ทุกคนย่อมทราบว่าระดูร้อนในเมืองเนเปิลซ์เมื่อ ค.ศ. ๑๘๘๔ เปนอย่างไร หนังสือพิมพ์ทุกประเทศย่อมกล่าวถึงความน่ากลัวอย่างมหันต์ อหิวาตะกะโรคได้เกิดมีขึ้นและได้แผ่ผ่านไปอย่างร้ายแรง ราวกับพระยามัจจุราชต้องการสดมภ์มนุษย์ไปเข้ากองทัพเมืองผีฉนั้น พลเมืองเปนอเนกประการ ทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ ที่ไปถึงบ้านไม่ทันลงนอนกลิ้งร้องครางครึมระงมคอยท่าความตายอยู่ตามข้างทางเดิน โรคอันร้ายแรงอันนี้เกิดขึ้นเพราะความสกปรกโสมม ซึ่งเจ้าพนักงานกรมศุขาภิบาลมิได้กระทำตามหน้าที่ ละเลยไว้จนอากาศเสีย จนเกิดตัวโรคขึ้นติดต่อกันไปมากอย่างรวดเร็ว ยังซ้ำร้ายขึ้นไปอีกคือพวกราษฎรพากันถือเสียว่าโรคชนิดนี้เปนของรักษาให้หายไม่ได้ เมื่อมาถึงตัวใคร ผู้นั้นก็ต้องยอมตาย เพราะว่าพวกพ้องพี่น้องพากันหนีเอาตัวออกห่างสิ้น ฉนี้จึงเปนโอกาศให้โรคกำเริบร้ายแรงมากขึ้น ความกล้าหาญของพระเจ้าฮุมแบรโต ในเรื่องที่ช่วยพลเมืองในคราวอับจนใหญ่นั้น ยังนั่งอยู่ในหัวใจของพวกที่คงแก่เรียนอยู่เปนเนืองนิตย์, พวกเนียโปลิตันกลัวความตาย ถือผีถือสาง และรักตัวของตัวเองเปนอย่างยิ่ง ดังจะชักตัวอย่างมาอุทาหรณ์สักเรื่องหนึ่ง คือมีคนหาปลามีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง รูปร่างสะสวยและมีคนรักใคร่มากในเมืองนั้น วันหนึ่งลงเรือไปตีอวนในทะเลเกิดมีอาการปรากฎเปนอหิวาตะกะโรคขึ้น พวกพ้องและลูกจ้างในเรือก็ช่วยกันพยุงมายังบ้านมารดาหญิงแก่ มารดาได้ยืนเยี่ยมหน้าต่างดูพวกนั้นพยุงคนไข้มาพอจวนถึงเรือนหญิงมารดาก็วิ่งลงไปปิดประตูลั่นดาลเสีย.

“ซันติสสิมา มาโดนา!” ขึ้นไปแย้มหน้าต่างร้องออกไป.

“ทิ้งไว้ข้างถนนนั่นแหละ อย่าวุ่นวายแก่มัน อ้ายลูกอกตัญญู! มันจะนำเอาตัวห่าเข้ามาล้างพวกพ้องที่หากินโดยความสุจริต, โอ โยเสฟผู้สักสิทธิ! ทิ้งมันไว้ที่ถนนนั่นแหละข้าบอกละก้อเชื่อเถอะ.”

เปนการอันยากที่พวกซึ่งหามมานั้นจะพูดอ้อนวอนชี้แจงกับยายแร้งทึ้ง. ส่วนบุตรชายก็ไม่รู้สึกแค้นอกแค้นใจอะไรเพราะว่าเขาหมดสติ ชักดิ้นไปดิ้นมาได้หน่อยก็ขาดใจตายอยู่ที่หน้าประตูบ้านของมารดาตนนั่นเอง แล้วพวกสัปเหร่อก็มาจัดการลากขึ้นเกวียนไปฝั่ง จะที่ไหนก็ตามแต่ใจเขา ราวกับว่าศพคนเปนขยะฝุ่นฝอยใหญ่อะไรอย่างหนึ่ง

