๑๙

รุ่งขึ้นจะเปนวันตรุสฝรั่ง! วันนั้นเปนวันหนาวแปลกกว่าธรรมดา ฝนประเดี๋ยวตก ๆ จนเวลาบ่ายประมาณห้าโมง ท้องฟ้าจึงแจ่มแจ้ง ปราศจากเมฆหมอกซึ่งเปนเครื่องหมายแห่งฝน, น้ำในทะเลแลดูราบรื่น ราวกับปูด้วยผ้าอย่างดี. ตามร้านข้างๆ ทางล้วนประดับประดาด้วยใบไม้และธงเทียว และมีกระเช้าดอกไม้และผลไม้ตั้งแต่งอย่างประณีตไว้ขาย ร้านเครื่องเล่นต่าง ๆ ก็มีตุ๊กตาตั้งแต่ราคาอย่างต่ำที่สุด เปรียบความว่าอัฐหนึ่งจนถึงตัวละห้าชั่งสิบชั่ง ซึ่งเจ้าของร้านได้ตระเตรียมสรรหามาสำหรับจำหน่ายขายเปนของแจกในวันตรุสฝรั่งนั้น. ตามหน้าต่างมีรูปพระเยซูเจ้ากำลังตรึงอยู่กับไม้ กางเขนบ้าง กำลังเขาจะเอาพระองค์ขึ้นตรึงบ้าง ให้เปนเครื่องเตือนใจของมหาชนที่ผ่านไปให้ระลึกถึงพระเจ้า จะได้วิ่งไปคุกเข่าลงอ้อนวอนตามโรงสวดที่อยู่ตามเหล่านี้ เพื่อจะมิให้พระองค์ลืมเขาทั้งหลาย และให้มีความกรุณายิ่งๆ ขึ้นไป.

คนที่เขาเคยไปเมืองอังกลิษมาบอกว่า ในเมืององกลิษราวเทศกาลตรุสฝรั่งแล้ว สิ่งที่น่าพึงดูพึงชมมากก็คือร้านฆ่าสัตว์ขาย อันเต็มไปด้วยทรากศพของไก่ทุกชนิด แขวนห้อยเอาศีร์ษะลง. ในปากไก่นั้น ๆ มีพวงดอกเหงือกปลาหมอบ้าง มีใบเหงือกปลาหมอบ้าง ประดับประดาอย่างหรูหราตามความนิยมของเขา ถัดแถวชั้นไก่ลงมาก็ถึงแกะซึ่งชำแหละแล้วแขวนผึ่งลมไว้ และยังมีโคชำแหละผึ่งไว้ อย่างแกะอีกหลายตัว กระทำให้ผู้เดินผ่านไปทางหน้าร้านนึกอยากลิ้มรศ (ถ้าเปนไทยก็ต้องพาลเคี้ยวหมาก) การแต่งเช่นนั้นไม่เห็นเกียรติยศสง่าผ่าเผยอะไรในวันสมภพของพระเยซูคริสต์เลย เพราะพระเยซูเกิดในตอนข้างบรูพประเทศ และธรรมชาติของชาวบรูพประเทศเปนคนกินน้อย และไม่ใคร่จะเอื้อเฟื้อแก่เนื้อสัตว์นัก และที่พวกอังกลิษทำฉนั้นเปนนับว่าผิดธรรมชาติอยู่ เหตุไรจึงจำเปนต้องกินเนื้อโค, ไก่งวง กินปลัมปุ๊ดดิ้ง เช่นนั้นพระเยซบัญญัติให้กินในวันตรุสฝรั่งหรือ ? ก็เปล่าทั้งสิ้น.

