๑๔

“เปนการดีที่อุส่าห์มาถึงนี่”

เปนคำอันแปลกที่มากระทบหูข้าพเจ้า. นี่กำลังฝันหรือกำลังยืนอยู่บนสนามในสวนและภรรยาข้าพเจ้ากระทำคำนับและพูดเชื้อเชิญเปนการสัพยอกก็ไม่ทราบ ? ความคิดวิ่งวุ่นอยู่สักนาทีหนึ่งหรือสองได้; เฉลียงอันมีต้นกุหลาบและพุทชาดขึ้นพาดพันและเปนสิ่งอันคุ้นตาข้าพเจ้าดีนั้น ดูแกว่งโยนไปโยนดินอยู่ตรงหน้าประดุจต้องลมเพชหึงอันแรงกล้า เรือนอันใหญ่งามซึ่งเปนที่อยู่ข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กน้อยมาและเปนที่ที่ได้เคยรับความศุขมา ได้ขึ้นไปลอยโคลงอยู่บนอากาศ ดูประหนึ่งจะพลิกคว่ำตกลงดิน. ความรู้สึกวิ่งขึ้นมาตันอยู่ที่ตรงคอหอย…. ถึงคนใจแข็ง ๆ ก็เถอะนาบางทีเล่นเอาน้ำตาตกได้—น้ำตาอย่าง—หื่อ! บีบ ออกมาราวกับบีบโลหิตออกจากหัวใจ.... และตัวข้าพเจ้าร้องไห้อย่างนั้นก็ออกเหมือนกัน. โอ้ อนิจจาบ้านเก่า! งามดอกแต่ทว่าดูเศร้า! ไหนเลยจะอยู่ถาวรนานได้ ไม่ช้าต้องร้างและทลายลงประดุจความศุขและเกียรติยศของเจ้าของ. เจ้าของ? ใครเปนเจ้าของ ? ข้าพเจ้าชำเลืองไปดูเฟอร์รารีที่ยืนอยู่ข้างๆ. หน้านี้มันไม่ได้เปนเสียหละ ให้ตายไปเถอะนา รูปนี้ไม่มีเวลาได้เปนเจ้าของเสียหละ. สังเกตบ้านเห็นมีเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย เปนต้นว่าเก้าอี้นอนเคยตั้งอยู่ที่มุมเฉลียงเสมอมาหายไป นกที่แขวนไว้ตรงซุ้มกุหลาบก็หายไป ตาคนใช้เก่าแก่คนหนึ่งมีหน้าตาเศร้าโศรกร่วงโรยเปนน่าสมเพชในเวลาที่เห็นนั้น ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเปนฉนั้นเลย. และสุนักข์ข้าพเจ้าตัวดำใหญ่นั่นหายไปไหนด้วย ? แต่ก่อนนี้เคยปล่อยวิ่งอยู่ตามบนเรือนและตามในสวน มันมักชอบนอนผึ่งแดดอยู่ตรงเฉลียงชั้นล่าง เดี๋ยวนี้มองหาออกสุดไนย์ตาก็ไม่เจอะ เมื่อไม่เจอะแล้วทำให้ข้าพเจ้าออกเคืองขึ้นมาทันที แต่ต้องสกดใจไว้ต้องจำว่าในบัดนี้ข้าพเจ้าเปนตัวลครอะไร และเล่นบทไหน.

“เปนการดีที่อุส่าห์มาถึงนี่;” ภรรยาข้าพเจ้าพูด ครั้นเห็นว่าข้าพเจ้านิ่งและเหลียวซ้ายมองขวาตลอดบ้านฉนั้น ก็เสริมจริตพูดต่อไปว่า “ท่านเห็นจะไม่ยินดีในการที่มานี่เลย! คนอย่างดีฉัน บ้านอย่างดีฉัน ไหนท่านจะยินดีมา”

“แม่พูดดังนั้นทำให้เสียใจมาก! ถ้านึกเปนอย่างนั้นจริงฉันต้องนับว่าเปนคนอันไม่รู้คุณคนเลย ขอให้แม่คิดหน่อยเถิดว่า ดานเต้เสียใจหรือไม่เมื่อเขาได้รับอนุญาตพิเศษให้ไปชมสวรรค์ ?”

แม่นีนนาอายหน้าแดง หลบไนย์ตามองดูพื้น ส่วนเฟอร์รารีย่นหน้าแต่มิได้ปริปากว่ากระไร แล้วหล่อนนำทางเข้าไปในห้องรับแขกซึ่งหรูหราเปนระเบียบอย่างแต่ก่อน ในห้องนี้มีเข้าของคงที่อยู่หมด เว้นไว้แต่รูปตัวข้าพเจ้าเอง เปนรูปครั้งเด็ก ๆ สลักด้วยสิลา ไม่รู้ว่าเขาเลื่อนไปไว้เสียไหน, หีบเพลงใหญ่เปิดทิ้งอยู่ และแมนโดลีนวางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ ดู ๆ เหมือนเครื่องดนตรีทั้งสองนั้นได้ใช้เข้าประสานเสียงกันในไม่สู้นานมานัก. ข้าพเจ้านั่งลงและทำออกวาจาชมความสวยของบ้านและบริเวณข้างบ้านนั้นต่าง ๆ

“ยังจำได้ดี๊ดี” ข้าพเจ้าพูดเฉย ๆ.

“ท่านหน้ะหรือ ?” เฟอร์รารี่ ร้องพูดเร็ว เหมือนประหนึ่งว่าประหลาดใจ

“แน่ละซีท่าน. แม้เมื่อฉันยังยอม ท่านเอ๊ย ฉันมาเล่นอยู่ที่นี่เนืองๆ บิดาเคานต์โรมานีกับฉันมาเล่นด้วยกันตามเหล่านี้แหละ ภูมิลำเนายังติดตาอยู่. แต่เดิมอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เปนอย่างนั้น.”

แม่นีนนานิ่งฟังด้วยความพิศวงมาก

“ท่านได้เคยเห็นสามีดีฉันคนที่ตายไหม?” หล่อนถาม.

“ครั้งเดียวเท่านั้นเองแหละแม่” ข้าพเจ้าตอบด้วยกิริยาอันเศร้า “แต่เวลานั้นยังเล็กเต็มที ดูท่าทางเหมือนจะเปนเหล็กเอาถ่านอยู่ ข้างท่านบิดาหนะหยอกเสียนี่กระไร. ท่านมารดาฉันก็รู้จัก.”

“ค่ะ ท่านเปนยังไรบ้างค้ะ ?” หล่อนถาม

ข้าพเจ้านิ่งตรองว่าควรหรือเราจะเล่ากล่าวขวัญเรื่องของท่านผู้เปนภรรยาและมารดาอันประเสริฐวิเศษให้คนเลวอย่างนี้ฟัง ?

ภายหลังข้าพเจ้าตอบว่า “เปนคนสวยมากแต่ไม่หยิ่งยกความสวยตนเลย วิญญาณไปมัวคิดถึงจะให้คนอื่นมีความศุขสร้างบุญสร้างกุศลให้ยิ่งๆขึ้นอยู่เปนเนืองนิตย์ จึงไม่มีเวลาที่จะคิดถึงตัวของตนเอง. น่าเสียดายที่มาถึงแก่กรรมเสียแต่ยังสาว.”

เฟอร์รารีมองดูข้าพเจ้าด้วยดวงตาอันประสงค์ร้าย แล้วว่า “ต้องถือเอาว่าการที่ชิงตายเสียนั้นเปนการดี ไม่ทันอยู่ให้ผัวเบื่อ ถ้ามิฉนั้น—ใครจะรู้ได้ว่าจะเปนอย่างไร ?”

