๓
ภายหลังข้าพเจ้าฟื้นขึ้น ไม่ทราบว่าตัวของตัวนั้นอยู่ที่ไหน ? อากาศที่จะหายใจนั้นอึดอัดเหลือเกิน—มืดราวกับอยู่ในถ้ำ อาการแห่งกายของข้าพเจ้าค่อย ๆ คืนกลับมาเข้าร่าง หวนนึกขึ้นได้ถึงความป่วย, บาดหลวง—ตาเถ้าเปโตร—อยู่ที่ไหนกัน ? แล้วรู้สึกว่าตัวของตัวนอนหงายอยู่บนกระดานแขง นี่เหตุไรเขาจึงเอาหมอนที่หนุนไปเสียเล่า? ข้าพเจ้าอึดอัดใจต้องการลมอากาศหายใจนี่กระไร ? อากาศ—อากาศ ข้าพเจ้าต้องการอากาศ จึงยกมือขึ้นไป—ใจหายวาบ มือไปต้องสิ่งที่แขงที่อยู่เบื้องบน. ความจริงแล่นกลับมายังใจข้าพเจ้าอย่างรวดเร็วดูประดุจประกายไฟฟ้า ข้าพเจ้าถูกเขาฝังเสียแล้ว—ถูกฝังทั้งเปน—ถูกขังอยู่ในโลง! โดยความโกรธและกลัวข้าพเจ้าตั้งต้นจะกระทั่งจะฉีกแผ่นกระดานด้วยมือและเล็บของตน แรงมีอยู่ในกายตัวกี่มากน้อยเอามาสดมภ์ลงที่แขนที่ไหลจะพังให้ฝาโลงทลายจงได้, ผลของแรงที่ทำนั้นก็ยังมิได้ปรากฏ ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งบ้าด้วยความโกรธและความกลัวมากขึ้น ข้าพเจ้าเกือบจะหายใจไม่ออกตายอยู่แล้ว—รู้สึกว่าลูกตานั้นเหมือนกับจะทะเล้นออกมานอกกระบอก—โลหิตไหลออกทางปากและจะมูก—เหงื่อหน้าผากราวกับถูกประด้วยน้ำฝน. หยุดกระทุ้งฝาโลง เพื่อดิ้นทุรนทรายหายใจเสียที. แล้วนึกว่าไหน ๆ จะตายก็ลองอีกพัก คราวนี้เปลี่ยนด้านเอียงตัวเอามือดัน ทุบ และกระทั่ง ด้วยเต็มกำลังมิได้คิดถึงความเจ็บปวดเลย, โลงลั่น—ความคิดใหม่วิ่งมาสู่มันสมองทำเอาชงักทันที คือคิดว่าถ้าเขาขุดหลุมฝังลงไว้ การที่กระทุ้งโลงจนทลายสำเร็จจะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง เปล่าทั้งสิ้น พอโลงพังแล้วดินก็จะทลายลงมาจุกจมูกจุกปากจุกหูเข้าตา ทับถมกายตัวเข้าแบบแซ่ว ตาย! เมื่อคิดดังนั้นแล้วออกนึกหัวเราะการดิ้นรนของตนว่า ยอมนิ่งตายในโลงว่าไม่ดี อยากไปหาดินอุดจมูกอุดปากตาย รู้สึกหายใจแปลกขึ้น ไม่สู้แร้นแค้นเหมือนเมื่อแรก เออ! อากาศแล่นเข้าได้อย่างไรอย่างหนึ่ง. ลมอากาศใหม่ทำให้ข้าพเจ้าชื่นบานมีเรี่ยวแรงขึ้น เท่ากับคนเดินข้ามทุ่งในตอนเที่ยงได้รับประทานน้ำ. เอามือทั้งสองค่อยคลำ ๆ ไปจนเจอะช่องชำรุดที่ข้าพเจ้ากระทุ้งลั่นแง้มออกไป