บ้าง, ควรจะทำอย่างไรแก่นางผู้หญิง แก่เจ้าผู้ชายเจ้าเพื่อนขบถ ? ในทันใดนั้น ตาส่ายไปเห็นกลีบกุหลาบ—กลีบที่ร่วงลงเมื่อกีโดกอดนีนนาเข้าประทับกับอก.

ข้าพเจ้าก้มลงเก็บกลีบกุหลาบขึ้นมาวางลงบนใจมือ แล้วพิจารณาดูอยู่นาน. กลิ่นหอมจับจมูก.....ขยับจะยกขึ้นดม.....ไม่ได้การ ไม่ได้การ! ดมอย่างไรได้ มันเหน็บอยู่ที่ทรวงอกนางกาลกีนีเมื่อตะกี้นี้เอง! เออเฮอ นางกาลกีนี นางคนที่น่ารักน่ากอดแต่น่าแช่งชักหักกระดูกด้วย! “ไปฆ่ามันเสีย” เอ๊ะ! คำนี้ได้ยินมาจากไหนหนอ ? คิดไปคิดมา อ๋อจำได้แล้ว....และข้าพเจ้าคิดว่าอีตาเถ้าสถุลขายขี้ริ้วขี้ฉีก ยังเปนผู้ชายมากกว่าตัวข้าพเจ้าอีก. แกแก้แค้นได้ทันที; นี่ข้าพเจ้าเปนอ้ายบ้าอะไรมิรู้ปล่อยให้หลุดมือไปได้. ไม่เปนไร มีวิธีที่จะพยาบาทหลายอย่างต่าง ๆ กัน ต้องคิดหาอย่างที่ดี ที่เยี่ยม ต้องคิดหาอุบายแก้แค้นทรมานมันเสียให้แสนสาจึงจะสมกับคนใจร้าย—จำเปนหรือว่าคนในตระกูลโรมานีจะให้คนทั้งหลายตราชื่อได้ว่า เปนผู้ร้ายฆ่าคน ? ไม่เห็นจำเปน มีทางหลายทางที่จะไปร่วมทางกันได้ แม่น้ำหลายสายไหลลงมหาสมุท ถ้าจะเปลืองสมองคิดมากสักหน่อยคงสำเร็จ ชำเลืองดูเครื่องแต่งตัวที่แต่งอยู่—เจ้าของเดิมฆ่าตัวตาย. “มันเปนบ้า” ตาคนที่ขายบอก “มันฆ่าตัวของมันตายเอง.”

โอ ข้อนั้นไม่ต้องสงไสย…...เขาเปนบ้า ไม่ควรจะเอาอย่างคนบ้า จะต้องคิดทำอะไรเสียก่อน—แต่สิ่งนั้นคืออะไรยังมองไม่เห็น ถ้าตรองเห็นแล้วจะต้องทำ ต้องทำให้ได้ ตรองเห็นเมื่อไรต้องทำเมื่อนั้น กลิ่นของกลีบกุหลาบที่ยังอยู่ในมือนั้นทำให้รู้สึกไม่สบาย แต่ถึงกระนั้นก็หาเหวี่ยงทิ้งเสียไม่ เปนไม่ทิ้งเสียเปนอันขาด จะต้องเก็บไว้เปนเครื่องเตือนใจในเรื่องกอด ๆ จูบๆ ที่ได้เห็นประจักษ์แก่ตา ควักเอาถุงเงินออกมาเปิด แล้วค่อย ๆ สอดกลีบกุหลาบเหี่ยวเข้าไปไว้ และรลึกขึ้นได้ถึงถุงอีกสองถุง ถุงทองกับถุงพลอย ซึ่งได้ตั้งใจไว้ว่าสำหรับ.….หล่อน. การที่ไปถูกขังอยู่ในห้องซุ้ยกลับหวนขึ้นอีก เมื่อ ก่อนนี้พยายามดิ้นรนจะให้คงชีวิตให้รอดเปนไทย ชีวิตกับความเปนไทย! จะมีประโยชน์อะไรเดี๋ยวนี้ เว้นแต่ข้อเดียว คือข้อพยาบาท. สมบัติพัสถานบ้านเรือนเปนของภรรยาข้าพเจ้าสิ้นแล้ว แต่โดยที่จริง ยังเปนของข้าพเจ้าแท้ จะไปเสียดายอะไรกับของเหล่านั้น สมบัติโจรที่พบในห้องซุ้ยนั้น พอจะทำให้คนเกินเปนเสรษฐีเสียอีก. ข้อเงินทุกวันนี้เขานับถืออะไรกันเล่าก็นับถือเงินเท่านั้นเอง มีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง—ที่สุดจนความพยาบาท. แต่ความพยาบาทอย่างไหน ? แต่อย่างที่ข้าพเจ้าต้องการเปนอย่างที่หนึ่งหาสองไม่ได้ อย่างเรียบร้อย อย่างสนิท อย่างที่สำเร็จบริบูรณ์. ความพยาบาทของตระกูลโรมานีต้องค่อยเปนค่อยไป ไม่รีบไม่ร้อน ไม่ร้ายแรงบุ่มบ่าม ความรักแห่งภรรยานั้นไปจากหัวใจข้าพเจ้า—รู้สึกว่าเด็ดออกจากหัวใจ เสมอกับดึงหนามออกจากเนื้อ—โยนไปพ้นตัวด้วยขยะแขยง เสมอโยนอ้ายตัวแมลงอะไรไปจากต้นคอเมื่อวันหลับในห้องซุ้ย ส่วนพันธมิตรในส่วนกีโดนั้นสูญหายไปทันที—มีสิ่งอื่นขึ้นมาแทนสิ่งใหม่นั้นไม่ใช่ความเกลียดความชัง แต่เปนความปราศจากกรุณา แต่นั่งคิดเรื่องนี้อยู่คนเดียวนานกว่าชั่วทุ่ม ลงปลายตัดสินในใจตกลงแน่ว่าจะต้องแก้แค้น จึงหยิบเอาไม้กางเขนของบาดหลวงที่ยังห้อยคออยู่ขึ้นจูบ และชูเหนือศีร์ษะกระทำสาบาลตัวต่อหน้าเครื่องหมายอันสักสิทธิ์ของสาสนาว่าจะไม่นิ่งนอนใจ หรือลดหย่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง จนกว่าจะแก้แค้นได้สมประสงค์, ดวงดาวในสวรรค์เพ่งเล็งตัวข้าพเจ้า ดูเหมือนเปนตาของเทพยดามองดูเปนทิพย์พยาน นกไนติงเกลส์สำเนียงจ้าอยู่เมื่อสักครู่นี้หยุดเงียบ ประหนึ่งจะฟังคำที่ข้าพเจ้าสาบาล ครั้นแล้วก็เดินลัดแลงออกจากสวนดอกไม้เข้าถนนหลวงข้างนอก พอเดินไปได้หน่อยได้ยินเสียงประตูใหญ่ทางหน้าบ้านเปิดแลเห็นกีโดเดินออกมาจากประตูตามมาทางเดียวกัน ข้าพเจ้าทำเดินช้าลงมาหน่อยเพื่อจะให้กีโดเดินขึ้นมาให้ทัน ครั้นทันแล้วเห็นเดินทอดน่อง พ่นควันบุหรีปุ๋ย ๆ ตามเคย และในมือมีช่อดอกไม้ช่อหนึ่ง คราวนี้ซึมดีทีเดียว ว่าใครให้! เขามองข้าพเจ้าแต่ไม่ได้คิดว่ากระไรนอกจากว่าเปนชาวหาปลาเท่านั้น. ความบ้ากลับเกิดขึ้นในใจอีก—จะเผ่นเข้าจับคอ—จะกระหวัดวัดให้ลงไปนอนอยู่กลางฝุ่นที่เท้า—จะเอาเท้า - มาบอก แล้วถ่มน้ำลายลงไปรดให้สาแก่ใจที่คิดคดทรยศ—แต่มานึกสกดใจไว้ได้. มีวิธีที่จะแก้เผ็ดดีกว่านี้ การที่จะมาต่อย ๆ กันตัวต่อตัวนั้น ไม่ใช่อย่างที่ผู้ดีหรือผู้มีสติปัญญาจะรบสู้กันเลย ความพยาบาทจะต้องปล่อยให้มันสุกจนหล่นเองจึงจะใช้ได้ ฉันใดก็ดี เหมือนผลไม้ถ้าไปชิงเด็ดเสียแต่ยังดิบ ก็ย่อมมีรสอันเปรี้ยวฝาก ต่อสุกงอมแล้วจึงจะหวาน. คิดดังนั้นแล้วก็รีบเดินผ่านหน้าท่านผู้เคยเปนเพื่อนรักข้าพเจ้าแต่ก่อน—ท่านผู้เปนผู้ประคับประคองภรรยาข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ขึ้นไป—ปล่อยให้เขาเดินฝัน ฝันถึงความรักอันไม่บริสุทธิ์. ฝันถึงทางที่จะไปสู่ต้นงิ้ว. คืนวันนั้นข้าพเจ้าไปเช่าห้องนอนในเมืองเนเปิลซ์.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