เวลาย่ำค่ำข้าพเจ้าได้ส่งรถให้ไปคอยรับเฟอร์รารีที่สเตชั่นรถไฟตามที่ได้ตกลงไว้นั้น; แล้วข้าพเจ้าก็ไปตรวจดูการแต่งห้องและโต๊ะซึ่งได้สั่งให้นายโฮเต็ลจัดสำหรับวันสำคัญวันนั้น. ตามฝาผนังห้องรับประทานอาหารแขวนกระจกเงานานใหญ่หลายบาน และบนซุ้มกระจกนั้นมีผ้ากำมหยี่สีบานเย็นกับแพรสีทองห้อยพาดพันเก๋อยู่ ถัดห้องรับประทานออกไปเปนเรือนต้นไม้ ซึ่งจัดประดับเปนชั้นเปนกระเปาะด้วยต้นไม้อันส่งกลิ่นหอม และเฟินอย่างที่หายากยิ่งในเรือนต้นไม้นี้เปนที่สำหรับพวกดนตรีเครื่องสายจะได้มาดีดสีบันเลงในขณะที่พวกเราเสพอาหารกัน.

ที่นั่งที่โต๊ะนั้นเตรียมสำรับสิบห้าคน เครื่องพาชนะที่ใช้นั้นล้วนแต่เครื่องเงิน และแก้วเจียรไนเมืองเว็นนิช ดอกไม้ปักกลางโต๊ะก็ล้วนแต่สิ่งที่หายาก ที่พื้นนั้นลาดด้วยพรมอย่างดีซึ่งในขณะที่ย่างเข้าไปบนพรมนั้นนุ่ม เสมอกับเดินบนพระที่นั่งของพระมหากระษัตริย์ในวันที่มีพิธีใหญ่.

ข้าพเจ้ามีความพอใจด้วยการตบแต่งสถานที่คราวนี้ แต่ข้าพเจ้าซึมอยู่ดีว่า วิธีที่ชมคนใช้ซึ่งเราเสียเงินให้ทำแล้วว่า ดีอย่างนั้นอย่างนี้จนเกินไปเปนอย่างโง่มาก เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงแสดงความพอใจให้นายโฮเต็ลทราบด้วยกิริยาพยักหน้าและยิ้มเท่านั้น และส่วนนายโฮเต็ลผู้คอยจับกิริยาข้าพเจ้าอยู่ทุกลมหายใจ เข้าใจในกิริยาที่แสดงนั้น และปลื้มใจราวกับว่าได้รับจากพระยามหากระษัตริย์องค์หนึ่ง. ครั้นตรวจห้องหับและการแต่งทั่วแล้วข้าพเจ้าก็กลับมาห้อง เพื่อแต่งตัวไว้ให้เสร็จคอยรับแขกที่จะมาในค่ำวันนั้น พอแต่งตัวเสร็จออกจากห้องนอนเข้าไปนั่งในห้องรับแขกก็พอประตูเผย และได้ยินคำนำว่า “ชินยอเฟอร์รารี” เขาเดินยิ้มแป้นเข้ามาในห้อง—หน้าตาเบิกบานด้วยความศุขใจ—ดูสระสรวยขึ้นกว่าแต่ก่อน.

“เอคโคมิ ควา” เขาร้องทัก และตรงเข้าจับมือข้าพเจ้าบีบด้วยความเต็มใจ “แม้ท่านคอนเต้ มีความยินดีแท้ที่ได้กลับมาเห็นท่าน ท่านเปนเพื่อนดีมาก ท่านเปนผู้อันน่าชมมากอย่างเทวดาในเรื่องอาหรับราตรี ซึ่งมีธุระกังวลอย่างเดียวแต่จะให้ผู้อื่นมีศุข เปนยังไง ไม่เจ็บไม่ไข้ดอกหรือ? ดูผิวเลือดผิวฝาดดีอยู่ !”

ข้าพเจ้าก็พึมพำคาถาตอบให้ชอบใจเขาตามเคย.