โลหิตข้าพเจ้าเดือดพล่านขึ้นด้วยความโกรธ แต่อุส่าห์ระงับไว้แล้วตอบว่า “ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจท่าน ท่านผู้หญิงคนที่ฉันกล่าวนั้น ตั้งแต่มีชีวิตจนตราบเท่าตาย รัศมีแห่งเกียรติยศเกียรติคุณการดีทั้งหลายยังเปล่งบริสุทธิอยู่บริบูรณ์ หาซึ่งราคีมลทินมิได้. ส่วนการที่เปนไปและพอใจของคนในชั้นใหม่นี้จะแปลกไปกว่าชั้นโบราณอย่างไรบ้างนั้น ตัวฉันเปนคนผิดไวยผิดไสมยเสียแล้ว รู้สู้ท่านไม่ได้. ยอมกลัว ยอมกลัว ยอมโง่.”

ภรรยาข้าพเจ้าหัวเราะพูดขัดเข้ามาทันทีว่า “ขอเสียทีเถอะท่านคอนเต้ อย่าไปเอาคำของซินยอเฟอร์รารีมาเปนนิยมนิยายหน่อยเลย บางทีก็พูดโพล่งๆ ไปไม่รู้จักที่ผิดที่ชอบ โดยที่จริงไม่ได้คิดจะให้ร้ายหมายขวัญผู้ใดเล้ย แต่ปากนั่นแหละเปนนิสัยของเขา! สามีดิฉันบางทีรำคาญใจบ่อย ๆ แต่ทว่าท่านรักกันมาก. ท่านอยากเห็นแม่ดาราน้อยบุตรสาวฉันไหม? น่าชั้ง น่าชัง ฉันจะให้ไปเรียกมาเดี๋ยวนี้แหละ เออแต่ท่านเกลียดเด็กมันกวนละกระมัง ?”

“ไม่มีเสียหละ แมดาม เด็ก ๆ หละฉันรักนักรักหนาเทียว” ข้าพเจ้าฝืนพูดไปอย่างนั้นเอง แต่ใจนั้นอยากเชยชมลูกก็อยาก กลัวจะเวทนามากมายจนกลั้นไม่ได้ก็กลัว ทั้งสองสิ่งว่ากันวุ่นใหญ่ “ยิ่งหลานของเพื่อนเก่ายิ่งทำให้ความรักเด็กนั้นเปนทวีคูณ”

ภรรยาข้าพเจ้าสั่นกระดิ่ง บัดเดี๋ยวสาวใช้ที่เข้ามาในห้องถูกใช้ให้ไปรับเด็กน้อยมา ในระหว่างนั้นข้าพเจ้ากับเฟอร์รารีคุยอะไรต่ออะไรกันเรื่อย สักครู่หนึ่งบานประตูห้องรับแขกค่อย ๆ แย้ม และแม่นีนมาร้องเรียกไปทันทีว่า “หนู เข้ามาซีมะ! กลัวอะไร—เข้ามาม้ะ!” ในทันใดนั้นบานประตูเปิดออกและบุตรสาวน้อยของข้าพเจ้าวิ่งแต้เข้ามา. ถึงโดยว่าข้าพเจ้าจะจากไปไม่สู้นานกี่มากน้อยเลยก็ดี แต่เห็นบุตรแปลกไปมาก หน้าตาดูไม่แช่มชื่น แสดงว่ากลัวและไม่วางใจ ไนยตาที่เคยยิ้มแย้มกลายเปนละห้อยซึ่งเปนของน่าสังเวชอย่างยิ่งที่จะมาเห็นตาอย่างนั้นในอายุราวนั้น ริมฝีปากล่างย้อยเย้หน่อย ๆ รวมทั้งหมดได้ความว่าคงจะเปนเพราะแม่ไม่แยแสไม่อินังขังข้อปล่อยสุดแล้วแต่จะเปนไป. เดินเข้ามาสักครึ่งทางแล้วหยุดชงักยืนดูเฟอร์รารีด้วยความสงไสยในใจ เฟอร์รารีมองดูหน้าเด็กแล้วยิ้มเยาะรับ.

“มาม้ะ ดารา!” เฟอร์รารีพูด “กลัวอะไรเดี๋ยวนี้นี่! มาดี ๆ ไม่ว่าไม่ดุดอกถ้าไม่ซนไป. เด็กบ้า! ดูทำเข้าแน่ะ ยังกะกันเปนยักษ์เปนมารจะคอยกินเนื้อเถือหนังอยู่ยังนั้นแหละ มา มาดี ๆ มาพูดกับท่านผู้นี้ ท่านรู้จักป้าป๋าด้วย มาเร้ว.”

เมื่อได้ยินดังนั้น ไนยตาของเด็กแจ๋วขึ้นทันที ข้าวขาดูมั่นคงขึ้น—ตรงมาจับมือกับข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าอุ้มเด็กขึ้นนั่งบนเขา แล้วเอาหน้าลงซบที่ผมของเด็กทำประหนึ่งว่าจูบ แต่ที่แท้ข้าพเจ้าซบลงซ่อนน้ำตาที่ไหลออกซึมหน่วยอยู่ อุส่าห์หักใจให้แห้งหายกลับไปยังเดิมจึงเงยหน้าขึ้น. ข้าพเจ้าเกรงว่าแว่นตาดำที่ใส่อยู่นั้นจะทำให้เด็กตกใจ—เด็กๆ มักจะตกใจกลัวของอย่างนี้บางที—แต่แม่ดาราไม่กลัวเสียเลย; นั่งบนเข่าสบายอย่างกันเอง ๆ นีนนากับเฟอร์รารีจ้องมองด้วยเห็นสนุก แต่เด็กหาได้นึกดูคนทั้งสองนั้นไม่. ความสนิทสนมของเด็กเช่นนั้นจะทำให้เขามีความระแวงสงไสยบ้างกระมัง แต่เห็นจะเปนไปได้ เพราะเฟอร์รารีได้ไปเห็นเขาฝังข้าพเจ้าแก่ตา นึกแน่แก่ใจดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็พูดแก่แม่ดาราน้อยด้วยเสียงอันห้าวดังได้หัดไว้นั้นว่า.

“นี่น่ารักกระไรยังนี้นี่! ชื่อแม่ดาราน้อยไม่ใช่หรือจ้ะ เพราะแท้ๆ ดาราน้อย ดาวน้อย ชื่อชั่งสม กะจุ๋มกะจิ๋มเปนดาว เปนดาวแห่งความศุข.”

“ป้าป๋าว่าดาราเปนดาวแห่งความศุขอย่างเดียวแหละ” เด็กตอบด้วยเสียงอ่อน ๆ และอาย ๆ.

“หนูแหละเสียเด็กเสียแล้ว ป้าป๋าทำให้เสียเด็ก แม่นีนนาพูดขัดเข้ามา และเอาผ้าเช็ดหน้าริมดำแต้มตา “สงสารป้าป๋า! เวลาหนูอยู่กับป้าป๋าหนูไม่ซน ทีอยู่กับแม่เดี๋ยวนี้ช่างซนเสียนี่กระไร.”

ริมฝีปากเด็กสั่นระริก แต่ยังนิ่งอยู่.

“เต็มที เต็มที ข้าพเจ้าพูดพึมบ่น อะไรซนด้วยหรือ ? ข้อนี้ เห็นจะไม่จริง! ดาวทุกดวงดี—ดาวไม่ร้องไห้—ดาวส่องสว่าง กระจ้างหาวและเงียบ ๆ อยู่เสมอ.

