๒๖

หล่อนนิ่งฟัง-ค่อยเดินเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า-ริมฝีปากแสดงว่าว่ายิ้มหน่อย ๆ และชอ้อนกระซิบว่า

“ฟาบีโอ! ฟาบีโอ!”

ข้าพเจ้ามองดูหล่อน-เสียงของข้าพเจ้าก็อ่อยลงบ้าง “เอ ฟาบีโอ! ธุระอะไรกับฟาบีโอ! ช่างไม่ประหลาดใจบ้างเลยหรือ-ชื่อไม่บาดหูหรือ!-โท่ นีนนา โท่ฉันรักหล่อนอย่างที่ผู้ชายน้อยคนจะรักผู้หญิงเหมือนได้ หล่อนไม่ได้มีความรักในส่วนตัวฉันเสียเลย-หักบัวยังมีใย นี่กระไรหล่อนหักดวงใจช่างไม่เหลือเยื่อ-หล่อนเปนผู้ที่มีบีบหัวใจของฉันให้ละลาย และกระทำให้ฉันเปนอย่างเปนเดี๋ยวนี้!”

สอื้นแล่นคึ่กๆ ต้นคอหอยขึ้นมาเลยเล่นเอาข้าพเจ้าพูดต่อไปอีกไม่ได้. ข้าพเจ้ายังเปนคนหนุ่ม เสียดายเวลาที่ล่วงไปในระหว่างนี้โดยเปนธุระส่วนตัว โดยไม่เปนประโยชน์ โดยมิได้ทำอะไรให้เปนคุณแก่ชาติ สาสนา พระมหากระษัตริย์ เปนสิ่งซึ่งเหลือหัวอกหนุ่มๆอย่างข้าพเจ้าที่จะทนได้ หล่อนได้ยินข้าพเจ้าสอื้นสีหน้าหล่อนออกยิ้ม จึ่งเดินเข้ามาใกล้เอาแขนกระหวัดรอบคอข้าพเจ้าท่ากลัว ๆ แต่แฉล้มยังเปนที่ยั่วยวน.

“ฟาบีโอ!” หล่อนสำออย “ฟาบีโอ ขอโทษดิฉันน้ะ! ฉันไม่เกลียดเธอเลยแหละ! น้ะ ค้ะ ค้ะ สิ่งใดซึ่งเธอได้รับความร้อนใจ ดิฉันจะจัดการให้เรียบร้อยสนิท ฉันจะรักเธอจริง-และซื่อสัตย์ต่อเธอจริง! เห็นไหม! ความสรวยของฉันไม่สิ้นดอกหนา เธอ! จะเปนภรรยาเธอทั้งกายและใจ.”

หล่อนประชิดอยู่กับข้าพเจ้า ยื่นริมฝีปากขึ้นสู้ริมฝีปากเปนเชิงยั่วยวน ไนยตามองกลอกละห้อยคอยรับคำตอบ ข้าพเจ้าก็มองดูหน้าภรรยา ดูตาอันแสดงว่าเปนทุกข์เศร้าโศก.

“ความสรวย ? เปนอาหารสำหรับตัวหนอน เปนอาหารฉันไม่ได้! น่าเสียดายรูปร่างหรืองามราวกับรูปนางฟ้า แต่ใจเปนใจสัตว์! ขอโทษ ขออะไรป่านนี้ พ้นเวลาเสียแล้ว! คนที่ได้รับความเจ็บใจอย่างฉันฉนี้ยกโทษให้ใครไม่ได้!”

นิ่งเงียบอยู่ทั้งสองคน! หล่อนยังกอดข้าพเจ้าอยู่ ไนยตามองไปมองมาชำเลืองไปทั่วเหมือนกับมองหาอะไร ในบัดใจสีหน้าบอกแปลกมาก....ก่อนที่ข้าพเจ้าจะรู้เท่าว่าเพราะเหตุไร—หล่อนได้ฉวยชักเอากริสซึ่งเหน็บไว้ในเสื้อออกมาเร็ว.

“พ้นเวลาเสียแล้ว!” นีนนาร้องและหัวเราะป่า ๆ - “ไม่จริง. ทันถมไป! เตรียมตาย—อ้ายเปรต!”