“อ้ายกระเป๋านี่เปลี่ยนมนุษย์ให้เปนคนละคนได้เที่ยวนา” เขาพูด “ยามหนักขึ้น ทำให้ใจคอดี มีสิ่งที่เขาเรียกว่าศุข. อ้าวแต่งตัวกินเข้าแล้วไม่ทันไรเลย ฉันยังแต่งออกปอนอย่างนี้ ก็สั่งให้ตรงมาทีเดียวก็ตรงมา เสื้อผ้าก็เตรียมเอามาด้วยเหมือนกัน แต่งประเดี๋ยวก็แล้ว ไม่ให้เกินสิบนาฑีด้วย หรือไม่เชื่อมาพนันกันก็เอา”

“ดื่มเหล้าเสียหน่อยก่อน” ข้าพเจ้าพูด แล้วรินเหล้ามอนติปูลเชียโนซึ่งเปนของโปรดของกีโดส่งให้ “รีบดื่มไปไหนเวลาถมไป นี่ยังไม่ได้ทุ่มหนึ่งเลย เรากินกันถึงสองทุ่ม” เขารับถ้วยไปจากมือแล้วยิ้ม ข้าพเจ้ายิ้มตอบ พูดต่อ “ฉันมีความยินดีมากที่ได้เกียรติยศรับรองท่าน เฟอร์รารี! ฉันตั้งตาคอย ๆ เกือบเท่ากับ…..”

“หล่อนตั้งตาคอย ?” เฟอร์รารีพูดต่อ “อยากเห็นหน้าแม่ชื่นใจนี่กระไร สบถให้ได้ ให้ตายไปเถอะเอ้า ถ้าฉันทำตามใจแล้วป่านนี้วิ่งแร่ไปอยู่ที่บ้านวิลลาโรมานีแล้ว—แต่ได้สัญญากับท่านเสียแล้วว่าจะมานี่ ต้องมา ถึงจะเย็นค่ำไปสักหน่อยก็ไม่สู้กระไรนัก เปนลูกผู้ชายต้องสกดใจไว้ได้”—กีโดหัวเราะใหญ่เมื่อนึกขันในใจ—“ยิ่งค่ำยิ่งดี!”

มือข้าพเจ้ากำ กำขึ้นเองเกือบว่าได้โดยไม่ได้ตั้งใจจะกำ แต่เสทำพูดดีต่อว่า.

“แน่ลาซี, ยิ่งค่ำยิ่งดี ท่านนักปราชญ์ไบรอนได้กล่าวไว้ไม่ใช่หรือ ‘ว่าผู้หญิงทั้งหลายเปนประดุจดวงดาว ชมในเวลากลางคืนดีกว่าเวลาอื่น ๆ. ท่านจะเห็นหล่อนเปนอย่างตามเคย หน้าตาชื่นบานและคุยกระหนุงกระหนิงสนุกเสมอ ที่เปนฉนี้ก็เห็นจะเปนเพราะหัวใจของหล่อนบริสุทธิ์ จึงได้ส่งผิวขึ้นถึงหน้า. ท่านคงรู้สึกเบาใจมากขึ้นเมื่อได้ทราบว่าหล่อนยอมให้แต่ฉัน ฉันผู้เดียว ที่จะไปเยี่ยมหล่อนณะบ้านในชั่วเวลาที่ท่านไม่อยู่.”

“ขอบใจพระเจ้าที่ดลใจให้หล่อนคิดฉนั้น.” เฟอร์รารีพูดและยกถ้วยสุราขึ้นดื่มจนไม่เหลือสักหยด. “เออ—บอกหน่อยเถอะว่าวันนี้ใครอีกที่จะมากินเข้าด้วย ? เฟอ ดีโอ ฉันต้องการกินเข้ามากกว่าไปเกี้ยวสาวอีก.”

ข้าพเจ้าหัวเราะดัง “จริงซีเพื่อน คนที่มีสติสัมปชัญญ์แล้ว ย่อมเห็นอาหารอร่อยดีกว่าหญิงสวย! ถามว่าใครมาอีกหรือ ?” ที่ท่านรู้จักทั้งสิ้น. ที่หนึ่ง ดูคา ฟิลิโป มารีนา.”