แม่ดารายังนิ่งอึดอยู่—ถอนใจใหญ่ฮั่กใหญ่ราวกับคนผู้ใหญ่. ซบศีร์ษะพาดแขนแหงนหน้าขึ้นมาถามว่า “รู้จักป้าป๋าดาราไหม ? รู้ไหมว่าเมื่อไรป๋าจะกลับ ? ดาราคิดทึ้งคิดถึง.”

ข้าพเจ้านิ่งอยู่ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร เฟอร์รารีจึงตอบแทนอย่างหยาบคายว่า

“นั่นดาราพูดบ้าอะไร! รู้แล้วว่าป้าป๋าหนีไปเสีย—ไปเพราะดาราซนกวนเขานัก เขารำคาญ อยู่อีกไม่ได้ ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไปอยู่ที่ที่เด็กจู้จี้เด็กซนตามไปกวนไม่ได้.”

คำพูดไม่มีความคิดและข่มเหงอย่างนี้เอง กระทำให้เด็กไม่มีความศุข พอเด็กคิดถึงพ่อขึ้นมาเวลาใด ก็ช่วยกันพูดว่าเพราะไม่ดีทีเดียวบิดาจึงทิ้งไปเสีย ก็เด็กเล็กเท่านี้ควรหรือจะไปขู่ด้วยเหตุอันร้ายแรงดังนั้น ผู้ใหญ่เราเองยังเสียใจเมื่อรู้ว่าใครเขาโกรธเกลียดเราเพราะความประพฤติอันไม่ดีของเรา นี่เด็กแท้ ๆ ไหนจะมีปัญญาสอดส่องได้ว่าเขาขู่หลอกดอก ย่อมเชื่อถือเอาเปนจริง และมีความเศร้าเสียใจมากในการที่บิดาทิ้งละตัวไปอยู่อื่นด้วยเบื่อหน่ายความซนของตัว แต่ยังไรก็ดี แม่ดาราน้อยมิได้กล่าวออกเปนวาจา หรือบีบน้ำตาออกมาให้เห็น หันหน้าไปมองเฟอร์รารี จ้องมองดูด้วยตาอันถือตัวและแค้น ซึ่งเปนของแปลกมากที่จะเห็นเด็กทำตาอย่างนั้น—ท่าจ้องดูชนิดนี้ รับตระกูลเนื่อง ๆ กันมาสำหรับตระกูลโรมานีทีเดียว ด้วยได้สังเกตเห็นบิดาทำตาอย่างนี้เนือง ๆ และรู้สึกตัวว่าคงมีผู้เห็นข้าพเจ้าทำตาอย่างนั้นบ่อย ๆ บ้าง. เฟอร์รารีเห็นแม่ดาราทำตาอย่างนั้น ก็หัวเราะออกก้องห้อง.

“นั่นเปนไรเสียอีก” เขาพูด “ดูเอาซีดูทำตาแน่ะ เอาอย่างพ่อเสียนี่กระไร นี่ฟาบีโอทีเดียว เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างขาดอยู่อย่างเดียว” ว่าแล้วก็เดินเข้ามาใกล้หยิบเอาผมของเด็กมาพาดที่ปากทำต่างหนวด. เด็กนั้นโกรธสบัดหน้าดิ้นซบเข้ามากับเสื้อข้าพเจ้า ยิ่งดิ้นหนีเฟอร์รารียิ่งกวนรังแกไป ส่วนนางมารดาก็มิได้ห้ามปรามประการใด ซ้ำหัวเราะชอบใจเสียอีก. ข้าพเจ้ากลั้นไม่ได้ จึงกอดบุตรสุดสวาสดิ์เข้าแนบอก แล้วระวังสำเนียงไม่ให้บอกได้ว่าโกรธว่า—

“เห็นงามแล้วหรือซินยอ งามแล้วหรือ! คนแรงเขามักไม่ใคร่ใช้กำลังข่มเหงคนที่มีกำลังอ่อนกว่า ผู้ชายไม่รังแกผู้หญิง”

เฟอร์รารีหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ฝืนหัวเราะไปอย่างนั้น หยุดทำลิงทันที แล้วเดินไปยืนพิงหน้าต่างไถลมองดูอะไรและอะไรไป. ข้าพเจ้าเอามือลูบผมเด็กที่ยุ่งและพูดด้วยยิ้มประชดว่า

รอให้โตหน่อยเถอะน่า จะแก้แค้นให้ได้. จำไว้จำคนที่รังแกเมื่อเด็ก ๆ ไว้ พอโตละก็ยั่วกวนผู้ชายเอากำไรให้จงได้ จริงหรือไม่แมดาม?” ข้าพเจ้าหันหน้ามาพูดแก่ภรรยา หล่อนเล่นตาแล้วตอบว่า—

“ดีฉันไม่ทราบค่ะ จริงๆ นา!” เมื่อระลึกขึ้นได้ถึงคนที่รังแกเวลาไรต้องระลึกขึ้นได้ถึงคนที่มีความเอ็นดู—คือตัวท่าน เพราะฉนั้นก็เปนการมิใช่ง่ายที่จะตัดสินใจว่าจะรังแกตอบหรือไม่ตอบ.”

คำพูดเช่นนั้นหมายความว่าจะยอ—ข้าพเจ้าก็ทำวางท่ากระหยิ่มยิ้มกริ่มในเชิงให้หล่อนเข้าใจว่าข้าพเจ้าเข้าใจในคำพูดนั้น ซึ่งเปนกลซ้อนให้หล่อนยินดีมากขึ้นในข้อที่นึกว่าตัวพูดเก่ง. สามีภริยาน้อยคู่ทีเดียวที่จะยอพูดเกี้ยวซึ่งกันแลกัน มักจะพูดกันตรง ๆ ถ้าไม่ตรงก็บิดทีเดียว แต่ว่าภรรยาพูดยอข้าพเจ้าผู้ผัวโดยไม่เข้าใจว่ายอผัวฉนี้ กระทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกขันในใจมาก. ในทันใดนั้นคนใช้เปิดประตูเข้ามาในห้องบอกว่ากับเข้าพร้อมแล้ว. ข้าพเจ้าจึงค่อยยกบุตรสาวลงจากเข่า และกระซิบบอกว่าจะมาหาอีก. แม่ดาราน้อยยิ้มอย่างไว้ใจ พอมารดาพยักหน้าให้ทีก็ค่อย ๆ ออกนอกห้องไป. ครั้นไปพ้นแล้วข้าพเจ้าก็กล่าวขวัญความสวยความงามน่าเอ็นดูของเด็กตามที่เปนจริง แต่เห็นได้ว่าคำที่พูดไปนั้นมิได้สมกับความเห็นของเฟอร์รารีและนีนนา. เราไปในห้องรับประทานทั้งสาม—ส่วนข้าพเจ้าเปนแขก (อึม! แขก) เปนผู้จูงแม่คนสวยสาวหามลทินไม่ได้ ไปรับประทานตามธรรมเนียม ครั้นถึงห้องแม่นีนนาจึงว่าแก่ข้าพเจ้าว่า—

“ท่านเปนเพื่อนเก่าของแฟมิลีนี้ เพราะฉนั้นหวังใจว่าท่านคงจะไม่มีความรังเกียจที่จะนั่งหัวโต๊ะ ?”