ในชั่ววินาฑีเดียวหล่อนเงื้อกริสจะแทงอกข้าพเจ้า...แต่หาทันที่จะแทงไม่ ข้าพเจ้าจับข้อมือไว้ทันกดมือลงและแย่งอาวุธอันน่ากลัวนั้น นีนนากำอาวุธไว้แน่น—ดิ้นดันด้วยกำลังแรงที่จะให้หลุดจากมือข้าพเจ้า—ดิ้นไปดิ้นมาหล่อนดิ้นหลุดได้ แทงข้าพเจ้าพลาดโดนเสื้อขาดเปนทางยาวสนัดใจ ภายหลังจับข้อมือได้อีก กดตัวลงนอนพับหอบอยู่กับพื้น แย่งเอากริสมาจากมือได้ แล้วก็ชูขึ้นแกว่งไกว เงื้อง่าอยู่เหนือศีร์ษะ.

“ใครเปนผู้พูดถึงฆ่าฟันเมื่อตะกี้นี้!” ข้าพเจ้าตวาดก้อง “ถ้าแทงถูกหัวใจลงไปนอนตายอยู่กับที่นี่สมปราดถนาแล้ว เห็นจะดีใจมากลาซีน่า. แม้ใจคอ! แม้เกือบได้สมหมาย ถ้าฉันตายแล้วหล่อนก็จะได้ไปเที่ยวล่อผู้ชายเล่นทั้งโลก! ยังนี้ อย่างนี้หรือจะมาร้องขอโทษ น่าหนิ้ น่ายกโทษเบาหรือ ?.....”

ข้าพเจ้าชงักทันที—แปลกมาก สีหน้าอันตื่นเต้นปรากฏขึ้นที่หน้าภรรยาข้าพเจ้า มองดูในทางมืดตลึงนิ่งอยู่—ตลึงนิ่งอยู่ราวกับเปนคนหิน และประเดี๋ยวตัวสั่นเทาไปหมด.

“จยุ้ะ - จยุ้ะ !” หล่อนกระซิบกระซาบ “ดูแน่! ดูซี ยืนพิ่งนิ่ง! หน้าตาซี้ดซีด อย่าพูด อย่ากระดุกกระดิก จยุ้ะ! อย่าให้เขาได้ยินเรื่องเธอ....ดิฉันจะไปหาเขาและเล่าความให้ฟังให้หมด—หมด.” ว่าดังนั้นแล้วก็พยุงตัวลุกขึ้นยืน ทำมือประสานอย่างท่าอ้อนวอน....

“กีโด! กีโด!”

เสียวส้าไปทั้งตัว มองตามทางที่หล่อนหันหน้า ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากมืด. หล่อนจับแขนข้าพเจ้า

“ฆ่าเขาเสีย!” หล่อนกระซิบ “ฆ่าเสีย แล้วดิฉันจึงจะรักเธอจริง! ว้าย!” หล่อนร้องด้วยความตกใจ ถอยเข้ามาหาข้าพเจ้าเร็ว เหมือนประหนึ่งมีใครมากั้นกางขวางหน้าขู่จะทำร้าย “แน่ แน้ะ เข้ามาใกล้แล้ว ดูซี—ใกล้แล้ว อย่า อย่ากีโด อย่ามาถูกฉันนาจะบอกให้—ไม่มีองค์กรรมสิทธิ์อย่างไรที่จะมาถูกตัวเขา ฟาบีโอตายแล้ว ฉันเปนไทย—ไทย!” หล่อนหยุด—ไนยตามองช้อนขึ้นบน—หล่อนจะเห็นสิ่งน่ากลัวอยู่ที่นั่นหรืออย่างไร ? หล่อนยกแขนขึ้นดูเหมือนจะป้องกันรับใครตีและร้องวิ้ดล้มพับลงที่พื้น ไม่เปนสติสมประดี ตายละกระมัง? รสที่อยากแก้แค้นยังร้อนอุ่นอยู่ในปากข้าพเจ้าเปนการจริง ข้าพเจ้าดีใจมากที่ขณะลูกปืนได้นำเอาความตายไปส่งกีโด แต่ทว่าความดีใจนั้นเจือไปด้วยความเสียใจและเวทนา ในเวลานี้ความเวทนาไม่มีสักนิดเดียว—ไม่มีความสมเพชเสียเลย. บาปของเฟอร์รารี มากจริง แต่ทว่านีนนาเปนผู้ล่อให้บาป บาปของนางตัวดีมากกว่าบาปกีโดมาก เออนี่....นอนนิ่งอยู่ตรงเท้าสลบ....นิ่งเหมือนกับตาย—ตายก็ช่างเปนไร ไม่รู้ด้วย—ไม่ปราดถนาเสียใจ! ปีศาจของชู้รักได้มาปรากฏแก่นีนนาจริงหรือ หรือเปนไปด้วยความรู้สึกในใจทำให้เปน ? เชื่อว่าเปนปิศาจ—ถ้าปิศาจจะมาแสดงตนยืนให้ข้าพเจ้าเห็นข้าง ๆ ตัวข้าพเจ้าก็จะไม่ตกใจกี่มากน้อย.