ลมเดินเข้าได้สดวก. ตั้งต้นดันแผ่นกระดานข้างโลงอันนั้นจนหลุดออกทั้งแผ่น ยื่นมือออกไปกวัดแกว่งดูก็ไม่กระทบดิน คราวนี้ดันฝาโลงเปิดออกง่ายสมประสงค์—ดินไม่ร่วงลงมาทับตัวดังคิดไว้—ลุกขึ้นนั่งเอามือกวัดก็แล้ว ลุกขึ้นยืนเอามือแกว่งก็แล้ว มิได้กระทบวัตถุอะไรนอกจากลมอากาศ. โดยความที่เกลียดอ้ายโลงคุกนั้น ข้าพเจ้ารีบกระโดดออกไปตกหกขะมำลงไปบนสิ่งซึ่งดูเหมือนจะเปนพื้นปูด้วยสิลา ทั้งมือทั้งเข่าถลอกปอกช้ำมาก ในขณะที่ตกลงมานั้น มีอะไรตกโครมครามลงด้วยข้าง ๆ ตัวข้าพเจ้า ความมืดที่นั่นมืดแท้ หลับตาหรือลืมตาเห็นไม่แปลกกัน แต่หายใจสบาย อากาศเย็นและชื่นใจ. อุส่าห์ทนพยุงตัวของตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งณะที่ที่จะมาลงมานั้น แข้งขานอกจากเปนแผลยังเมื่อยและเปนเหน็บชา ตัวสั่นระริกริ้วไปด้วยความเจ็บปวด. ความคิดที่ยุ่งเหยิงค่อยกระจ่างใส เข้าหัวเงื่อนติดต่อข้อความกันได้ นี่ถูกเขาฝังทั้งเปนแน่แล้ว—ไม่ต้องสงไสย. เมื่อเจ็บที่ตึกเล็กริมทางนั้น เห็นจะอาการมากถึงกับสลบแน่นิ่งไป และพวกนั้นคงนึกว่าตายด้วยโรคอหิวาตะกะโรค โดยความขี้ขลาดความรีบร้อน อย่างธรรมดาในอิตาลีสมัยโรคห่าชุกชุมนั้น รีบเอาข้าพเจ้าใส่โลงอย่างที่ทำด้วยไม้ประกับๆ ตะปูตอกๆ สักแต่ว่าโลงรีบเอามาฝังเสีย, ข้าพเจ้าออกขอบใจตาช่างต่อโลงเลวทรามชนิดนี้ขาย เพราะว่าถ้าหากเขาเอาข้าพเจ้าใส่ในหีบอย่างแน่นหนาดีสมแก่เกียรติยศแล้ว ไหนเลยจะกระทุ้งทุบสลักหักพังได้ ให้มีแรงเท่าช้างสารก็ทุบมือหักเปล่า. นึกๆ ไปก็แสยงใจ. ข้อปัณหาข้อใหญ่ยังตีไม่แตก—ตัวของตัวหน้ะอยู่ที่ไหน ? คิดทวนต้นทวนปลายหลายครั้งเพื่อจะค้นได้เค้าได้เงื่อนบ้าง เค้าเงื่อนที่ได้ก็ยังไม่เปนที่พอใจ. อ้อ! จำได้ว่าได้บอกชื่อให้บาดหลวงองค์นั้น—บาดหลวงทราบว่าข้าพเจ้าสืบตระกูลมาจากวงษ์โรมานเสรษฐีใหญ่ ท่านบาดหลวงองค์นั้นคงกระทำตามหน้าที่ที่ท่านจะพึงกระทำ คือนำเอาโลงที่ใส่ข้าพเจ้ามาไว้ในห้องซุ้ยของบูรพชนก็จะเปนได้ ยิ่งสกดหัวใจให้แน่วตรองไป ๆ ยิ่งเห็นท่าจะสมจริงดังทาย ห้องซุ้ยโรมานี! เมื่อข้าพเจ้ายังเปนเด็กอยู่นั้น ได้เคยเข้ามาในห้องซุ้ยนี้ครั้งหนึ่ง ครั้งเมื่อท่านบิดาถึงแก่กรรม