“แม่เจ้าโวย กีโดพูดขัด” ท่านผู้ดีหลายสาแหรกเทียว ยอมถ่อมตัวถึงกับจะมาร่วมโต๊ะเดียวด้วยเทียวหรือ ? แปลก แน่ ท่าน คอนเต้ พอมาละก้อถามทีเดียวน๊ะว่าถ่อมตัวถึงเพียงนั้นเจียวหรือ”

“แล้วก้อ” ข้าพเจ้าพูดต่อไป ปราศจากถือเอาคำขัดมาเปนอารมณ์ “ซินยอ ฟราสเขตตี กับมาคริส เกียลาโน”

“เกียลาโนกลมจัด” กีโดหัวเราะ “พอเหล้าเข้าปากแล้วเตะคนเดินโต๊ะตายหมด.”

“พอเหล้าเข้าปากแล้ว เขาก็เอาอย่างท่านน่า คาโร มีโอ” ข้าพเจ้าดอบเย็น ๆ.

“อ้า แต่ฉันยังกลั้นได้บ้าง” กีโดตอบ “แต่อีตานั่นอดไม่ได้เสียเลย.”

ข้าพเจ้าพิจารณาดูเรียบทุกกระดิกตัว และเรียงชื่อคนในบาญชีต่อไปว่า “แล้วถึงกะปิตันโน ลีกี เฟรสเซีย”

“พ่อกินไฟทีเดียว” กีโดร้อง “พูดคำสบถคำถี่หยิ้บ”

“แล้วถึงคริสเปียโน ดูลซี กับ แอนโตนีโอ บิสคาร์ดี เปนช่างเขียนรูปภาพอย่างตัวท่าน” ข้าพเจ้าพูดต่อ

หน้ากีโดขมวดหน่อย—แล้วหัวเราะ

“ฉันขอให้เขากินเข้าให้อิ่ม ๆ เถิด เมื่อก่อนเคยอิจฉาฝีมือกัน—เดี๋ยวนี้ไม่เปนกระไร ยอมทำใจโอบอ้อมได้ ยอมให้ทำชื่อในวิชาเขียนแล้ว เพราะอะไร เพราะเดี๋ยวนี้ฉันลาพู่กันและป้ายสี—เปนเลิก ไม่จับอีก.”

จริง! ข้าพเจ้านึกในใจ ตาจ้องดูมือที่ยกขึ้นตระบิดหนวด มือที่ยังสรวมแหวนเพชรเม็ดประจำตระกูลของข้าพเจ้าอยู่.

“เอ้าเล่าต่อไป แล้วใครอีก ใครอีก” กีโดซัก

“กินไฟยิ่งกว่านั้นอีก บางที่ท่านจะพูดอย่างนั้น! ข้าพเจ้าตอบ กินไฟฝรั่งเศสด้วย มองซิเออร์เลอมาคีสสแตวองคูต์ กับเลอโบ กาปีเตน ยูเย็น เดอ ฮามาล”

เฟอร์รารีมีสีหน้าอันบอกว่าประหลาดใจ “นักฟันปารีสอย่างชื่อดังทั้งคู่—เชิญคนพรรณนั้นมาทำไม ฉันลุกะโทษตัวเองว่าเลือกคนอย่างนี้ทำให้ฉันประหลาดใจมาก คนที่ไม่นึกไม่ฝัน”

ก็ฉันจะเข้าใจว่าเปนเพื่อนสนิทของท่านน่าซีจึงได้เชิญ จำไม่ได้หรือท่านเองแหละเปนผู้ชักนำให้รู้จักกับฉัน เรื่องที่ท่านทั้งสองนั้นจะดีชั่วประการใดรู้ไม่ได้ นอกจากทราบว่าเปนคนสุภาพและคุยสนุก ถึงอย่างไรก็ดี เข้าใจได้เกือบแน่ว่าโต๊ะคราวนี้คงจะกลายเปนสนามประลองฝีมือดาบได้”