“เออ กีโด” ข้าพเจ้าพูดคนเดียว “เจ้าได้มาเห็นเปนพยาน เจ้าได้แก้เผ็ดแล้ว ปีศาจเอ๋ย แก้เผ็ดเหมือนกันกับข้าแล้ว—เจ้าได้ไปจากมนุษย์โลกด้วยหัวอกอันเบาแล้ว มีศุขแล้ว! เมื่อเจ้าลงไปถึงศาล ข้างล่างชำระกายด้วยน้ำทองแดงแล้ว ไม่ช้าก็คงจะหมดมลทินโทษ แต่ส่วนแม่คนสรวย—ตัวนรกเองแหละจึงจะเปรียบกับวิญญาณของเขาได้ อื่นเปรียบด้วยไม่ได้ทั้งสิ้น.”

แล้วข้าพเจ้าค่อย ๆ ย่องมายังบันได ถึงเวลาแล้วที่จะละทิ้งไปเสีย อาจจะเลยตายทีเดียวได้ดี...ถ้าไม่ตาย...ทำไมแล้วก็ตายเอง พอข้าพเจ้าย่างเท้าก้าวขึ้นบนขั้นบันไดขั้นแรก ภรรยาข้าพเจ้าก็กระดิกฟื้นได้สมประฤๅดี หล่อนมิได้เห็นว่าข้าพเจ้ายืนอยู่ที่นั่น และเตรียมที่จะไปจากเสียด้วย—หล่อนพูดอะไรพึมพำอยู่คนเดียว เชยเอาผมที่สยายออกมานั่งชมสีสรรและความงามอยู่ เอามือตบเส้นผมนั่นแล้วตบอีก แล้วหัวเราะอย่างมีความสนุกในใจ—หัวเราะนั้นดังก้องห้อง จนถึงทำให้ข้าพเจ้าตกใจมากกว่าเมื่อหล่อนพยายามที่จะเอาชีวิตข้าพเจ้าเมื่อสักครู่มาแล้ว.

ในสักครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนด้วยกิริยาท่าทางอันรื่นเริง และยิ้มแย้มแจ่มใส และค่อยประคองแต่งผมด้วยอาการอย่างประณีต ข้าพเจ้าหยุดมองว่าหล่อนจะทำอะไรอีกต่อไป. ภรรยาข้าพเจ้าเดินตรงไปยังหีบไว้สมบัติอันมีค่า หยิบเอาผ้าลูกไม้เครื่องเงินทองเครื่องประดับกายอย่างเก่าขึ้นมาพิจารณาดู ดูประหนึ่งจะตีราคาของนั้น ๆ เพ็ชร์พลอยที่เปนเครื่องแต่งกายเช่นกำไลมือสร้อยคอ แหวนเหล่านี้หล่อนเอาออกมาประดับสรวมทับ ๆ ลงไปจนเต็มทรงคอ และกบข้อมือข้อนิ้วแวบวับแวววามวาว แพรวพรายพราวพระพร่าง หลากอย่างต่างสีเมลือง. ข้าพเจ้าประหลาดใจด้วยกิริยาอันแปลกไปฉนั้น แต่ยังไม่ได้ตีความว่าจะแปลว่ากระไร ลงจากขั้นบันได ตรงเข้าใกล้หล่อน... อี๊! นั่นอะไร! แปลกมาก รู้สึกเหมือนกับแผ่นดินไหวและได้ยินเสียงเหมือนกับอะไรลั่น ข้าพเจ้าก็หยุดชงักเงี่ยหูฟัง. ลมได้เป่าหวนเข้ามาในห้องซุ้ย แรงจนถึงเทียนดับไปบ้าง. ภรรยาข้าพเจ้านั่งเล่นชมสมบัติของคาร์เมโลเนรีนายโจรอยู่ง่วน. ประเดี๋ยวหนึ่งหล่อนก็หัวเราะก้ากใหญ่ออกมาอีก เสียงหัวเราะเช่นนั้นทำเอาโลหิตในเส้นข้นถึงเปนตะกอนได้เทียว—เปนเสียงหัวเราะของหญิงบ้า! ด้วยความร้อนใจข้าพเจ้าร้องไปด้วยเสียงอันแจ่มว่า

“นีนนา! นีนนา!”