ข้าพเจ้าได้ตามหีบศพเข้ามาตั้งไว้บนแท่นศิลาอันจารึกงดงาม ข้างหีบศพท่านบิดานั้นมีหีบอีกหีบหนึ่ง มีช่อดอกไม้และเครื่องประดับทำด้วยเงินหลายสิ่ง เขาบอกว่าหีบนั้นเปนหีบศพของมารดาข้าพเจ้า ผู้ถึงแก่กรรมเสียแต่เมื่อข้าพเจ้ายังไม่รู้เดียงษา, ถูกแต่คนโน่นบอกให้ดูหีบนั้น คนนั้นให้ดูนี้ คนนี้ให้ดูโน้น ทำเอาข้าพเจ้าออกขยาดไม่สบายใจรู้สึกเย็นเยือกอย่างไรไม่ทราบ ต้องรีบออกมาเสียภายนอกจึงค่อยยังชั่ว มาบัดนี้เวรอันใดทำให้ต้องขังอยู่ในห้องซุ้ยอันนั้น—เปนนักโทษ—จะหวังหนีรอดอย่างไร ? จำได้ว่าทางที่จะเข้าในห้องซุ้ยนั้นเปนประตูเหล็กใหญ่ - ถัดประตูมาก็เปนบรรไดชันลึกลงมา—ลงมาจนถึงคูหาที่ข้าพเจ้าอยู่เดี๋ยวนี้. ถ้าหากว่าจะพยายามคลำไปจนถึงประตู—แล้วจะมีประโยชน์อย่างไร ? ประตูก็ใส่กุญแจ และทั้งอยู่ในป่าช้าด้วย ไม่มีธุระแล้ว ร้อยวันพันเดือนก็ไม่ผ่านมาทางนั้นครั้งหนึ่ง. ข้าพเจ้าก็จะต้องตายเพราะอดอาหาร ? หรือตายเพราะกระหายน้ำ ? เครื่องแต่งตัวข้าพเจ้าไม่มีอะไรนอกจากเสื้อเชิดสักลาดอ่อนกับกางเกง มีของอีกสิ่งหนึ่งห้อยอยู่ที่คอ. คลำไปคลำมาระลึกขึ้นได้ว่าเปนสายสร้อยทองคำน้อย ล้อกเก็ตรูปภรรยาและบุตรน้อยข้าพเจ้า ยกเอาล้อกเก็ตขึ้นจูบและหลั่งน้ำตา—เปนครั้งแรกที่ข้าพเจ้าร้องไห้ตั้งแต่เจ็บและถูกขังทั้งเปน แม่นีนนายังอยู่เปนจอมโลกตราบใดชีวิตยังเปนของที่ควรสงวนไว้ตราบนั้น! นีนนา—แม่ชื่นใจ—แม่งามเลิศ! นึก ๆ แลเห็นเหมือนหน้าหล่อนเศร้าโศกและเปียกด้วยน้ำตา ร้องไห้ร่ำรักถึงข้าพเจ้าซึ่งหล่อนนึกว่าถึงแก่กรรมแล้ว! แม่ดาราน้อยก็คงจะนึกสงไสยเหมือนกัน ว่านี่บิดาไปเสียไหนจึงไม่มาไกวชิงช้าใต้ต้นไม้ในสวนตามเคย กีโด—สหายผู้กล้าหาญและซื่อสัตย์! จะมีความเสียใจมากอย่างที่สุด ที่มาสูญข้าพเจ้าไปคนหนึ่ง. เออ, ต้องคิดอ่านหนีออกจากห้องซุ้ยนี้ให้จงได้! พวกนั้นเห็นจะยินดีพิลึกเมื่อเห็นกลับไปบ้าน—ไม่ตายจริง! เห็นจะเต้นรับขับสู้กันใหญ่! ไหนแม่นีนนาจะวิ่งเข้ามากอดและเอาศีร์ษะซบบนไหล่—ไหนบุตรน้อยจะวิ่งเข้ามาเกาะแข้งเกาะขา—ไหนกีโดจะมาจับมือบีบ เมื่อหวนคิดถึงบ้าน บ้านที่บริบูรณ์ด้วยสมบัติ บริบูรณ์ด้วยสหายรัก และบริบูรณ์ด้วยความรัก ทำให้ข้าพเจ้าอิ่มอกอิ่มใจยิ้มออกได้!