กีโดหัวเราะ “จะเปนอย่างไรได้ แต่นิสัยพวกนี้อยากให้เปนไปอย่างนั้นเสมอ คอยชวนก่อสาเหตุเสมอ ที่สุดจนใครยักคิ้วหลิ่วตา บุ้ยปาก พวกนี้เห็นเปนว่าเขาแขวะตัวหมด แล้วใครอีก;”

“พี่น้องช่างปั้นที่ต้องไปไหนไปด้วยกันเสมอคือ การ์โลและฟรานเชสโก เรสเป๊ตตี เชวาเลีย มาซีนี นักปราชญ์การหนังสือ ลูซี เอโน แชลลัสตรี จินตกระวีและดนตรี กับมาควีส อีปโปลีโต กวัลโดร นักคุย ยังอีกคนหนึ่งที่จะเพิ่มให้เปนเกียรติยศแก่บาญชีชื่อนี้” ข้าพเจ้าพูดด้วยเยาะ ๆ คือชื่อของท่านซินยอกีโด เฟอร์รารี เพื่อนรักและซื่อสัตย์ยิ่งของฉัน-เปนหมดจำนวนคนเท่านั้น.”

“เห็นแล้ว! สิบห้าหมดด้วยกันทั้งตัวท่านเองด้วย” เฟอร์รารีพูดอย่างออกสนุก และนับจำนวนคนด้วยนิ้วมือ. “มีพวกพ้องดีๆ อย่างนั้นและเจ้าของบ้านดีอย่างนี้ เราจะได้กินเข้ากินเหล้าคุยกันสนุกใหญ่, นี่แน่เพื่อน ท่านจัดแจงโต๊ะใหญ่หรูหราถึงเพียงนี้ประสงค์จะรับรองเพื่อนอันไม่มีราคาอย่างฉันเท่านั้นแหละหรือ ?”

“เฉภาะเหตุอย่างนั้น.” ข้าพเจ้าตอบ.

กีโดกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ เอามือทั้งสองเกาะไหล่ข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “เหตุไรท่านจึงมีใจจอดอยู่ที่ตรงฉันหนัก ?”

“ทำไมจึงมีใจจอดอยู่ที่ท่านฉนั้นหรือ ?” ข้าพเจ้าทวนคำ “เฟอร์รารีเอ๋ย ไม่ใช่แต่ฉันคนเดียวที่ชมลักษณคุณอย่างประเสริฐของท่าน ใครก็ย่อมชอบท่านทั้งสิ้น. ท่านบอกฉันเองไม่ใช่หรือว่า เคานต์โรมานีรักท่านอย่างที่สุดในโลก ที่สองรองภรรยาเขา ? เหตุไรจึงจะมาถ่อมตัวเล่า.”

มือที่เกาะอยู่ที่บ่านั้นค่อยเลื่อนหลุดไป สีหน้าเฝื่อนลงหน่อย นิ่งอึดอยู่สักครู่แล้วพูดว่า :-

“ฟาบีโออีกแล้ว! ชื่อของเขาและความที่ระลึกขึ้นมาถึงตัวเขาทีไรทำให้สมองเสียทุกคราว. ฉันได้บอกท่านกี่ครั้งแล้ว ว่ามันเปนบ้า ที่มันรักฉันนั้นก็เพราะความบ้าของมัน—กระมัง. ไม่รู้ว่าทำไมเลยในหมู่นี้ให้นึกถึงบ่อยๆ.”

“ยังนั้นหรือ!” แล้วข้าพเจ้าแสร้งนิ่งพิจารณาดอกกล้วยไม้ที่กลัดอยู่ที่รังดุมเสื้อ “เหตุไร ?”