“เกียรติยศมาก ซีนยอรา !” ข้าพเจ้าตอบ แล้วก้มศีร์ษะรับด้วยกิริยาอย่างเจ้าชู้ประกอบ เมื่อนั่งลงยังที่ที่เคยนั่งแต่ก่อน เฟอร์รารีก็นั่งลงที่โต๊ะข้างขวามือ นีนนาข้างซ้าย. นายบ๋อยซึ่งเปนคนเก่าครั้งท่านบิดาและต่อมาจนถึงข้าพเจ้านั้น ยืนอยู่ตรงหลังเก้าอี้อย่างเดิม และสังเกตว่าเวลาที่แกเข้ารินสุราให้ทีไร แกตั้งใจตั้งตามองทุกครั้งและแสดงกิริยาอย่างประหลาดใจและสทกเสทิน. ตรงหน้าข้าพเจ้าที่ฝาผนังมีรูปท่านบิดาแขวนอยู่ สถานที่ที่นั่งบังคับให้ตามองดูรูปนั้นบ่อย ๆ จนเผลอตัวถอนหัวใจใหญ่ออกมา. ตาในรูปนั้นดูเหมือนเพ่งดูข้าพเจ้าด้วยความเศร้าสร้อย—ไนย์ตาเพื่อนไปเห็นเปนเหมือนริมฝีปากรูปนั้นเต้นและถอนหายใจรับด้วย.

“รูปนั่นเหมือนไหม ?” เฟอร์รารีถามขึ้นมาทันที ข้าพเจ้าตกใจสดุ้งเยือกทั้งตัว ตั้งสติได้ ตอบว่า—

“เรี่ยม! เหมือนราวกับตัวจริง.” แล้วข้าพเจ้าหันหน้ามาพูดกับเกียโชโมนายบ๋อยว่า “กันจำหน้าแกไม่ได้เลย บางทีเมื่อกันมาเที่ยวเล่นอยู่ที่นี่ แกยังไม่ได้มาอยู่ด้วยท่านเคานต์โรมานี้ผู้เถ้าหละกระมัง?”

“ยังไม่ได้มาอยู่ขอรับ” เกียโชโมตอบ ถูมืออยู่ด้วยความประหม่า “กระผมมารับการอยู่กับท่านที่เสียก่อน ท่านเคานเตสเสีย—ผมหมายความถึงท่านเคานเตสผู้เปนมารดานายหนุ่มกระผมที่เสีย.”

“อ้อ! ไหมน่าหละกันจึงไม่รู้จักแก.” ข้าพเจ้าพูดด้วยเสียงกรุณา ออกสมเพชตาแก่นั่น ด้วยเห็นริมฝีปากสั่น ท่าจะไม่ได้การ. “ถ้าหย่างนั้นแกรู้จักเคานต์หนุ่มมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกน่าซี ?”

“ขอรับกระผม!” แกตอบรับ และมองดูข้าพเจ้าทั่วสารพางค์กายด้วยกิริยาอันสทกเสทินมิใช่น้อย.

“รักท่านไหม ?” ข้าพเจ้าถาม.

“ใต้เท้าขอรับ กระผมมิได้ปราดถนาที่จะรับใช้ใครที่ดีกว่านี้อีกแล้ว. ท่านเคานต์หนุ่มใช่อื่นไกลเลยคือองค์แห่งความดีมาจุติทีเดียว—รูปร่างงดงาม สูง ใจคอกว้างขวาง คนที่จะดีพร้อมทั้งองค์สามคือกาย วาจา ใจ อย่างท่านนั้นเห็นจะไม่มีกี่คนนักในจำนวนร้อย นิมนต์มาเกิดทีเดียว ขอรับใต้เท้า! กระผมยังนึกฝันบ้าอยู่ว่าท่านยังไม่ตายเสมอ—เมื่อได้ทราบข่าวว่าท่านเสียแหละขอรับ ใจกระผมยังจะแตกทำลายไป จนเดี๋ยวนี้ยังประสานไม่สนิทปรกติ จนคุณนายท่านว่าบ้า ไม่เชื่อถามท่านดูเถอะขอรับ ท่านเกลียดกระผมเนืองๆ.”

คิ้วภรรยาข้าพเจ้าขมวด หน้าตึง ตาดุ แสดงว่าโกรธและพูดด้วยเสียงกระชาก อันพ้นนิสัยอันเคยไพเราะเสนาะโสต,

“แน่ลาซี เกียโชโม ยิ่งแก่ตัวเข้ายิ่งหลงลืมมากขึ้น ใครบ้าง ใครจะไม่เคืองที่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ด้วยเรื่อง ๆ เดียวตั้งร้อยครั้งพันครั้ง พูดอะไรกันที่หนึ่งก็ต้องเปนแล้วกันไปบ้างจึงจะพอใจกัน.

เกียโชโมยกมือขึ้นลูบหน้า ถอนใจใหญ่แล้วนิ่ง ในบัดนั้นดูเหมือนจะรู้สึกหน้าที่ที่ตนจะพึงกระทำ เติมน้ำสุราในถ้วยที่พร่อง ๆ แล้วถอยออกไปยืนอยู่ ณ ที่เดิม.

เรื่องสนทนาที่คุยกันในขณะที่นั่งรับประทานอยู่นั้น เปลี่ยนแปลงไปหลายชุด. ข้าพเจ้าซึมซาบดีทีเดียว ว่าภรรยาข้าพเจ้าเปนคนช่างพูดคุยสนุก แต่เฉภาะเวลาเย็นวันนั้นหล่อนช่างพูดจาแคล่วคล่องและสนุกสนานเสียเหลือเกิน จนถึงกับทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าหล่อนพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ข้าพเจ้าพอใจในคำพูดในกิริยาและอะไร ๆ ต่าง รวมความพูดอย่างง่ายว่าจะกระทำให้ข้าพเจ้าหลง ผู้หญิงที่มีอุปนิไสย (คิฟต์) ช่างพูดนัก จะทำให้ความวินิจฉัยของผู้ฟังคลาดเคลื่อนไป เพราะว่าคำที่พูดเหล่านั้นไม่ใคร่จะเปนผลเกิดแต่ความคิด และไม่ใคร่จะเปนพยานแห่งความสามารถในตัวผู้พูดด้วย. ผู้หญิงพูดคล้ายกับฟองซ่าบู่ที่เป่าออกจากหลอด ดูงามเปนที่เจริญตาเจริญใจ แต่ไม่มีน้ำหนักและไม่มีความทนทานอันใด ลอยอยู่เฉย ๆ ไม่พักต้องกระทบกระทั่งอะไรก็ถึงซึ่งความดับได้. คำที่บอกเล่ากล่าวขวัญนั้นเปนแต่ผิว ประสมประเสผักชีโรยชาดแต้มเอาเปนเรื่องขึ้นได้ ไม่ใคร่จะระเวียดระวังในข้อที่จะเล่าให้ถูกตามเนื้อเรื่อง หรือมิให้ต้นเปนปลายปลายเปนกลาง. ผู้หญิงยิ่งพูดพล่ามมากยิ่งเปนโทษแก่ตัวมาก โดยเหตุที่ความอ่อนแออันเปนทรัพย์ของผู้หญิงมักจะทนทานความจัดจ้าน (วิต) อันร้ายแรงไม่ใคร่ไหว.

ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นความประพฤติจริงของภรรยาจนถึงในเวลานี้ ขณะที่หล่อนกระทำรับรองและให้เปนที่พอใจข้าพเจ้า. เมื่อหล่อนพูดนั้นหล่อนสังเกตดูหน้าเฟอร์รารีอยู่เสมอ หน้ายิ่งหมองปากยิ่งพูดน้อย หล่อนก็ยิ่งคุยสนุกสนานหัวร่อต่อกระซิกมากขึ้น ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้นอุส่าห์ที่จะชวนเฟอร์รารีคุยเสมอ และนำให้ออกความคิดในข้อต่างที่เกี่ยวเข้าในทางที่เขาชอบ เขาก็ยังไม่ใคร่สมัคจะพูดเลย และเมื่อถูกบังคับเข้าหนักก็พูดห้วน ๆ กระหวัดหางเสียงซังกะตายไปอย่างนั้น ซึ่งยิ่งทำให้ภรรยาข้าพเจ้าชอบใจมาก.