ความร้อนในเมืองเปนอย่างยิ่ง. แสงแดดแปลบเข้าตาราวกับไปทอมาจากแผ่นกระจก น้ำในอ่าวนิ่งราวกับว่าอยู่ในอ่าง ควันและเปลวไฟที่ขึ้นจากปล่องภูเขาไฟนั้นน้อย ดูเหมือนจะอายความร้อนซึ่งอยู่ภายนอก ไม่กล้าแผลงอิทธิฤทธิพวยพุ่งขึ้นมากดังเคย. แต่ชั้นนกหกที่บินร่อนอยู่ตามอากาศและจับอยู่ตามพุ่มไม้ก็ไม่ใคร่จะร้องเพลงส่งเสียงอันไพเราะ เว้นแต่นกตามข้างบ้านข้าพเจ้า เพราะว่าที่ที่ข้าพเจ้าอยู่นั้นอยู่บนเนินสูงขึ้นไป และเย็นสบายเสมอ ข้าพเจ้าระวังระไวอย่างกวดขันที่จะไม่ให้ตัวโรคร้ายต่ายขึ้นไปทำรังในบ้านได้. ภรรยาข้าพเจ้ามิได้มีความสดุ้งเสทือนเลย—หญิงสวยมักไม่ใคร่กลัวอะไร. ความทนงตัวว่าเปนคนสวย เปนเครื่องอย่างเอกที่จะกันไม่ให้ตัวเลวทรามเข้าใกล้ได้. และฝ่ายแม่ดาราน้อย อายุสองขวบ เปนเด็กไม่รู้จักเจ็บจักไข้ ทำให้บิดามารดาไม่ต้องกระวนกระวายร้อนใจ

กีโด เฟอร์รารี่ ได้มาอยู่กับเรา. ในขณะที่อหิวาตะกะโรคเปนประดุจเคียวอันคมอยู่กลางนาเข้าที่สุกแล้ว เกี่ยวเอาพวกชาวเมืองผู้นับถือความสกปรกเปนสรณะไปนับด้วยร้อยด้วยพัน เราสามคนกับบ่าวไพร่ในเรือนเปนไม่ยอมให้ใครเข้าไปเยี่ยมเยือนเมืองเปนอันขาด. อาหารที่รับประทานก็เลือกอย่างที่ไม่แสลง น้ำที่ดื่มก็ใช้น้ำกลั่น อาบน้ำเปนเวลา ตื่นก็เช้านอนก็หัวค่ำ ต่างคนก็มีความศุขสบายทั่วหน้า.

ภรรยาข้าพเจ้าไม่เฉภาะแต่สวยอย่างเดียว ร้องเพลงขับลำไพเราะเสนาะโสตดีด้วย หล่อนได้ร้องเพลงวันละหลายๆเพลง เมื่อกีโดและข้าพเจ้านั่งสูบบุหรี่อยู่ด้วยกัน และเมื่อดาราน้อยไปนอนเสร็จ แล้ว หล่อนร้องพลางดีดหีบเพลงพลาง เสียงทั้งสองเข้ากันกลมกล่อมนัก บางทีกีโดก็เข้าร้องประสานเสียงด้วยเนืองๆ เสียงทุ้มและเสียงเอกดูสอดประสานกันเปนที่น่าฟังยิ่งนัก ในบัดนี้เสียงทั้งสองนั้นยังแว่วๆอยู่ในหูข้าพเจ้า เสียงสำรวมคู่นั้นร้องเปนทำนองเยาะเย้ยอยู่ไม่รู้หาย พอนึกถึงความเก่าขึ้นมาแล้วที่สุดจนชั้นกลิ่นดอกส้มในสวนก็ยังจำได้; ดวงจันทรอันเต็มดวงในวันเพ็ญ ค่อยๆชักรถลงเรี่ยจนจุ่มจมหายไปในทะเล นึกขึ้นอีกทียังเห็นศีร์ษะสองศีร์ษะเอนเข้าพาดพิงกัน, หนึ่งขาว, หนึ่งดำ; ภรรยาของข้าพเจ้า, เพื่อนของข้าพเจ้า,—ชีวิตของคนทั้งสองนั้นเปนที่รักแห่งข้าพเจ้า มากกว่าชีวิตของข้าพเจ้าเองสักล้านเท่า.