“ฉันเห็นลุงตายกับตา” กีโดพูดด้วยเสียงอ่อยๆ “แกเปนคนแก่แล้วเรี่ยวแรงก็ไม่ใคร่จะมี—แต่กระนั้นยังดิ้นรนไม่ใคร่จะยอมตายเลย—ดิ้นรนใหญ่. เดี๋ยวนี้ยังนึกมองเห็นหน้า—หน้าเหลืองๆ—แขนขาบิดงอ—นิ้วมือที่ผอมแห้งคว้าไขว่ลม ๆ—ตาตั้งปากเบี้ยว—อกแอ่นหน้าแหงน—อือฮือ ยังเห็นติดหูติดตาอยู่ เต็ม.”

เอ้อ เฮ้อ ข้าพเจ้าถอนใจใหญ่ แต่เสทำธุระจัดช่อดอกไม้ที่รังดุมง่วนอยู่ “ถ้าเห็นเข้าอย่างนั้นแล้วก็อดสมเพชเวทนาไม่ได้จริง—แต่ควรจะเอาทางพระหักเสียบ้างจึงจะดี—ความเกิดแก่ไข้ตายเปนเงา ตามตัวเราทุกคน นี่ท่านแก่แล้ว ท่านไม่ตายวันนี้ก็คงวันหน้า ของเหล่านี้เปนสิ่งที่ใคร ๆ ก็ย่อมรู้ ไม่จำเปนจะต้องซ้ำซาก—เราต้องตายทุกคน.”

“เปล่า ฉันไม่สมเพช ไม่เสียใจ” เฟอร์รารีพูดทำนองเหมือนพูดแก่ตัวเองมากกว่าพูดแก่ข้าพเจ้า “กลับดีใจเสียอีกน่านา อยู่ก็คือ อ้ายเถ้าหัวงู ไม่มีตรงต่อใคร ถ้าเห็นช่องได้แล้วเปนขบเจ้าหมด. เปล่า ไม่เสียใจเลย แต่เวลาที่ดิ้นต่อสู้ต่อพระยามัจจุราชนั้น—ฉันคิด—ไม่รู้ว่าทำไม-ถึงฟาบีโอ.”

ประหลาดใจมาก แต่ส่วนความประหลาดใจนิ่งไว้ในใจ กระทำเปนหัวเราะ “นี่แกเปนยังไงไปนี่ เฟอร์รารี—ขออภัยโทษในการพูดดังนี้ อากาศเมืองโรมทำให้จิตรใจท่านเปนอย่างไรไป. คำที่ท่านพูดเมื่อตกี้นี้นั้นฉันยอมรับว่าโง่ ไม่ซึมซาบว่าแปลความว่าอย่างไร?”

เขาถอนใจใหญ่ “นึกแล้วว่าคงจะไม่เข้าใจ แต่ฉันเองยังไม่ใคร่เข้าใจเลย. เปนการยากที่คนหง่อมเช่นนั้นจะมีกำลังต่อสู้ความตายได้ ถ้าแก่ฟาบีโอจะเปนอย่างไร ? เราเคยเปนนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน เคยเดินกอดคอกัน และเขาอ่อนอายุ แต่มีกำลังวังชาแข็งแรงมากกว่าฉัน. เขาต้องดิ้นรนต่อสู้ที่จะให้ชีวิตคงยืนอยู่อย่างแข็งแรงยิ่งนัก เห็นจะถึงแทบกล้ำเนื้อทั้งหลายจะแตกละลาย.” ถึงตรงนี้กีโดหยุดและทำแสยงขน “ตายซีน่า แต่คนแข็งแรงอย่างฟาบีโอยังสู้ตายไม่ได้ อย่างเรา ๆ ก็จอดเร็ว จะสู้ได้สักกี่น้ำ.”