เสียงระฆังหง่างทำข้าพเจ้าสดุ้งสุดตัว—หนึ่ง! สอง! สาม! นับไปจนได้สิบสองหง่าง. เปนเสียงระฆังตามวัดตีบอกทุ่มบอกโมง. ความศุขในใจที่นึกถึงบ้านกลับสลดไปอย่างเดิม. นี่ตีสิบสอง ! เที่ยงวันหรือเที่ยงคืนหนอ ? ลองคิดดูล้มเจ็บในเวลาเช้า—คงเจ็บอยู่หลายชั่วโมง แล้วก็สลบหรือเรียกว่าตายตามพวกเหล่านั้น เขาเข้าใจกันราวเวลาเที่ยง กว่าจะโลเลได้เอาเข้าโลงแบกมาฝังกันก็ราวเวลาจวนค่ำ เพราะฉนั้นรวบรวมใจความเข้าหมดลงเนื้อเห็นว่าระฆังตีเมื่อสักครู่นี้บอกเวลาเที่ยงคืน - เที่ยงคืนวันที่เขาฝังนั้นเอง. ข้าพเจ้าสะท้านขึ้นมาทันที ก่อนก็เคยเปนคนกล้าและทั้งเปนคนคงแก่เรียน แต่ทั้งกล้าทั้งคงแก่เรียนนั่นแหละ อย่างไรไม่ทราบรู้สึกเสียวแสยงมาก ขังอยู่ในห้องซุ้ยคนเดียวด้วยศพของบุรพชนในเวลากลางคืนอันเงียบสงัดกลางป่าช้า และมาได้ยินเสียงระฆังอันวิเวกวังเวงกังสดารหง่างๆ ฉนั้น จะไม่ขนพองสยองเกล้าเสียวแสยงยิ่งอย่างไรได้ ค่อยเอาความรู้ต่าง ๆ มาหักให้ความกลัวค่อยน้อยลง แล้วคลำหาทางที่จะขึ้นบรรไดมาเบื้องบน ค่อย ๆ คลำไปช้า ๆ เอ๊ะ นั่นอะไร ? ข้าพเจ้านิ่งหยุดฟัง โลหิตแล่นขึ้นสมองซ่า ๆ ขนศีร์ษะตั้งพองโต! ได้ยินเสียงครางครึมก้องห้องซุ้ย และได้ยินเสียงเคาะก๊อกแก๊กๆ. เหงื่อเย็นไหลออกท่วมตัว—หัวใจเต้นกระทบโครงดังจนได้ยินถนัด ประเดี๋ยวคราง—ประเดี๋ยวคราง—ประเดี๋ยวคราง—ประเดี๋ยวได้ยินผึ้บผั้บ ๆ ๆ ๆ.
“อ๋อ ปู้โท่ นกเค้าแมวน่าหรือ นึกว่าอะไรเสียอีกเล่า.” ข้าพเจ้าพูดคนเดียว ภายหลังที่จับเค้าได้. ว่าดังนั้นแล้วก็ค่อยคลำไปอีก ประเดี๋ยวเห็นไนย์ตาใหญ่เหลืองวาวสองข้าง ไม่เห็นตัวเห็นตนว่าเปน อย่างไร เห็นแต่ตาวาว ๆ ทำเอาสดุ้งตกใจกลัวหยุดนิ่งอีก อ้ายตาวาวนั่นตรงเข้ามายังข้าพเจ้า ราวกับเสือตรงเข้ามาหาเนื้อ! ข้าพเจ้ายกมือขึ้นป้องปัดสู้โดยเต็มกำลัง อ้ายตาวาวนั้นก็ร่อนอยู่รอบ ๆ ศีร์ษะ ลงเกาะจิกตีตามหน้าด้วยปีก—ปีกที่ข้าพเจ้าเห็นด้วยตาไม่ได้ ได้แต่เพียงรู้สึก เห็นแต่ไนย์ตาวาว ๆ กลางที่มืดอย่างเดียว. ทุบต่อยตีปัดสู้กันอยู่นานภายหลังเดชะบุญคุณพระเหวี่ยงตามบุญตามกรรมไป, โดนเจ้านกเค้าแมวปั๋งใหญ่เข้าตรงหน้าอกตกลงกลางพื้น แล้วมันก็บินหนีกลับเงียบสูญเสียงไป.