เดือนสิงหาคมเปนเดือนอย่างร้อนที่สุดในเมืองเนเปิลซ์. อหิวาตกะโรคร้ายแรงขึ้นทุกวัน จนพลเมืองเกือบเปนบ้าด้วยความกลัวสิ้น บางคนถึงกับคลั่งคิดอ่านประจบพระยามัจจุราช เผื่อว่าท่านจะละลดตัวไว้บ้าง บ้าเช่นนี้มีตัวอย่างในโรงเตี้ยมอย่างดีแห่งหนึ่ง พวกผู้ชาย/*17หนุ่มแปดคนมากับผู้หญิงสาวอีกแปดคน ว่าเช่าห้องไปรเวตห้องหนึ่ง จัดโต๊ะเลี้ยงดูกันเปนที่สบาย ลงปลายชายหนุ่มคนหนึ่งได้ยืนขึ้นและว่า “ความสำเร็จจงมีแก่อหิวาตกะโรคเทอญ” ทั้งหมดได้ยืนขึ้นยกถ้วยเหล้าดื่มให้พรโดยความเต็มใจ ในคืนวันนั้นเองทั้งชายแปดหญิงแปดเปนอหิวาตกะโรคชักดิ้นชักงอตายทั้งสิ้น ศพของพวกเหล่านั้นถูกบันจุลงในโลงสกปรก แลฝังทับซ้อนสุมกันลงในหลุมเดียว.

เช้าวันหนึ่ง—เปนเช้าวันร้อนที่สุดในเดือนนั้น—ข้าพเจ้าตื่นขึ้นเช้าตามเคย. ความเย็นภายนอกบ้านทำให้ข้าพเจ้ากระหายที่จะออกไปเดินเล่นในสวน. ค่อยลุกขึ้นแต่งตัวไม่ให้ภรรยาที่กำลังนอนหลับ สนิทอยู่ตกใจ พอข้าพเจ้าจะออกไปนอกห้องนั้นอะไรไม่ทราบดนใจให้ข้าพเจ้าเหลียวหลังกลับมองหน้าภรรยาอีกครั้งหนึ่ง. ช่างน่ารักนี่กระไร! แต่ชั้นนอนหลับก็ยังยิ้ม. หัวใจข้าพเจ้าเต้นแรงเมื่อยืนพิจารณาอยู่—หล่อนได้มาเปนภรรยาอยู่ถึงสามปี—ภรรยาข้าพเจ้าคนเดียว!—ความรักแลความบูชานั้นเมื่อยิ่งอยู่ด้วยกันนานเข้ายิ่งทวีมากขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับคนบางคนที่ยิ่งอยู่นานยิ่งหน่าย. ข้าพเจ้าจึงค่อยเอามือช้อนแก้มและจุมพิศแต่เบา ๆ มิให้นางรู้สึก แล้วก็ออกจากห้องไป.

ในสมัยนั้นข้าพเจ้ากำลังเรียนหนังสือ “ปลาโต้” เมื่อเดินไปพลางก็คิดแต่เรื่องหนังสือนั้นไปพลาง เดินตรองแก้ปัญหาที่ท่านนักปราชญ์ใหญ่วางไว้ในสมุดเล่มนั้น ซึ้งลงไปทุกทีเท้าเดินไปทางหนึ่ง ใจเดินไปทางหนึ่ง รู้สึกตัวขึ้นสิไหนเล่าเดินมาไกลกว่าความประสงค์ มาถึงทางซอกเล็กที่จะลงไปท่าเรือ. ทางนั้นร่มและเย็น และข้าพเจ้าเดินต่อไปจนแลเห็นเสากระโดงและใบเรือที่จอดทอดอยู่ในอ่าวไว ๆ ลับล่ออยู่หว่างใบไม้, พอข้าพเจ้านั้นตัวย้อนทางกลับบ้าน พอได้ยินเสียงร้องทันที เสียงนั้นครางครึมอย่างเจ็บปวดสาหัส. หันหน้ามองไปตามเสียงเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่กับหญ้า—เปนเด็กขายผลไม้ประมาณอายุราวสิบเอ็ดสิบสองขวบ, กระจาดผลไม้ยังวางอยู่ข้าง ๆ ในกระจาดมีผลองุ่น ทับทิม แตงโม—ล้วนเปนผลไม้น่ารับประทาน แต่ไม่ใช่ในเทศกาลอันอหิวาตกะโรคชุกเช่นนั้น ข้าพเจ้าได้เอามือต้องเด็กคนนั้นที่บ่าและว่า “เปนอะไรเว้ย!” เด็นั้นได้บิดตัวหันหน้าขึ้นมามองดู.