“ดูท่านพื้นไม่สู้ดียังไงวันนี้ กีโด!” หล่อนพูด แล้วระลึกขึ้นได้ว่าเรียกเฉภาะชื่อตัว (ซึ่งในธรรมเนียมฝรั่งผู้ใดจะเรียกเฉภาะชื่อตัวผู้ใดไม่ได้เลย ถือว่าเปนการหยาบหยิ่งหมิ่นประมาท เว้นไว้แต่ผู้นั้น ๆ จะชอบกันดีถึงกับตบไหล่ลูบหลังกันได้จึงเรียกได้) ดังนั้น ก็หันหน้ามาพูดแก่ข้าพเจ้าต่อไปว่า—“ดิฉันเรียกว่ากีโดเสมอ อองแฟมีล (อย่างฉันญาติ); นับถืออย่างกับเปนพี่.”

เฟอร์รารีมองดูข้าพเจ้าด้วยตาอันน่ากลัว แต่นิ่งอึดอยู่ นีนนามีความยินดีมากในข้อที่ล้อเล่นอย่างนั้น เมื่อเฟอร์รารีมองดูหล่อน หล่อนกลับหัวเราะสนุกใหญ่. ครั้นแล้วหล่อนลุกขึ้นจากโต๊ะและกระทำคำนับ

“ปล่อยให้เสพสุรากันเล่นที่นี่ทั้งสองคนให้เปนที่สบาย” ภรรยาข้าพเจ้าพูด “พวกผู้ชายแหละชอบพูดตลกคนองแรง ๆ จึงต้องปล่อยให้มีโอกาศคุยกันให้สนุกบ้าง. แล้วไปที่เฉลียงหนาค้ะ ไปรับประทานกาแฟที่โน่น.

ข้าพเจ้ารีบโดดไปเปิดประตูให้แม่เจ้าประคุณออก แล้วมานั่งที่โต๊ะใหม่ รินสุราออกใส่ถ้วยข้าพเจ้าและถ้วยเฟอร์รารีอีก. นึกกะแปลนของข้าพเจ้าอยู่สักสองสามนาฑี ตรองดูวิธีเดินนั้นคล้าย ๆ กับวิธีหมากรุก ยามเล่นต้องระวังตรองให้หลายชั้นเดินแต้มให้ซึ้งจึงจะมีไชยชำนะสนิท.

“จัดเอาเปนเรี่ยมที่หนึ่งได้!” ข้าพเจ้าพูดแล้วก็ยกถ้วยสุราขึ้นจิบ “ฉันยอมว่าท่านเลือกชิ้นเก่ง ซินยอ!”

เขาสดุ้งทันที “ว่าอะไรนิ—ไม่ทันได้ยินสนัด” เสียงออกดุๆ ข้าพเจ้าเย็นไว้ มือลูบตบิดหนวดและยิ้มใจดีต่อไว้.

“อ้า คนหนุ่ม คนหนุ่ม !” ข้าพเจ้าถอนใจใหญ่และโคลงศีร์ษะ “ตามที ตามที! เหตุไรถึงจะต้องมาอายมาอำพรางอยู่ได้ ? ฉันเอ็นดูท่านจริง ๆ ถ้าเลดีไม่รับรักคนอย่างท่านฉนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเปนหญิงโง่. ผู้หญิงที่จะได้รับโอกาศแห่งความศุขอันดีอย่างนี้เห็นจะน้อยตัวนัก.”

“ท่านคิดว่า—ท่านนึกว่า—ว่า—ฉัน—”

“ว่าท่านรักเขา ?” ข้าพเจ้าช่วยแต่งต่อ “ก็ดีแล้วเปนตามที่ควรจะเปนดีแล้ว ถึงหากว่าตัวท่านเคานต์ฟาบีโอเองก็ดี คงจะไม่เห็น ผู้ใดที่จะเปนผู้อุปถัมภ์ค้ำชูภรรยาหม้ายของเขาได้ดีกว่าตัวท่าน. จงอนุญาตให้ฉันดื่มให้พรท่านในเวลานี้! ขอให้ความรักของท่านสำเร็จดังประสงค์เทอญ!” พูดดังนั้นแล้วข้าพเจ้าก็ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มจนไม่เหลือสักหยด. เขาวางอาวุธเงียบ ความสงไสยของเขาละลายไปประดุจกับก้อนขี้ผึ้งหน้าไฟ. หน้าตาผ่องใสขึ้นทันที—จับมือข้าพเจ้าบีบอย่างชั้นสหายแล้วว่า.

“ขอโทษที คอนเต้ เสียใจที่กระทำกิริยาหยาบคายต่อท่าน ถ้อยคำอันดีของท่านรักษาให้ฉันเปนปรกติใหม่ ท่านคงเห็นว่าฉันเปนคนบ้าขี้หึงหวง เปนได้เพราะว่าฉันเข้าใจว่าท่านพอใจในหล่อน และขอรับประทานโทษเถอะ จะทุบตีด่าว่าอะไรก็ยอมทุกอย่าง ค่าที่ใจไม่ดีไปเดิมคิด—คิดอยู่ในใจว่าจะ—จะเอาชีวิตท่านทีเดียว!”

ข้าพเจ้ายิ้ม “แน่อย่างนั้นทีเดียวหรือ ? อือแน่ะ!”

“นี่แน่การที่ฉันรับสารภาพโดยชื่นตาตื่นใจคราวนี้ ก็เปนเพราะความโอบอ้อมอารีของท่าน บอกจริง ๆ ในชั่วโมงที่แล้วมานั้นฉันรู้สึกเลวเหลือเกิน!”

“เปนธรรมดาของคนรัก ฉันทาย” ข้าพเจ้าพูด “ทรมานตัวของตัวด้วยใช่เหตุ! นั่นแหละเพื่อนเอ๋ยในเวลานี้มันอย่างหนึ่งต่ออายุแก่คราวฉันเมื่อไร นั่นแหละจะนึกว่าเสียงอะไรหมดไม่ไพเราะเท่าเสียงเงินกระทบกัน สำผัสอะไรหมดไม่ปลื้มเท่าสัมผัสเงิน. มีเงินแล้วจะเกรงอะไร ว่าจะจูงจมูกเล่นไม่ได้. มีเงินเขาก็นับว่าน้อง มีทองเขาก็นับว่าพี่ ที่ไม่มีพี่มีน้อง ไม่มีคนชอบหน้าถือตา ก็เพราะไม่มีเงิน จะเชื่อหรือไม่เชื่อนั่นสุดแล้วแต่ความจริงเปนอย่างนี้.”

เขายกถ้วยสุราขึ้นดื่มจนหมดถ้วยแล้วว่า “ฉันจะต้องไว้วางใจท่านให้เต็มประตู. ฉันรักคอนเตสซาแท้ๆ ความรัก! คำที่จะพูดนั้นยังแรงไม่พอกับความรู้สึกอยู่ในใจ เมื่อได้สัมผัสมือของหล่อนทีไรให้รู้สึกเสียวซ่าไปทั้งตัว เสียงของหล่อนดูเหมือนกับจะจับหัวใจสั่น ไนย์ตาของหล่อนเท่ากับกองไฟอันมีพิษร้อนยิ่ง! โอ๊ย! ท่านรู้ไม่ได้ ท่านเข้าใจไม่ได้ว่าความยินดีและความระกำใจ.....”