ข้าพเจ้ายังไม่สิ้นความอุสาห์ แต่รู้สึกว่าเส้นประสาทในกายตัวนี้วิปริตผิดปรกติไปทุกเส้น มุ่งหน้าคลำไปทางทิศที่นึกคาดว่าจะตรงบรรไดขึ้นข้างบนนั้น คลำไปคลานไปประเดี๋ยวเจอะของอะไรขวางหน้าอยู่—ของสิ่งนั้นแขงและเย็นเยือก—กำแพงหินแน่แล้ว เอามือลูบขึ้นลูบลงทราบว่าเปนโพรงข้างใน—นี่จะเปนบรรไดขั้นแรกดอกกระมัง! แต่ออกสงไสย ดูมันก้าวสูงนัก ข้าพเจ้าค่อยประจงคลำ—กระทบของอ่อน ๆ หยุ่น ๆ คล้ายกับตะไคร่น้ำหรือผ้ากำมะหยี่เปียกน้ำ เอามือลูบไปตามขอบที่นึกว่าเปนขั้นบรรได ได้เค้าว่าเปนโลงผี ใจข้าพเจ้าหายวาบ ชักมือขึ้นมาทันที และนิ่งนึกในใจว่านี่จะเปนโลง ของผู้ใดหนอ ? จะเปนหีบศพบิดาหรือ หรือจะเปนหีบศพมารดาข้าพเจ้าด้วยมีเศษผ้ากำมะหยี่อยู่ที่นั่น ? การที่พยายามจะหาทางออกจากห้องซุ้ยก็เปนการทำเหนื่อยเสียเปล่า หลงอยู่ในที่อันมืดสนิทฉนี้ ยิ่งกว่าหลงในเขาวงกฎที่ทำล้อมแล้วด้วยแผ่นกระจกเงาเสียอีก มืดยิ่งกว่าแปดด้านไม่ทราบว่าจะหันตัวมุ่งไปทางไหนจึงจะถูก หันทางโน้นก็ไปโดนโลง หันหลีกไปทางนั้นก็ไปโดนหีบ สิ้นแต้มไม่รู้จะทำอย่างไร ลงหมอบยกมือขึ้นไหว้และอ้อนวอนว่า
“พระเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณาอันไม่มีที่สุด! พระองค์ผู้เปนใหญ่ในโลก! ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายอยู่ในอำนาจของพระองค์ ประดุจลูกไก่อยู่ในพระหัดถ์ พระองค์จะบีบก็ตาย พระองค์จะคลายก็รอด ขอพระองค์จงมีความเมตตาแก่ข้าพระองค์ด้วย! โอ้ท่านมารดาของข้าพเจ้า! ถ้าและทรากศพของท่านอยู่ในหีบที่ข้างตัวข้าพเจ้านี้แล้ว ขอจงคิดถึงข้าพเจ้าผู้เปนบุตรบ้าง วิญญาณอันประเสริฐของท่านสถิตอยู่ ณ วิมานในเมืองฟ้า—จงเอ็นดูอ้อนวอนแทนและช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความทุกข์ด้วย หรือมิฉนั้นก็จงโปรดบันดาลให้ข้าพเจ้าตายเสียทันทีดีกว่าที่จะทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้ !”
ข้าพเจ้าได้ร้องอ้อนวอนด้วยเสียงอันดัง และเสียงนั้นไปก้องตามคูหาในห้องซุ้ยกระท้อนกลับมายังหู เสียงดังบ้างค่อยบ้างชัดคำบ้างไม่ชัดบ้าง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวเสียงของข้าพเจ้าเอง. ถ้าแม้ความทรมานนานไปอีกหน่อยแล้วข้าพเจ้าคงเปนบ้าแน่. ไม่กล้านึกทำภาพขึ้นดูในใจ (นึกเปนรูปภาพตัวของตัวขังอยู่ในที่ของคนตายและอยู่ในกลางความมืด อยู่ในกลางหมู่หีบซึ่งบรรจุศพเก่าแก่ราขึ้นขมวนไช !) จึงหมอบนิ่งเอามือปิดตาสกดอกสกดใจให้นิ่งแน่ว มิให้คิดถึงเรื่องห้องซุ้ยอีก ฮ้ะ! นั่นเสียงอะไรอีกละ ช่างร้องเย็นจับใจจริง! ยกศีร์ษะขึ้นเงี่ยหูฟัง อ๋อเสียงนกไนติงเกลดอกหรือ เสียงช่างไพเราะ เย็นจับใจนี่กระไร คนที่มีความทุกขความเศร้าโศกอาจบันเทาขึ้นได้มากเมื่อได้ยินเสียงของเจ้า!