“โรคห่า, ซินยอ” เด็กคนนั้นคราง “โรคห่า, ไปเสียให้พ้น! ถ้าท่านรักชีวิตไปเสียให้พ้น! กระผมไม่รอดแล้ว!”

ข้าพเจ้าออกคิดสองจิตรสองใจ ส่วนตัวเองนั้นมิได้กลัวขามเลยแต่สักนิด แต่ส่วนภรรยา—ส่วนบุตร—จำเปนข้าพเจ้าจะต้องระวังตัวสักหน่อยเพื่อเห็นแก่คนที่รักทั้งสอง. ถึงกระนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถ จะทิ้งเด็กน้อยอันไม่มีผู้พยาบาลเลยนั้นได้. ข้าพเจ้าตั้งใจจะลงไปท่าเรือหามดหมอมารักษา เมื่อตรองดังนั้นแล้วก็พูดด้วยความชื่นบานว่า

“อย่าเพ่อย่อท้อเลยหนูเอ๋ย อย่าเพ่อเสียอกเสียใจ การเจ็บไข้ทั้งสิ้นมิได้มีแต่โรคห่าอย่างเดียว. คอยข้าอยู่นี่ก่อน ข้าจะไปหาหมอมาให้”

เจ้าหนูน้อยนั้นหันหน้าขึ้นมามองด้วยประหลาดใจและอุส่าห์ที่จะยิ้ม เขาเอามือที่ตรงคอหอย และพยายามที่จะพูดออกเปนเสียง แต่ไม่สำเร็จประสงค์ แล้วซุบตัวลงกลิ้งเกลือกกับหญ้าดูน่าเวทนาอย่างยิ่ง คล้าย ๆ กับสุนักข์ที่ถูกลวกด้วยน้ำร้อน ข้าพเจ้าทิ้งให้นอนอยู่คนเดียว ออกเดินลุ่มไปยังท่าเรือ พอถึงเห็นผู้คนเดินเหินนั่งบางตาเต็มที่ คนไรที่ข้าพเจ้าอธิบายเรื่องเด็กเจ็บให้ฟังและขอให้ช่วย คนนั้นก็หนีหน้าไปเสีย ไม่มีใครตามมาช่วยแต่สักคนถึงจะควักทองในกระเป๋าออกบนสักเท่าไรก็ไม่มีใครปรากถนา, ออกนึกว่าในใจว่าอ้ายพวกนี้ช่างขี้ขลาดจริงหนอ แล้วก็เดินไปเที่ยวหาหมออีกจนพบเข้าคนหนึ่ง

“ใต้เท้ามาหากระผมทำไมขอรับ” หมอคนนั้นพูด. “ป่วยการ ไม่รอดดอกขอรับ ให้ดีละก็เลยไปหาสัปเหร่อบ้านโน้นแน่ะดีกว่า เขาจะได้จะเอาเกวียนไปบรรทุกไปฝังเสียให้เสร็จ”

“อะไร นี่หมอจะไม่ลองช่วยชีวิตมนุษย์ไว้เพื่อรอดบ้างทีเดียวหรือ?” ข้าพเจ้าพูด.

หมอคนนั้นตอบว่า “ใต้เท้าต้องประทานโทษกระผม!. ถ้ากระผมไปต้องตัวคนที่เปนโรคพรรณนี้เข้าแล้ว, โรคนั้นก็จะติดตัวกระผม ธรรมดาเปนมนุษย์ย่อมรักชีวิตของตนเปนเบื้องต้น โดยเหตุอันนี้กระผมขอให้ใต้เท้าไปที่อื่นเถิด”

เมื่อตาหมอว่าดังนั้นแล้ว แกก็ถอยหลังเข้าไปในบ้านงับประตูเสีย ปล่อยให้ข้าพเจ้าโกรธและด่าแช่งกลุ้มอยู่ภายนอกบ้านคนเดียว ถึงโดยพระอาทิตย์ขึ้นสูงและฉายความร้อนกล้าขึ้นทุกนาที ไอดิน โสโครกตามถนนก็พวยพุ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบายและอ่อนใจก็ดี แต่ข้าพเจ้ามิได้นึกถึงตัวของตัวว่าการที่มายืนอยู่ในประเทศที่อันมีตัวโรคอันร้ายแรงสิ่งนั้น เปนสิ่งที่น่าฟังสยดแสยงอย่างยิ่ง ตรองอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรดีจึงจะช่วยเด็กนั้นรอดได้.