หล่อนเหลียวหน้ามาดูทั้งยิ้ม ๆ—ไนยตาแจ่มหน้าชื่นบานเต็มพร้อมด้วยสีงามอย่างเดิม, หล่อนก้มศีร์ษะแก่ข้าพเจ้า ก้มเปนเชิงจองหองนิด ๆ เพื่องามหน่อยๆ แต่มิได้ตอบว่าประการใด. ข้าพเจ้าเกิดความสงสารมากขึ้นจึงตะโกนเรียกอีก.

“นีนนา!”

หล่อนหัวเราะอีก—หัวเราะอย่างน่าเกลียดน่ากลัวอย่างนั้น.

“จ้ะ จ้ะ จ้ะ พ่อชื่นใจ พ่อที่รัก!” หล่อนพูดพึมพำคนเดียว “ทำไมจ๊ะ จะจ๊ะจ้า เธอหรือ กีโดของฉันหรือ ? อ้อพ่อเพื่อนฉันหรือ ?”

ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นเปนเครื่องหมายให้นิ่ง แล้วส่งเสียงอันไพเราะเปนคำเพลงชมพระจันทร์ และชมนกไนติงเกลส่งเสียงจ้าในแสงจันทร์

ภรรยาข้าพเจ้า ไม่ได้เปนหญิงคนเดียวกับหญิงที่นอกใจและขบถต่อข้าพเจ้าแล้ว—บ้าเข้ามาครอบงำเปนเจ้าเรือนแล้ว เมื่อเปนเช่นนั้นคนอย่างข้าพเจ้าจะทำร้ายลงคออย่างไรได้ จึงรีบสาวเท้าเข้า ไปใกล้—ตั้งใจจะพาออกจากห้องซุ้ย—เอาทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ได้….แต่เมื่อเข้าไปใกล้ หล่อนถอยตัวไปห่าง กระทืบเท้าปัง ๆ และยกมือให้ข้าพเจ้าถอยไปเสีย.

“แกคือใคร?” หล่อนถาม “ตายแล้ว ตายทีเดียว! เหตุไรยังมีหน้าทลึ่งออกมาจากหลุมได้!”

ตาเพ่งมองดูอย่างโกรธ—แล้วตบมืออย่างดีใจมากและหันหน้าไปพูดกระซิบ ดูเหมือนกับมีใครกำบังกายอยู่ข้างๆ หล่อน.

เขาตายแล้ว กีโด! ยังไงเธอดีใจไหม ? ทำไมถึงไม่ตอบเล่า ดูซี กลัวหรือ ? กลัวทำไม ? ทำไมถึงดูหน้าตาซีดเจ๋าจ๋อยหงอยหงิม ? เพิ่งกลับมาจากโรมหรือนี่? ได้ยินอะไรบ้างไหม? ฉันเปนคนผิด ? ไม่จริง ยังรักเธออยู่มาก….อา! ลืมไป! เธอก็ตายแล้วเหมือนกัน กีโด! ลืมไป ลืมไป—เธอทำให้ฉันเจ็บช้ำอีกไม่ได้—เปนไทยแล้ว...เปน ศุข ศุข ศุข.”

หล่อนยิ้มและร้องเพลงบทที่ได้ร้องเมื่อสักครู่นั้นซ้ำอีก.

ได้ยินเสียงลั่นขึ้ก ๆ ข้างเบื้องบนอีก—อีก—อีก. จะทำประการใดได้?

“ลามอเร อินคอรอนาโต” นีนนาพูดพำ แล้วเอามือล้วงลงไปในหีบสมบัติ “แน่! แน่! เหอ—เหอ—เรี่ยมหนึ่งไม่มีสอง เรี่ยม หาไหนไม่มีเสมอสอง.... ชี มอเรนโด ซี ฟา สะโปซา.... สะโปซา....อา!”