ความคิดใหม่วิ่งมาดลใจข้าพเจ้า เกิดมีกำลังวังชาขึ้นอีกนึกเห็นว่า นกนั้นเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ปากช่องที่จะเข้าห้องซุ้ย ถ้าแม้เข้าไปให้ใกล้เสียงได้ คงจะไปใกล้บรรไดที่ได้ตั้งใจค้น. เมื่อนึกดังนั้นแล้วก็ยืนขึ้นย่างเท้าไปช้า ๆ กว่าจะย่างเท้าไปได้แต่ละก้าวต้องเอาเท้าเอามือแกว่งไปแกว่งมาเสียหลายกลับก่อนกลัวจะโดน เมื่อไม่โดนอะไรแล้วจึงหย่อนเท้าลง คราวนี้ไม่มีอะไรกีดหรู่ขวางทางเลย เสียงนกร้องใกล้เข้ามา ๆ ประเดี๋ยวลงกรอๆ เหมือนจะลงเอย แต่ก็กลับร้องดังอีกต่อไป เท้าข้าพเจ้าสดุดก้อนสิลาเข้าก็ล้มขว้ำลงอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้สึกเจ็บปวด—แข้งขาชาไม่เจ็บเสียแล้ว ยกศีร์ษะแหงนหน้าขึ้น แลเห็นแสงจันทร์ส่องลอดลงมาสักเท่าลำไต้ บอกข้าพเจ้าว่าได้มาถึงที่ที่ข้าพเจ้าค้นหาสมความประสงค์แล้ว สิลาที่สดุดนั้นก็คือขั้นบันไดขั้นต้นนั่นเอง บานประตูนั้นอยู่ที่ต้นบันไดสูงชันขึ้นไป และในขณะนั้นข้าพเจ้าอ่อนกำลังนักไม่พอที่จะเปนกายขึ้นไปได้ จึงนอนลงที่เชิงบรรได ดูราวกับว่าเปนหมอนและที่นอนอันอ่อนนุ่ม มองชมแสงจันทร์และฟังเสียงนกไนติงเกล ในบัดใจได้ยินเสียงหง่าง! เสียงระฆังบอกว่าเจ็ดทุ่มแล้ว ไม่ช้าก็จะรุ่งตั้งใจจะนอนอยู่ที่นั่นจนสว่าง โดยความที่หิวอ่อนกำลังอิดโรยแรงเลยม่อยหลับไป.
นอนหลับอยู่นานเท่าไรนั่นข้าพเจ้าบอกไม่ได้ เมื่อสดุ้งตกใจตื่นขึ้นรู้สึกอ่อนหิว และที่ตรงคอเจ็บปวดราวกับตัวอะไรมันค่อยเอามือคลำดูที่ตรงปวด... โอ! ข้าพเจ้าจะไม่รู้จักลืมสิ่งที่มือได้ไปกุมเข้าเลย มันเกาะติดอยู่กับเนื้อ อ้ายตัวมีปีก ๆ หายใจฟู่ ๆ คาย ๆ ขยะแขยง! ความเกลียดสอิดเสอียนทำเอาข้าพเจ้าร้องคับห้องราวกับใครเอาหนูมาโยนใส่! หลับหูหลับตาแขงใจเอามือทั้งอ้ายตัวนิ่มๆ คายๆ หยุบ ๆ อื๊อ! เหวี่ยงไปไกลสุดกำลัง เวลานั้นข้าพเจ้านึกว่าตัวของตัวเปนบ้า ได้ยินเสียงร้องกรี๊ดของตัวเองไม่รู้จักหยุด ประเดี๋ยวกรี๊ด ๆ ให้หวาดเสียวไปว่าอ้ายตัวแมลงนั้นกลับค่ายมาอีกแล้ว ! แสงเดือนหายลับไป ณ ที่ตรงเคยเห็นแสงเดือนมีแสงหลัว ๆ พอเห็นทางขึ้นบรรไดราง ๆ รีบขึ้นบรรไดมาพอถึงบานประตูเหล็ก ก็เข้าจับโยกกระชากหมายจะให้หักพังเปิดออก แต่ประตูนั้นไม่กระเทือนเขยื้อนเลยดังว่าเปนก้อนสิลาใหญ่ ตะโกนให้เขาช่วยก็ไม่มีใครขาน นอกจากได้ยินเสียงก้องเลียนเสียง มองลวดสี้กรงเหล็กบานประตูออกไปเห็นหญ้าเห็นต้นไม้เห็นฟ้าขมุกขมัวเรื่อยๆรำไร ค่อยชื่นใจขึ้นสนัด เหลือบชำเลืองขึ้นบนซุ้มประตูเห็นเถาองุ่นป่าเลื้อยพาดเปนระย้าเฟื่องห้อยย้อยลงมา มีผลสุกห่ามเปนพวงออกเรี่ยรายไป ลอองน้ำค้างติดต้องดูแววรับประดุจประดับด้วยพลอยอันมีค่า ข้าพเจ้าลอดมือออกไปทางช่องลูกกรงยืนเขย่งฉวยพวงองุ่นได้สองสามพวง รีบรับประทานด้วยความหิวกระหายจนหมด ดูรศชาติมันช่างโอชาเสียนี่กระไร เกือบจะว่าได้ว่าตั้งแต่เกิดยังไม่ได้เคยรับประทานอะไรที่จะโอชารศมากกว่านี้ ฅอที่แห้งผากค่อยบรรเทาลง เรี่ยวแรงดูเกิดขึ้นมาทันที.