ในขณะที่ยืนตรองอยู่นั้นได้ยินเสียงคนปราไสยว่า

“เจ้าต้องการให้ช่วยหรือลูกเอ่ย ?”

ข้าพเจ้าเหลียวไปดู เห็นบาดหลวงองค์หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่มีผ้าคลุมศีร์ษะยืนอยู่ข้างข้าพเจ้า-เปนคนหนึ่ง-ในพวกที่ใจคอกล้าหาญเพราะเห็นแก่พระเยซูเจ้า เที่ยวเข้าทุกตรอกออกทุกถนน คอยช่วยพยาบาลคนที่ไม่มีญาติพี่น้องจะดูแลรักษา. ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องให้บาดหลวงฟังจนตลอด.

“พ่อจะไปเดี๋ยวนี้” บาดหลวงพูดด้วยเสียงอันเจือด้วยความสงสาร. “แต่พอกลัวจะหนักไปกว่านั้น. ยาหยูกมีพร้อมแล้ว เดชะบุญ จะพอแก้ไขทันบ้างดอกกระมัง.”

“ผมจะตามท่านไปด้วย” ข้าพเจ้าพูด “ถึงหากว่าแต่เพียงสุนักข์ก็ดี ถ้ามันต้องการให้ช่วยแล้วก็ต้องช่วย นี่มนุษย์ทั้งคนและไม่มีญาติพี่น้องด้วย จะทิ้งให้ตายอยู่คนเดียวอย่างไร.”

ท่านบางหลวงคนนั้นพิจารณาดูตลอดตัวข้าพเจ้า เมื่อเดินไปด้วยกัน

“เจ้ามิใช่คนชาวเมืองนี้ดอกกระมัง ?” บาดหลวงถามข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าก็บอกชื่อ และตำบลที่อยู่ให้ทราบและว่า “ณ ที่เนินสูง นั้นเรามีความสบายทั่วกัน กระผมไม่ทราบเลยว่าในเมืองจะได้รับความลำบากถึงเพียงนี้ ไม่ทราบว่าอ้ายพวกขี้ขลาดตาขาวจะเปนผู้เพาะให้ตัวห่าเจริญเลย.”

บาดหลวงได้ตอบอย่างเรื่อย ๆ ว่า “จริงซี! ก็แต่เจ้าจะทำอย่างไร! คนเหล่านี้เปนคนที่ชอบความสนุกสนานต่างๆ กลางวันก็ตรองแต่จะหาความสนุก กลางคืนก็ฝันถึงความสนุกมีแต่สนุกสนุก. ใช่จะไม่ทราบเมื่อไรว่าสิ่งประจำอยู่ในมนุษย์โลก คือ เกิด ชรา พยาธิ มรณะ. โดยธรรมดาของสัตว์สิ่งประจำตัวมักมาเปนลำดับ พวกมนุษย์เจนแก่ความเปนลำดับเสียแล้วก็เผลอตัว ไม่หาสิ่งที่จะเปนเสบียงสำหรับไปใช้ในประโลก ก็เมื่อครั้นความเปนลำดับนั้นมาเปลี่ยนแปลง เช่นกับ พยาธิ มรณะ มาก่อนความชราแล้วไม่รู้จักจะแก้ไขอย่างไร เหมือนกับเอาเด็กอ่อนไปไว้ในห้องมืด. สาสนา” เมื่อพูดดังนี้ ท่านถอนใจใหญ่ “—ไม่มีในสันดานเขาเลย”

“แต่ท่าน, พ่อขอรับ” ข้าพเจ้าพูด แล้วหยุดค้างกลางความทันที ด้วยรู้สึกปวดขมับทั้งสองแปลบใหญ่ราวกับถูกอะไรแทง.

“พ่อหรือ” บาดหลวงพูดต่อ พ่อเปนทาษของพระคริสโต ฉนั้น โรคห่านี้จึงไม่ทำให้พ่อสดุ้งเสทือนอันใด. เพราะความกตัญญูเห็นแก่ท่านผู้เปนนาย พ่อเต็มใจที่จะสละชีวิต หันหน้าสู้ต่อความตายได้ทั้งสิ้น.