ข้าพเจ้ามองดูหล่อน อย่างเดียวกับใครๆดูคนตาย—ไม่ได้นึกสิ่งใดหมด นอกจากนึกปลงอนิจจัง. ความพยาบาทเปนพอใจแล้ว ข้าพเจ้าจะทำสงครามแก่คนบ้าที่นั่งยิ้มหัวเราะอยู่คนเดียวต่อไปไม่ได้ หล่อนไม่มีสติสตังอะไรเหลือแล้ว ความฉลาดความโกงสูญหมดสิ้นแล้ว เปนคนละคนกันทีเดียว... ได้! ตั้งใจที่อธิบายแก่หล่อนอีก... เผยริมฝีปากจะพูด-แต่ก่อนที่เสียงจะหลุดไปจากปาก เสียงอันดังอย่างน่ากลัวได้แล่นมาถึงหูข้าพเจ้า-เสียงนั้นดังครืนใหญ่ราวกับกองทหารปืนใหญ่ยิงปืนระดมพร้อมกันทุกกระบอก-ก่อนที่จะคิดได้ว่าเปนเหตุอะไร-ก่อนที่จะย่างเท้าก้าวไปสู่ภรรยาได้หนึ่งก้าว-ก่อนที่จะพูดออกสักคำ หรือไหวตัวสักชั่วนิ้วหนึ่ง หินและปูนและฝุ่นให้ร่วงกราวและฟุ้งลงในห้องซุ้ย.... ข้าพเจ้าถอยหลังไปด้วยความประหลาดใจ ตกใจ-พูดไม่ออก-ตาปิดมิดไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ปิดเองโดย ธรรมชาติ... เมื่อลืมตาขึ้นภายหลังในห้องซุ้ยนั้นมืดหมด-เงียบสงัด! ได้ยินแต่เสียงลมพัดขึ้กๆ ราวกับว่าพระพายก็เปนบ้าไปด้วย - พัดมาต้องหน้าข้าพเจ้า และพัดเอาใบไม้มากระทบหน้าข้าพเจ้าด้วยซ้ำ จยุ้ะ! - นั่นเสียงครางอ่อย ๆ หรือกระไรสั่นไปทั้งตัว เอามือคลำหาไม้ขีดไฟในกระเป๋า – เจอะกลักไม้ขีดไฟสมประสงค์. สงบอารมณ์หักใจให้เรียบร้อย ฝืนใจให้กล้าจึงขีดขึ้น แสงไฟนั้นขมุกขมัวเหลือที่จะส่องให้เห็นอะไรได้ ข้าพเจ้าจึงได้ตะโกนเรียกดังๆว่า

“นีนนา!”

ไม่มีใครขาน.

เทียนที่ดับทิ้งมีอยู่ข้างข้าพเจ้าเล่มหนึ่ง จึงฉวยขึ้นจุดแล้วชูไปด้วยมืออันสั่นเทา.....แล้วได้ร้องด้วยความแสยงขน!......โอ พระเจ้าแห่งความยุติธรรม ความพยาบาทของพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าของข้าพเจ้า หินก้อนใหญ่เบิ้มได้หล่นลงมาจากหลังคาห้องซุ้ย ตกลงตรงที่หล่อนได้นั่งยิ้มแฉ่งอยู่นาฑีก่อนนี้! ทับหล่อนแบนลงไปทับโลงข้าพเจ้าแบนลงไป ไม่เห็นอะไรเหลือเลย นอกจากมือขาวข้างหนึ่ง มือข้างที่สรวมแหวนแต่งงาน-ในขณะที่ก้มลงดูอยู่นั้น มือยังเต้นสั่นริกระริ้ว…..ตีดิน.....แล้ว....นิ่ง! อึย-น่าสยดแสยง…… ในเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าหลับตานึกเห็นจำมือขาวนั้นได้ อือฮือ! มือนั้นอุทธรณ์ มือนั้นเรียกร้อง มือนั้นขู่คำราม มือนั้นอ้อนวอน พร้อมอยู่ในมือนั้น! เมื่อข้าพเจ้าตาย มือนั้นจะกวักให้ข้าพเจ้าไปยังหลุม! เศษผ้าเครื่องแต่งตัวอันมีค่านั้นได้แพลมออกมานอกก้อนหินหน่อย-เห็นโลหิตไหลซึมออกมาตาม ใต้ก้อนหิน…..หินก้อนใหญ่อย่างที่มนุษย์คนใดไม่สามารถจะผลักเลื่อนที่ได้แม้แต่นิ้วเดียว.....หินที่ได้ตราความบาปของหล่อนลงไว้! ข้าพเจ้าพยุงตัวของตัวเองโซเซไปเหมือนกับคนเมาสุรากราน เข้าไปจนใกล้จับเอามือขาวที่วางอยู่บนพื้นขึ้น.....ก้มศีร์ษะลงไป....เกือบจูบมือนั้น แต่เพอินความรู้สึกอันปลาดในวิญญาณแล่นขึ้นมาห้ามไว้ทัน.