กล้าหาญชาญไชยเหลียวหน้ามองลงบรรไดที่จะเข้าคูหาได้ มองเห็นอะไรขาวๆ อยู่ที่บรรไดขั้นที่เจ็ดนับแต่ขั้นบนลงไป โดยความพิศวงว่าจะเปนอะไรแน่ ข้าพเจ้าค่อยๆต่ายลงไปดู เห็นเปนเทียน ขี้ผึ้งสักครึ่งเล่มได้วางอยู่ เทียนนั้นเปนเทียนชนิดอย่างพวกพระบาดหลวงถือนำศพเข้าฝัง นี่ชะดีชะร้ายพวกพระที่ถือเทียนศพเข้ามาเมื่อขากลับขี้เกียจจะถือเอาเทียนกลับไปก็เหวี่ยงทิ้งเสียตามข้างทางเดิน ข้าพเจ้ามองดูเทียนเล่มนั้น และรำพึงว่าถ้าเราได้ไฟจะดี! ล้วงมือเข้าไปในกะเป๋ากางเกง—นี่อะไรดังกริ๋ง! อ้อเปนด้วยเขาตลีตลานรีบเอาใส่โลงมาฝังนี่เอง เข้าของในกะเป๋ากางเกงจึงยังคงเหลืออยู่ ถุงเงินปลีกก็ยังอยู่ พวงกุญแจก็ยังอยู่ ซองการ์ดก็ยังอยู่ คลำไปคลำมาในกะเป๋าได้ของที่ข้าพเจ้าต้องการมาก คือหีบไม้ขีดไฟเทียนไขเงิน เอามือสอดกะเป๋ากางเกงอีกข้างหนึ่งหมายว่าจะพบซองบุหรี่เงินที่ใส่ไว้ แต่ไม่พบมิได้—ซองนั้นดีมีราคามากด้วย ชรอยท่านบาทหลวงองค์นั้นท่านจะควักเอาออกส่งไปกับนาฬิกาและสายนาฬิกาให้ภรรยาข้าพเจ้าแล้ว. เอออดบุหรี่ไป แต่ถึงกระนั้นก็ได้จุดไฟเทียน, พระอาทิตย์ก็ยังไม่ชักรถเลี้ยวเหลี่ยมพระสุเมรุ ยังอีกนานกว่าจะมีช่องมาคอยตะโกนให้คนที่เดินผ่านทางนั้นช่วยได้ อย่ากระนั้นเลยนั่งจองอยู่ที่ประตูนี้ก็ป่วยการเวลา กลับลงไปดูโลงที่ใส่มาฝังทีหรือว่าหน้าตาจะเปนอย่างไร ? พอได้ไม้ขีดเข้ากล่องหนึ่งแล้วเลยไม่กลัวสดุ้งอะไร หยิบก้นเทียนขึ้นจุดไฟ ทีแรกดังเป่าะแป่ะ ๆ ฉี่ ไม่ใคร่จะติดไฟได้เลย สักครู่หนึ่งก็ลุกลามส่องแสงสว่างไสวดี เอามือป้องเทียนเข้ามือหนึ่ง ถือเทียนมือหนึ่ง ย่างเท้าก้าวลงบรรไดกลับมาสู่ห้อง ห้องที่มืดที่น่ากลัวถึงกับเกือบจะทำให้ข้าพเจ้าเปนบ้าตาย.