“สกดใจไว้ก่อน” ข้าพเจ้าพูดเรื่อย ๆ “ข้อสำคัญนั้นคือรักษาสมองไว้ให้เย็นในเมื่อโลหิตนั้นร้อน. ท่านคิดว่าเขารักท่านแน่และหรือ ?”

“คิด! ผ่าเทอนา! หล่อนได้—” ตรงนี้เขาหยุด และหน้าเรี่ย—“ไม่ละ ไม่มีความชอบธรรมอย่างใจที่จะพูดให้เกินเขตร์. ฉันรู้แต่ว่าหล่อนไม่ได้รักผัวของหล่อนเลยสักเท่าเสี้ยวเมล็ดงาหัก.”

“ข้อนั้นไม่ต้องบอกก็รู้” ข้าพเจ้าพูดด้วยปราศจากความหวั่นไหว “ธรรมดาเปนคนถ้าสังเกตก็คงเห็น.”

“ไม่เถียงท่าน ยอมกลัวในข้อพิจารณา ยอม ๆ ๆ” เขาพูด “แต่เจ้าตัวนั้นเปนคนโง่เหลือคำจะอธิบาย ก็คนชนิดนั้นมีธุระอะไร จึงเสือกหน้ามาแต่งงานกับผู้หญิงที่หาตัวเปรียบไม่ได้อย่างนี้.”

หัวใจข้าพเจ้าเต้นแรงจนกระทบซี่โครงด้วยความโกรธ แต่อุส่าห์ระงับใจตัดเสียงให้เปนอย่างปรกติว่า -

“ไม่ควร ๆ ไม่ควรจะนินทาคนตาย เขาตายแล้วปล่อยให้เขาหยุดพักวิญญาณให้สบายบ้าง. ถึงจะดีจะชั่วอย่างไรในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ภรรยาก็มิได้เอาใจออกหาก หล่อนเห็นว่าถึงยังไร ๆ ก็เปนสามีต้องซื่อตรงต่อเสมอ ยังนั้นไม่ใช่หรือ?”

เฟอร์รารีก้มหน้าลงมองพื้นแล้วตอบด้วยเสียงไม่ใคร่ออกจากปากว่า “แน่ทีเดียว!”

“และท่านก็เปนสหายอันสนิทและซื่อตรงต่อเขา ถึงโดยไนย์ตาของเลดีจะชายชำเลืองมาบ้าง ท่านก็ย่อมไม่หวั่นไหว ถูกไหมเล่า?”

เขาตอบด้วยเสียงประดุจก่อนอีก “ก้อ แน่ลาซี!” แต่คราวนี้ข้าพเจ้าสังเกตเห็นได้ว่า มือที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้มือข้าพเจ้านั้นสั่นริก.

“ก้ออย่างนั้น ความรักในส่วนแม่หม้ายของเขาซึ่งติดอยู่ในหัวใจของท่านในปัตยุบันนี้ ฉันคิดว่า เปนสิ่งที่เจ้าผัวจะชอบใจ. ตามคำที่ท่านพูดว่า บริสุทธิ์และหาราคีมิได้นั้น ฉันจะให้พรอย่างอื่นก็ไม่ดีเท่ากับว่า ขอให้ท่านได้รับผลที่ควรได้เถิด”

ในขณะที่ข้าพเจ้าพูดนั้น เขาได้นั่งด้วยปราศจากซึ่งความศุข กระดุกกระดิก ๆ แล้วจ้องมองดูรูปบิดาข้าพเจ้า เขาคงจะนึกว่าช่างมีประพิมประพายเหมือนกับเพื่อนเขาคนที่ถึงแก่กรรมเปนแน่ ภายหลังนิ่งอยู่สักสองสามอึดใจ แล้วผินหน้ามาทางข้าพเจ้าฝืนหัวเราะ—

“ถ้าฉนั้นท่านไม่มีความผิดต้องพอใจในคอนเตสซา น่าซี ?”

“โอ รับประทานโทษ ฉันมีความพอใจในเคานเตสอย่างยิ่งทีเดียว แต่ไม่ใช่อย่างที่ท่านคาดคะเน ขอบอกท่านตามจริงว่าฉันรับประกันตัวว่าจะไม่ผูกรักแก่หล่อนเลย เว้นแต่—”

“เว้นแต่อะไร ?” เขารีบซัก

“เว้นแต่หล่อนจะมารักเอาก่อน ถ้าเปนเช่นนั้นถ้าไม่รักตอบบ้างก็จะเสียผู้ชายไป!”

ข้าพเจ้าหัวเราะก้ากใหญ่. กีโดเพ่งดูข้าพเจ้าด้วยความประหลาดใจมาก. “หล่อนจะมารักท่าน !” เขาพูด “อื้อแนะ เห็นจะไม่มีวันเสียหละ ท่านเล่นตลกหน้ะรู้หร็อก ไม่ต้องบอกก็ทราบ จะได้บุญได้บาปก็ทายไม่ผิด จริงนา.”

“ไม่หลอก!” ข้าพเจ้าพูดแล้วลุกขึ้นเอามือตบไหล่กีโดแรงแต่เปนเชิงสัพยอก “ผู้หญิงไม่เกี้ยวผู้ชายดอก ไม่เคยมีไม่เคยได้ยินได้ฟัง เปนฝืนธรรมดาโลก! ไม่ต้องวิตกวิจารณ์อะไรเพื่อนเอ๋ยสิ่งที่ท่านนึกไว้คงสมประสงค์ดั่งใจนึก. มาเถอะ มาไปกินกาแฟกับแม่คนสวย.”

เราเดินสอดแขนกันออกมานอกห้องไปยังเฉลียง อย่างฉันเกลอแก้ว. เฟอร์รารี กลับพื้นดีขึ้นเต็มที่ และข้างฝ่ายแม่นีนนานั้นตามตาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่าเมื่อเห็นท่าเฟอร์รารีเปลี่ยนก็ค่อยเบาใจขึ้นด้วย. หล่อนอยู่ค่อนข้างจะกลัวเฟอร์รารี—เปนข้อสำคัญที่ข้าพเจ้าระลึกขึ้นได้ หล่อนรับรองด้วยความยิ้มแย้มและรินกาแฟอันมีกลิ่นโอชายิ่งลงในถ้วยสำหรับเราทั้งสอง. คืนวันนั้นเปนวันข้างขึ้นแก่ ๆ ดวงจันทร์ส่องสว่างจ้า แจ่มแสง นกหกผกรังแฝง ใฝ่ไม้ ยังแต่นกไนติงเกลส่งเสียงกรออยู่ก้องป่า พอข้าพเจ้านั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งเชื้อชวนไว้ใกล้เจ้าของบ้านนั้น ก็ได้ยินเสียงหอนอันเยือกเย็นจับใจหวนขึ้นลงเรื่อย ๆ อยู่

/**/“เสียงอะไร ?” ข้าพเจ้าถาม. แกล้งอย่างนั้นเองไม่ต้องบอกก็ทราบ ด้วยจำสำเนียงได้ดีทีเดียว

“สุนักข์กวนใจของฟาบีโอ ชื่อวีวิส” แม่นีนนาตอบ “เต็มที กลางคืน ๆ ลาก้อร้องครวญไป ไม่รู้จะครวญเอาแก้วอะไร.”

“อยู่ที่ไหน !”

“ตั้งแต่สามีดิฉันถึงแก่กรรมแล้ว มันก็ตั้งแต่จะกวนอกกวนใจ วิ่งพล่านไปทั่วเรือน เข้าห้องนั้นออกห้องนี้ ร้องไปหอนไป งี้ดๆ ง้าดๆ ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน เวลาจะนอนก็ต้องไปนอนข้างเตียงแม่ดาราน้อยถึงจะได้ ดีฉันรำคาญใจมากขึ้นเลยต้องสั่งให้ล่ามเสีย.”