ท่านบาดหลวงนั้นพูดอย่างแน่นแฟ้น ข้าพเจ้าได้มองดูและออกนึกชมความกล้าหาญ พอขยับจะพูด พอมีอาการวิงเวียนศีร์ษะ หน้ามืดวาบ หากว่าผวาเกาะแขนท่านบาดหลวงไว้ทันจึงไม่ล้มแผ่ลง กลางถนน. มองดูถนน ๆ ก็กวัดไกวแกว่งไปมา ประดุจเรือกลางสมุท มองดูฟ้า ๆ เปนวงเหมือนกับแสงไฟเขียววูบวาบๆ อยู่รอบตัวข้าพเจ้า ความรู้สึกค่อย ๆ ไปจากข้าพเจ้า—ได้ยินเสียงบาดหลวงแว่ว ๆ ดูเหมือนกับอยู่ไกลเต็มที่ ถามว่าเปนอะไรไป ข้าพเจ้าก็ฝืนทำยิ้ม.

“กระผมเห็นว่า เห็นจะเปนเพราะความร้อน” ข้าพเจ้าตอบอ่อย ๆ ราวกับคนแก่พูด “กระผมเปนลม—เวียนศีร์ษะ ทิ้งกระผมไว้ที่นี่ก็ได้—รีบไปดูเด็ก. โอ, คุณพระ!” คำว่า ‘คุณพระ’ หลุดปากออกมาโดยมิได้ตั้งใจ. ขาหมดกำลังที่จะทรงตัวอยู่ได้ ก็ล้มพับลงไปกลางถนน บาดหลวงผู้นั้นยกข้าพเจ้าขึ้นแบก ๆ ลาก ๆ จนมาถึงตึกเล็กริมทางแห่งหนึ่งซึ่งเปนที่สำหรับคนยากจนมาพักอาไศรย. ครั้นถึงเขาพยุงให้ขึ้นนอนบนม้าไม้ยาวและเรียกชายเจ้าของบ้านให้มาพยาบาลข้าพเจ้า. ถึงโดยว่าความเจ็บปวดจะสาหัสก็จริงแต่ว่ายังมีสติอยู่ ได้ยินและเห็นอะไรต่ออะไรทุกสิ่งทุกประการ

“แฮะ! เปโตร ดูแลท่านให้ดีหนา—นี่และคือ เคานต์ฟาบีโอ โรมานี เสรษฐีใหญ่. ทำไปเถอะคงไม่เหนื่อยเปล่า, อีกสักชั่วโมงหนึ่งพ่อจะกลับมา.

“นี่หรือท่านเคานต์ โรมานี! ซันติสสิมา มาโดนา! เปนห่าเสียแล้ว”

“บ้า!” บาดหลวงตวาดเอา “เจ้ารู้ได้อย่างไร ? ต้องแสงอาทิตย์กล้าเปนลม มาเรียกว่าโรคห่าได้หรือ อ้ายพวกตาขาว! ดูแลท่านให้ดี มิฉนั้นจะสวดมนต์ทูลท่าน เซนต์ปีเตอร์ ไม่ให้ไขประแจสวรรค์ให้เจ้าเข้า!”

ตาชายเจ้าของบ้านตกใจกลัวจนตัวสั่น วิ่งตะลีตะลานไปเอาหมอนมาให้หนุน แล้วท่านเอาถ้วยยามาให้ข้าพเจ้ารับประทาน.

“พักอยู่ที่นี่ ลูกเอ๋ย” บาดหลวงพูดปลอบข้าพเจ้า “คนเหล่านี้ใจคอโอบอ้อมอารีย์ดอก พ่อจะรีบไปดูเด็กคนเจ็บซึ่งเจ้าต้องการจะให้ช่วยนั้นเสียก่อน—จะรีบกลับมาพยาบาลเจ้าในภายในชั่วโมงหนึ่ง.

ข้าพเจ้าได้เอามือพาดลงที่บนแขนและพูดด้วยเสียงอ่อน ๆ ว่า “อย่าเพ่อไป หนักเบาประการใดขอทราบบ้าง. นี่เปนโรคป่วงหรือไม่ใช่?”