ความสงสารเกิดขึ้นในใจข้าพเจ้า. คนชนิดนี้ไม่ใช่แต่จะเปนขบถอย่างเดียวเปนคนขี้ขลาดตาขาวด้วย. ข้าพเจ้าจึงเอามือสกิดหัวไหล่แล้วว่า “ขอโทษ เพื่อนเอ๋ย เสียงตามที่ได้ยินท่านคุยนั้นเพลียไปยังไรอยู่ ไม่เปนเรื่องสำหรับการประชุมเพื่อเอิกเริกในวันนี้. ขออนุญาตเตือนท่านว่าให้รีบไปแต่งตัวเสียทีเถิด กว่าทุ่มมากแล้ว.”

“ฉันรู้สึกว่าสติสตังหมู่นี้ไม่ใคร่ปรกติ กินไม่ใคร่ได้ นอนไม่ใคร่หลับ หยิบเอาโน่นคว้าเอานี่มาคิด ๆ ๆ คิดจนสมองเลือน”

“เปนของไม่ประหลาดเลย” ข้าพเจ้าตอบ “เมื่อไปนึกถึงความตายเข้าแล้วก็ทำให้ใจเหี่ยว. สลัดทิ้งเสีย มีชีวิตอยู่ตราบใด ควรจะสนุกเพลิดเพลินจนหมดเวลาที่พระจะอนุญาตให้เราอยู่.”

“ดี ดี เตือนดี” กีโดพูดและยิ้ม “ทั้งไม่ใช่การยากลำบากที่จะปฏิบัติตาม. ต้องไปแต่งตัวที ขออนุญาต.

ข้าพเจ้ากดกระดิ่งเรียกวินเช็นโซ และสั่งให้คอยรับใช้ซินยอเฟอร์รารี. กีโดหายเข้าไปในห้องกับวินเช็นโซแล้วข้าพเจ้ารู้สึกออกสมเพช เปนครั้งแรกที่เห็นหน้ากีโดแล้วออกสมเพช ตั้งแต่จับขบถได้ จนบัดนี้ คำที่รื้อพงษาวดารขึ้นมากล่าว ที่เราเคยเปนนักเรียนอยู่ด้วยกัน เมื่อเรากอดคอกัน ตามเขาว่า จับใจข้าพเจ้ามากกว่าที่ได้รู้สึกโดยเปนเอง จริงดังกล่าวเราเคยมีความศุขด้วยกัน—หนุ่มคนองทั้งคู่ เวลานั้นหล่อนยังมิได้กระทำให้ดาวดึงษ์แห่งความศุขเรามัวหมองไป หล่อนยังมิได้ปรากฏด้วยหน้าเท็จงามจนทำให้ตาข้าพเจ้ามืดมนธ์ เปนคนบ้า และเปลี่ยนแปลงกีโดให้เปนคนขี้ปดและคนหน้าไหว้หลังหลอก เหตทั้งนี้เปนความผิดของหล่อนคนเดียว ความผิดอย่างร้ายแรงน่าพึงแสยง หล่อนเปนผู้ที่ปลิดความศุขไปจากเรา หล่อนต้องการโทษอย่างหนัก เมื่อไปถึงพระเจ้าแล้วเราทั้งสองคงจะไม่ได้เห็นหน้าหล่อนอีก หน้าอันสวย ประดุจดาบเพ็ชร์อันคมกล้า ตัดเอาความที่เปนมิตรสหายขาดเปนท่อน—ถึงอย่างไร ๆ ก็ดี จะมาทุกข์โศรกในเวลานี้ก็ใช่ประโยชน์เสียแล้ว การชั่วเกิดขึ้นแล้ว ต้องปล่อยมันไปตามเพลง มีเวลาที่จะคิดในเวลานี้น้อยนัก ทุกอึดใจที่ล่วงไปกระทำให้เวลา ให้แปลนที่ได้กะไว้กระชั้นเข้ามาทุกที

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