อนิจจา วิวิส! ต้องโทษเพราะกตัญญู.

“ฉันแหละอะไรไม่รู้กับสุนักข์ละเปนหยอดขลุกเทียว” ข้าพเจ้าพูด สุนักข์ของแม่ตัวนี้เห็นจะงามพอใช้ ขอฉันชมเปนขวัญตาสักหน่อยได้หรือไม่ ?”

“ทำไมจะไม่ได้เคอะ กีโดไปปล่อยสุนักข์มาให้ท่านชมสักทีไป๊.”

กีโดไม่ปราดถนาลุก กลับเอนตัวพิงเก้าอี้ซดน้ำชาเฉย. “ขอบใจลาแม่” กีโดพูดหัวเราะครึ่งๆ “จำไม่ได้หรือแม้วันนั้นมันเกือบฉีกเนื้อเปนชิ้นเสียแล้ว จะใช้ไปตักน้ำสักโอ่งตำเข้าสักถังยังจะดีกว่า ให้ไปแก้โซร่ ถ้าไม่มีความรังเกียจแล้วฉันจะวานเกียโชโมไปปล่อยแทน”

“สุนักข์ตัวนี้มันพิลึกละเค่อะ บางทีท่านจะไม่อยากชมมันเมื่อทราบเข้า. มันรักเจ้าของจริง” หล่อนหันหน้ามาพูดแก่ข้าพเจ้า. “วีวิสไม่ชอบซินยอเฟอร์รารีเสียเลย ไม่ดุไม่ร้าย ส่วนแก่บุตรดีฉันยังงี้ไปหามันทีไรเล่นอยู่ด้วยกันได้วันยังค่ำ ท่านจะดูจริงหรือเค้อะ ? ดูเค่อะ ? ได้.” หล่อนสั่นกระดิ่งสองครั้งคนใช้ผู้ชายก็มา.

“นี่แน่เกียโชโม” หล่อนพูด “ไปแก้วีวิสแล้วพามาที่นี่เดี๋ยวนี้.”

เกียโชโมมองดูข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว คำนับถอยรีบไปทำตามคำสั่ง ในประมาณสักสามนาที เสียงหอนครวญนั้นก็เงียบลง บัดเดี๋ยวเห็นยาวๆ ดำๆ สูงๆ เปนเงา ๆ กระโจนยวบ ๆ ข้ามสนามหญ้ามาในกลางแสงจันทร์อย่างเร็วจริงเต็มฝีเท้า. สุนักข์นั้นมิได้เข้าหานายผู้หญิงของมันหรือเข้าหาเฟอร์รารี วิ่งตรงรี่มาหข้าพเจ้าและร้องด้วยความยินดีกระดิกหางไม่รู้จักหยุด เอาเท้าตะกายและวิ่งคนองไปรอบๆเก้าอี้ด้วยความปีติของมันเหลือเกิน แล้วก็กลับมาจูบเท้าและจูบมือเอาศีร์ษะถูที่เข่า ด้วยอาการต่าง ๆ ฉนี้กระทำให้ภรรยาข้าพเจ้าแลกีโดเอาตาไปดูอื่นไม่ได้. ข้าพเจ้าทราบว่าเขามีความปลาดใจ. จึงชิงพูดเสียก่อนว่า

“จะบอกให้ทราบว่าทำไมจึงเปนเช่นนี้! แต่กะฉันไม่เปนการประหลาดเลย. ขึ้นชื่อว่าสุนักข์แล้วเจอะเข้าไม่ได้ไม่ว่าตัวไหนตัวนั้นเปนอย่างนี้หมด.”

ว่าดังนั้นแล้วข้าพเจ้าก็กดคอสุนักข์บอกว่าบังคับให้นิ่ง สุนักข์ก็นอนราบลงทันที เปนแต่ประเดี๋ยว ๆ ก็ยกศีร์ษะขึ้นดูข้าพเจ้าเสียที ดูประหนึ่งจะว่าว่ากระไรนายของเราช่างเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้. ขึ้นชื่อว่าสุนักข์แล้วมันจำเจ้าของแม่นยำนัก ถึงจะให้เปลี่ยนแปลงปลอมตัวอย่างไร ถ้ามันได้ดมกลิ่น หรือได้ยินเสียงแล้วสัตว์อันซื่อสัตย์จะรู้จักเจ้าของทันที. ข้าพเจ้าเห็นหน้าของนีนนาซีด จะซีดจริงหรือเปนด้วยตาโก๋ไปเพราะยึดมั่นด้วยอุปาทานก็มิทราบ.

“แม่กลัวสุนักข์ตัวนี้กระมัง แมดาม ?” ข้าพเจ้าถาม, หล่อนเสหัวเราะและว่า.

“เปล่าเค่อะ! แต่ประหลาดมาก วีวิสตัวนี้ไม่ใคร่เข้าหาคนแปลกหน้าเลย ถึงจะเข้าหาบ้างก็เปนแต่อย่างนั้น ๆ อย่างที่ขัดไม่ได้ ยังไม่เห็นทำแก่ใครอย่างทำแก่ท่านเลยเว้นเสียแต่แก่สามีดีฉันคนเดียว ประหลาดแท้ ๆ!”

เฟอร์รารีโดยไนยตาของเขาเห็นจริงด้วย และอาการอยู่ข้างจะไม่สบายใจแล้วพูดว่า “จะพูดก็ไม่น่าเชื่อ ฉันกับวีวิสแต่ก่อนรู้จักกันดี อยู่ดี ๆ และมาลืมเสียเฉยๆ อาการหนัก ลืมแล้วก็ไม่ยักกลับรู้จักอีก ตั้งแต่คำรามหื้อ ๆ ไม่รู้ว่าจะคำรามเอาวิเศษวิโสอะไร!”

พอได้ยินเสียงเฟอร์รารีพูด วีวิสก็ตั้งคำรามอีก ต่อข้าพเจ้าเอามือกดไว้จึงนิ่ง สัตว์เดียรฉานรู้จักแสดงตนเปนสัตรูต่อเฟอร์รารีเปนสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจข้าพเจ้ามาก—เปนของใหม่ที่เคยมา มากระทบหู ด้วยเมื่อก่อนเขาฝังข้าพเจ้านั้นทั้งสองแสดงกริยาเปนเพื่อนอันสนิทกัน.

“ฉันเลี้ยงสุนักข์มานักต่อนัก” ข้าพเจ้าพูดตามเสียงที่หัดเรื่อย. “เลี้ยงจนรู้จักนิสัยประจำตัวสัตว์ โดยนิสัยอันนี้มันรู้จักทันทีว่าคนไหนเอ็นดูสัตว์ที่เปนพรรณอันเดียวกัน และชอบสโมสรของมัน. วีวิสของแม่ตัวนี้ไม่ต้องสงไสยคงจะทราบว่า พวกพี่น้องวงษ์ญาติของมันมาเปนเพื่อนของฉันเอนก จึงไม่เปนการแปลกเลยที่มันจะรับรองรักใคร่โดยฉันมิตรจิตรมิตรใจฉนี้.”