ค้นไปค้นมาได้ไม้กางเขนของพ่อบาดหลวงซีเปรียโนที่ตกอยู่ที่พื้น จึงจับสอดในมือที่ยังอุ่นอยู่ให้กำ แล้วว่าด้วยเสียงอันเครือละห้อยว่า,

“ฉันให้ได้เพียงเท่านี้ ถึงแม้ว่าฉันจะยกโทษให้ไม่ได้ก็ตาม แต่ขอจงพระเยซูคริสต์กรุณาพระทานโทษให้แก่หล่อนเถิด.”

ปิดตาด้วยไม่อยากจะดูอีก หันหน้าได้วิ่งมาจนถึงเชิงบันไดแล้ว ก็ดับควงเทียนที่ถืออยู่นั้นเสีย ความรู้สึกอะไรไม่ทราบทำให้ข้าพเจ้าหันหน้ากลับไปมองที่ตรงนั้นอีก.... และข้าพเจ้าได้เห็นอย่างที่ข้าพเจ้าได้นึกเห็นในเวลาเดี๋ยวนี้... และจะนึกเห็นต่อไปอีกจนตราบเท่าวันตาย ก้อนหินตกลงมาแล้วที่ตรงหลังคานั้นก็เปนช่องโล่งตลอดถึงข้างบน แสงจันทร์ส่องลอดลงมาถึงพื้นห้องซุ้ยข้างล่างได้ แสงจันทร์ที่ลอเลงมานั้นเปนลำอยู่ในกลางความมืดมนธ์ ปรากฏให้เห็นของได้เฉภาะแต่สิ่งที่ต้องลำแสงสว่างสิ่งนั้นคือข้อมืออันขาว ขาวยิ่งกว่าหิมะที่ตกค้างแข็งอยู่ตามยอดเขา! ข้าพเจ้ามองดูด้วยความเหลือกลาน...แสงเพ็ชร์ที่นิ้วมือนั้นเคืองระคายตาข้าพเจ้า.... แสงฉายของไม้กางเขนเงินที่มือนั้นกำอยู่ทำให้เคืองระคายสมอง….ข้าพเจ้าร้องเหมือนบ้า และวิ่งโดยเร็วขึ้นบันได-เปิดประตูเหล็กประตูซึ่งหล่อนจะไม่ได้ผ่านออกอีกนั้นออกมายืนบนพื้นดิน หันหน้าสู้ลมอยู่ แล้วรีบปิดประตูห้องซุ้ยลั่นกุญแจแน่นหนาตามเดิม พูดออกมาดังด้วยความบางเบาใจ “สิ้นทุกข์ สิ้นทุกข์กันที! หล่อนหนีไม่พ้น….ได้ปิดทางลับแล้ว...จะร้องสักเท่าไรก็ไม่มีใครได้ยิน….หล่อนจะไม่ได้หัวเราะอีก-ไม่ได้จูบ.... ไม่ได้รัก….ไม่ได้พูดเท็จเพื่อล่อลวงผู้ชายอีกแล้ว!.... หล่อนถูกฝังเหมือนตัวฉันเองถูก—ถูกฝังทั้งเปน!”

พูดแก่ตัวเองดังนั้นแล้วข้าพเจ้าก็หันหน้าออกเดินต้านลมรู้สึกสมองมันงัน แข้งขาอ่อนเพลียและสั่น-ฟ้ากับดินดูมันโคลงเคลงราวกับอยู่ในเรือเมื่อขณะพยุกล้า จึงรีบสาวเท้าเดินไปสุดแล้วแต่บุญและกรรมจะสงเคราะห์....ทิ้งหล่อนไป!

ออกจากเมืองเนเปิลซ์โดยปราศจากคนจำได้ โดยไม่มีใครสกดรอยตาม มาโดยสานเรือใบเล็กลำหนึ่งชื่อรอนดินเนลลาจะไปเมืองปอตสะอิด.