บาดหลวงตอบว่า “เชื่อว่าจะไม่ใช่! แต่ถึงโดยว่าเปนโรคร้ายนั้นจริง เจ้าเปนคนหนุ่มและเปนคนแข็งแรง กำลังวังชาคงมีพอที่สู้แก่พิษไข้ได้. อย่าตกใจ”

ข้าพเจ้าว่า “ไม่กลัวดอก แต่ พ่อ ขอคำสัตย์สักคำเถอะ—อย่าบอกอาการที่กระผมป่วยไปให้ภรรยาทราบเลย—สาบาลเสีย ถึงผมจะไม่ได้สติสมประดีก็ดี—ตายก็ดี—จงสาบาลเสียว่าจะไม่หามเอาไป ส่งยังบ้าน. สาบาลเสีย ถ้าไม่สาบาลให้ผม ผมก็จะหยุดพักผ่อนไม่ได้เลย.”

บาดหลวงตอบว่า “ลูกเอ๋ย พ่อสาบาลให้ พ่อสาบาลให้ตามความประสงค์เจ้า.”

ข้าพเจ้าหมดห่วงหมดใย—เบาอกเบาใจลงมาก—ผู้ที่ข้าพเจ้ารักดังดวงใจจะได้ไม่ติดโรค—ไม่มีกำลังพอที่จะขอบคุณท่านบาดหลวงด้วยวาจา ได้แต่แสดงด้วยกิริยาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น.

บาดหลวงไปลับตาแล้ว ความคิดข้าพเจ้าก็ลอยไปโดยปราศจากความมุ่งหมายว่าจะจอดเข้าที่ไหน. ในห้องที่ข้าพเจ้านอนเจ็บอยู่นั้น จำได้ว่าตาเถ้าเจ้าของบ้านตาขาวนั่งเช็ดถ้วยแก้วบ้างขวดเหล้าบ้างอยู่ห่าง ๆ นาน ๆ ก็ชายหางตาชำเลืองมาดูข้าพเจ้าเสียที แล้วทำงานของแกเรื่อยไป. มีผู้คนมายืนมุงที่ตรงประตูบ้าน ใครเห็นแล้วก็รีบสาวเท้าดุ่มไปทีเดียว เห็นจะเปนด้วยอยากดูก็อยาก กลัวก็กลัว. ข้าพเจ้าสังเกตเห็นถี่ถ้วน—รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน—ประเดี๋ยวหน้าอันชุ่มชื่นปรากฎแก่จักษุ “นินนา! ที่รักของพี่ ชื่นใจของพี่, มาแล้ว ๆ ๆ ๆ มา แม่มา ๆ ๆ” ข้าพเจ้าร้องออกดังก้องบ้าน. กางแขนออก—กอดหล่อน!—อุบ๊ะ! กลายเปนตาเถ้าแร้งทึ้งเจ้าของบ้าน แกเข้ามาปล้ำข้าพเจ้าไว้! ข้าพเจ้าไม่ยอมแกดิ้นพลางและร้องดุ—หอบพลางว่า “อีตาบ้า! เอ็งจะจับตัวข้าไว้ทำไม ปล่อยให้ข้าไปหาหล่อน—ไม่เห็นหรือ แน่ะหล่อนยื่นหน้ามาให้จูบ—ปล่อยข้า ปล่อย!”

ชายอีกคนหนึ่งได้เข้ามาช่วยตาเจ้าของบ้านจับตัวข้าพเจ้าลงนอนอย่างเดิม.—อ่อนเพลียหมดกำลังวังชา ต้องยอมแพ้ตาสองคนนั้นนอนนิ่งแซ่ว.

“เอ มอระโต!” เขาพูดกระซิบกัน.