กิริยาท่าทางที่กระทำและคำที่กล่าวไปจากปากประกอบกันให้คนทั้งสองเชื่อว่าเปนไปได้จริงดังนั้น ในไม่ช้าเราสนทนากันเรื่อย ถึงเรื่องอะไรต่ออะไรเรียบร้อยประดุจดังเก่า “ถ้าฉันเปนผู้ผูกแล้ว เชื่อแน่ว่าจะไม่หอนกวนแม่ในเวลาที่จะหลับนอนให้สบายเปนแน่ รับประกันเทียว”

เขายอมให้ตามคำที่ข้าพเจ้าอาศา เฟอร์รารีเปนผู้นำข้าพเจ้ากับสุนักข์ไปยังกุฏิสนักข์ แล้วข้าพเจ้าก็เอาโซร่ล่าม และตบหัวเบา ๆ ดูมันเข้าใจคำสั่งของข้าพเจ้าดี วิ่งตรงไปนอนบนเบาะฟางนิ่งเงียบไม่กระดุกกระดิกอะไร เว้นแต่ชั่วหันหน้ามามองดูอีกครั้งหนึ่งเมื่อขณะข้าพเจ้าเดินกลับมา.

ครั้นล่ำลาแม่นีนนาแล้ว เฟอร์รารี ก็จะเดินกลับมาส่งข้าพให้ถึงโฮเต็ล แต่ข้าพเจ้าขอไม่ให้เขาต้องมาส่งให้ลำบากเลย

“ในกลางคืนเดือนหงายเช่นนี้ฉันชอบเดินคนเดียวนัก” ข้าพเจ้าพูด “ดูมันเย็นใจ ขอท่านอย่าเปนกังวลในข้อที่จะส่งเลย อนุญาตให้ฉันสบายใจโดยลำพังตนเองเถอะ”

ครั้นพูดเกี่ยงงอนกันบ้างฉันเพื่อนฝูงแล้ว ข้าพเจ้าก็ลาทั้งสองโดยสุภาพ. เฟอร์รารีเดินมาส่งถึงประตูใหญ่หน้าบ้าน และยืนดูอยู่จนเดินออกถนนใหญ่. ในขณะที่เขายืนอยู่ที่ประตูบ้านนั้น ข้าพเจ้าทำเปนเดินเอื่อย ๆ ทอดน่องแฉะไปทางในเมือง พอได้ยินเสียงประตูลั่นก็รีบหันหน้าค่อยเดินย่องสวนทางกลับมา แต่หาได้กลับเข้าทางใหญ่ไม่ ลอดลัดไปเข้าทางด้านตวันตกที่มีต้นไม้ปลูกไว้เปนซุ้มเซิงปรกจนเกือบถึงเฉลียงเรือนซึ่งข้าพเจ้าจึงจะลุกจากไปเมื่อสักครู่นี้. ค่อย ๆ ย่องไปตามพุ่มไม้ระวังมิให้เกรียบกรอบได้ จนถึงที่ที่จะเข้าใกล้เฉลียงอย่างใกล้ที่สุดได้ พอได้ยินได้เห็นอะไรที่เปนไปบนนั้นได้ เห็นกีโดนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ยตัวที่ข้าพเจ้านั่งอยู่เมื่อตะกี้นี้ โอนศีร์ษะไปตรงทรวงอกภรรยาข้าพเจ้าและเอามือกระหวัดรอบคอ โน้มเอาศีร์ษะนางให้ลงมาประชิดกับของเขา นิ่งอยู่อย่างนั้นหลายอึดใจ แล้วภายหลัง เฟอร์รารี พูดว่า—

“ยังงี้ เต็มที เต็มที หล่อน หล่อน! หล่อนทำให้ฉันเห็นว่าหล่อนมีความพอใจในเศรษฐีคอนเต้เถ้านั้น.”

หล่อนหัวเราะ “ก้อใครว่าอย่างไรเล่า ! อุ๊ยเธอ ถ้าถอดอ้ายแว่นตาสกปรกนั้นทิ้งเสียจะสวยใช่เล่น เพ็ชรพลอยก็น่ารักไม่น้อย ฉันอยากให้เอามาให้อีก ให้อีกก็จะดีนี่!”

“ก้อนี่แน่ ติ๊ต่างว่าเขาเอาเพ็ชรพลอยมาให้หล่อนอีก น้ำใจหล่อนจะเอนไปข้างเขาเทียวหรือจ๊ะหล่อน ขอถามหน่อย” กีโดถามด้วยเสียงออกหึง ๆ “เชื่อแน่ว่า คงไม่เปนยังงั้น! อ้อยังไม่รู้ จะบอกให้ ตานั่นอวดดีพิลึก แกว่าแกจะไม่รักผู้หญิงคนไหนก่อน นอกจากผู้หญิงจะเจ๋อมารักแกก่อน! ขอให้หล่อนคิดดูเถอะ ? รักแกก่อน”

หล่อนหัวเราะอีก คราวนี้ออกกังวารบอกว่าสนุกกว่าก่อน.

“ให้คิด. หา—ทำไม นี่แบบใหม่จากร้าน—ท่านคอนเต้พูดสนุกนะ จะเข้ามาข้างในหรือไม่เล่า กีโด ?”

“ทำไมจะไม่เข้ามาเดี๋ยวนี้ ดูซีช่างพูดออกมาได้” กีโดตอบ “จะต้องจูบเสียสักร้อยครั้ง จูบให้เท่ากับจำนวนที่หล่อนชายตาและยิ้มกับคอนเต้ แก้วเทียว คราวปู่คราวย่าคราวตาคราวทวดก็เล่นตาด้วย เจ้าชู้ใหญ่เสียแล้ว.”

หล่อนนิ่งซบอยู่กับกีโดสักครู่หนึ่ง มือคลำช่อดอกไม้ที่กลัดอยู่กับรังดุม แล้วพูดเบา ๆ ดูออกมีความครั่น ๆ อยู่ในน้ำเสียงว่า - -

“พูดจริงหน่อยเถอะกีโด เธอคิดบ้างไหมว่าท่านคอนเต้นั้น มีประพิมประพายเหมือน—เหมือนฟาบีโอ ? กิริยามารยาตรยังกับมาจากโรงเรียนเดียวกัน ช่างเมื้อน เหมือน.”

“รับสารภาพตามจริงว่าสกิดหัวใจสองสามครั้ง” กีโดพูด “เหมือนจนน่าเกลียด. แต่จะถือเอาเปนนิยมนิยายอะไร ? พวกผู้ชายเรามักเหมือนๆคล้ายๆกันบ้างไม่มากก็น้อย. แต่ฉันคิดอย่างนี้ หล่อนจะคิดอย่างไรไม่ทราบ ฉันเชื่อแน่ว่านี่ไม่ใช่อื่นไกลที่ไหน คงเปนพวกพวงพ้องวงษ์ญาติที่สูญหายไปนานแล้วกลับคืนมา—ลุงของฟาบีโอคนนี้ใครก็ย่อมทราบนั่นเอง แกไม่อยากจะแสดงตนว่าเปนญาติจึงทำอย่างนี้. ว่าไปแกก้อเปนคนที่ควรคบ ฉันเชื่อว่าแกมีเงินตั้งพ้อมยังกะร้อตไชลด์. มาเถอะหล่อน แม่ชื่นใจ ดึกแล้ว.”

ทั้งสองคนก็หายเข้าไปในเรือน แล้วก็งับน่าต่าง, ข้าพเจ้าก็ออกจากที่ซ่อนเดินกลับมาเมืองเนเปิลซ์. มีความพอใจมากที่คนทั้งสองมิได้มีความระแวง โดยที่แท้ ใครเลยจะคิดระแวง มีเยี่ยงอย่างที่ไหนบ้างที่ตายจนฝังแล้วชีวิตจะคืนมาเข้าร่างได้. เกมอยู่ในมือแล้ว ต้องเล่นให้เรียบเรื่อยให้สนิททีเดียว.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