รุ่งขึ้นในเวลาเช้า พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างไสว สุกใสปราศจากเมฆหมอก—คลื่นระลอกในเทลนั้นขึ้นสูงสุด ๆ ตัว ดูเหมือนกับเขย่งขึ้นยั่วจะให้ลมที่พัดโชยไปนั้น คนทั้งหลายคงมีความเห็นเกือบพ้องกันหมดว่าวันนั้นเปนวันสบายดี แต่ส่วนตัวข้าพเจ้านี้มีความรู้สึกซึ่งไม่เหมือนดังนั้นแท้ แลดูสิ่งทั้งหลายคล้ายกับเมื่อฝันเห็นเคลิ้ม ๆ หรือเมื่อเปนไข้มะเมอเห็น ทุกสิ่งดูมันหลัว ๆ ไม่ชัดและดูไม่เปนของจริงจังล้วนอนิจจํ วิญญาณนั้นยังเพ่งดูความมืดและความน่าอนาถที่หล่อนนอนนิ่งเงียบอยู่ในห้องซุ้ยนั้นเสมอ กรรมได้เปนผู้ทำลายชีวิตหล่อน-ไม่ใช่ข้าพเจ้าทำลายมิได้ ถึงโดยหล่อนเปนผู้ทุจริตคิดจะเอาชีวิต ข้าพเจ้าและทั้งเปนบ้าคลั่งด้วย ข้าพเจ้ายังมีจิตรนึกจะช่วยให้พ้นอันตราย.

สิลาก้อนใหญ่ตกลงมาทับตายเสียก็ดีเหมือนกัน..... ใครจะรู้ได้...ถ้าหล่อนยังมีชีวิตอยู่ต่อไปจะเปนอย่างไร!….ข้าพเจ้าหักใจจะไม่คิดถึงหล่อนอีก เอามือล้วงลงไปกระเป๋าหยิบเอากุญแจห้องซุ้ยขึ้นมาแล้วโยนลงไปเสียกลางคลื่น สิ้นเรื่องกันเสียที—ไม่มีผู้ใดมาติดตาม—ไม่มีใครถามว่าข้าพเจ้าไปแห่งหนตำบลใด พอมาเมืองปอตสะอิดก็ขึ้นจากเรือพักอยู่ที่โฮเต็ลสองเวลา พอเรือเมล์ปีแอนด์โอมาถึงข้าพเจ้าซื้อตั๋วโดยสานมาขึ้นเมืองสิงค์โปร์ ถ่ายลำเข้ามากรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์นี้ แล้วเลยขึ้นไปอยู่รมพรมแดนซึ่งข้าพเจ้าตั้งบ้านอยู่เดี๋ยวนี้ และมิได้คิดที่จะย้ายไปอยู่แห่งหนตำบลอื่นในหมู่มนุษย์อีก.

เมื่อมาตามทางนั้น ได้เจอะหัวข้อในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งจ่าเรื่องว่า “เกิดเหตุประหลาดขึ้นในเมืองเนเปิลซ์” ซึ่งข้าพเจ้าอุส่าห์อ่านทุกตัวอักษรเพื่อความขันในใจนิด ๆ.

ในเรื่องนั้นมีความว่า เขาเที่ยวลงประกาศหาเคานต์โอลิวาในหนังสือพิมพ์ต่างๆ โดยเหตุที่อยู่ดีๆ ท่านเคานต์ผู้นั้นกับภรรยาผู้แต่งงานด้วยกันใหม่ อันแต่ก่อนมีนามว่าเคานเตสโรมานี มาหายไปในวันที่แต่งงานด้วยกันนั้นเปนมหัศจรรย์ กระทำให้คนทั้งเมืองเนเปิลซ์ตื่นเต้นมาก ศาลได้ออกหมายเรียกเจ้าของโฮเต็ลและคนใช้ชื่อวินเช็นโซ ฟลามมา มาถามปากคำก็ไม่ได้ความว่าเปนประการใด พวกโปลิศทั้งฟอมและลับก็ได้สืบเสาะนักต่อนัก ก็ไม่ได้ข่าวคราวอย่างหนึ่งอย่างใด ถ้าและภายในสิบสองเดือนนี้ยังมิได้ข่าวคราวว่าร้ายดีประการใดแล้วสมบัติอันมั่งคั่งบริบูรณของตระกูลโรมานี โดยเหตุที่ไม่มีญาติพี่น้องที่จะรับมรฎกเปนผู้ปกครอง จะตกเปนของรัฐบาลทั้งสิ้น.