ได้ยินเข้าแล้วออกอดนึกยิ้มในใจไม่ได้. อะไรตาย? ข้าพเจ้า ไม่ตาย ไม่ตาย ตาเถ้าเจ้าของตึกนั้นเมื่อสักอึดใจก่อนแลเห็นแกนั่งขัดถ้วยขัดขวดอยู่อย่างเดิม นี่แกเข้ามาอยู่ออกชิดข้างอีกเมื่อไรเปนของที่เข้าใจไม่ได้เลย เพราะกำลังวิญญาณข้าพเจ้าชมป่าชมเขาเพลิน รู้สึกว่าไปนั่งอยู่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ณ ที่นั้นเปนที่ร่มรื่นชื่นชุ่มใต้ต้นไทรใหญ่ใบหนาแผ่กิ่งก้านสาขาอันไพศาล บังแสงพระอาทิตย์อันร้อนแรงมิให้ต้องซึ่งสกลกายได้ และในบริเวณนั้นก็ดาดาษไปด้วยบุบผาชาติซึ่งมีกลิ่นอันชื่นใจขึ้นอยู่ออกแน่นหนาเปนคณะเปนหมู่ราวกับชาวสวนเขาได้จัดสรรปลูกไว้ในสวนแห่งพระราชา. ณ ฝั่งน้ำมีจรเข้ใหญ่หลายตัวขึ้นมานอนเผยปากรับซึ่งแสงพระอาทิตย์ตามนิสัยของมัน หลับนิ่งสนิทไม่มีอาการไหวเลื่อนอันใด. นอกจากที่สวาบซึ่งแสดงว่าชีวิตของมันยังอยู่ในร่างกายเท่านั้น—บัดเดี๋ยวปรากฏรูปเปนแขกน้อยรูปร่างแบบบาง แต่หน้านั้นหล่อพิมพ์เดียวกับหน้ากีโด. พอเขาเดินเข้ามาใกล้ก็ชักกริสคมยาวเปนเงารับออกกุมวิ่งหยอย ๆ ตามฝั่งน้ำผ่านจรเข้เลยมาหมด วิ่งเร็วมายังข้าพเจ้า เขาเที่ยวค้นหาเฉภาะตัวข้าพเจ้า—แล้วเอากริสอันเย็นแทงหัวใจข้าพเจ้า แทงแล้วก็ชักกริสออก โลหิตไหลฉูดติดกริส! แทงครั้งหนึ่ง—ซ้ำสอง—ซ้ำสาม!—แต่ข้าพเจ้ายังตายไม่ได้! ข้าพเจ้าบิดตัวไป—ร้องครางไปด้วยความเจ็บปวดรวดเร้า! ในทันใดนั้นมีอะไรทำมือเข้ามาบังแสงอาทิตย์ตรงหน้าข้าพเจ้า และแว่วเสียงว่า “ระงับใจลูกเอ๋ย ระงับใจ อุส่าห์ระลึกถึงพระเยซูเจ้า พระเจ้าของเรา!”

ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นเห็นบาดหลวงผู้เพื่อนกลับมาจากรักษาเด็กก็มีความดีใจ. ถึงมาทว่าเสียงจะไม่ใคร่ออกจากปากได้ก็จริง แต่กระนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงคำถามของข้าพเจ้าเอง ถึงเรื่องข่าวคราวของเด็กน้อยนั้น ท่านบาดหลวงนั้นได้ยกมือขึ้นทำเครื่องหมายกางเขน

“ขอวิญญาณของเด็กน้อยนั้นจงไปสู่ศุขบายภูมิเทอญ! ไปรักษาไม่ทัน ตายเสียแล้ว.”

ข้าพเจ้านึกปลาดใจมากเมื่อได้ทราบข่าวเด็กนั้น. ตาย—เร็วอย่างนั้นเทียวหรือ ? ไม่นึกเลยว่าจะเปนอย่างนั้น แล้วใจกลับลอยเลื่อนจากแหล่งไปอีก แต่ในตอนนี้จำไม่ได้ว่าใจไปเที่ยวถึงไหนทำอะไร เห็นสิ่งใดมันมัว ๆ เฟือน ๆ ต่อกันไม่ติด ในขณะที่ใจเลื่อนลอยอยู่นั้นแว่ว ๆ เหมือนได้ยินเสียงพระสวดมนต์ และคลับคล้ายคลับคลาเหมือนได้ยินเสียงตีระฆัง แต่ความเจ็บปวดในกายในใจอย่างยิ่งเหลือที่จะทรงจำเอาเปนว่าแน่ได้

จำได้ว่ารู้สึกเสียววาบขึ้นมาอย่างไรพิลึก มีอาการคล้าย ๆ กับเมื่อเราท่านทั้งหลายจวนหลับ แต่มีเสียวปวดในหัวใจวาบ ๆ วูบ ๆ อย่างยิ่งเหลือที่จะอธิบาย ข้าพเจ้าจึงยกมือทั้งสองขึ้นพนม ลืมตาขึ้นเห็นบาดหลวงยืนชูไม้กางเขนเงินอยู่ตรงศีร์ษะ และเท่านั้นเปนที่สุด ข้าพเจ้าจม—ดิ่ง—ดิ่ง! ดิ่งลงในชวากของความมืด และความไม่มีตัวตน !

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