ดังข้าพเจ้าได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า ข้าพเจ้าเปนคนที่ถึงแก่กรรมแล้ว—โลกหมุนไปตามภาษาของโลก การในโลกก็ดำเนินไปตามภาษาของการ แต่ไม่มีอะไรจะมาเกี่ยวข้องแก่ตัวข้าพเจ้า ต้นไม้สูงยูงยางและสิงห์สาราสัตว์และต้นหญ้าดงพงแขมนั่นแหละเปนเพื่อนเปนสหายของข้าพเจ้า และสิ่งเหล่านี้เห็นเปนพยานว่า ความทุกข์โศกของข้าพเจ้ามากน้อยเพียงใด ข้าพเจ้ายังรู้สึกทรมานใจอยู่เสมอ ซึ่งเปนสิ่งอันไม่แปลกไปจากธรรมดา ความพยาบาทนั้นบัดนี้สุมอยู่บนกระหม่อมข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ปราดถนาบ่น ทำอย่างไรได้—เปนกฎแห่งความชอบธรรม—เปนยุติธรรม ข้าพเจ้าไม่กล่าวโทษผู้ใดหมดทั้งนั้น—เว้นแต่หล่อนหญิงที่นอกใจข้าพเจ้า ถึงหากหล่อนตายแล้วก็ไม่ยกโทษให้ ข้าพเจ้าได้พยายามจะคิดยกโทษให้ แต่ก็ยกไม่ไหว มีหรือผู้ชายที่จะยกโทษให้แก่หญิงที่ทำลายชีวิตของตน? ไม่เชื่อว่ามี ส่วนข้าพเจ้า ๆ รู้สึกว่านี่ยังไม่สิ้นสุดเวรกรรมกัน....เมื่อวิญญาณของข้าพเจ้าไปจากมนุษย์โลกนี้แล้ว ข้าพเจ้ายังจะตามวิญญาณหล่อนไปถึงไหนถึงกัน นรกก็นรก อะเวจีก็อะเวจี:—หล่อนไปไหนอุประมาเปนอย่างดวงไฟ ข้าพเจ้าก็จะตามไปด้วยเหมือนกับเงาตามไป ทำนองเดียวกับองไถ้ในเรื่องของนักสวดพิสถานตามสีกาเอี่ยมยวน องไถ้พิสถานตามสีกาเอี่ยมนั้นตามเพราะรัก แต่ข้าพเจ้าตามนีนนานั้นตามเพราะโกรธ—ขอให้ตามล้างผลาญกันเปนเนืองนิจเทอญ!

ข้าพเจ้าไม่มีความทุกข์ความเสียใจอะไร ไม่มีอะไรเปนสิ่งกวนใจในป่าชัฏนี้ นอกจากดวงเดือนที่ส่องแสงสว่างมาจากเมืองฟ้า ข้าพเจ้าไม่อยากเห็นแสงเดือนเลย อุส่าห์ที่จะให้พ้นแสงได้มากยิ่งดี แต่ถึงจะปิดช่องหลังคาประตูหน้าต่างให้มิดชิดอย่างไรก็ดี คงจะมีแสงสอดลอดเข้ามาได้ช่องหนึ่งเสมอ.

แสงจันทร์ในประเทศถิ่นนี้ย่อมมีสีอันขาวนวนเปนธรรมดา—ข้าพเจ้าเข้าใจไม่ได้ว่าเหตุไรแสงที่ลอดช่องเข้ามาในกระท่อมข้าพเจ้าจึงเปนออกเขียวๆ! และในลำแสงจันทร์ข้าพเจ้าเห็นมือขาวเล็กๆ ซึ่ง ประดับด้วยเพ็ชร์พลอยอย่างดี! มือนั้นกระดิกได้....ยกขึ้นเองได้—นิ้วเล็กๆนั้นชี้มาตรงข้าพเจ้าเปนทีขู่—แล้วสั่น....แล้วก็—ค่อยๆกวัก....เปนเชิงบังคับให้ตาม....ให้ตามไปยังประเทศซึ่งความยินดี สนุกสนาน และความรักจะไม่ได้มาพ้องพานข้าพเจ้าอีกเลย!

จบบริบูรณ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